ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1443 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28841 - 28860 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28841 | รัฐบาลสาธารณรัฐโปรตุเกสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายลุยส์ มานูเอล บาเครา เดอ โซซา (Mr. Luis Manuel Barreira de Sousa)] | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายลุยส์ มานูเอล บาเครา เดอ โซซา (Mr. Luis Manuel Barreira de Sousa) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโปรตุเกส ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายจอร์เจ รีเดอร์ ตอร์ริช เปเรย์รา (Mr. Jorge Ryder Torrers Pereira) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
28842 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศไทย" | สสป | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศไทย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอริยมรรค และน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัส เป็นอุดมการณ์ของชาติ ชี้นำการบริหารและการพัฒนาประเทศ การดำรงชีวิตของคนไทยทุกระดับ เพื่อนำประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก ๒. รัฐบาลควรแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด คณะกรรมการระดับชาติควรมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีหน่วยราชการ องค์การที่เกี่ยวข้อง ภาคศาสนา และภาคประชาชน ร่วมเป็นกรรมการ มีการดำเนินงานอย่างจริงจัง โดยกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ มีการติดตามประเมินผลและการติดตามผลเป็นประจำ ๓. รัฐบาลควรจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถวายเป็นพุทธบูชา ในมหามงคลสมัยเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม รัฐบาลควรประกาศให้ประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ๔. รัฐบาลควรส่งเสริมการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ และสมัชชาชาวพุทธประจำจังหวัด เพื่อเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาชาวพุทธให้เป็นชาวพุทธผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพื่อให้พระพุทธศาสนามีความเข้มแข็ง เป็นพลังที่สำคัญในการพัฒนาสังคม ให้เป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง ๕. รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการบัญญัติว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในมหามงคลสมัยเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๖. รัฐบาลควรส่งเสริมสถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคงสถิตสถาพรตลอดไป ความสำคัญของ ๓ สถาบัน ปรากฏอยู่ในธงไตรรงค์ซึ่งเป็นธงชาติไทย ๗. รัฐบาลควรใช้มิติทางศาสนาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการป้องกันและแก้ไขสังคม โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๘. ประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ใน พ.ศ. ๒๕๕๘ และการเข้าสู่ประชาคมโลก โดยสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง พัฒนาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินแห่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นผู้พร้อมด้วยคุณภาพและคุณธรรม พัฒนาสังคมให้มีความสงบเรียบร้อย เป็นสังคมแห่งความสงบสุข อยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาเอื้ออาทรต่อกัน เป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง
|
|||||||||||||||||||||
28843 | ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556 - 2559 | กษ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ เตรียมความพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกัน และกลยุทธ์ที่ ๒ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การเก็บกักและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาระบบข้อมูลและองค์ความรู้ก๊าซเรือนกระจก และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริม สนับสนุนการปรับระบบการผลิตสู่เกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๓ ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ที่ ๒ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กลยุทธ์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพบุคลากร กลยุทธ์ที่ ๔ พัฒนาการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือกับต่างประเทศ ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และกลยุทธ์ที่ ๕ สร้างกลไกในการติดตาม ขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธาน เป็นหน่วยงานกลาง (Focal Point) รับไปประสานงานและบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เกี่ยวกับคำว่า “การท่องเที่ยวเกษตรเชิงอนุรักษ์” ควรใช้คำว่า “การท่องเที่ยวเชิงเกษตร” (Agro Tourism) ซึ่งเป็นความหมายสากลมากกว่า การให้ความสำคัญกับการนำยุทธศาสตร์ฯ สู่กระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสีเขียวที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การเพิ่มเติมประเด็นที่เชื่อมโยงกับภาคการผลิตอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารที่จะแสดงให้เห็นถึงเส้นทางการลดก๊าซเรือนกระจก หรือวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีกรอบโยบายที่เหมาะสมและกลไกที่ควบคุมได้สำหรับความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน เช่น การกำหนดพื้นที่ เขตการผลิตพืช และการปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต เป็นต้น รวมทั้งการกำหนดให้มีการดำเนินการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตรฯ ให้สมบูรณ์ชัดเจนและครบถ้วน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในด้านต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านสาธารณสุข มอบกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ และยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเตรียมพร้อมรองรับภัยพิบัติ มอบกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28844 | คำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ 25 - 27 พฤศจิกายน 2555 ณ ตึกรัฐสภา | ทส | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสรุปคำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ ตึกรัฐสภา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||
28845 | โครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สองเพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน | ศธ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สอง เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ ๑.๑.๑ เพื่อผลิตครูสอนภาษาต่างประเทศที่มีวุฒิวิชาเอกภาษานั้น ๆ ให้แก่โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวม ๖๐๐ คน ในช่วงระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑) ประกอบด้วย ภาษาญี่ปุ่น ๒๐๐ คน ภาษาเกาหลี ๑๔๐ คน ภาษาเยอรมัน ๔๐ คน ภาษาฝรั่งเศส ๖๐ คน ภาษาสเปน ๔๐ คน ภาษารัสเซีย ๒๐ คน ภาษาเวียดนาม ๒๕ คน ภาษาพม่า ๒๕ คน ภาษาเขมร ๒๕ คน ภาษาบาฮาซามาเลย์/อินโดนีเซีย ๒๕ คน ๑.๑.๒ เพื่อบรรจุครูสอนภาษาต่างประเทศตรงวุฒิเข้ารับราชการครู โดยจัดสรรอัตราบรรจุ จำนวน ๖๐๐ อัตรา ให้แก่โรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศที่เปิดสอนภาษาต่างประเทศที่สอง เริ่มบรรจุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ๑.๒ ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ระยะเวลาการจัดสรรทุน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และระยะเวลาในการบรรจุแต่งตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) ๑.๓ งบประมาณดำเนินโครงการ จำนวน ๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพัฒนาครูสอนภาษาต่างประเทศที่มีอยู่ให้มีศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศที่สองได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสานการดำเนินงานกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านภาษาต่างประเทศในสาขาขาดแคลนควบคู่กับการจ้างครูเจ้าของภาษามาสอน รวมทั้งบริหารจัดการอัตราข้าราชการครูภายใต้กรอบอัตรากำลังตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐได้ดำเนินการจัดสรรอัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนให้กระทรวงศึกษาธิการตามความเหมาะสมและความจำเป็น นอกจากนี้ ควรนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการจัดการเรียนการสอนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ส่วนการขออัตรากำลังข้าราชการครู เพื่อบรรจุผู้รับทุน จำนวน ๖๐๐ อัตรา และงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งข้อมูลความต้องการดังกล่าว ให้สำนักงาน ก.พ. นำเสนอคณะทำงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธาน เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28846 | ขอปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะเป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ | ศธ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติปรับเปลี่ยน “โครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ” ตามที่บรรจุไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น “โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ” โดยใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการดำเนินการโครงการคงเดิม คือ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ งบประมาณดำเนินการ จำนวน ๔๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสที่จะเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล และเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบบ้านหนังสืออัจฉริยะหรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชน ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” และองค์ความรู้ที่สนใจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เป้าหมาย บ้านหนังสืออัจฉริยะหรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชนในพื้นที่ปกติทั่วประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ แห่ง บ้านหนังสืออัจฉริยะในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และใน ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา จำนวน ๑,๘๐๐ แห่ง และห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จำนวน ๘๗ แห่ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักให้ภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ชุมชน และประชาชน เห็นความสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและดูแลรักษาแหล่งเรียนรู้ของหมู่บ้านและชุมชน เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของแหล่งเรียนรู้ของหมู่บ้านและชุมชน รวมทั้งควรจัดให้มีกิจกรรมอบรมหรือการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ใช้ห้องสมุดเกี่ยวกับระเบียบวินัย ข้อพึงปฏิบัติในการใช้ห้องสมุด และการเคารพสิทธิ์ผู้อื่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28847 | การขออนุมัติในการเข้าร่วมการฝึกร่วมในกรอบ ADMM และ ADMM - Plus และการขอรับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการฝึกร่วม | กห | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมในการฝึกร่วมในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers'' Meeting-Plus : ADMM-Plus) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เป็นเงิน ๓๐,๙๙๖,๑๐๐ บาท แต่เนื่องจากมิได้จัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับเพื่อการดังกล่าวไว้ จึงเห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๓๐,๙๙๖,๑๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการฝึก ๖ รายการ ได้แก่ การฝึกของกองทัพประเทศสมาชิกอาเซียนด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ครั้งที่ ๒ [2nd ASEAN Militaries Humanitarian Assistance and Disaster Relief (HADR) Exercise : 2nd AHX] การฝึกในกรอบการประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ [Experts’ Working Group (EWG) on HADR] การฝึกในกรอบการประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางทหาร (EWG on Military Medicine : EWG on MM) การฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการเพื่อสันติ [Experts’ Working Group (EWG) on PKO] การฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้าย [Experts’ Working Group (EWG) on CT] และการเตรียมหมู่เรือสำหรับการฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเล [Experts’ Working Group (EWG) on MS] โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ๒. หากภารกิจดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงกลาโหมขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28848 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน 2555 | พณ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๔๑ เทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๒ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๕ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๑๓) จากการลดลงของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๘๖ เนื่องจากการลดลงของหมวดผักและผลไม้ นมและผลิตภัณฑ์นม และเครื่องปรุงอาหาร ขณะที่สินค้าประเภทข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ และอาหารสำเร็จรูป มีราคาสูงขึ้น สำหรับดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลง ร้อยละ ๐.๐๒ ตามการลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๒.๗๔ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๑.๙๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๓๔ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๕๓ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๓.๒๑ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๒.๓๔ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๕ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๕๐ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๓.๒๗ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๖ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๙ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๑๓ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๑๙ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๖๔ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๕๐ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๑๑ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๒.๙๖ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๙๓ และดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๗๐ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๒๔ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๐๕ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๑.๕๕ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๕.๗๒ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๔ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๕.๗๙ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๕ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๓๖ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๕.๓๘ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๑ หมวดยานพาหนะ ร้อยละ ๐.๕๙ และน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๓.๖๐ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๘๔ เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๕ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๒) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา วัสดุก่อสร้าง (แผ่นไม้อัด กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังคา ปูนซีเมนต์ อิฐ) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน ลิปสติก กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย แป้งผัดหน้า) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด [ผงซักฟอก ก้อนดับกลิ่น ไม้กวาด น้ำยารีดผ้า ผลิตภัณฑ์ซักผ้า (น้ำยาซักแห้ง) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น)] ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (บุหรี่ สุรา) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น บริภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ ๐.๐๒ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เตารีด เครื่องกรองน้ำ เตาอบไมโครเวฟ) และค่าอุปกรณ์การบันเทิง ร้อยละ ๐.๐๗ (เครื่องรับโทรทัศน์)
|
|||||||||||||||||||||
28849 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2554 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (Performance Agreement) ระหว่างภาครัฐกับหน่วยงานที่อยู่ในระบบประเมินผลฯ จำนวน ๕๕ รัฐวิสาหกิจ โดยนำระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) มาใช้เต็มรูปแบบกับรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๗ แห่ง และระบบประเมินผลเดิม จำนวน ๔๘ แห่ง แบ่งกลุ่มตามกระทรวงเจ้าสังกัด ๑๕ กระทรวง แบ่งกลุ่มตามประเภทกิจการ ๙ สาขา ได้แก่ สาขาสื่อสาร สาขาสาธารณูปการ สาขาอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน สาขาขนส่ง (ขนส่งทางบก/ขนส่งทางน้ำ/ขนส่งทางอากาศ) สาขาสถาบันการเงิน สาขาพาณิชย์และบริการ สาขาเกษตรและทรัพยากรธรณี และสาขาสังคมและเทคโนโลยี แบ่งกลุ่มตามปีบัญชี ๓ กลุ่ม คือ ปีงบประมาณ (๑ ตุลาคม-๓๐ กันยายน) จำนวน ๓๕ แห่ง ปีปฏิทิน (๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม) จำนวน ๒๐ แห่ง และปีพิเศษ (๑ เมษายน-๓๑ มีนาคม) จำนวน ๑ แห่ง ๑.๒ ผลการประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๑ ภาพรวมของการประเมินผลฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลปัจจุบัน พบว่ารัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารออมสิน ๔.๘๑๘๑ คะแนน การประปานครหลวง ๔.๗๗๗๑ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔.๗๒๒๐ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ องค์การตลาด ๒.๑๓๒๒ คะแนน องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ๒.๔๕๔๖ คะแนน และสถาบันการบินพลเรือน ๒.๔๙๔๐ คะแนน ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๔๙๕๘ คะแนน ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เท่ากับ ๐.๐๘๖๑ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินงานด้านการเงิน และด้านที่ไม่ใช่การเงินของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๑.๒.๒ ภาพรวมของการประเมินผลฯ ของรัฐวิสาหกิจในระบบ SEPA ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๙๙๓๗ คะแนน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ๔.๙๓๕๙ คะแนน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ๔.๘๘๘๔ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ๓.๙๗๖๙ คะแนน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๔.๒๑๑๘ คะแนน และการไฟฟ้านครหลวง ๔.๔๙๖๓ คะแนน ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรเพื่อรองรับโอกาสและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเร่งพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพและการดำเนินงานในด้านที่ยังด้อยและไม่สามารถแข่งขันได้ การทบทวนและริเริ่มแผนงาน/โครงการ ของการใช้ทรัพยากรและความร่วมมือระหว่างกันที่มีขนาดใหญ่ และ/หรือที่เป็นเชิงกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเป็นการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งทบทวนบทบาท ภารกิจ หน้าที่ และรูปแบบขององค์กรใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป็นประโยชน์กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
28850 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้) ๑.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่จัดทำแนวทางรูปแบบและหลักสูตรการอบรมฟื้นฟูและการจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ที่เหมาะสมตามประเภทลูกหนี้เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำไปปฏิบัติ และจัดทำเกณฑ์การคิดค่าใช้จ่ายและหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพของลูกหนี้เพื่อประกอบการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งออกแบบวิธีการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ กระทรวงการคลังได้จัดการประชุมคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ ผลการดำเนินงานโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีการอบรมฟื้นฟูให้ลูกหนี้ ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ กรอบการอบรมฟื้นฟูฯ หลักสูตรการอบรมฟื้นฟูฯ และแผนการทำงาน แนวทางการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพของลูกหนี้ รวมทั้งเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพด้านการประกอบอาชีพของลูกหนี้ ๒. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้สถานะปกติ) ๒.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านการแนะนำและติดตามการใช้จ่ายเงินที่ประหยัดได้ของลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์) เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ติดตามการใช้จ่ายเงินของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ในภาพรวมทั้งประเทศ แนะนำแนวทางในการนำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้จ่ายให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต การประกอบอาชีพ หรือดำเนินการที่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้บริหารการคลังประจำจังหวัด หรือคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) เพื่อไปดำเนินการ รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ๒.๒ คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมไปแล้ว ๓ ครั้ง และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านฐานข้อมูล โดยมีหน้าที่จัดทำฐานข้อมูลโครงการพักหนี้ฯ ทั้งหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ และหนี้สถานะปกติ คณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำฐานข้อมูลหนี้สถานะปกติในเบื้องต้นแล้ว ส่วนหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้จะจัดทำฐานข้อมูลต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
28851 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ไตรมาสที่ 4 (ตุลาคม 2554 - กันยายน 2555) | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาสที่ ๓ (ตุลาคม ๒๕๕๔-กันยายน ๒๕๕๕) สรุปได้ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เบิกจ่ายจำนวน ๒,๑๔๘,๔๐๒.๐๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๐.๒๗ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) คิดเป็นร้อยละ ๒.๗๓ โดยมีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๗๒,๙๙๔.๕๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๕.๓๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๖๔,๔๓๘.๖๘ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๗๕,๔๐๗.๔๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๖.๒๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๑๕,๕๖๑.๓๒ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ ๗๒.๐๐) คิดเป็นร้อยละ ๕.๗๓ สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางรายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๙๙,๗๕๘.๖๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๓.๑๓ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗-๒๕๕๔ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๑๖,๗๑๐.๑๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๖,๘๕๑.๗๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๗.๗๖ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรร ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๗๖๔.๓๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒๐,๑๘๔.๙๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๓.๖๙ ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒๑,๓๔๑.๕๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๗๖๒.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๒๖
|
|||||||||||||||||||||
28852 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวนทั้งสิ้น ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงการคลังควรพิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจของกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
28853 | การขยายระยะเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๑ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้มีเงินได้ที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ในกรณีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินจากการประกอบกิจการผลิตสินค้า การขายสินค้า หรือการให้บริการ ณ สถานประกอบกิจการนั้น ๑.๑.๒ ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๑.๑.๓ ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๐.๑ ของเงินได้ซึ่งเป็นราคาขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๑.๑.๔ กำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๘(๑) (๒) และ (๔) แห่งประมวลรัษฎากร ๑.๑.๕ ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๐.๑ สำหรับรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร ทั้งนี้ เฉพาะการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีการโอนและการจำนองห้องชุดตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนห้องชุดโดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ และการโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท หรือการจำนองห้องชุดที่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์โดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ และการโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท หรือการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยออกไปอีก ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗) โดยให้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ และปรับปรุงกระบวนการในการอนุมัติค่าชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยแก่ผู้ประกอบการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการขยายระยะเวลามาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยภายในวงเงินงบประมาณปีละ ๒๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ ๓. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.๑ ผลการดำเนินการมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนโดยธนาคารออมสิน ระยะเวลาการขอกู้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมาปริมาณการใช้สินเชื่อโดยเฉลี่ยภายใต้โครงการดังกล่าวอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของวงเงินโครงการทั้งสิ้นจำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งใช้วงเงินที่ได้รับการจัดสรรจากธนาคารออมสินให้เต็มวงเงินก่อน โดยกระทรวงการคลังจะติดตามความคืบหน้าของโครงการกับธนาคารออมสินเป็นระยะ หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอวงเงินโครงการเพิ่มเติมหรือขอขยายระยะเวลา กระทรวงการคลังจะพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓.๒ ผลการดำเนินการโครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่หนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เปิดลงทะเบียนผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการอยู่แล้ว ดังนั้น ลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เข้าร่วมโครงการเงินต้นไม่ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ที่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท) สามารถขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ได้จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน ๓๕,๘๔๖ ราย มูลหนี้ทั้งสิ้น ๓,๗๔๗ ล้านบาท ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมสำรวจปัญหาของธุรกิจ SMEs ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28854 | การเสนอร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตเพื่อดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้เสนอร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบเพื่อดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ หลักการทั่วไปและวัตถุประสงค์ของร่างความตกลงฯ สอดคล้องกับหลักการที่ปรากฏในกรอบเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนที่ได้ผ่านความเห็นชอบรัฐสภาเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๓ รวมทั้งสอดคล้องกับความตกลงที่ประเทศไทยจัดทำกับประเทศต่าง ๆ คือ มุ่งให้ความคุ้มครองนักลงทุนไทยในการไปลงทุนในรัฐคูเวต และให้ความคุ้มครองนักลงทุนของรัฐคูเวตในการเข้ามาลงทุนในไทย ๒. ภายหลังรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งฝ่ายคูเวตเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการดำเนินการให้มีผลใช้บังคับเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของไทย อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
28855 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแนวทางและมาตรการการเปิดตลาดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้า อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ อัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๘๐ และแนวทางการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) กรอบการค้าเสรี AFTA และ FTA ซึ่งมีผู้มีสิทธินำเข้า ๗ สมาคม ๙ บริษัท และให้ผู้มีสิทธินำเข้าให้การสนับสนุนและส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองภายในประเทศ โดย ๑.๑.๑ รับซื้อผลผลิตเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศในราคาตามกลไกตลาด แต่ไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำตามชั้นคุณภาพ ๑.๑.๒ ผู้มีสิทธินำเข้าให้ความร่วมมือรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศและการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าตามนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ๑.๑.๓ ให้คณะอนุกรรมการกำกับ ดูแลเมล็ดถั่วเหลือง ทำหน้าที่กำกับดูแลการรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศ การนำเข้า และการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า ให้เป็นไปตามมาตรการและนโยบาย ๑.๒ เห็นชอบเพิ่มผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช จำนวน ๑ คน และให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการสนับสนุนการเกษตรทฤษฎีใหม่ (โดยมีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดแบบผสมผสาน) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อลดผลกระทบจากราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ผันผวน การสนับสนุนการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อใช้ในการลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร การสร้างองค์ความรู้ การบริหารจัดการ ต่อยอด และการพัฒนาด้านพันธุวิศวกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่องของพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเพื่อเพิ่มมูลค่า การศึกษาแนวทางการขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศเพื่อลดปริมาณการนำเข้า รวมทั้งการเร่งวิจัยพัฒนาพันธุ์และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองเป็นพืชหมุนเวียนหลังการเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อสร้างทางเลือกให้เกษตรกรมีรายได้เสริมหลังการทำนา และช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการนำถั่วเหลืองไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีมูลค่ามากขึ้น เช่น นมถั่วเหลือง เป็นต้น และนำกากถั่วเหลืองที่เหลือมาใช้เลี้ยงสัตว์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28856 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา | นร12 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา เพื่อจัดสรรเป็นเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา เพื่อจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้ สำนักงาน ก.พ.ร. จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้เหมาะสมกับสถานะเงินเหลือจ่ายและงบประมาณที่ได้รับจัดสรร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างหน่วยงาน ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา โดยสำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ภายในกรอบวงเงิน ๓,๕๖๓ ล้านบาท ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด ๑.๓ สำหรับแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินรางวัลประจำปีตั้งแต่งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ให้จัดสรรงบประมาณเพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นเงินรางวัลประจำปีไว้ในงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายการปรับเงินค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐตามชื่อรายการเดิมที่เคยปรากฏในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพในการตั้งงบประมาณที่กำหนดรายการเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้ในงบบุคลากรของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.ร. กำหนดตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป เพื่อความเป็นเอกภาพและไม่เป็นภาระในทางปฏิบัติต่อส่วนราชการ และในการจัดสรรเงินรางวัลไม่ควรใช้จากงบบุคลากรแต่เพียงส่วนเดียว ควรมีการกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมและชัดเจนว่าจะต้องมีส่วนสมทบจากงบเหลือจ่ายของหน่วยงานด้วย เพื่อเป็นการรักษาวินัยในการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพและประหยัดมากยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
28857 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน 2555 | อก | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๔ และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คือ อุปสงค์ในประเทศโดยรวมเริ่มดีขึ้น ประกอบด้วย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนขยายตัวขึ้น เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าคงทน โดยเฉพาะยานยนต์ที่เร่งตัวขึ้นตามยอดจำหน่ายรถยนต์ การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวขึ้น เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล สำหรับการส่งออกสินค้าและบริการกลับมาขยายตัว ในขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ดุลการค้าและบริการขาดดุล ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่หดตัวร้อยละ ๔.๓ และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่หดตัวร้อยละ ๐.๑ เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา การใช้กำลังการผลิตกลับสู่ภาวะปกติ มีการเร่งผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและคำสั่งซื้อยังตกค้างจากในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ในขณะที่อุตสาหกรรม Hard Disk Drive และสิ่งทอ การผลิตยังคงลดลง เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกลดลง ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕-๖.๐ ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า บางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมลดลงร้อยละ ๑.๑๓ (มกราคม-กันยายน ๒๕๕๕) เทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ยังคงส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภค สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา และราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ คาดว่าเหล็กทรงยาวจะยังคงทรงตัว ในขณะที่เหล็กทรงแบนในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนอาจจะขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจากผลทางด้านบวกจากการที่กรมการค้าต่างประเทศได้เปิดการไต่สวนการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาผู้นำเข้าในประเทศได้ใช้ช่องว่างทางภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เจือโบรอนหรือโครเมียม (โดยสำแดงว่าเป็นเหล็กอัลลอยด์) ที่นำเข้ามาจากทั้งจีนและเกาหลีเป็นปริมาณมาก ส่งผลให้ผู้ผลิตไทยไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาได้และบางรายต้องหยุดการผลิตลง
|
|||||||||||||||||||||
28858 | สัญญาการให้ (Grant Contract) การดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอกของสหภาพยุโรปภายใต้ความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงินในโครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาการให้ (Grant Contract) การดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอกของสหภาพยุโรปภายใต้ความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงินในโครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป (ASEAN Regional Integration Support from the EU : ARISE) ซึ่งเป็นเอกสารระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขพิเศษของ Grant Contract โดยสหภาพยุโรปจะให้เงินสนับสนุนจำนวน ๓.๓ ล้านยูโร สำหรับการเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้กับสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อส่งเสริมการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างดังกล่าวในประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนาม แล้วให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยเห็นชอบต่อร่างสัญญาการให้ (Grant Contract) แล้ว และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในสัญญาการให้ (Grant Contract) |
|||||||||||||||||||||
28859 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Population Fund - UNFPA) ประจำประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยการดำเนินงานความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบไตรภาคี | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Population Fund-UNFPA) ประจำประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยการดำเนินงานความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบไตรภาคี และลงนามในเอกสารย่อยภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเอกสารกำหนดกรอบความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ โดยสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) สำนักงาน UNFPA ประจำประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุขราชอาณาจักรภูฏานในการพัฒนาด้านสาธารณสุขและการบริการ ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในการส่งเสริมการดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในรูปแบบ South-South Cooperation ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๔.๔๒ ล้านบาท และให้กระทรวงการต่างประเทศขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
28860 | การจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี 2555 | มท | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดดำเนินการในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๔-๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นสัปดาห์การป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติและฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามความเสี่ยงภัยของแต่ละพื้นที่ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับงบประมาณในการจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการดังกล่าว จำนวน ๓,๑๙๒,๐๐๐ บาท ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) วางแผนการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการเตรียมการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวล่วงหน้า เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวควรดำเนินการภายใต้แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนปฏิบัติการของหน่วยงานต่างๆ และให้มีการฝึกซ้อมระบบการสื่อสารเตือนภัยเพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการฝึกซ้อมแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในบริเวณทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป |
.....