ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1448 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28941 - 28960 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28941 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | ศธ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน ๔ รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔,๓๓๐,๙๐๐ บาท ได้แก่ ปรับปรุงสนามบาสเกตบอลและสนามเซปักตะกร้อ จำนวน ๒ สนาม เป็นเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ปรับปรุงสนามเบสบอล จำนวน ๑ สนาม เป็นเงิน ๔,๗๔๐,๐๐๐ บาท ปรับปรุงอาคารภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ ๑,๑๐๐ ตารางเมตร เป็นเงิน ๓,๖๓๙,๓๐๐ บาท และปรับปรุงอาคารวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ๑ งาน เป็นเงิน ๓,๔๕๑,๖๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกรอบระยะเวลาในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวม และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้หน่วยงานกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ตรวจสอบการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) หากไม่สามารถดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ให้เสนอสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28942 | กรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade : FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (European Union : EU) เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยสาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ มีดังนี้ ๑.๑ การกำหนดคำนิยามและกรอบสินค้าประเภทไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทย ๑.๒ กำหนดการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ประเทศไทยส่งออกสู่ตลาดสหภาพยุโรป ๑.๓ การปรับปรุงและกำหนดหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติในการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างภาระต้นทุนที่ไม่เหมาะสม และอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รวมทั้งการลดอุปสรรคทางการค้าของสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทยให้มากที่สุด เพื่อขยายการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทยอย่างยั่งยืน ๑.๔ ให้มีมาตรการป้องกันและเยียวยาสำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม้ประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบการทำ VPA ๑.๕ ให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ๑.๖ ให้มีมาตรการช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป เช่น การสนับสนุนจากสหภาพยุโรปให้ใช้สินค้าไม้ของประเทศไทย ผ่านทางการจัดซื้อจัดจ้างที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Procurement) การเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมไม้ของประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๑.๗ ให้มีการเจรจาเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในภาพรวม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งว่า อาจต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับ VPA อีกทั้งการกำหนดให้ต้องมีการรับรองว่าสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาโดยถูกกฎหมายอาจมีผลกระทบการส่งออกไม้ของประเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างกว้างขวาง กรณีจึงเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ก่อนดำเนินการเพื่อทำ VPA จึงต้องมีการให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสามของรัฐธรรมนูญฯ ด้วย นอกจากนี้ ให้กรมป่าไม้ดำเนินการพัฒนาระบบการตรวจสอบและการออกใบรับรองเกี่ยวกับไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ ควบคู่กับการเจรจาการจัดทำ VPA และให้การสนับสนุนการสร้างความพร้อมแก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการป่าไม้เชิงอนุรักษ์ ป่าไม้เชิงพาณิชย์ และป่าไม้ชุมชนเพื่อรองรับการดำเนินการตามกรอบเจรจาดังกล่าว โดยให้นำโครงการ ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี มาร่วมพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
28943 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559" | สสป | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายการลดการติดเชื้อรายใหม่ โดยรัฐบาลควรดำเนินการในการจัดตั้งกองทุนด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ของประเทศ โดยการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอและเหมาะสมอย่างต่อเนื่องจากภายในประเทศ ส่งเสริมการนำเอานโยบายลดอันตรายจากการได้รับ/ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากการใช้ยาหรือสารเสพติดด้วยวิธีการฉีด (Harm Reduction) มาใช้จริง ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงและได้รับบริการการปรึกษาและตรวจเลือดโดยสมัครใจและเป็นความลับให้กับทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย และมีโครงการถุงยางอนามัยแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยชาย พร้อมสารหล่อลื่น และถุงอนามัยสตรีให้ฟรีกับคนทุกกลุ่มอย่างเพียงพอ ๒. ด้านนโยบายการลดการเสียชีวิตด้วยอาการสัมพันธ์กับเอดส์ โดยรัฐบาลควรสนับสนุนยุทธศาสตร์การเข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทย โดยมีการนำมาตรการบังคับใช้สิทธิในการนำเข้าหรือผลิตยาที่ติดสิทธิบัตร รวมทั้งมาตรการการควบคุมราคายาที่ขาย อีกทั้งการดำเนินการด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรีต้องไม่ผูกพันประเทศเกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้า ค.ศ. ๑๙๙๔ ปรับปรุงแก้ไขนโยบายและระเบียบปฏิบัติไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ และการพัฒนาระบบบริการดูแลรักษาสุขภาพที่มีมาตรฐานเดียว โดยมีการพัฒนามาตรฐานบริการทางการแพทย์ให้เป็นมาตรฐานเดียวและคุ้มครองสิทธิประชาชนในการได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ รวมทั้งมีการจัดบริการรักษาด้วยยาต้านไวรัสให้ครอบคลุมคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย ตลอดจนการพัฒนาบริการสุขภาพที่ขยายให้ครอบคลุมคนที่ไม่ได้รับสิทธิในระบบหรือกองทุนสุขภาพระบบใด ๆ เช่น คนไร้สถานะ ๓. ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และขจัดการตีตราการเลือกปฏิบัติด้านสุขภาพ โดยรัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการรณรงค์สังคมสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเคารพศักดิ์ศรีด้านความเป็นมนุษย์ และการรณรงค์เรื่องสิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ในเชิงบวก รวมทั้งดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปกฎหมาย นโยบายและระเบียบปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงและได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็นต่อการป้องกันการรับ-ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี และดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยที่สัมพันธ์กับเอดส์ รวมทั้งให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสุขภาวะและความมั่นคงในชีวิต
|
|||||||||||||||||||||
28944 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ : กรณีศึกษาการพิจารณาความเหมาะสมในการเรียกเก็บค่าบริการร่วม 30 บาท ณ จุดบริการด้านสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" | สสป | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ : กรณีศึกษาการพิจารณาความเหมาะสมในการเรียกเก็บค่าบริการร่วม ๓๐ บาท ณ จุดบริการด้านสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยกเลิกการนำนโยบายเรียกเก็บเงิน ๓๐ บาท ณ จุดบริการสุขภาพกลับมาใช้ ๒. เร่งรัดการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศให้เกิดคุณภาพมาตรฐานเดียว
|
|||||||||||||||||||||
28945 | ขอขยายทุนเรือนหุ้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายทุนเรือนหุ้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. และโครงการตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาล รวมทั้งสนับสนุนการจ่ายปันผลของ ธ.ก.ส. ให้กระทรวงการคลังในลักษณะการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเสนอขอเพิ่มทุนในแต่ละครั้ง ให้ ธ.ก.ส. จัดส่งรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และกลุ่มเป้าหมายของโครงการที่จะมีการดำเนินการภายหลังการเพิ่มทุนให้กระทรวงการคลังพิจารณาทุกครั้ง และให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ (เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ในการจ่ายปันผลเป็นหุ้นแก่กระทรวงการคลัง ให้จ่ายปันผลในลักษณะเงินนำส่งคลังเช่นเดียวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่นโดยเร็วภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมิต้องรอให้ทุนของ ธ.ก.ส. ถึงระดับ ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลแผนการเพิ่มประสิทธิภาพให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
28946 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กรมสรรพสามิต) | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตจ่ายค่าถอนคืนรายได้แผ่นดินให้ผู้ประกอบการ จำนวน ๙๖ ราย เป็นเงิน ๒๗๑,๗๘๒,๒๙๒.๑๔ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว และให้กรมสรรพสามิตขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการสามารถนำเงินคืนภาษีสรรพสามิตไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้โดยเร็ว รวมทั้งเพื่อมิให้เป็นภาระต่อการใช้จ่ายงบกลาง จึงขอให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิตและกรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการพิจารณาการขอคืนภาษีสรรพสามิตของผู้ประกอบการให้แล้วเสร็จรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งวางแผนใช้จ่ายงบประมาณเพื่อคืนเงินรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและทันการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามที่กำหนดในปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสำนักงบประมาณในแต่ละปีด้วย
|
|||||||||||||||||||||
28947 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้บริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นจำนวน ๑,๔๓๙,๑๗๑.๗๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๘.๐๖ ของแผนฯ และเมื่อรวมกับการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ จำนวน ๔๘,๓๙๖.๗๕ ล้านบาท ทำให้กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจสามารถกู้เงินและบริหารหนี้ได้ รวม ๑,๔๘๗,๕๖๘.๕๑ ล้านบาท แบ่งเป็นการก่อหนี้ใหม่ จำนวน ๗๑๒,๐๖๔.๒๐ ล้านบาท และการบริหารหนี้ จำนวน ๗๗๕,๕๐๔.๓๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของการกู้เงินต่อจากรัฐบาล การก่อหนี้ใหม่และบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนฯ จำนวน ๔๐๑,๒๘๘.๘๗ ล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เงินและบริหารหนี้ที่กระทรวงการคลังให้กู้ต่อและค้ำประกัน จำนวน ๓๗๔,๐๑๒.๖๓ ล้านบาท และไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๗,๒๗๖.๒๔ ล้านบาท ๒. การกู้เงิน การค้ำประกันและการให้กู้ต่อของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นไปตามกรอบการดำเนินงานที่พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนด ๓. การบริหารหนี้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจสามารถลดยอดหนี้คงค้างได้ ๖๔,๑๐๕.๒๔ ล้านบาท รวมทั้งลดภาระและประหยัดดอกเบี้ยได้ ๓,๒๕๕.๑๑ ล้านบาท ๔. การจัดหาเงินกู้ของภาครัฐทำให้รัฐบาลมีเงินเพียงพอต่อการใช้จ่ายในการบริหารประเทศและการฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินโครงการและแผนงานลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ๕. การระดมทุนของรัฐบาลด้วยวิธีการออกพันธบัตรทำให้มีปริมาณการออกพันธบัตรอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอในการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Benchmark) เพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ๖. หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕ มีจำนวน ๔,๙๓๗,๒๓๙.๖๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๙๑ ของ GDP แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓,๕๑๕,๐๑๐.๙๕ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๖๔,๒๘๙.๑๑ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน จำนวน ๓๕๒,๒๐๗.๓๕ ล้านบาท และหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๕,๗๓๒.๒๑ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
28948 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ [นายเคนเนท แอล. ฟอสเตอร์ (Mr. Kenneth L. Foster)] | กต | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเคนเนท แอล. ฟอสเตอร์ (Mr. Kenneth L. Foster) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ กำแพงเพชร เชียงราย ตาก น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย และอุตรดิตถ์ สืบแทน นางซูซัน เอ็น. สตรีเวนสัน ซึ่งครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
28949 | การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 2 | นร04 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat-JCR) ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำเพื่อให้การประชุมดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
๑. การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการจัดทำหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในรายละเอียด และการตั้งกลไกติดตามความคืบหน้า โดยใช้รูปแบบของ Joint Commission on Bilateral Cooperation (JCBC) ที่มีกระทรวงการต่างประเทศสองฝ่ายเป็นประธานร่วม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ประเด็นหารือ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคง และการจัดทำความตกลงความร่วมมือด้านกงสุลเพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลคนไทยที่ถูกจับกุมในเวียดนาม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๓. ความร่วมมือด้านการทหาร ประเด็นหารือ ได้แก่ การเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกองทัพ สถาบันการศึกษาของกลาโหม และการฝึกร่วมด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติและการแลกเปลี่ยนการเยือนของเครื่องบินกองทัพทั้งสองประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงกลาโหม ๔. ความร่วมมือด้านประมง ประเด็นหารือ ได้แก่ แนวทางลดเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีเมื่อจับกุมชาวประมงเวียดนาม และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน หน่วยงานรับผิดชอบ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๕. การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการขยายความร่วมมือทางการค้าการลงทุนไทย-เวียดนาม การหาแนวทางเพิ่มปริมาณการค้าขึ้นปีละร้อยละ ๒๐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ และประเด็นหารือเกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนและการขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในสาขาปิโตรเลียม พลังงาน การผลิตไฟฟ้า การก่อสร้าง และสิ่งทอ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ๖. ความร่วมมือทางการเงิน ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการเงิน อาทิ เงินกู้ยืมหรือการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบการลงทุน Public Private Partnership (PPP) และความร่วมมือด้านการเงินและการคลังโดยเฉพาะในด้านศุลกากร หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลัง ๗. ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร : ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการผลิตและการค้าขาย การจัดการประชุมหารือกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ภาคเอกชน และชาวนาบ่อยขึ้น การยกระดับความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตข้าวในอาเซียนให้สูงขึ้น การจัดตั้งสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน รวมทั้งการรับคำเชิญของเวียดนามในการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีในกรอบสภาไตรภาคียางพาราและบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๘. การอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางถนนและลดอุปสรรคในการขนส่งข้ามพรมแดนไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการลงนามเพิ่มเติมของบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ณ จุดผ่านแดน แดนสะหวัน-ลาวบาว และจุดผ่านแดน มุกดาหาร-สะหวันนะเขต ของแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) การประสานงานกับกัมพูชาเพื่อสนับสนุนการใช้เส้นทางของระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ เส้นทางกรุงเทพฯ-อรัญประเทศ-ปอยเปต-ศรีโสภณ-พนมเปญ-บาเว็ต-ม็อกไบ-นครโฮจิมินห์ และการพิจารณาจัดทำความตกลงการใช้เส้นทางทั้งสองในลักษณะความตกลงสามฝ่ายไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม หรือบรรจุเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ ภายใต้กรอบ Cross Border Transport Agreement (CBTA) ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคม ๙. ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการบิน ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการคมนาคมทางอากาศ โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างกัน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคม การขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่างสองประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม การสนับสนุนการลงทุนและขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในสาขาปิโตรเลียม พลังงาน การผลิตไฟฟ้า การก่อสร้าง และสิ่งทอ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ๑๐. ความร่วมมือด้านการค้ามนุษย์ ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการรับรองแนวทางการคัดแยกและส่งกลับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ระหว่างไทย-เวียดนาม และการประชุม Case Management Meeting หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๑. ความร่วมมือด้านแรงงาน ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และการขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลแรงงาน การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนด้านภาษา ทักษะฝีมือแรงงาน และความปลอดภัยของการประกอบอาชีพ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน ๑๒. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย-เวียดนาม ตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และการท่องเที่ยวทางน้ำ รวมทั้งการสนับสนุนเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ และการสนับสนุนไทยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ปี ค.ศ. ๒๐๒๓ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๑๓. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยและเวียดนาม และการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเวียดนามในประเทศไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงวัฒนธรรม ๑๔. ความร่วมมือด้านการศึกษา ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการภายใต้การประชุมคณะทำงานร่วมด้านการศึกษา ครั้งที่ ๒ การผลักดันความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระหว่างทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ การแลกเปลี่ยนทุนการศึกษาและหลักสูตรฝึกอบรม รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาในมหาวิทยาลัยในเวียดนามเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยและภาษาไทยแก่นักศึกษาเวียดนาม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงศึกษาธิการ
|
|||||||||||||||||||||
28950 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๕๔ ในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เพื่อกิจการของท่าเรือท่องเที่ยว (มารีน่า) และการจัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
28951 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2555 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรวบรวมและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน ซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุมทั้ง ๗ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสแรก ปี ๒๕๕๕ ๒. งานวิชาการ โดยจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล ฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงนำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์และบทความพิเศษที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จัดสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอผลการจัดทำดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย และดัชนีค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน โดยมีการเผยแพร่ผลการสำรวจในไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๕ และจัดทำ REIC Research Report เพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และเว็บไซต์ www.reic.or.th พร้อมทั้งจัดทำการสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ประจำสัปดาห์เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.reic.or.th อย่างต่อเนื่อง ๓. การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร โดยมีกิจกรรมการจัดสัมมนาทางวิชาการ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชน การให้บริการทางวิชาการ และการร่วมออกบูธในงานมหกรรมต่าง ๆ ด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
28952 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีวงเงินกู้ ๙๕.๔๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) กำหนดชำระดอกเบี้ย ๒๐ กุมภาพันธ์ และ ๒๐ สิงหาคมของทุกปี การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๗๕ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อ สปป.ลาว และประเทศไทย โดยโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์จะทำให้โครงข่ายการระบายน้ำจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปยังแม่น้ำโขงมีความสมบูรณ์และมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ คือ เมืองจันทบุรีและเมืองศรีโคตรบอง ประมาณ ๓ แสนคน ได้รับประโยชน์ ไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขังและน้ำเน่าเสียในช่วงฤดูฝนอันมีสาเหตุจากระบบระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลได้โดยตรง และเป็นการสนับสนุนการใช้สินค้าไทย เนื่องจากเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าวกำหนดให้ใช้สินค้าจากประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการฯ ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการคัดเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุณภาพ ไม่มีประวัติการทำงานที่ล่าช้าและไม่มีคุณภาพ ก่อให้เกิดการชำรุดและซ่อมแซมที่เร็วกว่ากำหนดเวลาอันสมควร และกำกับการดำเนินงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกำหนดเวลา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
28953 | การลงนามร่างแก้ไขเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาประชาคมยุโรป - อาเซียน ระยะที่ 3 (ECAP lll) | พณ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงนามในหนังสือแก้ไขเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาประชาคมยุโรป-อาเซียน ระยะที่ ๓ (ECAP III) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สหภาพยุโรปได้มีหนังสือถึงรองเลขาธิการอาเซียนแจ้งว่า สืบเนื่องจากการที่สำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (European Patent Office : EPO) ได้ถอนตัวออกจากการเป็นผู้ร่วมดำเนินโครงการความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาประชาคมยุโรป-อาเซียน (European Community and ASEAN Project on Protection of Intellectual of Property Rights : ECAP) ระยะที่ ๓ (โครงการ ECAP III) ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ เนื่องจากโครงการดังกล่าวครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายประเภท ทั้งเครื่องหมายการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น มิใช่เฉพาะเรื่องสิทธิบัตรที่ EPO มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น สหภาพยุโรปจึงขอชะลอการดำเนินโครงการ ECAP III ไว้ชั่วคราว เพื่อหารือรายละเอียดข้อเสนองบประมาณ และจัดหาผู้ร่วมดำเนินโครงการใหม่ และตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป การเปลี่ยนแปลงผู้ดำเนินโครงการถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะต้องมีการแก้ไขรายละเอียดในเอกสารสัญญา (Financing Agreement) โครงการ ECAP III และให้มีการลงนามระหว่างสหภาพยุโรป และเลขาธิการอาเซียนอีกครั้ง ๒. ในการประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาอาเซียน (ASEAN Working on Intellectual Property Cooperation : AWGIPC) ครั้งที่ ๓๗ ระหว่างวันที่ ๒๘ มีนาคม-๑ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต ผู้แทนสหภาพยุโรปแจ้งว่า สำนักงานจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและการออกแบบแห่งยุโรป (the Office of Harmonisation in the Internal Market : OHIM) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรการออกแบบได้ตอบรับเข้าเป็นผู้ดำเนินโครงการ ECAP III แทน EPO ที่ขอถอนตัวไป ดังนั้น ฝ่ายสหภาพยุโรปจะปรับเอกสารสัญญา (Financing Agreement) โครงการ ECAP III ให้ฝ่ายอาเซียนพิจารณา ๓. ในการประชุม AWGIPC ครั้งที่ ๓๘ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ ประเทศสิงคโปร์ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่างเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ที่สหภาพยุโรปปรับใหม่ โดยสาระสำคัญของเอกสารสัญญาดังกล่าวยังคงไว้ซึ่งหลักการในเอกสารสัญญาโครงการ ECAP III เดิม ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้านสารัตถะ หรือในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เพียงแต่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในส่วนการบริหารจัดการเท่านั้นและไม่มีนัยยะทางนโยบายและการเงินสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียน จึงเห็นควรที่จะรับร่างแก้ไขเอกสารสัญญา ECAP III ได้ ๔. เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ เลขาธิการอาเซียนได้ลงนามในร่างแก้ไขเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ของโครงการ ECAP III ส่งผลให้เอกสารดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นมา โดยจะมีผลใช้บังคับ ๑๐๔ เดือนนับจากวันที่มีการลงนามเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ฉบับแรก (๑๐๔ เดือน นับจากวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๒) และได้เสนอร่างแก้ไขเอกสารสัญญาฯ ให้เลขาธิการอาเซียนลงนามแทนประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมทั้งแนบสำเนาหนังสือแก้ไขเอกสารสัญญาดังกล่าวมาเพื่อให้ประเทศสมาชิกรับทราบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
28954 | รายงานผลการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) และคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินทางเยือนประเทศบาห์เรน คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | พณ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน รัฐคูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือทางการค้า ตลอดจนสร้างความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ของราชอาณาจักรบาห์เรน (H.E. Dr. Hassan A.Fakhro) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันในการขยายและเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น โดยแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมระหว่างกัน เช่น In-store Promotion การจับคู่ธุรกิจ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และการจัด Thailand Trade Exhibition ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) โดยมีนักธุรกิจราชอาณาจักรบาห์เรนและประเทศใกล้เคียงให้ความสนใจเข้าร่วมงานเจรจาจับคู่ทางธุรกิจกับนักธุรกิจไทยประมาณ ๙๐ ราย และภายในงานได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ Thai Select ซึ่งเป็นที่สนใจแก่ผู้เข้าร่วมงาน สำหรับสินค้าที่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าราชอาณาจักรบาห์เรน ได้แก่ อาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็ง ซอส เครื่องปรุงรส และไก่สดแปรรูปแช่เย็นแช่แข็ง โดยมียอดสั่งซื้อทันที ๔๓๗,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๔ ล้านบาท) และยอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปี มูลค่า ๑.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๕๐ ล้านบาท) ๒. การเดินทางเยือนรัฐคูเวต ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมคณะของนายกรัฐมนตรีในการเข้าร่วมประชุมสุดยอดความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) และการหารือทวิภาคี โดยไทยได้ใช้เวทีนี้ในการผลักดันการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการ ACD และการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีและระดับการประชุมสุดยอด ACD ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมถึงการผลักดันการสร้างความเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนกับตะวันออกกลาง เอเชียกลาง ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ และการผลักดันความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน รวมถึงด้านคมนาคม โลจิสติกส์ และการสื่อสาร ๒.๒ กิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ในรัฐคูเวต กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าต่างประเทศได้บูรณาการกับกระทรวงการต่างประเทศในการนำคณะนักธุรกิจไทยเดินทางไปร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ หอการค้าและอุตสาหกรรมของรัฐคูเวต นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำนักธุรกิจสินค้าอาหารเข้าเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจรัฐคูเวต ซึ่งได้รับความสนใจจากนักธุรกิจรายใหญ่ของรัฐคูเวต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและการรักษาพยาบาล คาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปีที่มูลค่า ๑๒๐ ล้านบาท ๒.๓ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์อาหารไทย โดยจัดให้มีการแสดงอาหาร เครื่องปรุงรส และการชิมอาหารไทย รวมถึง Thai Select Exhibition Corner ผู้เข้าชมนิทรรศการและร่วมงานสนใจเข้าร่วมชิมอาหารเป็นจำนวนมาก ๓. การเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๓.๑ กิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) นักธุรกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจไทยอย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมงาน จำนวน ๑๐๐ ราย ในด้านของผู้ประกอบการไทยได้เข้าพบและหารือกับอธิบดี เช่น บริษัท Al Maysaa ซึ่งเป็นร้านให้บริการนวดแผนไทยและสปาไทย รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าสปา ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมพิเศษ Free Zone ในรัฐอัจมาน ซึ่งถือเป็นทำเลที่ดีเข้าถึงง่าย ไม่ต้องมีหุ้นส่วนเป็นชาวยูเออี และสามารถขอใบอนุญาตทำงานได้เป็นเวลา ๓ ปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยได้พบปะเจรจากับผู้นำเข้าซุปเปอร์มาเกตท้องถิ่น ธุรกิจร้านอาหารที่เกี่ยวข้อง และมียอดสั่งซื้อทันที ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๖ ล้านบาท) และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปี มูลค่า ๔,๖๘๗,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท) โดยสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เป็นต้น ๓.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือประธานบริษัท Mahallati Jewellery Group (Mr. Abdul Karim Mahallati) ซึ่งเป็นบริษัทชาวอิหร่านผลิตและค้าอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่ในดูไบ และมีชื่อในการผลิตเพชรและเครื่องประดับอัญมณี โดย Mr. Karim แจ้งว่าสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านมีความต้องการนำเข้าข้าวเป็นจำนวนมาก ไทยอาจขายข้าวผ่านดูไบ ซึ่งมีชาวอิหร่านเป็น Trader จัดตั้งบริษัทในดูไบเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังได้พบนายกสมาคมนักธุรกิจไทย-ดูไบ (คุณอัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด) เพื่อหารือเรื่องการจัดตั้ง Thailand Trade Mart เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมสินค้าและการบริการของไทยในตะวันออกกลาง โดยภาครัฐผลักดันและสนับสนุนให้ภาคเอกชนสนใจร่วมกันลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||
28955 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม 2555 | พณ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๒ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๖๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๓ (เดือนกันยายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๔) เป็นผลจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๔ โดยสินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ผักสด ข้าวสารเจ้า นมและผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหาร และอาหารสำเร็จรูป สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเหนียว ผลไม้สด ปลาและสัตว์น้ำ เนื้อสุกร ไก่สด และไข่ เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๕ ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ เช่น ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าน้ำประปา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๓๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๓.๓๕ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้น ร้อยละ ๑.๕๗ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๙๘ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๗๗ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๕๖ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๓.๒๘ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๓ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๗ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๙ หมวดพาหนะการขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๒๒ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๖๘ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๑๐ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๒๔ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๕๕ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๓๔ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๑๙ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๐.๑๙ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๔๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๖.๐๘ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๔ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๖.๐๒ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๑๐ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๔.๘๙ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๑ หมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔ และน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๗๕ เป็นต้น ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๗๙ เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๒(เดือนกันยายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๓) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าน้ำประปา ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แชมพูสระผม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ผ้าอนามัย ค่าบริการส่วนบุคคล) ค่าอุปกรณ์การบันเทิง (เครื่องรับโทรทัศน์ กล้องถ่ายรูป) ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (บุหรี่ เบียร์ ไวน์ สุรา) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น ค่าเช่าบ้าน สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน น้ำยารีดผ้า น้ำยาซักแห้ง น้ำยาถูพื้น) และบริภัณฑ์อื่น ๆ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า)
|
|||||||||||||||||||||
28956 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม 2555 | อก | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออก คาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศในแถบสหภาพยุโรปยังไม่คลี่คลายส่งผลต่อคำสั่งซื้อที่ลดลงทั้งจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา และราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น ๒. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตในเดือนตุลาคม ในส่วนของเหล็กทรงแบน คาดการณ์ว่าจะมีการผลิตที่ทรงตัวเนื่องจากสถานการณ์การนำเข้าเหล็กที่เจือโบรอนและโครเมียมยังคงมีอยู่ แม้ภาครัฐ โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจะกำหนดมาตรฐานสินค้าที่นำเข้าเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวอยู่
|
|||||||||||||||||||||
28957 | รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม | อก | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ได้จัดงาน OUTLET เพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าช่วยค่าครองชีพส่งตรงจากโรงงาน” ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค ในราคาถูกกว่าท้องตลาด ๒๐-๕๐% มีประชาชนเข้าร่วมซื้อสินค้าในงานรวม ๒๔๒,๐๒๑ คน มียอดขายสินค้ารวมทั้งสิ้น ๖๒,๐๐๙,๗๓๕ บาท ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๘๔ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๕๓ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๓. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๘๘๖ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๘๔ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๙ ราย ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย มีโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โครงการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย และโครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อการฟื้นฟูสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยกระทรวงอุตสาหกรรม ๕. มาตรการส่งเสริมการลงทุน ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ เพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร และค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการโรงงานให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัท จำนวน ๒๒๖ บริษัท คนต่างชาติ จำนวน ๘๖๑ คน การอนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ หรืออยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว จำนวน ๕๑๕ โครงการ และลงพื้นที่เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำผู้ประกอบการ ในการขออนุญาตและประสานหน่วยงานราชการ เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนในการประกอบกิจการ โดยมีการเข้าเยี่ยมโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหาย ๖. ความก้าวหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนทั้งหมด ๖ แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้มีการซ้อมแผนปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินกรณีเกิดเหตุอุทกภัย เมื่อวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายน ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
28958 | ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมสำหรับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. 2548 - 2553) | นร01 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมสำหรับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) ๑.๑.๑ เงินเยียวยาการถูกจำกัดเสรีภาพ ๑.๑.๑.๑ กรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือกรณีศาลมีคำสั่ง/คำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ให้ได้รับเงินเยียวยาเท่ากับจำนวนระยะเวลาที่ถูกควบคุมหรือคุมขัง อัตราวันละ ๔๑๑ บาท ๑.๑.๑.๒ กรณีศาลมีคำสั่ง/คำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกแต่ถูกควบคุมหรือคุมขังเกินกว่าระยะเวลาให้จำคุก ให้ได้รับเงินเยียวยาเท่ากับจำนวนระยะเวลาที่ถูกควบคุมตัวเกินกว่าระยะเวลาให้จำคุก อัตราวันละ ๔๑๑ บาท ๑.๑.๒ เงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจ ๑.๑.๒.๑ กรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือกรณีศาลมีคำสั่ง/คำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง และได้ถูกควบคุมหรือคุมขังก่อนพนักงานอัยการมีคำสั่ง หรือก่อนศาลมีคำสั่ง/คำพิพากษา เป็นระยะเวลาเกินกว่า ๙๐ วัน แต่ไม่เกิน ๑๘๐ วัน อัตรา ๗๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย และระยะเวลาเกินกว่า ๑๘๐ วัน อัตรา ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ๑.๑.๒.๒ กรณีศาลมีคำสั่ง/คำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกแต่ถูกควบคุมหรือคุมขังเกินกว่าระยะเวลาให้จำคุก เป็นระยะเวลาเกินกว่า ๙๐ วัน แต่ไม่เกิน ๑๘๐ วัน อัตรา ๕๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย และระยะเวลาเกินกว่า ๑๘๐ วัน อัตรา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ๑.๑.๓ ผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ ๑.๑.๓.๑ ให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดี และถูกจำกัดเสรีภาพ ตามที่ศาลได้มีหมายควบคุมหรือหมายขัง หรือตามที่กฎหมายกำหนด โดยวิธีการควบคุมหรือคุมขังในเรือนจำ หรือสถานที่ที่ใช้ควบคุมหรือคุมขังของทางราชการ หรือสถานที่ที่ทางราชการหรือศาลกำหนดให้ใช้เป็นสถานที่ควบคุมหรือคุมขัง ซึ่งพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือศาลมีคำสั่ง/คำพิพากษาถึงที่สุด ให้ยกฟ้อง หรือให้จำคุก แต่ถูกควบคุมหรือคุมขังเกินกว่าระยะเวลาให้จำคุก เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยา โดยการคำนวณระยะเวลาควบคุมหรือคุมขัง ให้นับวันเริ่มควบคุมหรือคุมขังรวมคำนวณเข้าด้วย และให้นับเป็นหนึ่งวันเต็ม โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนชั่วโมง กรณีที่ถูกควบคุมหรือคุมขังในคดีเดียวกันเป็นหลายช่วงระยะเวลา ให้นำระยะเวลาควบคุมหรือคุมขังทุกช่วงระยะเวลา รวมคำนวณเป็นระยะเวลาควบคุมหรือคุมขัง ทั้งนี้ สิทธิได้รับเงินเยียวยาจะไม่มีการตกทอดทางมรดกไปยังทายาทตามกฎหมายอื่นๆ ของผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาที่เสียชีวิตไปแล้ว ๑.๑.๓.๒ กรณีที่บุคคลใดเป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดี มากกว่าหนึ่งคดี อันเนื่องมาจากได้กระทำการใดอันเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน ให้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยา เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือศาลมีคำสั่ง/คำพิพากษาถึงที่สุด ทุกคดีแล้ว ทั้งนี้ การคำนวณระยะเวลาควบคุมหรือคุมขัง ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง มิให้คำนวณระยะเวลาซ้ำซ้อน โดยเทียบเคียงการคำนวณตามข้อ ๑.๑.๓.๑ โดยอนุโลม ๑.๑.๓.๓ ผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาจะได้รับเงินเยียวยาก็ต่อเมื่อได้ดำเนินการอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ครบถ้วนเรียบร้อยแล้วเท่านั้น ๑.๑.๓.๔ ให้นำจำนวนเงินช่วยเหลือหรือชดเชยอื่นๆ จากภาครัฐทั้งหมดอันเนื่องมาจากมูลเหตุหรือความเสียหายเช่นเดียวกันกับการถูกจำกัดเสรีภาพตามหลักเกณฑ์นี้ที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาได้รับไปแล้ว (ถ้ามี) มาหักออกจากจำนวนเงินเยียวยาที่จะได้รับภายใต้หลักเกณฑ์นี้ และเมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาได้รับเงินเยียวยาภายใต้หลักเกณฑ์นี้แล้ว ให้ถือว่าสิทธิที่จะได้รับเงินเยียวยาหรือช่วยเหลือหรือชดเชยอื่นๆ จากภาครัฐเป็นอันระงับสิ้นไป ๑.๒ ประมาณการผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่เหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๘ จนถึงเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๕๐๐ ราย และประมาณการงบประมาณในวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท ๑.๓ ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณ ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๙๗,๗๖๐,๗๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน ๕๐๐ ราย ดังกล่าว และให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายบริหารจัดการนั้น ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งเมื่อทราบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้พิจารณาเพิ่มเติมมาตรการด้านการปรับทัศนคติของผู้เสียหายให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างสมานฉันท์ รวมทั้งการสร้างหลักประกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นการค้ำจุนผู้ได้รับผลกระทบในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
28959 | ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับผู้ที่ทรัพย์สินเสียหาย จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. 2548 - 2553) | นร01 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับผู้ที่ทรัพย์สินเสียหาย จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) โดยให้ผู้เป็นเจ้าของ หรือมีกรรมสิทธิ์ หรือมีสิทธิในสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้รับความเสียหายทั้งหมดหรือบางส่วนอันเป็นผลโดยตรงมาจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) ที่ได้มีการลงทะเบียนไว้แล้ว ถือเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาในอัตราเงินเยียวยาที่กำหนดตามระดับมูลค่าความเสียหาย โดยจำแนกระดับมูลค่าความเสียหายสำหรับคำนวณอัตราเงินเยียวยา เป็น ๘ ระดับ ได้แก่ น้อยกว่า ๑ แสนบาท, ตั้งแต่ ๑ แสน-๕ แสนบาท, มากกว่า ๕ แสน-๑ ล้านบาท, มากกว่า๑-๒ ล้านบาท, มากกว่า ๒-๓ ล้านบาท, มากกว่า ๓-๔ ล้านบาท, มากกว่า ๔-๕ ล้านบาท และมากกว่า ๕ ล้านบาท สำหรับระดับมูลค่าความเสียหายมากกว่า ๕ ล้านบาท ได้กำหนดให้ค่าเฉลี่ยมูลค่าความเสียหายเป็น ๕ ล้านบาท และกำหนดกรอบอัตราเงินเยียวยาในสัดส่วนร้อยละ ๔๐ ของค่าเฉลี่ยมูลค่าความเสียหายในแต่ละระดับตามฐานข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบที่ได้มีการลงทะเบียนไว้แล้ว โดยกำหนดอัตราเงินเยียวยาสูงสุดซึ่งผู้ที่ทรัพย์สินเสียหายมีสิทธิได้รับในวงเงินไม่เกินจำนวน ๒ ล้านบาทต่อราย ทั้งนี้ ให้นำจำนวนเงินช่วยเหลือหรือชดเชยอื่นๆ จากภาครัฐทั้งหมดอันเนื่องมาจากมูลเหตุหรือความเสียหายเช่นเดียวกันกับการช่วยเหลือเยียวยาครั้งนี้ ที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาได้รับไปแล้วมาหักออกจากจำนวนเงินเยียวยาที่จะได้รับในครั้งนี้ ๑.๒ ให้ประกาศรายชื่อผู้ที่ทรัพย์สินเสียหาย จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) ที่ได้มีการลงทะเบียนไว้แล้ว และหากมีผู้ได้รับผลกระทบที่ยังไม่ปรากฏรายชื่อตามข้อมูลดังกล่าว และผู้ได้รับผลกระทบรายนั้นประสงค์ขอรับความช่วยเหลือเยียวยา ให้พิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมเป็นรายกรณีด้วยความเหมาะสมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณ ส่วนเรื่องงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในกรอบวงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรุงเทพมหานครและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้จ่ายเงินเยียวยาตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายบริหารจัดการนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งเมื่อทราบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงแล้ว |
|||||||||||||||||||||
28960 | สรุปรายงานการประชุม China-ASEAN Ministerial Meeting on Quality Supervision, Inspection and Quarantine (SPS Cooperation) ครั้งที่ 3 | กษ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-จีน ด้านการควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกัน China-ASEAN Ministerial Meeting on Quality Supervision Inspection and Quarantine (SPS Cooperation) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ กันยายน ๒๕๕๕ ณ เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้หารือและให้ความเห็นชอบในรายงานการประชุมและข้อเสนอแนะจากการประชุมระดับอธิบดีครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยรับทราบความคืบหน้ากิจกรรมในแผนปฏิบัติงานของปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ และเห็นชอบแผนปฏิบัติงานของปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ซึ่งมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ๑.๑ การแจ้งชื่อผู้ประสานงานกลางของประเทศสมาชิก ซึ่งประเทศสมาชิกได้มีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันแล้ว ๑.๒ การจัดทำเว็บไซต์ของอาเซียน-จีน ซึ่งจีนเป็นผู้จัดทำเว็บไซต์ดังกล่าวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช กลไกการดำเนินงานและการแจ้งระหว่างกัน โดยได้มีการเปิดตัวเว็บไซต์อย่างเป็นทางการในการประชุมดังกล่าว ที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกปรับปรุงข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เป็นปัจจุบันเพื่อปรับปรุงโครงสร้าง เนื้อหา และการใช้ประโยชน์ต่อไปและหลังจากเปิดตัวทางการจะมีการจัดประชุมเกี่ยวกับการใช้เว็บไซต์อีกครั้ง ๑.๓ การสัมมนา/ฝึกอบรม ที่ประชุมรับทราบกิจกรรมฝึกอบรมในปีที่ผ่านมาและให้ความสำคัญในการจัดสัมมนา/ฝึกอบรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการตรวจสอบกักกัน การระบาดของศัตรูพืชกักกัน เทคนิคในการตรวจสอบความปลอดภัยอาหาร เป็นต้น ๑.๔ การทำวิจัยร่วมและการแลกเปลี่ยนการเยือน จีนให้ความสนใจในการจัดทำวิจัยร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเสนอให้จัดหาแหล่งงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมที่จะจัดขึ้น ขณะที่ฟิลิปปินส์สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ ๑.๕ กลไกในการหารือ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าและผลการดำเนินงานของการประชุมระดับผู้ประสานงาน (อธิบดี) และระดับเทคนิคที่ผ่านมา โดยฟิลิปปินส์เสนอให้มีการประชุมผู้ประสานงานบ่อยขึ้น ๒. ที่ประชุมเห็นชอบให้ต่ออายุบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและอาเซียนในความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ที่จะสิ้นสุดการบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๑ ปี และให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะลงนามในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. การประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ ๔ มีกำหนดจะจัดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยจะมีการหารือเกี่ยวกับเจ้าภาพในการประชุม เวลาและสถานที่ในการประชุมระดับอธิบดีครั้งถัดไป
|
.....