ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1447 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28921 - 28940 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28921 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... | สผ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าวไปพิจารณา และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
28922 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ. 373/2548 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 122/2555 ระหว่างนายวิเชียร วิฑูรย์เธียร ฟ้อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นยกฟ้อง | อส | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ. ๓๗๓/๒๕๔๘ คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๑๒๒/๒๕๕๕ ระหว่างนายวิเชียร วิฑูรย์เธียร ผู้ฟ้องคดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ ๑ คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ ๒ คณะรัฐมนตรี ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นยกฟ้อง
|
||||||||||||||||||||||||
28923 | แนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร12 | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้แต่ละกระทรวงพิจารณาค่าเป้าหมายที่เหมาะสมของตัวชี้วัดด้านประสิทธิผลของการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลและภารกิจหลัก และให้เสนอตัวชี้วัดเพิ่มเติมตามประเด็นที่กำหนด ๑.๒ ให้กระทรวงที่เป็นเจ้าภาพหลักของตัวชี้วัดที่มีเป้าหมายร่วมกันเพิ่มเติมของแต่ละเรื่องนำเสนอแนวทางการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงและจัดทำตัวชี้วัดร่วม รวมทั้งกำหนดรายละเอียดของตัวชี้วัด ค่าเป้าหมายที่เหมาะสมด้วย โดยตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกันเพิ่มเติม จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ ๑.๒.๑ การลดต้นทุนในการรักษาพยาบาล (Cost per Head) ๑.๒.๒ ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีในภาวะวิกฤต หรือศูนย์พึ่งได้ (One Stop Crisis Center : OSCC) ๑.๒.๓ การพัฒนาแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ๑.๒.๔ การยกระดับภาพลักษณ์ตราสินค้าไทย (Branding) ๑.๒.๕ การส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร (Agro Industry) ๑.๒.๖ อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Industry) ๑.๓ ให้แต่ละกระทรวงนำข้อมูลตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ เสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการในการปรับเปลี่ยนแนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อนมอบหมายให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดตัวชี้วัดและพิจารณาช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการจัดทำข้อมูลเพื่อประกอบการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐมากยิ่งขึ้น การกำหนดตัวชี้วัดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและภารกิจหลักของกระทรวงควรเป็นตัวชี้วัดหลัก ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม และร่วมกำหนดรายละเอียดในการดำเนินงาน/ประเมินผลร่วมกับหน่วยปฏิบัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และในกรณีตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างกระทรวง (Joint KPIs) กระทรวงเจ้าภาพหลักควรจัดตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานตามตัวชี้วัดดังกล่าวเพื่อจัดสรรให้แก่ส่วนราชการที่ต้องร่วมรับผิดชอบดำเนินการ เพื่อความมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในการผลักดันตัวชี้วัด การกำหนดรายละเอียดของภารกิจหรือกิจกรรมที่แต่ละหน่วยงานจะต้องรับผิดชอบให้ชัดเจน และนำขอบเขตภารกิจที่รับผิดชอบนี้ไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดสัดส่วนคะแนนที่เหมาะสมในแต่ละส่วนราชการให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการวางระบบสื่อสารหรือการประสานความเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานให้เหมาะสม เพื่อเป็นการกำกับดูแลให้ตัวชี้วัดร่วมสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
28924 | ความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย - มาเลเซีย | มท | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ตามที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-มาเลเซีย (Joint Commission-JC) ครั้งที่ ๙ ๑.๒ อนุมัติร่างความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งครอบคลุมสาระสำคัญในด้านการจัดระเบียบบุคคลข้ามแดน เพื่อเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในด้านเศรษฐกิจการค้าชายแดน และความร่วมมือทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเพื่อให้ประชาชนตามแนวชายแดนสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวก โดยใช้ความตกลงฯ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นพื้นฐานและปรับเปลี่ยนข้อกำหนดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพการเดินทางข้ามแดนในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป โดย ๑.๒.๑ วัตถุประสงค์ของการเดินทาง มีความชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น ได้แก่ เพื่อการเยี่ยมเยือน การท่องเที่ยว การกีฬา การฝึกอบรมระยะสั้นไม่เกิน ๖ เดือน การเข้าร่วมสัมมนาหรือการพบปะหารือ การเข้าร่วมประชุมและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และวัตถุประสงค์อื่น ๆ ที่สองประเทศอาจตกลงกันในภายหลัง ๑.๒.๒ อายุการใช้งาน กำหนดให้หนังสือผ่านแดนมีอายุใช้งาน ๑ ปี ๑.๒.๓ ระยะเวลาการพำนัก ๓๐ วัน ๑.๒.๔ พื้นที่ชายแดน ครอบคลุมพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดสงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี และครอบคลุมพื้นที่ ๔ รัฐของประเทศมาเลเซีย ได้แก่ รัฐเกดาห์ กลันตัน เปรัค (เฉพาะเมืองฮูลูเปรัค) และเปอร์ลิส ๑.๒.๕ ผู้ขอเอกสารข้ามแดน ประชาชนไทยและมาเลเซียที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ชายแดนเป็นการถาวรที่ระบุในความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อการลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องระมัดระวังไม่ให้การดำเนินการตามความตกลงฯ กระทบต่อความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้านการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในความตกลงฯ อย่างเคร่งครัด และเข้มงวดกวดขันในเชิงป้องกันปัญหามิติด้านความมั่นคง เช่น การลักลอบขนสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีหรือผิดกฎหมาย รวมทั้งการเข้าเมืองของผู้กระทำผิดกฎหมายหรือผู้ก่อความไม่สงบในบริเวณชายแดนทั้งสองประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-มาเลเซีย (JC) ครั้งต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของไทยกับของมาเลเซียเพื่อตรวจสอบบุคคลที่ประสงค์จะเดินทางข้ามแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียและป้องกันการเข้าเมืองของผู้กระทำผิดกฎหมายหรือผู้ก่อความไม่สงบในบริเวณชายแดนทั้งสองประเทศ |
||||||||||||||||||||||||
28925 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 190 | ศธ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๙๐ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก (Her Excellency Madame lrina Bokova) รายงานผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา โดยกล่าวชื่นชมประเทศไทยใน ๒ เรื่อง ได้แก่ การดำเนินงานของศูนย์การเรียนชุมชน (Community Learning Centre : CLC) พร้อมทั้งมีการส่งเสริมฝึกอาชีพ และการที่รัฐบาลไทยมีความตั้งใจจริงในการรณรงค์เรื่องการรู้หนังสือ (Literacy Campaign) ให้กับประชาชนคนไทย ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมฯ ๒.๑ ประเทศไทยชื่นชมบทบาทขององค์การยูเนสโกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้นำระดับโลกในการขับเคลื่อนและปฏิรูปกลไกการศึกษาเพื่อปวงชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และยินดีที่ยูเนสโกจะจัดการประชุมระดับโลกด้านการศึกษาเพื่อปวงชน (Global EFA Meeting) ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งเน้นผลักดันให้ทุกคนได้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ๒.๒ ประเทศไทยให้การสนับสนุนข้อริเริ่มของ H.E. Bun Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติ ในเรื่อง “การศึกษาต้องมาก่อน” (Education First) ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานของประเทศไทยที่ต้องการสร้างสังคมที่ดีและเข้มแข็งสำหรับประชาชนทุกคน และเห็นด้วยกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกที่ให้ความสำคัญใน ๓ ประเด็นหลักในวาระการศึกษาของสหประชาชาติ ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กทุนคนได้มีโอกาสเข้าเรียน การพัฒนาคุณภาพการเรียน และการส่งเสริมความเป็นพลเมืองของโลก ๒.๓ ประเทศไทยขอบคุณยูเนสโกที่ให้ความสำคัญกับการรู้หนังสือ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการส่งเสริมการรู้หนังสือผ่านศูนย์การเรียนชุมชนซึ่งมีเครือข่ายมากกว่า ๗,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ และพร้อมที่จะขยายกิจกรรม ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของศูนย์การเรียนชุมชนไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย ๒.๔ ประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่องการใช้ ICT ทางการศึกษาอันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้ดำเนินโครงการแจกคอมพิวเตอร์ Tablet ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และจะขยายไปยังระดับมัธยมศึกษาตอนต้นต่อไป ๒.๕ ประเทศไทยจะให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับยูเนสโกให้มากยิ่งขึ้น ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือกับคณะของผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก มีความเห็นร่วมกันว่าจะดำเนินโครงการร่วมกัน จำนวน ๗ โครงการ ประกอบด้วย ๓.๑ โครงการที่เป็นการช่วยเหลือสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกได้หารือกับนายกรัฐมนตรีในช่วงที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ การเสริมสร้างศักยภาพครูการศึกษานอกโรงเรียนในศูนย์การเรียนชุมชน (Community Learning Centre) ของประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ การเสริมสร้างภาวะความเป็นผู้นำในโรงเรียนของประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ในด้านการใช้ ICT และการเสริมสร้างศักยภาพของโรงเรียนว่าด้วยการนำ ICT มาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการสอนของครู ๓.๒ โครงการด้านการศึกษาที่จะดำเนินการร่วมกับประเทศไทยโดยตรง จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการความร่วมมือกับองค์การยูเนสโกในการจัดทำการทบทวนแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาของประเทศไทย (Policy Review) โครงการ Education First ตามข้อริเริ่มของ H.E. Bun Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติ โครงการ World Education Indicators และโครงการ Mobile Learning
|
||||||||||||||||||||||||
28926 | การให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) | กค | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า โดยหลักการทั่วไปของการทำหนังสือสัญญา ผู้ลงนามหนังสือสัญญาในนามรัฐบาลไทยหรือราชอาณาจักรไทยจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศประกอบการลงนามด้วย ซึ่งในเรื่องการให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) ประจำสำนักงานในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบหนังสือของรัฐบาลญี่ปุ่นในนามรัฐบาลไทยโดยมิได้มีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) มาโดยตลอด และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยอมรับการลงนามดังกล่าว จึงถือเป็นกรณียกเว้นที่ไม่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบในหลักการหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และการให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) ประจำสำนักงานในประเทศไทย ตามนัยหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ JBIC ประจำสำนักงานในประเทศไทยให้สามารถปฏิบัติภารกิจในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในการติดต่อประสานงาน สนับสนุนการส่งออกการนำเข้า และการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่นและประเทศในภูมิภาค ๒.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
28927 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ตช | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๖๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหารถบรรทุก (ดีเซล) ขนาด ๑ ตัน แบบดับเบิ้ลแคป ขับเคลื่อน ๔ ล้อ หุ้มเกราะกันกระสุนทั้งคัน จำนวน ๓๓ คัน เพื่อทดแทนรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนที่มีอายุการใช้งาน ๘ ปีขึ้นไป จำนวน ๒๗ คัน และรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติภารกิจ จำนวน ๖ คัน รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๓ คัน และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
28928 | การลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | พน | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน (Joint Statement for the Establishment of Energy Forum) ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาของเมียนมาร์เพียงฉบับเดียวในระหว่างการเยือนไทยของประธานาธิบดีแห่งเมียนมาร์ ส่วนกระทรวงไฟฟ้า ๑ และไฟฟ้า ๒ ของเมียนมาร์ยังมิได้มีการลงนามกับกระทรวงพลังงาน ๒. กระทรวงพลังงานจะได้มีการลงนามในถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) เพื่อจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานดังกล่าว กับกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ด้วย (หมายเหตุ กระทรวงไฟฟ้า ๑ และไฟฟ้า ๒ ของเมียนมาร์ได้มีการรวมเป็นกระทรวงเดียวกันเมื่อประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา) โดยกำหนดการลงนามในวันที่ ๑๙-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในช่วงของการหารือทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีเมียนมาร์กับนายกรัฐมนตรีของไทย
|
||||||||||||||||||||||||
28929 | ขออนุมัติกู้เงินตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ 10 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชะลอการกู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ระยะที่ ๑๐ โดยให้ รฟท. โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ โครงการชำระหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งรัดการขอบรรจุวงเงินกู้ดังกล่าวให้ทันกับการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินการกู้เงินได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และมีข้อสังเกตว่าการดำเนินนโยบายกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal policy) ในช่วงที่ผ่านมาในส่วนของการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางจะเป็นในลักษณะที่ให้รัฐวิสาหกิจผู้ดำเนินมาตรการเป็นผู้กู้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการที่รัฐวิสาหกิจนั้นได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้ว ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะมีความเห็นว่าค่าใช้จ่ายตามมาตรการดังกล่าวเป็นวงเงินที่ไม่สูงมากนักและเป็นนโยบายที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงจากสำนักงบประมาณจะเหมาะสมกว่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
28930 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) (นายชูชาติ ฉุยกลม) | กษ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชูชาติ ฉุยกลม ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านวางแผนและโครงการ) วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ นายชูชาติ ฉุยกลม ได้โอนไปบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ ตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ สำนักราชเลขาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28931 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียบเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราดเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองไม้ชี้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานคลองไม้ชี้เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำด่านชุมพล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำด่านชุมพลเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่
|
||||||||||||||||||||||||
28932 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | ศธ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้เรียนที่มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ มีประสบการณ์ประกอบอาชีพและมีพื้นความรู้ตามที่กำหนด อาจนำผลการเรียน ความรู้ และประสบการณ์มาประเมินเทียบระดับการศึกษาในระดับสูงสุดของการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทสามัญศึกษาตามที่กำหนดไว้ และให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) และหน่วยงานกลางทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรฐานการเรียนระดับการศึกษา และเครื่องมือวัดผลและประเมินผลตามที่กำหนด และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๘) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ เพิ่มเติมบทบัญญัติจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามแบบการร่างกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒.๒ กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทสามัญศึกษา โดยกำหนดให้ผู้เรียนต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ มีประสบการณ์ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งไม่น้อยกว่าสามปี และมีพื้นความรู้ไม่ต่ำกว่าการศึกษาระดับประถมศึกษา เพื่อให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นการเทียบระดับการศึกษาสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างจากการเทียบระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ๒.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการประเมินเทียบระดับการศึกษา โดยกำหนดให้สำนักงาน กศน. และหน่วยงานกลางทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทำมาตรฐานการเรียนรู้ของระดับการศึกษา และเครื่องมือวัดผลและประเมินผล ที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อเสนอแนะต่อรัฐมนตรีในการดำเนินการตามข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งนี้ เพื่อให้ชัดเจนและมีผลผูกพันให้หน่วยงานต้องปฏิบัติต่อไป ๒.๔ กำหนดให้การเทียบระดับสามารถทำได้ในระดับสูงสุดของการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทสามัญศึกษา เนื่องจากผู้แทนสำนักงาน กศน. ชี้แจงว่า กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการจัดทำเกณฑ์ในการเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทอาชีวศึกษาในภายหลัง
|
||||||||||||||||||||||||
28933 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การดำเนินคดีแบบกลุ่ม) | นร09 | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดบทนิยามคำว่า “การดำเนินคดีแบบกลุ่ม” หมายความว่า การดำเนินคดีที่ศาลอนุญาตให้เสนอคำฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงสิทธิของโจทก์และสมาชิกกลุ่ม ๒. คดีแบบกลุ่ม ได้แก่ คดีละเมิด คดีผิดสัญญา และคดีเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายต่าง ๆ และเป็นคดีที่มีสมาชิกกลุ่มจำนวนมาก ๓. กำหนดให้คำฟ้องของโจทก์และกลุ่มบุคคลต้องมีสภาพแห่งข้อหาและคำบังคับที่มีลักษณะเดียวกัน ๔. คำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มอาจอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาได้ ๕. กำหนดให้โจทก์ต้องมีส่วนได้เสีย รวมตลอดทั้งมีการได้มาซึ่งสิทธิการเป็นสมาชิกกลุ่ม ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ๖. ให้ศาลส่งคำบอกกล่าวคำสั่งอนุญาตให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มให้สมาชิกกลุ่มทราบ และประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายเป็นเวลา ๓ วันติดต่อกัน ๗. สมาชิกกลุ่มมีสิทธิออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มได้โดยแจ้งความประสงค์เป็นหนังสือยื่นต่อศาล ๘. กำหนดให้สมาชิกกลุ่มมีสิทธิเข้าฟังการพิจารณาคดี ขอตรวจเอกสาร และคัดสำเนาเอกสาร จัดหาทนายความคนใหม่ และร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ ๙. กำหนดให้ศาลมีอำนาจยกเลิกคำสั่งการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ในกรณีที่การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะไม่คุ้มครองหรือเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกกลุ่มอย่างเพียงพอ หรือไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินคดีแบบกลุ่มอีกต่อไป ๑๐. กำหนดให้ในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณา ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณามิได้ แต่ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ๑๑. กำหนดให้ศาลมีอำนาจเชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาคดีได้ ๑๒. กำหนดให้คู่ความอาจเสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ที่ตนประสงค์จะอ้างเป็นพยานแทนการซักถามต่อหน้าศาลได้ ๑๓. กำหนดให้คำพิพากษาของศาลผูกพันคู่ความและสมาชิกกลุ่ม และโจทก์มีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแทนสมาชิกกลุ่ม ๑๔. กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในการดำเนินคดีแบบกลุ่มให้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น |
||||||||||||||||||||||||
28934 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๙๓.๐๖๖๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๔,๑๔๔.๗๔๗๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๙๕.๒๒๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๘ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๕,๑๖๔.๘๗๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๙๔ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๕ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๕ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๐ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง ฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้นจำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
28935 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร09 | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนครขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ๑.๒ กำหนดการจัดตั้ง วัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ๑.๓ กำหนดลักษณะของทุน รายได้และทรัพย์สินในการดำเนินกิจการ ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารพัฒนาพิงคนครเพื่อบริหารและดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ๑.๕ กำหนดผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ๑.๖ กำหนดลักษณะการจัดทำการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลงาน ๑.๗ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ให้เป็นไปตามกฎหมาย ๒. เห็นชอบให้เพิ่มเติมหน้าที่ในด้านการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการหลวง และเกษตรทฤษฎีใหม่ในวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เมื่อพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
28936 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสู่ประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" | สสป | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสู่ประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรส่งเสริมและปลูกฝังในด้านต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมโดยเฉพาะภาครัฐบาล ภาคการเมือง ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนควรร่วมมือและผนึกกำลังกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย ๒. ส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยการปลูกฝังจิตใจที่เป็นประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของคนอื่น ยึดหลักการ หลักวิชา หลักเหตุผล และหลักธรรม ใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เป็นประโยชน์ และเป็นธรรม ๓. ปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยเริ่มต้นที่บ้านตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ครอบครัวมีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย ๔. ส่งเสริมให้การศึกษาจะต้องให้วัตถุประสงค์ประการหนึ่ง คือ การปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยให้มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของผู้อื่น คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนร่วมและประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ๕. ส่งเสริมศาสนาให้มีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยสถาบันทางศาสนา เช่น พระภิกษุ และวัด ควรถือเป็นหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา พระบรมราโขวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ๖. ส่งเสริมชุมชนให้มีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยแก่สมาชิกของชุมชน ผู้นำชุมชนจะต้องพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ ๗. ส่งเสริมสื่อมวลชนให้มีบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริมและปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมประชาธิปไตย เป็นต้น ๘. ส่งเสริมนักการเมืองให้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยและวัฒนธรรมประชาธิปไตย ประชาชนควรจะติดตามพฤติกรรมของนักการเมืองว่ามีวัฒนธรรมประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด เป็นนักการเมืองที่มีจริยธรรมทางการเมืองและพึงประสงค์มากน้อยเพียงใด ๙. ส่งเสริมรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย นักการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ข้าราชการที่เป็นประชาธิปไตย และประชาชนที่เป็นประชาธิปไตย เห็นแก่ประโยชน์สุขประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ เหนือกว่าประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ๑๐. ส่งเสริมการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม อย่างจริงใจ โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนใช้สิทธิในการเลือกตั้งด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล ไม่เลือกเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือการเป็นพรรคพวก จะต้องเลือกคนที่ดี ๑๑. ส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และวัฒนธรรมประชาธิปไตยเพื่อนำประเทศไทยพ้นจากภาวะวิกฤติต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
28937 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนอ่าวกะพ้อ | ศธ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนแบบ สพฐ. ๑ โรงเรียนอ่าวกะพ้อ จังหวัดพังงา จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๑๖,๕๔๒,๐๐๐ บาท เพื่อประโยชน์ของทางราชการและเป็นการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนอาคารเรียนในการจัดการเรียนการสอนให้แก่โรงเรียนอ่าวกะพ้อ จังหวัดพังงา เป็นกรณีเฉพาะราย ในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ.๒๕๕๗ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๑๙๘,๐๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๒,๔๕๖,๐๐๐ บาท และให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ อีกจำนวน ๑,๘๘๘,๐๐๐ บาท ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
28938 | แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ | นร | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดสรรอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่ซึ่งรวมถึงพยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา โดยรวมกับอัตราว่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๒,๐๔๘ อัตรา เป็นจำนวนทั้งสิ้นสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ๗,๕๔๗ อัตรา และเพิ่มเติมอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา รวมเป็นการบรรจุทั้งสิ้น ๑๐,๔๙๔ อัตรา โดยให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งในอัตราที่ได้รับอนุมัติ โดยยึดหลักคุณธรรมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด ทั้งนี้ ให้ยกเลิกการยุบเลิกตำแหน่งเกษียณอายุราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ และ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง อนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ตามที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่จะใช้ในการรองรับการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๘,๔๔๖ อัตรา โดยการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๙ เดือน) และอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๖ เดือน) ประมาณการค่าใช้จ่ายงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๓๒ ล้านบาท นั้น ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเจียดจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการผูกพันที่ดำเนินการล่าช้า/คาดว่าจะเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๖๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๓๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาภาพรวมความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบ ทั้งในส่วนราชการที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของฝ่ายบริหาร และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รวบรวมเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัด แล้วส่งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบต่อไป โดยมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. อธิบดีกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน โดยให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นฝ่ายเลขานุการ และให้สำนักงาน ก.พ. เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อมาประชุมปรึกษาร่วมกันก่อน แล้วจัดทำข้อมูลการวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงสัดส่วนให้เหมาะสมกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงบประมาณโดยรวมของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จแล้วเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ |
||||||||||||||||||||||||
28939 | การโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ ไปเป็นของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) | สธ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของหน่วยงานภายในกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เฉพาะในส่วนที่ทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ไปเป็นของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28940 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2556 | กค | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ กำหนดไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เช่นเดียวกับเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๕ ๑.๒ การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะจัดให้มีการหารือร่วมกันเป็นประจำทุกไตรมาส และเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นใดตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร ๑.๓ การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานออกนอกเป้าหมาย กรณีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมายตามที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินชี้แจงสาเหตุ แนวทางแก้ไข และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้าสู่ช่วงที่กำหนดไว้โดยเร็ว รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร ๑.๔ การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาการนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะต่อไป เมื่อความเสี่ยงจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกลดลง และระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ในประเทศได้แล้ว ไปพิจารณาต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำสรุปรายงานสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต่อไป ๔. เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศในภาพรวมที่เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสภาวะเศรษฐกิจเสนอคณะรัฐมนตรีเดือนละหนึ่งครั้งในทุกสัปดาห์แรกของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการคลังเชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีด้วย |
.....