ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1447 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 28921 - 28940 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28921 | ผลการเยือนคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภายหลังการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) และให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ในภาพรวม ผลการหารือ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในตลาดทุน ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน การบริการทางสุขภาพ การท่องเที่ยวและอัญมณี หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ๑.๒ ไทยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee : JC) ไทย-คูเวต ครั้งที่ ๒ ที่จังหวัดภูเก็ต ในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ด้านการค้า ผลการหารือ การพบปะระหว่างภาคเอกชนไทยกับคูเวตประสบผลสำเร็จ และส่งผลให้มีการสร้างเครือข่ายและการเจรจาธุรกิจรายสาขาต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเพิ่มพูนมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๓. การก่อสร้าง ผลการหารือ ไทยขอให้ฝ่ายคูเวตพิจารณาสนับสนุนภาคเอกชนไทยเข้าร่วมการประมูลในโครงการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติคูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๔. ด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผลการหารือ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือด้านสาธารณสุขและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผ่านความร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ และได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทย-คูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๕. ด้านตลาดเงินทุน ผลการหารือ คูเวตพร้อมที่จะพิจารณาสนับสนุนไทยในโครงการพัฒนาแห่งชาติและสาธารณูปโภคต่างๆ ผ่านกองทุน Kuwait Fund for Arab Economic Development รวมทั้งการลงทุนในตลาดเงินทุนไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ๖. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปฏิบัติตามความตกลงที่ลงนามไปแล้ว และที่กำลังดำเนินการ ได้แก่ ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นภาษีซ้อนระหว่างไทยและคูเวต และความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับคูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานเจ้าของเรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28922 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... | รง | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ลดอัตราเงินสมทบที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะต้องออกเพื่อสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖-วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ อัตราเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และคลอดบุตร (๔ กรณี) ในส่วนของรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ ๐.๕ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน จากเดิมจัดเก็บในส่วนของรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน จัดเก็บฝ่ายละร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน ๑.๒ อัตราเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ (๒ กรณี) รัฐบาล ฝ่ายละร้อยละ ๒ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน สำหรับในส่วนของนายจ้าง ผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ ๓ ของค่าจ้างผู้ประกันตน จากเดิมจัดเก็บในส่วนของรัฐบาลร้อยละ ๑ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน นายจ้าง และผู้ประกันตน จัดเก็บฝ่ายละร้อยละ ๓ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาในรายละเอียดสำหรับการกำหนดอัตราเงินสมทบและเพดานเงินเดือนของผู้ประกันตนที่นำมาใช้ในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุน ๒ กรณี (กรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมและสร้างหลักประกันที่มั่นคงในการดำรงชีวิตหลังวัยทำงาน และเพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับกองทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28923 | การดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือศูนย์ซีมีโอ สปาฟา (SEAMEO Regional Centre for Archaeology and Fine Arts : SPAFA) ๑.๑ ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ได้มีการดำเนินโครงการตั้งแต่แผนพัฒนา ๕ ปี ระยะที่ ๑ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๓๐/๒๕๓๑-๒๕๓๔/๒๕๓๕) ถึงระยะที่ ๕ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๕๐/๒๕๕๑-๒๕๕๔/๒๕๕๕) ประกอบด้วยโครงการรวมทั้งสิ้น ๑๙๓ โครงการ แบ่งออกเป็นด้านโบราณคดี จำนวน ๑๑๑ โครงการ ด้านทัศนศิลป์ จำนวน ๒๒ โครงการ ด้านศิลปะการแสดง จำนวน ๒๓ โครงการ และด้านอื่นๆ จำนวน ๓๗ โครงการ ซึ่งกิจกรรมที่ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยกิจกรรมเน้นการสร้างความสมานฉันท์ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการพัฒนาเพื่อปลูกฝังความตระหนักและชื่นชมในมรดกทางวัฒนธรรมผ่านความร่วมมือต่าง ๆ สำหรับกิจกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายการวางรากฐานของประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ที่เห็นได้ชัดคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านทักษะ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ การปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชน นักเรียน เยาวชน ในคุณค่าของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของภูมิภาคอาเซียน และการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ๑.๒ จากการประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ภายใต้แผน ๕ ปี ระยะที่ ๑-๕ (พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๕๕) มีข้อเสนอแนะว่า ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ควรมีการนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการ หรือดำเนินงาน เพื่อช่วยในการจัดฝึกอบรมและลดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสถานที่อบรม อีกทั้งจะทำให้เพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการอบรมได้มากขึ้น นอกจากนี้ ควรใช้สื่อการประชาสัมพันธ์มาใช้ในการบริหารจัดการการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. วงเงินงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ๕ ปี ระยะที่ ๖ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๕๕/๒๕๕๖-๒๕๕๙/๒๕๖๐) จำนวน ๙๐,๘๑๙,๖๐๐ บาท ตามกรอบงบประมาณของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28924 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และแจ้งให้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนของเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ มีดังนี้ “โดยที่ได้มีการแยกการประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยและการประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ไปบัญญัติไว้ในกฎหมายเฉพาะ ประกอบกับมีสาขาการประกอบโรคศิลปะหลายสาขาที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา สมควรยกเลิกสาขาการประกอบโรคศิลปะที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา เพื่อนำมาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเพิ่มเติมบทนิยาม สาขาการประกอบโรคศิลปะ คณะกรรมการวิชาชีพสาขาต่าง ๆ และคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต ปรับปรุงองค์ประกอบและคุณสมบัติของคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะ รวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับสาขาแห่งการประกอบโรคศิลปะและคณะกรรมการวิชาชีพให้สอดคล้องกันด้วย”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28925 | รายงานการตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง 1 และ 2 รวม 9 จังหวัด | นร01 | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๑ เขตตรวจราชการที่ ๑๗ (จังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์) และจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๒ เขตตรวจราชการที่ ๑๘ (จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี) ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดอุตรดิตถ์ได้เตรียมความพร้อมในการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ไว้พร้อมแล้ว ทั้งในด้านสถานที่การเดินทาง การอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัย รวมทั้งจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ ๑๗ ทั้ง ๕ จังหวัด ได้เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการ ทั้งของกลุ่มจังหวัดและจังหวัดเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้แจ้งให้จังหวัดในเขตตรวจราชการที่ ๑๗ และ ๑๘ ทั้ง ๙ จังหวัด ทราบถึงแนวทางในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค โดยเฉพาะลักษณะของโครงการที่อยู่ในข่ายจะได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้ จำนวน ๕๐ ล้านบาท เป็นการจัดสรรงบประมาณให้กับแผนงาน/โครงการ ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะได้ประชุมคณะทำงานฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. การดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจตามที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน จากการรายงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในภาพรวมสามารถดำเนินการได้ตามที่กำหนดไว้ ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคก็สามารถดำเนินการแก้ไขได้ ๔. ปัญหาและอุปสรรคในระดับพื้นที่ ได้แก่ ๔.๑ ปัญหาการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอลในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนของสารแคดเมียม จังหวัดตาก ๔.๒ ปัญหาการดำเนินงานตามกองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ๔.๓ การบริหารยุทธศาสตร์ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีจุดแข็งและแสดงออกให้เป็นที่สนใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ๔.๔ ปัญหาเกี่ยวกับการรับจำนำข้าวเปลือก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28926 | รัฐบาลสาธารณรัฐโคลอมเบียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายอันเดลโฟ โฆเซ การ์เซีย กอนซาเลซ (Mr. Andelfo Jose Garcia Gonzalez)] | กต | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอันเดลโฟ โฆเซ การ์เซีย กอนซาเลซ (Mr. Andelfo Jose Garcia Gonzalez) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางซิลบีอา กัสตาโญ เด กอนซาเลซ (Mrs. Silvia Castano de Gonzalez) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28927 | ขออนุมัติการเปิดสถานกงสุลและการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น (นายณัฐพล ประคุณศึกษาพันธ์) | กต | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปิดสถานกงสุลสาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น และแต่งตั้งนายณัฐพล ประคุณศึกษาพันธ์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28928 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงมหาดไทย) (นายภุชงค์ โพธิกุฎสัย) | มท | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายภุชงค์ โพธิกุฎสัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28929 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นางสาวสุนันทา แสงทอง) | ศธ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวสุนันทา แสงทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28930 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพนมสารคาม - เกาะขนุน จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... | มท | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพนมสารคาม - เกาะขนุน จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหนองยาว ตำบลบ้านซ่อง ตำบลท่าถ่าน ตำบลเกาะขนุน ตำบลพนมสารคาม ตำบลเมืองเก่า ตำบลหนองแหน อำเภอพนมสารคาม และตำบลบางคา ตำบลเมืองใหม่ อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28931 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม - คำม่วน) พ.ศ. .... | คค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้สะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) ซึ่งข้ามแม่น้ำโขงเป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียม การเก็บค่าธรรมเนียมให้เป็นไปตามประเภทของยานยนตร์ และตามอัตราในบัญชีท้ายกฎกระทรวงนี้ ๑.๒ กำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์ ได้แก่ รถยนต์โดยสารประจำทางระหว่างประเทศที่มีความตกลงในเส้นทางนครพนม-คำม่วน และเส้นทางคำม่วน-นครพนม รวมทั้งรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของราชอาณาจักรไทย และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) ของทั้งสองประเทศได้กำหนดรูปแบบร่วมกัน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงและกระทรวงคมนาคมจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งและสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28932 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... | นร09 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยร่างกฎกระทรวงฯ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. กำหนดภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ๓. กำหนดให้แบ่งส่วนราชการสำนักงาน ปปง. ประกอบด้วย สำนักงานเลขานุการกรม กองกฎหมาย กองกำกับและตรวจสอบ กองข่าวกรองทางการเงิน กองคดี ๑ กองคดี ๒ กองคดี ๓ กองความร่วมมือระหว่างประเทศ กองนโยบายและยุทธศาสตร์ กองบริหารจัดการทรัพย์สิน และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว ๔. กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารในสำนักงาน ปปง. ขึ้นตรงต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28933 | รายงานผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายจูเซ มานูเอล บาร์โรซู (Mr. Jose Manuel Barroso) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเชิญนายกรัฐมนตรีเยือนกรุงบรัสเซลส์ในโอกาสแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบรับการเยือนในโอกาสที่เหมาะสม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒. ทั้งสองฝ่ายย้ำเจตนารมณ์ให้การเจรจากรอบความตกลงหุ้นส่วนและความร่วมมืออย่างรอบด้าน (Framework Agreement on Comprehensive Partnership and Cooperation-PCA) ได้ข้อสรุปในอนาคตอันใกล้ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓. ทั้งสองฝ่ายย้ำเจตนารมณ์ให้เริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (Thai-EU Free Trade Agreement-FTA) ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งไทยเห็นว่าอาจเริ่มได้ในต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อ Scoping exercise ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานผู้แทนการค้าไทย ๔. ฝ่ายไทยขอให้สหภาพยุโรปรับไปหารือกับประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการพิจารณายกเว้นการตรวจลงตราเขต Schengen แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๕. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ดำเนินความร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) ต่อไป และหารือความเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือแบบไตรภาคีกับประเทศเมียนมาร์ รวมทั้งการขยายความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน อาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการโยกย้ายถิ่นฐาน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่มีความร่วมมือหรือต้องการที่จะมีความร่วมมือกับสหภาพยุโรป (กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กองทัพเรือ กระทรวงคมนาคม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28934 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2012) | นร01 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2012) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญ (การบูรณาการการตรวจราชการเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ) ของผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ใน ๕ ประเด็น ๑.๑ นโยบายการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ๑.๑.๑ ด้านปัญหายาเสพติด จากการตรวจติดตามพบว่า การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติดของทุกหน่วยงาน โดยการสร้างกลไกการบูรณาการเพื่อการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ มีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่การแพร่ระบาดของยาเสพติดยังไม่อาจสกัดกั้นให้ทุเลาหรือหมดสิ้นไปจากสังคมไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานศึกษา ซึ่งมีเยาวชนกลุ่มเสี่ยงจำนวนมากที่ยังต้องเฝ้าระวังและสร้างภูมิคุ้มกันให้รอดพ้นจากภัยยาเสพติด โดยการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ๑.๑.๒ ด้านการจัดการที่ดินทำกิน จากการตรวจติดตามโครงการภายใต้ประเด็นสำคัญการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ด้านการจัดการที่ดินทำกิน เน้นการตรวจติดตามโครงการที่ช่วยในการจัดระบบการจัดการที่ดินทำกินให้มีประสิทธิภาพ ยังคงพบความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ และการจัดการกระจายสิทธิ์ที่ดินที่ยังไม่ทั่วถึง รัฐบาลควรเร่งรัดการดำเนินการจัดการที่ดินทำกินของหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนต่อไป ๑.๑.๓ ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน จากการตรวจติดตามการดำเนินการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนยังประสบปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัดทั้งด้านกระบวนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน การป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น เยาวชนขาดจิตสำนึกที่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีไทย ทุกหน่วยงาน/ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควรให้ความสำคัญกับการสร้างทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพและมีความเข้มแข็งใน ๓ ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสมอง โดยสนับสนุนให้มีการจัดโครงการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรบุคคลให้มากขึ้นในทุกช่วงอายุเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้อยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชียต่อไป ๑.๒ นโยบายการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๒.๑ ด้านการเตรียมการรับมือภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อม จากการตรวจติดตามโครงการของกระทรวง/กรม (Function) และโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด (Area) เกี่ยวกับการเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่มีความเชื่อมร้อยกันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งการตรวจติดตามโครงการเกี่ยวกับการเตรียมการรับมือภัยพิบัติ พบว่า มีหลายปัญหาควรได้รับการแก้ไขจากราชการในส่วนกลาง และในระดับนโยบาย ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะระดับนโยบายเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลสาธารณะ ระบบเตือนภัย และเครือข่ายเตือนภัยภาคประชาชน ระบบการจัดการและการเข้าถึงองค์ความรู้สาธารณะ โดยการสร้างระบบกลไกการป้องกันในพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่เกิดภัยพิบัติซ้ำซาก และจัดทำแผนเตรียมการป้องกันภัยพิบัติทุกประเภท การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนทั่วไปในการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการฝึกซ้อมแผนบรรเทาสาธารณภัย และการสร้างจิตสำนึกและความยั่งยืน เพื่อช่วยผลักดันให้แผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องเกิดผลสัมฤทธิ์อันจะส่งผลให้มูลค่าความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินลดลง ๑.๒.๒ ด้านการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ จากการตรวจติดตามโครงการด้านการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติพบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการได้ครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๓ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากการตรวจติดตามในมิติด้านการพัฒนาศักยภาพและต่อยอดของอุตสาหกรรมและบริการสร้างสรรค์ไทย และมิติการพัฒนาการท่องเที่ยว (มิติวัฒนธรรม) พบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ครบถ้วน ส่งผลให้โครงการบรรลุเป้าหมายทั้งในระดับผลผลิต และผลลัพธ์ สำหรับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานรับผิดชอบในระดับพื้นที่ในมิติของการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมและการสร้างจิตวิญญาณความเป็นไทย การสร้างความพร้อม และความเข้มแข็งของชุมชน และในมิติของการพัฒนาการท่องเที่ยว (มิติวัฒนธรรม) ๑.๔ นโยบายการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร ได้มีการตรวจติดตามโครงการเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรและให้ข้อเสนอแนะระดับนโยบายในการสร้างมูลค่า/คุณค่าสินค้าที่ได้มาตรฐาน การมีตลาดรองรับที่เพียงพอ และการสร้างมาตรฐานการผลิตและความรับผิดชอบต่อคุณภาพสินค้า ๑.๕ การสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากการตรวจติดตามพบว่า ทุกหน่วยงาน/ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้มีการน้อมนำพระราชดำรัสหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติจนเกิดเป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้พบปัญหาที่ยังต้องได้รับการแก้ไขในด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ๒. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการกรณีปัญหาเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) ของผู้ตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเรื่อง การติดตาม การให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากการเร่งรัด ติดตาม และประเมินผลโครงการร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวง และที่ปรึกษาโครงการ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) พบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ หน่วยงานที่รับผิดชอบมีปัญหาด้านการบริหารจัดการโครงการที่ส่งผลให้การป้องกันปัญหาอุทกภัยไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และการไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบจากการบริหารจัดการโครงการที่เกิดขึ้นต่อประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่ดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28935 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐยูกันดา | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ของนายโยเวรี คากูทา มูเซเวนี (Yoweri Kaguta Museveni) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐยูกันดา ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดียูกันดาจะพิจารณาการแลกเปลี่ยนการเยือนในโอกาสต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีจะนำคณะนักธุรกิจไทยไปร่วมกิจกรรม Business Matching ระหว่างการเดินทางไปเยือนยูกันดาอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาหาช่องทางที่เหมาะสมในการเดินทางไปเยือนยูกันดา ๒. ยูกันดายืนยันการสนับสนุนการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) สำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ สถานะล่าสุด ยูกันดาแลกเสียงกับไทย โดยไทยสนับสนุนยูกันดาในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของ UNSC วาระปี ค.ศ. ๒๐๐๙-๒๐๑๐ แล้ว และยูกันดาสนับสนุนไทยตำแหน่งเดียวกันสำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ๓. ยูกันดาเห็นว่าประเด็นปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องภายในของไทย จึงเห็นควรให้ไทยบริหารจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และรับที่จะแจ้งที่ประชุมองค์กรความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Conference : OIC) ว่า ไม่ควรยกระดับประเด็นดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม OIC สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) ติดตามท่าทีของยูกันดาในการประชุม OIC ๔. นายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดียูกันดา เห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยเพิ่มพูนการค้าระหว่างกัน และส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในยูกันดาในสาขาการแปรรูปสินค้าเกษตร การก่อสร้าง พลังงาน และการท่องเที่ยว และส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในยูกันดา สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนไทยดำเนินธุรกิจในยูกันดา ๕. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดียูกันดาเห็นพ้องให้มีความร่วมมือทางวิชาการในสาขาต่างๆ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ) พิจารณาความเหมาะสมในการให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับยูกันดาในสาขาที่ไทยมีความชำนาญ และสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ฝ่ายไทย อาทิ เกษตรกรรม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว ๖. ภริยาประธานาธิบดียูกันดาชื่นชมและสนใจแนวทางการพัฒนาสตรีและเด็กของไทย โดยส่งเสริมการสร้างอาชีพให้สตรีผ่านโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) พิจารณาศึกษาแนวทางถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การพัฒนาสตรีผ่านโครงการดังกล่าว ๗. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ไทยและยูกันดากลับมาเจรจาจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศไทย-ยูกันดา ซึ่งประธานาธิบดียูกันดารับพิจารณาการเจรจาจัดทำร่างความตกลงดังกล่าวภายในสามเดือน สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการบินพลเรือน) พิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินการเจรจาจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศไทย-ยูกันดา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28936 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
๑. เพิ่มบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับการทำซ้ำโดยการบันทึกเสียงหรือภาพหรือทั้งเสียงและภาพจากภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต และเพิ่มบทกำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าว ๒. เพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์ของคนพิการทางการมองเห็น คนพิการทางการได้ยิน คนพิการทางสติปัญญา และคนพิการประเภทอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28937 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๓๓๖.๐๖๓ ล้านบาท โดยมีประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๓๘๐.๓๓๒ ล้านบาท และจำนวน ๓,๗๑๖.๓๙๕ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) ที่ให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสม คุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด และมีการแยกต้นทุนและรายได้ของการให้บริการแต่ละประเภท โดยแสดงหนี้เดิมและหนี้ใหม่ที่เกิดจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอื่นให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และเพิ่มคุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งเร่งหาแนวทางปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับเงินอุดหนุนที่ได้รับจริงและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินและการลงทุนในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28938 | ขอความเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกู้เงินในปีงบประมาณ 2556 สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศ โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | คค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ยืมเงินต่อจากกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน ๑๑,๔๗๒.๓๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธาและระบบรถไฟฟ้า และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน ๔,๗๔๕.๔๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และค่า Provision sum ของงานโยธา ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อให้ รฟม. กู้ยืมเงินต่อ สำหรับโครงการฯ ดังกล่าว ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้ทยอยเบิกเงินกู้โดยตรงจากแหล่งเงินกู้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๑.๒ ให้ รฟม. ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน สำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXI-4 และสัญญาเงินกู้เลขที่ TXXII-3 (Civil) ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศ สำหรับโครงการฯ ดังกล่าว โดยการกู้เงินในประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้และชำระหนี้แทน รฟม. และจัดทำสัญญาชำระหนี้แทนระหว่างกระทรวงการคลังกับ รฟม. โดยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรง ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง และสำหรับในส่วนที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้แทน รฟม. สำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ รฟม. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงให้เป็นรายปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ โดยในส่วนที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุน ให้ รฟม. บันทึกการลงทุนในโครงการฯ ดังกล่าวเป็นส่วนของทุน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาเกี่ยวกับความผันผวนของค่าเงินเยนที่อาจมีผลกระทบต่อการกู้เงินตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอในครั้งนี้เพื่อประกอบการดำเนินการต่อไป โดยในกรณีที่เห็นว่ามีความผันผวนของค่าเงินอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงการคลังรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28939 | ผลการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ของนายกรัฐมนตรีเพื่อเยี่ยมชมพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลในประเด็นต่างๆ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้นเพื่อให้การหารือของผู้นำทั้งสองประเทศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ฝ่ายเมียนมาร์ขอให้มีการวางแผนพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งใหม่สำหรับประชาชนเมียนมาร์ออกจากพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายให้ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งในเรื่องการสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการพัฒนาชุมชน ๒. ฝ่ายเมียนมาร์ย้ำความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและป้องกันผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อป่าไม้ แม่น้ำ และทะเลในบริเวณโดยรอบ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมจะนำบทเรียนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยเข้ามาช่วยจัดทำแผนบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและแผนจัดการความเสี่ยงต่างๆ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ ๓. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการจัดตั้งกลไกระดมเงินทุนและพิจารณาเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศที่สามเข้าร่วมลงทุนด้วย เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งฝ่ายไทยเสนอให้มีกรอบความร่วมมือในระดับภาครัฐสามประเทศ (ไทย เมียนมาร์ และญี่ปุ่น) เพื่อระดมทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะแรกก่อนพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) รวมทั้งขอความชัดเจนเรื่องพื้นที่โครงการและขอรับข้อมูลสำหรับการประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการทวาย เช่น ราคาที่ดิน และโครงการที่จะดำเนินการร่วมกับชุมชน เป็นต้น เพื่อคำนวณกรอบเงินทุนสำหรับการจัดตั้ง SPV ต่อไป หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามข้อมูลและเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการเงิน ๔. ฝ่ายเมียนมาร์ให้ความสำคัญกับเส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และระบบไฟฟ้า ซึ่งยังไม่เพียงพอ โดยระยะยาวหากจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจะต้องมีการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง และกระทรวงพลังงานดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาพลังงาน ๕. ฝ่ายเมียนมาร์เสนอให้พัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยรับไว้พิจารณา ๔ แห่ง ได้แก่ ด่านเจดีย์สามองค์-ด่านพญาตองซู ด่านบ้านพุน้ำร้อน-ด่านทิกี ด่านสิงขร-ด่านมอต่อง และเส้นทางกอกะเร็ก-เมาะละแหม่ง หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางคมนาคมขนส่งทางตามข้อเสนอของฝ่ายเมียนมาร์ และกระทรวงการต่างประเทศติดตามความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดน ๖. ฝ่ายไทยขอความร่วมมือเมียนมาร์เกี่ยวกับการปรับปรุงข้อตกลงเพื่อพัฒนาโครงการ (Framework Agreement) ฉบับใหม่ รวมถึง Sectorial Agreement และปรับปรุงสิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๗. ฝ่ายไทยขอให้เมียนมาร์แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์การลงทุนที่คาดว่าจะได้รับภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่ของเมียนมาร์ (SEZ Law) ให้แก่นักลงทุน พร้อมทั้งเร่งรัดกระบวนการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์แจ้งให้ทราบว่าได้ทำการยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างนำเสนอรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามความคืบหน้าของฝ่ายเมียนมาร์ผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๘. การจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเนปิดอว์ ฝ่ายไทยเสนอขอจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายเพื่อสนับสนุนการทำงานของภาคธุรกิจและผู้เยี่ยมเยือนในอนาคต รวมทั้งขอเปิดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเนปิดอว์ และขอความร่วมมือฝ่ายเมียนมาร์ในการสนับสนุนการจัดหาที่ดิน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์รับจะพิจารณาทั้งสองเรื่องและแจ้งให้ทราบว่าได้กำหนดพื้นที่สำหรับสถานเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนที่เนปิดอว์ไว้แล้ว หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๙. ฝ่ายไทยวางเป้าหมายการดำเนินงานว่าคณะอนุกรรมการฯ จะสามารถจัดทำรายละเอียดทั้งหมดได้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เสนอให้คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) พิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในข้อตกลง Framework Agreement ฉบับใหม่ และ Sectorial Agreement ทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และจะเริ่มระดมทุนและดำเนินการก่อสร้างโครงการได้ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่ผู้นำทั้งสองประเทศกำหนด หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๑๐. ฝ่ายไทยแจ้งว่าในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จะสิ้นสุดการพิสูจน์สัญชาติ แต่ยังมีแรงงานเมียนมาร์ที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนเพื่อเข้ากระบวนการปรับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เข้าเมืองถูกกฎหมายคงค้างอยู่เป็นจำนวนมาก จึงผ่อนผันไปอีก ๓ เดือน และขอให้ฝ่ายเมียนมาร์สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสถานะแรงงานเหล่านี้ด้วย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28940 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย | กต | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๗๗ (ค.ศ. ๒๐๑๒) เกี่ยวกับการปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย โดยขยายเวลาการดำเนินมาตรการออกไปจนถึงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงคมนาคม กรมประมง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
.....