ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1440 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 28781 - 28800 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28781 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง | สสป | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมการขนส่งทางบก กรมเจ้าท่า กรมการบินพลเรือน กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายของรัฐบาล รัฐควรดำเนินการจัดให้มีแผนแม่บทอย่างชัดเจนของระบบโลจิสติกส์ของประเทศในการจัดการการขนส่งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประกาศนโยบายให้การขนส่งทางรางเป็นวาระแห่งชาติโดยเร่งด่วน ศึกษาแนวทางการขยายโครงข่ายการขนส่งทางรางของประเทศจีนซึ่งจะเป็นผู้นำและรุกคืบมาในภูมิภาคอาเซียน และเปิดให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนแก้ไขปัญหาการขนส่งของประเทศ เป็นต้น ๒. ด้านโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการพัฒนาความเชื่อมโยงการขนส่งภายในประเทศ ทั้งทางราง ทางอากาศ ทางถนน และทางน้ำ จัดให้มีการศึกษาการใช้นวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และมีความปลอดภัยกับการใช้บริการ จัดให้มีระบบการเชื่อมโยงของระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ทั่วถึงในแต่ละภูมิภาค ลดต้นทุนโลจิสติกส์เพื่อช่วยเหลือ ชดเชยผู้ประกอบการที่มีปัญหาต้นทุนในปัจจุบัน โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่ง จากการขนส่งทางถนนไปสู่ทางรางและทางน้ำ พัฒนาท่าอากาศยานหลักในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เริ่มโครงการรถไฟความเร็วสูงทั้งเส้นทาง ในเส้นทางหลัก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-ระยอง และเปิดเขตการค้าเสรีของประชาคมอาเซียน เป็นต้น ๓. ด้านกฎหมายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของประเทศด้านระบบโลจิสติกส์ แก้กฎหมาย และปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความบูรณาการและสอดคล้องต่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และแก้ไขกฎระเบียบการขนส่งสินค้าและการเดินทางของผู้โดยสาร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการข้ามพรมแดน รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจใช้กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ๔. ด้านระบบบริหารจัดการ รัฐควรดำเนินการจัดตั้งทบวงโลจิสติกส์หรือองค์กรมหาชนเพื่อรับผิดชอบนโยบายหลักด้านโลจิสติกส์ของประเทศ จัดตั้งหน่วยงานที่จะเป็นศูนย์กลางในการรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม ปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับงานวิจัย ศูนย์ข้อมูล จัดตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการระบบโลจิสติกส์ของประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องกับนโยบายและแผนงานโครงการ เร่งสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ชำนาญการจากต่างประเทศโดยเฉพาะการขนส่งทางราง จัดตั้งสถาบัน หลักสูตรโลจิสติกส์ในสถาบันการศึกษา หรือจัดตั้งสภาวิชาชีพโลจิสติกส์ เป็นต้น ๕. ด้านการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รัฐควรดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เช่น จัดทำประชาพิจารณ์ ประชาสัมพันธ์โครงการ เวทีสนทนา การประชุมเชิงวิชาการ การสำรวจปัญหา/ความต้องการ และความพึงพอใจของประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง สำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สำรวจความคิดเห็นของทั้งบุคลากร องค์กร สมาคม นักวิชาการ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินโครงการ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28782 | องค์กรร่วมไทย - มาเลเซียขอความเห็นชอบในร่างข้อตกลงว่าด้วยการร่วมกันผลิตปิโตรเลียม (Unitisation Agreement, UA) ระหว่างองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (MTJA) และบริษัท Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS) สำหรับการร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา (Suriya) ในแปลง A-18 ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย กับแหล่งสุริยา เซลาตัน (Suriya Selatan) ในแปลง PM 2 ของประเทศมาเลเซีย | พน | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงว่าด้วยการร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา-สุริยา เซลาตัน (Suriya-Suriya Selatan) ระหว่างองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Authority : MTJA) และบริษัท Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS) สำหรับการร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา (Suriya) ในแปลง A-18 ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และแหล่งสุริยา เซลาตัน (Suriya Selatan) ในแปลง PM 2 ของประเทศมาเลเซีย และแจ้งให้ MTJA ลงนามได้เมื่อได้รับการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว โดยสาระสำคัญของร่างข้อตกลงฯ เป็นการกำหนดสิทธิและพันธะระหว่าง MTJA และ PETRONAS รวมถึงการดำเนินงานและการจัดการในการร่วมกันพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา-สุริยา เซลาตัน ในพื้นที่ร่วมผลิต (Unit Area) มีขนาด ๑๗๓.๒๒๖ ตารางกิโลเมตร (อยู่ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วม ๑๔๒.๐๑๗ ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ของประเทศมาเลเซีย ๓๑.๒๐๙ ตารางกิโลเมตร) โดยกำหนดสัดส่วนแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียมเบื้องต้น (Initial Tract Participation) คือ แปลง A-18 ได้รับร้อยละ ๘๕ และแปลง PM 2 ได้รับร้อยละ ๑๕ และสามารถทำการประเมินสัดส่วนการแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมใหม่ (Re-determination) ทุก ๕ ปี ในกรณีที่ผลการประเมินมีความแตกต่างกันโดยรวมเกินกว่าร้อยละ ๓ ให้มีการปรับสัดส่วนแบ่งปันผลผลิตและแบ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามสัดส่วนผลผลิตดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ใช้แผนการพัฒนาของแปลง A-18 และขายก๊าซในราคาตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซแปลง A-18 และให้มีคณะกรรมการ Unit Management Committee ฝ่ายละ ๔ คนเท่าๆ กัน ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการและกำกับดูแลการดำเนินงาน ๒. เห็นชอบให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่กำหนดให้การทำสัญญาไม่ควรระบุในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28783 | ขอความอนุเคราะห์เสนองบการเงินกองทุนคุ้มครองพันธุ์พืช สำหรับปีที่สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2554 เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา | กษ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานงบการเงินกองทุนคุ้มครองพันธุ์พืช สำหรับปีที่สิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว และเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ และผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของกองทุนฯ โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์การจัดทำงบการเงินและนโยบายบัญชีในหมายเหตุประกอบงบการเงิน โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม ๓๘๖,๖๐๐.๐๐ บาท หนี้สินและส่วนของทุน ๓๘๖,๖๐๐.๐๐ บาท และมีรายได้รวม ๑๑๑,๓๐๐.๐๐ บาท สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม ๒๗๕,๓๐๐.๐๐ บาท หนี้สินและส่วนของทุน ๒๗๕,๓๐๐.๐๐ บาท และมีรายได้รวม ๙๕,๘๐๐.๐๐ บาท และได้เสนอรายงานงบการเงินดังกล่าวให้คณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืชทราบในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28784 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว | ทก | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28785 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๖๓๕.๐๖๖๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๔,๕๓๗.๗๐๑๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๒๘๑.๖๒๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๒๕ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๑๐๗,๓๐๙.๖๑๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๗๐ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๕ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๖ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๙ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่ส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีก จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น จำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ๑.๔ ส่วนราชการฯ แจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ อย่างเป็นทางการ (เพิ่มเติม) จำนวน ๖ หน่วยงาน วงเงินรวม ๑๖๑.๗๐๙๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้าง/งานดำเนินการเอง และได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ ที่ยังไม่ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณในโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ โครงการ/รายการ วงเงินรวม ๒๖๒.๙๓๗๐ ล้านบาท เร่งรัดการขอรับการจัดสรรงบประมาณไปยังสำนักงบประมาณตามขั้นตอน โดยให้ดำเนินการเสนอขอขยายระยะเวลาการจัดสรรงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่สามารถดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ได้ทันภายในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และหากยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้องเป็นรายกรณี ๓. ให้สำนักงบประมาณดำเนินการตามขั้นตอนเงินประจำงวดที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐแจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่าย จำนวน ๖ หน่วยงาน วงเงินรวม ๑๖๑.๗๐๙๐ ล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว เพื่อกำหนดไว้ในงบกลาง รายการเดิม สำหรับรองรับโครงการ/รายการอื่นๆ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐยังมีความจำเป็นและเร่งด่วนในการเสนอขอรับการจัดสรรตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28786 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) (จำนวน 5 หน่วยงาน) | นร05 | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม และราชบัณฑิตยสถาน ดังนี้
๑. แต่งตั้งนายนิพนธ์ ฮะกีมี รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็น ปคร. ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และแต่งตั้งนายธนาวัฒน์ สังข์ทอง ผู้อำนวยการสำนักหลักนิติบัญญัติ รักษาการในตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ เป็นผู้ช่วย ปคร. ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. แต่งตั้งนางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็น ปคร. ของกระทรวงคมนาคม และแต่งตั้งนายสิทธิพงษ์ ส่งศรี หัวหน้ากลุ่มงานประสานการเมือง รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี และนายศิริวุฒิ วัฒนนิรันตร์ ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ช่วย ปคร. ของกระทรวงคมนาคม ๓. แต่งตั้งนายอธิปัตย์ บำรุง ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน เป็น ปคร. ของกระทรวงพลังงาน ๔. แต่งตั้งศาสตราจารย์อภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็น ปคร. ของกระทรวงวัฒนธรรม ๕. แต่งตั้งนางสาวกนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน เป็น ปคร. ของราชบัณฑิตยสถาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28787 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2555 | นร11 | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กบส. เสนอ ดังนี้
๑. (ร่าง) กรอบทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) กรอบทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก ๖ ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการค้าและโลจิสติกส์เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าและบริการภายในประเทศและเชื่อมไปสู่ตลาดคู่ค้าสำคัญ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกทางการค้าและโลจิสติกส์เพื่อกระตุ้นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเพิ่มศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสาขาการผลิตเป้าหมายของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนากำลังคนและระบบข้อมูลด้านโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสร้างความร่วมมือของโซ่อุปทานระหว่างภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคการผลิตของประเทศ และยุทธศาสตร์ที่ ๖ การพัฒนาเส้นทางการค้าและช่องทางการกระจายสินค้าและบริการหลักของประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดคู่ค้าหลัก ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของ กบส. เกี่ยวกับการกำหนดตัวชี้วัด (KPI) และระยะเวลาการติดตามประเมินผลที่ชัดเจน การกำหนดให้มีหน่วยงานหลักรับผิดชอบการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และบูรณาการแผนงานโครงการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการจัดสรรงบประมาณและสามารถแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติได้จริง การกำหนดแนวทางการส่งเสริมการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเพื่อประหยัดพลังงาน การพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในกระบวนการโลจิสติกส์ให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Logistics) เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการ การพัฒนาระบบสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า (Soft Infrastructure) ณ บริเวณด่านการค้าชายแดน การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ การพัฒนาบุคลากรในระดับปฏิบัติการที่ขาดแคลน การพัฒนาในลักษณะกลุ่มคลัสเตอร์ (Cluster) ควบคู่กับการพัฒนาเชื่อมโยงในโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของภาคการผลิต การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในและนอกประเทศ การพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นต้น ไปประกอบการปรับปรุงยุทธศาสตร์ดังกล่าว ให้มีความสมบูรณ์และนำเสนอคณะกรรมการ กบส. เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. แนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้บริการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Window (NSW) ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้บริการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ NSW ของคณะอนุกรรมการการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้าการส่งออกโลจิสติกส์ โดย ๒.๑.๑ การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานออกใบอนุญาต/ใบรับรองนำเข้า-ส่งออกกับระบบ NSW (G2G) ปัจจุบันมีการส่งผ่านข้อมูลเฉลี่ยเดือนละ ๖ ล้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ มีหน่วยงานที่เชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นทางการกับระบบ NSW จำนวน ๑๑ หน่วยงาน มีหน่วยงานที่อยู่ระหว่างทดสอบระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ NSW จำนวน ๙ หน่วยงาน และอยู่ระหว่างดำเนินโครงการนำร่อง ASEAN Single Window เชื่อมโยงข้อมูลใบขนสินค้าของอาเซียนและใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าของอาเซียน ๒.๑.๒ การปรับปรุงกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับให้ส่วนราชการดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ ๒.๑.๓ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร ICT กรมศุลกากรได้รวบรวมปริมาณความต้องการบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และระบบงานเพิ่มเติม พร้อมประสานให้อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ของทุกส่วนราชการเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาจัดสรรกำลังคน ซึ่ง คปร. ได้พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังคนสำหรับการพัฒนาระบบ NSW บางส่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้ส่วนราชการได้รับทราบแล้ว ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังประสานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในรายละเอียดของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารระหว่างหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งมีความชัดเจนในทางปฏิบัติและให้นำเสนอคณะกรรมการ กบส. เพื่อพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28788 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... | ลต | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28789 | การขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล | อื่นๆ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ประธาน สปสช.) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธาน สปสช. มีดังนี้ ๑.๑ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑ เห็นชอบให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจให้รองรับการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สามารถรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ใดก็ได้ รวมทั้งสถานพยาบาลเอกชนนอกระบบของตน โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลให้กับพนักงานตามนโยบายรัฐบาล ใช้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) ตามนโยบายรัฐบาล โดย สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินคืนให้ สปสช. ได้ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลจากรัฐวิสาหกิจให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๑.๒ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ๑.๒.๑ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๖๙ และมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. ๒๔๙๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๒๑ และมาตรา ๕ และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้ออกระเบียบไว้ และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มสิทธิให้ข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นได้สิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลรัฐและเอกชนนอกระบบของตนโดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๒.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศไว้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๕ แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินตามนโยบายรัฐบาล และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้หน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) โดยให้ สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และการจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลเพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ควรมีการหารือร่วมกันระหว่าง สปสช. กระทรวงมหาดไทย และ อปท. ก่อนที่จะได้มีการดำเนินการ เนื่องจากอาจมีผลกระทบทั้งด้านงบประมาณและขั้นตอนการปฏิบัติได้ นอกจากนี้ ควรเร่งพัฒนากลไกสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการของโรงพยาบาลเอกชน อาทิ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการภาคเอกชนจะได้รับเงินชดเชยในอัตราที่เหมาะสมกับโครงสร้างต้นทุนของการประกอบการ และการให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมในโครงการซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในรูปแบบหนึ่ง เป็นต้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงพยาบาลเอกชนให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอย่างแท้จริง และไม่เป็นภาระแก่โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการเข้ารับบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28790 | ร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อกำหนดให้บุคคลซึ่งผ่านการตรวจหรือทดสอบเบื้องต้นว่ามียาเสพติดอยู่ในร่างกาย และสมัครใจจะขอเข้ารับฟื้นฟูสมรรถภาพได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกแจ้งข้อหาเสพยาเสพติด โดยเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดียาเสพติดต้องดำเนินการให้บุคคลดังกล่าวได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในสถานพยาบาลตามกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงเพื่อเป็นหลักฐานในการเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ถือเป็นความผิดอาญา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรตรวจสอบข้อมูลการส่งตัวผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดที่ศาลพิจารณามีคำสั่งให้ไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจพิจารณา และในกรณีที่สำนักงานศาลยุติธรรมยังเป็นห่วงว่ากระบวนการดังกล่าวอาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่มิใช่เป็นผู้เสพยาเสพติดอย่างแท้จริง อาจเพิ่มเติมในร่างพระราชบัญญัติฯ ให้ผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดที่ถูกส่งตัวไปตรวจพิสูจน์ หรือฟื้นฟูสมรรถภาพสามารถร้องต่อศาลยุติธรรมได้ หากเห็นว่ามีการกลั่นแกล้งหรือมีการกระทำอันละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28791 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | ศป | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้สำนักงานศาลปกครองดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองเพชรบุรี จากเดิมวงเงิน ๒๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๙๓,๙๙๗,๐๐๐ บาท โดยมีค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น จำนวน ๔๘,๙๗๗,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘ ๑.๒ เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองขอนแก่น จากเดิมวงเงิน ๒๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๓๑๗,๖๗๒,๐๐๐ บาท โดยมีค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น จำนวน ๕๒,๖๗๒,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๘ ๑.๓ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ในคราวเดียวกันกับการขยายระยะเวลาผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘ ๒. ในครั้งต่อ ๆ ไป หากสำนักงานศาลปกครองมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายการ วงเงิน และระยะเวลาหรือรายละเอียดของรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้สำนักงานศาลปกครองประสานกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดและเหตุผลความจำเป็นก่อนเริ่มดำเนินการใด ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28792 | ขออนุมัติหลักการแผนงานการดำเนินกิจกรรมพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ | กห | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอเพิ่มเติมว่า การดำเนินกิจกรรมตามแผนงานการดำเนินกิจกรรมพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ ประกอบด้วยกิจกรรมส่งเสริมการฝึกและศึกษา กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน กิจกรรมการสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกิจกรรมการสนับสนุนการพัฒนาประเทศการช่วยเหลือประชาชนและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นการดำเนินกิจกรรมในภารกิจทางทหารเท่านั้น ๒. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการของแผนงานการดำเนินกิจกรรมพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ โดยการสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงงบประมาณให้แก่กองทัพประเทศเพื่อนบ้าน และมิตรประเทศ ในภารกิจทางทหาร ในวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการฝึกและศึกษาที่สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนายทหารนักเรียนต่างชาติ จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เนื่องจากขณะนี้ล่วงเลยระยะเวลาการเข้ารับการศึกษาตามหลักสูตรทางทหารของกองทัพไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว ประกอบกับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรทุนการฝึกและศึกษาให้นายทหารนักเรียนต่างชาติ จำนวน ๑๙ ทุน แล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย โดยพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาดำเนินการในลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรง และหากกระทรวงกลาโหมมีความจำเป็นต้องดำเนินการแผนงานดังกล่าวต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เกี่ยวกับกิจกรรมในการพัฒนาเส้นทางยุทธศาสตร์เชื่อมโยงการค้าและคมนาคมระหว่างประเทศ เห็นควรให้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเส้นทางคมนาคมในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อบูรณาการการดำเนินนโยบายและกิจกรรมของหน่วยงานต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด รวมทั้งเห็นควรเพิ่มความสำคัญเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์เพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันที่ครบทุกมิติมากขึ้น สำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศต้องกระทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอบนพื้นฐานความจริงใจต่อกัน เพื่อยุติหรือลดความขัดแย้ง ลดความหวาดระแวงที่อาจเกิดขึ้น และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันร่วมมือในการแก้ปัญหาบนพื้นฐานการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน และควรให้หน่วยงานระดับรองลงมาได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาจัดทำแผนงานการดำเนินกิจกรรมด้วย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28793 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร01 | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ปลัดสำนักนายกรัฐนมตรีได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของ ก.ธ.จ. โดยให้ ก.ธ.จ. สอดส่องแผนงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัด (เรื่องร้องเรียน) ให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี กรณีที่ ก.ธ.จ. สอดส่องแล้วพบว่า หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ให้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๒๘ ๒. การสอดส่องแผนงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด เจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐปฏิบัติภารกิจหรือบริหารจัดการโครงการไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๕๔ โครงการ โดยมีข้อเสนอแนะให้จังหวัดรับไปดำเนินการ จำนวน ๕๙ ข้อ ซึ่งจังหวัดรับไปดำเนินการตามข้อเสนอแนะ จำนวน ๕๘ ข้อ ในจำนวนนี้เป็นกรณีที่ไม่เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๓ (๔) มากที่สุดคือ การปฏิบัติภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่า รองลงมาเป็นกรณีไม่เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๓ (๖) คือ ปฏิบัติภารกิจโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ๓. การสอดส่องแผนงาน/โครงการของส่วนราชการในจังหวัด เจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐปฏิบัติภารกิจหรือบริหารจัดการโครงการไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี จำนวน ๕ โครงการ/เรื่อง โดยมีข้อเสนอแนะให้จังหวัดรับไปดำเนินการ จำนวน ๕ ข้อ เป็นกรณีที่ไม่เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๓ (๖) คือ ปฏิบัติภารกิจโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส จำนวน ๒ โครงการ/เรื่อง รองลงมาเป็นกรณีไม่เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๓ (๑) (๒) (๓) และ (๔) ประเภทละ ๑ โครงการ/เรื่อง เป็นเรื่องไม่ปฏิบัติภารกิจให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม ไม่สนองความต้องการของประชาชน ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่า ๔. การสอดส่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐในเรื่องร้องเรียน เป็นกรณีเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมายัง ก.ธ.จ. ผ่านหนังสือร้องเรียนเรื่องที่มีการร้องเรียนต่อ ก.ธ.จ. โดยตรง หรือเรื่องที่ ก.ธ.จ. สอดส่องแล้วพบเห็นในพื้นที่ จากการสอดส่องพบว่า เจ้าหน้าที่/หน่วยงานของรัฐปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี จำนวน ๒๗ เรื่อง โดยมีข้อเสนอแนะให้จังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวม ๓๐ ข้อ ในจำนวนนี้เป็นกรณีไม่เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๓ (๓) ปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากที่สุด จำนวน ๑๙ ข้อ รองลงมาเป็นกรณีที่ไม่เป็นไปตามระเบียบฯ ข้อ ๒๓ (๑) คือ การปฏิบัติภารกิจไม่เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม ตลอดจนไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จำนวน ๖ ข้อ ๕. ผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินการโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าร่วมประชุมของ ก.ธ.จ. กับหัวหน้าส่วนราชการในการประชุมประจำเดือนของจังหวัด และอำเภอ การส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัดปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ๖. การสนับสนุนการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี [สำนักบริหารงานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ส.ก.ธ.จ.)] ได้แก่ การจัดทำกรอบแนวทางในการปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของ ก.ธ.จ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การสรรหา แต่งตั้ง และการประกาศรับรองรายชื่อ ก.ธ.จ. กรณีมีกรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ การสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมในการสรรหากรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด การจัดทำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการสรรหากรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด การจัดทำคำวินิจฉัยของปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ การจัดทำหนังสือแจ้งจังหวัดให้ดำเนินการสรรหา ก.ธ.จ. กรณีกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดดำรงตำแหน่งครบวาระ และการจัดทำใบประกาศเกียรติบัตรเพื่อมอบให้ ก.ธ.จ. และที่ปรึกษา ก.ธ.จ.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28794 | ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช 2477 ว่าด้วยเครื่องแบบทหารอากาศ ฉบับที่ .. | กห | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗ ว่าด้วยเครื่องแบบทหารอากาศ ฉบับที่ .. มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้นายทหารสัญญาบัตรใช้สายกระบี่ทำด้วยหนังหรือวัตถุเทียมหนังสีเทา ๒ สาย กว้างสายละ ๑.๕ เซนติเมตร ด้านนอกคาดกลางตามยาวด้วยแถบไหมทอง กว้าง ๑ เซนติเมตร ส่วนสายกระบี่ของนายทหารประทวนชั้นพันจ่าอากาศทำด้วยหนังหรือวัตถุเทียมหนังสีน้ำเงินดำ ๒ สาย กว้างสายละ ๑.๕ เซนติเมตร เพื่อให้เกิดความชัดเจน เป็นมาตรฐาน เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่และสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28795 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. 2553 | ปช | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ในด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการป้องกันการทุจริต ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน และด้านบริหารจัดการองค์กร รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้
๑. ผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๑.๑ ด้านการปราบปรามการทุจริต มีเรื่องค้างดำเนินการสะสม จำนวน ๖,๗๗๓ เรื่อง รับเรื่องเข้ามาใหม่ จำนวน ๓,๐๖๗ เรื่อง รวมรับดำเนินการ จำนวน ๙,๘๔๐ เรื่อง ดำเนินการเสร็จ จำนวน ๑,๔๕๘ เรื่อง ประกอบด้วย ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน ๙๗ เรื่อง ให้ข้อกล่าวหาตกไป จำนวน ๑,๐๓๓ เรื่อง ไม่รับหรือไม่ยกขึ้นพิจารณา จำนวน ๒๐๐ เรื่อง และส่งให้หน่วยงานอื่นดำเนินการ จำนวน ๑๒๘ เรื่อง คงเหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๘,๓๘๒ เรื่อง ๑.๒ ด้านการป้องกันการทุจริต ได้แก่ การดำเนินการเสริมสร้างทัศนคติและค่านิยมในความซื่อสัตย์สุจริต การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จำนวน ๒๑ โครงการ การดำเนินงานด้านจริยธรรมและคุณธรรม จำนวน ๖ เรื่อง และการดำเนินการด้านมาตรการป้องกันการทุจริต จำนวน ๕ เรื่อง ๑.๓ ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ได้แก่ การตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพบเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ จำนวน ๑ ราย การติดตามผลเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดและจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ จำนวน ๑ เรื่อง และการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในราชกิจจานุเบกษา จำนวนทั้งสิ้น ๒๙๘ ราย ไม่พบว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติแต่อย่างใด ๑.๔ ด้านบริหารจัดการองค์กร ได้แก่ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของสำนักงาน ป.ป.ช. การจัดโครงสร้างและอัตรากำลังสำนักงาน ป.ป.ช. การพัฒนาองค์กรและบุคลากรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ การส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่งานวิจัยเพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การสร้างความร่วมมือกับนานาชาติและองค์กรต่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งในระดับทวิภาคี (Bilateral) และพหุภาคี (Multilateral) การดำเนินงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนและตอบสนองการดำเนินงานตามภารกิจต่างๆ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งการกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ และบริหารงบประมาณ ๒. ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๒.๑ การแก้ไขกฎหมายอนุวัติการตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. ๒๐๐๓ ได้แก่ การแก้ไขเพิ่มเติมและตรากฎหมาย ๓ ฉบับ คือ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด และพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ มีความจำเป็นที่รัฐบาลและรัฐสภาจะต้องร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมและตรากฎหมายทั้งสามฉบับให้แล้วเสร็จและให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในอนุสัญญาฯ อันจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทย ๒.๒ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรมีการฝึกอบรมและปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่ดีด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม โดยบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับของชาติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย และให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องจัดการศึกษารับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เช่น การกำหนดหลักสูตรให้มีการบรรจุหัวข้อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตไว้ในเนื้อหาวิชาของการเรียนการสอนในแต่ละระดับชั้นตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา รวมถึงหลักสูตรในระดับอุดมศึกษาด้วย เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28796 | ขออนุมัติดำเนินโครงการเช่ารถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังพร้อมอุปกรณ์ จำนวน 313 คัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนย้ายผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ | ยธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กรมราชทัณฑ์เช่ารถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง ๔ ประเภท เพื่อทดแทนรถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในสภาพไม่เหมาะสมแก่การใช้งาน จำนวน ๑๖๗ คัน และเช่าเพิ่มเติมให้แก่เรือนจำ/ทัณฑสถาน ที่มีความจำเป็นและต้องการรถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง อีกจำนวน ๑๔๖ คัน รวมทั้งสิ้น ๓๑๓ คัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๙๒,๑๑๑,๒๐๐ บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ รวม ๕ ปี ได้ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังแบบตู้โดยสาร ขนาด (๖ ล้อ) แบบปรับอากาศ ขนาด ๒๔ ที่นั่ง พร้อมอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๗๔ คัน อัตราค่าเช่า ๓๔,๘๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๑๔๔,๒๑๑,๒๐๐ บาท ๑.๒ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังแบบตู้โดยสารปรับอากาศ (เบนซิน) ขนาด ๑๕ ที่นั่ง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) และอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๑๐๐ คัน อัตราค่าเช่า ๓๔,๔๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๑๙๒,๖๔๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง ขนาด ๑ ตัน แบบมีช่องว่างด้านหลังคนขับพร้อมอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๘๕ คัน อัตราค่าเช่า ๒๑,๕๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๑๐๒,๓๔๐,๐๐๐ บาท ๑.๔ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง ขนาด ๑ ตัน แบบ ๒ ประตู พร้อมอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๕๔ คัน อัตราค่าเช่า ๑๗,๕๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๕๒,๙๒๐,๐๐๐ บาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๗๐,๓๐๑,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๔๒๑,๘๐๙,๖๐๐ บาท ให้กรมราชทัณฑ์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ (ระยะเวลา ๔ ปี) ปีละ ๑๐๕,๔๕๒,๔๐๐ บาท รองรับตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติดในเรือนจำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28797 | ร่างกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พ.ศ. .... | คค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาระงับการจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ....] ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลในร่างกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยแก้ไขจาก “ข้อ ๒ ผู้ใดประสงค์จะนำรถตามข้อ ๑ มาจดทะเบียนตามมาตรา ๑๐ ให้นำมาจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ” เป็น “ข้อ ๒ ผู้ใดประสงค์จะนำรถตามข้อ ๑ มาจดทะเบียนตามมาตรา ๑๐ ให้นำรถมาจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เว้นแต่รถที่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ขึ้นบัญชีกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ซึ่งต้องชำระภาษีสรรพสามิตและผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว ให้นำมาจดทะเบียนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ” ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่เข้ามาจากต่างประเทศ ในเขตกรุงเทพมหานครและในเขตจังหวัดอื่นทุกจังหวัด ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน ๗ คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน ๗ คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ๒.๒ กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะนำรถมาจดทะเบียนตามมาตรา ๑๐ ให้นำมาจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เว้นแต่รถที่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ขึ้นบัญชีกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ซึ่งต้องชำระภาษีสรรพสามิตและผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว ให้นำมาจดทะเบียนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการนำชิ้นส่วนและโครงรถยนต์ที่ใช้แล้วมาประกอบหรือดัดแปลงเป็นรถยนต์ใหม่ และการกำหนดระยะเวลาการระงับจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าว ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28798 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2547/67 แปลงสำรวจบนบก หมายเลข L10/43 และ L11/43 | พน | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอให้บริษัท GS Caltex Corporation โอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑/๒๕๔๗/๖๗ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L10/43 และ L11/43 ให้แก่ บริษัท GS Energy Corporation ในอัตราร้อยละ ๓๐ โดยอาศัยตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ และตามมาตรา ๒๒ (๗) แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม และต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑/๒๕๔๗/๖๗ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดให้กฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28799 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน | พน | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน (Memorandum of Understanding between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Petroleum and Mineral Resources of Democratic Republic of Timor-Leste on Joint Cooperation in Energy Development) ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป คือ ๑.๑ ขอบเขตของความร่วมมือด้านพลังงานลักษณะกว้าง ๆ ได้แก่ ๑.๑.๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเลียม และการดำเนินการของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๒ การร่วมกันจัดเตรียมการศึกษาร่วมและโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๓ การฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารในด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๔ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของคู่ภาคี ๑.๑.๕ การเข้าร่วมสัมมนา จัดการประชุมและการจัดนิทรรศการร่วมกัน ๑.๑.๖ การให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและนำนโยบาย การประชุม และการจัดนิทรรศการร่วมกัน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและประยุกต์นำนโยบาย กฎหมายและกฎระเบียบไปใช้ในกิจกรรมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของแต่ละฝ่าย ๑.๒ การกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อทำหน้าที่ประสานงาน และดำเนินการตามกิจกรรม แผนงาน และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นแต่ละฝ่ายจะเป็นผู้รับผิดชอบ ๑.๓ บันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่มีการลงนาม และจะขยายเวลาออกไปโดยอัตโนมัติในแต่ละครั้งอีก ๓ ปี หากไม่มีการบอกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28800 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสิทธิในการเลือกรับรถประจำตำแหน่งหรือรับเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง | กต | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติเช่ารถยนต์สำหรับข้าราชการผู้มีสิทธิได้รถประจำตำแหน่งซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์เลื่อนระดับสูงขึ้นหรือโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ และเช่าทดแทนรถคันเก่าที่ได้มาด้วยวิธีซื้อซึ่งมีอายุการใช้งานเกินกว่า ๖ ปี ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถพิจารณาจัดหารถยนต์คันใหม่ได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๑ วรรคท้าย รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐ คัน ได้แก่ รถประจำตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๓๕,๒๘๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๔ คัน และรถประจำตำแหน่งรองอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๒๖,๑๐๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๖ คัน ๑.๒ อนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ (เรื่อง การปรับเพิ่มค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งและการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การเช่า/ซื้อรถยนต์) ที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับรถประจำตำแหน่งจะเปลี่ยนการใช้สิทธิได้เฉพาะกรณีที่บุคคลดังกล่าวได้รับการเลื่อนระดับหรือโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการผู้มีสิทธิ จำนวน ๔ คน ที่ปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งเดิมและใช้สิทธิเลือกรับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งไปแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเป็นการเลือกรับรถประจำตำแหน่ง และขออนุมัติทำสัญญาเช่ารถประจำตำแหน่ง รวมทั้งสิ้นจำนวน ๔ คัน ได้แก่ รถประจำตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๓๕,๒๘๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๒ คัน และรถประจำตำแหน่งรองอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๒๖,๑๐๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๒ คัน ๒. ในส่วนของงบประมาณค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่ารถยนต์ จำนวน ๑๔ คัน ระยะเวลา ๕ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเช่ารถยนต์ดังกล่าว ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๓,๙๖๗,๔๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๗๘๔,๔๐๐ บาท ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรในงบดำเนินงาน สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ.๒๕๖๐ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
|
.....