ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1446 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 28901 - 28920 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28901 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย | วธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เพื่อฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย จำนวน ๑๑ รายการ โดยดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. งานบูรณะวัดป่าโมกวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง จำนวน ๑๑,๙๗๕,๐๐๐ บาท ๒. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดเกาะพญาเจ่ง จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดกู้ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓,๕๙๓,๐๐๐ บาท ๔. โครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถาน วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๕. โครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเวียงกุมกาม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๘๐๑,๐๐๐ บาท ๖. วัดนายโรง กรุงเทพมหานคร (ระบบป้องกันและระบายน้ำ พระอุโบสถ งานบูรณะจิตรกรรมฝาผนัง) จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๗. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดชลอ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๙,๑๗๐,๐๐๐ บาท ๘. อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท ๙. อาคารสำนักงานและพื้นที่บริเวณ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑๐. งานซ่อมแซมระบบกล้องวงจรปิด (อุทยานประวัติศาสตร์ วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ คุ้มขุนแผน วิหารหลวงพ่อมงคลบพิตร พระราชวังโบราณ สำนักงานอุทยานฯ ลานจอดรถนักท่องเที่ยว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) จำนวน ๗,๕๓๔,๙๐๐ บาท ๑๑. วัดพระยาศิริไอศวรรย์ กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28902 | ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เกี่ยวกับ "ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้" และ "ปัญหายาเสพติดในเรือนจำ" | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เกี่ยวกับ "ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้" และ "ปัญหายาเสพติดในเรือนจำ" เกี่ยวกับการดำเนินการ ๔ มาตรการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) มาใช้เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของยานพาหนะที่ใช้สัญจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่ ๑.๒ การเพิ่มแสงสว่างถนนสายหลักและสายรองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยระบบไฟฟ้าส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่ ๑.๓ การเพิ่มจุดตรวจหรือจุดสกัดยานพาหนะ (ด่านอัจฉริยะ) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และเส้นทางที่จะเข้าสู่พื้นที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่ ๑.๔ การนำชุดเทคโนโลยี "MIXCIR" มาใช้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในเรือนจำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ๒. มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ คอ.นธ. เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการในส่วนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการใช้ทรัพยากร โดยให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของทางราชการไม่ให้รั่วไหล และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ เห็นควรมอบให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักด้านความมั่นคงไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) มาใช้เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของยานพาหนะในพื้นที่ การเพิ่มแสงสว่างด้วยระบบไฟฟ้าส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ และการเพิ่มจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในพื้นที่อย่างแท้จริง รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการนำชุดเทคโนโลยี "MIXCIR" มาใช้ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบ นำยาเสพติด และโทรศัพท์มือถือเข้ามาให้ผู้ต้องขัง โดยพิจารณาจัดหามาให้เรือนจำที่มีปัญหามากก่อน เป็นลำดับไป โดยต้องมีการถ่ายทอดความรู้การใช้อุปกรณ์เหล่านั้นให้กับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ดี ในการจัดหาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ควรให้ความสำคัญในเรื่องประสิทธิภาพ คุณภาพของอุปกรณ์ และความเชื่อมโยงกับระบบเดิมที่มีอยู่ เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอเพิ่มเติมว่า ในอนาคตหากมีการก่อสร้างเรือนจำความมั่นคงสูงสุด ควรพิจารณาให้มีการออกแบบอาคารให้มีห้องขังเดี่ยว ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสร้างเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมรับไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
28903 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. .... | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการสาธารณะอื่นให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ เพื่อให้เจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ที่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ ได้รับสิทธิการลดหย่อนภาษี หรือยกเว้นภาษีเป็นร้อยละของจำนวนเงินค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อจูงใจให้เจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น นำกฎกระทรวงฯ ไปปฏิบัติและเกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28904 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและ พัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" | อก | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อแสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน มีนโยบายในการช่วยเหลือสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง โดยอนุญาตให้ใช้ก๊าซ LPG ซึ่งเป็นก๊าซหุงต้ม : รับทราบแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ของกระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานประกาศผ่อนผันให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกลำปางสามารถซื้อก๊าซ LPG ได้ในราคาภาคครัวเรือน ซึ่งสามารถซื้อก๊าซได้ในขนาด ๔๘ กิโลกรัม/ถัง และพ่วงกันได้ไม่เกิน ๒๐ ถัง (จากเดิมกำหนดให้ ๑๐ ถัง) ๒. การสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก : รับทราบโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการศึกษาวิจัยและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซรามิก ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาในพื้นที่จังหวัดลำปางสามารถเข้าร่วมโครงการ และ/หรือ นำผลการศึกษาวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ ๓. การส่งเสริมการนำระบบการบริหารจัดการแบบ Lean Manufacturing และ Six Sigma มาใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิกเพื่อเพิ่มผลิตภาพ : ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปางในการลงพื้นที่เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องของการบริหารจัดการการผลิต ๔. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม นอกจากการพิจารณาประเด็นข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง ๔.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาผลิตภาพการผลิตของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยมีการกำหนดเพดานเงินกู้เพียง ๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ค่อนข้างต่ำเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายวิสาหกิจขนาดย่อม ในขณะที่วิสาหกิจขนาดกลางมีความต้องการวงเงินกู้ที่สูงกว่านี้ จึงมีข้อเสนอให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการฯ เพื่อเพิ่มเพดานวงเงินกู้ให้สูงขึ้น ๔.๒ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ควรมีการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและช่วยให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีเอกภาพ โดยอาจให้จังหวัดลำปางเป็นเจ้าภาพในการพิจารณารายละเอียดกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก ทั้งในส่วนของกิจกรรม/โครงการของจังหวัดลำปางและกิจกรรม/โครงการของหน่วยงานต่าง ๆ จากส่วนกลาง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28905 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา | นร | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ กรมการบินพลเรือน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. ทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมาณการจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีต้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ หลายประการไม่ได้กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ซึ่งหากยังยึดแผนแม่บทฯ เดิมอยู่จะทำให้การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยานโดยแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และอีกประการหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการประมาณการระยะเวลาสำหรับการก่อสร้างส่วนต่อขยาย เช่น ปัญหาทางวิ่งที่ ๓ ที่ประสบปัญหามีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนรอบข้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงแล้ว การเพิ่มและพัฒนาศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะล่าช้าและน่าเป็นห่วง ๒. พิจารณานำนโยบายการใช้ท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport มาใช้ทดแทนระบบ Single Airport โดยการพัฒนาท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport ให้นำท่าอากาศยานที่มีอยู่ในปัจจุบันมาทำให้การบริการการบินภายในประเทศและระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพ และคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงพิจารณาแนวทางการใช้ท่าอากาศยานอื่น ๆ ภายในประเทศมาบูรณาการเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดอย่างเต็มศักยภาพ ๓. ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นท่าอากาศยานที่จะมีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างสูง แต่จากข้อมูลที่ดำเนินการศึกษาพบว่าท่าอากาศยานอู่ตะเภาปัจจุบันอยู่ในพื้นที่และอำนาจการบริหารของกองทัพเรือ และไม่ได้รับความสนใจจากสายการบินต่าง ๆ เท่าที่ควร ดังนั้น รัฐบาลควรเป็นผู้ประสานกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และกองทัพเรือ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันโดยอาจจะมีรูปแบบให้ ทอท. เป็นผู้บริหารท่าอากาศยานอู่ตะเภา และแบ่งผลประโยชน์ให้กองทัพเรือ หรือนำรูปแบบการบริหารท่าอากาศยานดอนเมืองมาปรับใช้ เพราะท่าอากาศยานดอนเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่ของกองทัพอากาศซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน หรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นรูปธรรมขึ้น อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การดำเนินการใด ๆ จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และความสามัคคีปรองดองกล่าวคือการคำนึงถึงประโยชน์ของกองทัพเรือด้วย ๔. รัฐควรกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และนโยบายให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกับการปรับปรุงแผนแม่บทแห่งชาติเกี่ยวกับท่าอากาศยานทั้งประเทศ โดยการจัดตั้งองค์กรอิสระที่มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ภาคราชการและรัฐวิสาหกิจ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจและเอกชน ๕. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รัฐควรเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่าง ๆ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เหมาะสมกับการเป็นสนามบินหลัก (Main Airport) ในเรื่องการพิจารณาถึงความสำคัญเรื่องการเพิ่มทางวิ่งของเครื่องบิน สาย ๓ (Runway 3) โดยเร่งรัดระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๖-๑๒ เดือน เพิ่มอาคารเทียบเครื่องบินและอาคารผู้โดยสาร (Terminal) ต้องสร้าง Shuttle Train เพื่อขนส่งผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินซึ่งมีระยะห่างกันมาก ให้เหมือนกับท่าอากาศยานสากลที่ใช้กันอยู่ การเชื่อมต่อท่าอากาศยานระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานดอนเมืองควรจัดให้เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคู่ไปกับการเปิดใช้ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งควรกำหนดให้เสร็จในระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน โดยจัดให้มี Nonstop express bus lane เพื่อรับส่งผู้โดยสารระหว่างท่าอากาศยาน หรืออาจเป็น Airport shuttle bus วิ่งตรงระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางและมีทางวิ่งโดยเฉพาะและมีรั้วตาข่ายกั้นตลอดเส้นทาง รวมทั้งจัดให้มี Nonstop express shuttle train รถไฟสายนี้ต่อเชื่อมระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง โดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางใช้เวลาเดินทางไม่ควรเกิน ๒๐-๓๐ นาที ๖. ท่าอากาศยานดอนเมือง รัฐควรจัดให้มีการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นสนามบินรอง (Secondary Airport) โดยดำเนินการให้กลับมามีความพร้อมใช้งานได้ดังเดิมเหมือนก่อนการปิดใช้งานท่าอากาศยาน และควรเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่อผู้โดยสาร เช่น ติดตั้งทางเลื่อน (walkway conveyor) บนพื้นทางเดินเพิ่มขึ้น และปรับปรุงพัฒนาพื้นที่บางส่วนของอาคารผู้โดยสารให้เป็นพื้นที่ใช้บริการต้อนรับผู้โดยสาร VIP ระดับ Elite Service และพัฒนาพื้นที่โดยรอบของท่าอากาศยานดอนเมืองให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28906 | รัฐบาลสาธารณรัฐฟินแลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นางกีร์สติ เวสต์ฟาเลน (Mrs. Kirsti Westphalen)] | กต | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางกีร์สติ เวสต์ฟาเลน (Mrs. Kirsti Westphalen) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนางซีร์ปา แมนปา (Mrs. Sirpa Maenpaa) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28907 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การใช้จ่ายเงินกองทุน อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุน การจัดทำบัญชีและการส่งงบประมาณ เพิ่มเติมการโอนกิจการ สิทธิ หนี้ และงบประมาณ ๑.๒ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่กองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้หมดความจำเป็นต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งแล้ว ควรดำเนินการจัดให้มีการประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หน่วยงานรับผิดชอบทุนหมุนเวียน) สำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณายุบเลิกกองทุนฯ ให้เป็นไปตามตามนัยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๓ และในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพนั้น นอกเหนือจากการมีกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีเอกภาพแล้ว กลไกนั้นจะต้องมีการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพและคล่องตัว โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการออกแบบรูปแบบองค์กรที่เหมาะสมที่จะสามารถมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศในอนาคต รวมทั้งเร่งรัดการจัดตั้งองค์กรดังกล่าวด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
28908 | ขออนุมัติเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน เป็นการถาวรในการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) (เดิม) ในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่จังหวัดตราด) ที่เห็นชอบในหลักการและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณีฯ เพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน ๑ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสนอ่อน-ป่าคลองใหญ่-ป่าคลองมะขาม เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด เป็นการถาวร ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ทั้งในระหว่างการก่อสร้างและเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและหน่วยงานผู้บริหารท่าเรือถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ด้วย ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรร/อนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนให้กับหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการหรือหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ดำเนินการปลูกป่าตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด โดยถือเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของโครงการนั้น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
28909 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | ปง | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ตามใบกันเงินเลขที่เอกสาร ๑๐๐๘๑๓๗๐ จำนวน ๕๔,๔๖๖,๔๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โครงสร้างใหม่ และอัตรากำลัง โดยให้สำนักงาน ปปง. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28910 | หนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส | ศธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (Declaration d’Intention dans le Domain de la Cooperation Educative entre le Ministre Francais des Affaires Etrangeres et Le Ministre Thailandais de l’Education) เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินโครงการสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือทางด้านการศึกษาและการวิจัย ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับระยะของโครงการ ซึ่งหากเป็นโครงการสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวรรคแรกของ Program description อาจพิจารณาเพิ่ม “2013” หลัง “between June and September” และระบุจำนวนโควตาของอาสาสมัครในแต่ละปีเพื่อประโยชน์ในการเตรียมการของหน่วยงานผู้ปฏิบัติ รวมทั้งปรับแก้ชื่อคู่ภาคีในชื่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ในเนื้อหาของร่างคำประกาศฯ และในช่องการลงนาม โดยชื่อคู่ภาคีของฝ่ายไทยอาจพิจารณาใช้ “The Ministry of Education of the Kingdom of Thailand” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อทางการของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำบางแห่งในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาไทย อาทิ ชื่อกระทรวงศึกษาธิการในชื่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เนื้อหา และช่องการลงนาม ให้มีความสอดคล้องกัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28911 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ในคดีหมายเลขดำที่ 119/2552 ระหว่างนายพรชัย ปรีชาปัญญา ผู้ฟ้องคดี นางก่องกานดา ชยามฤต ผู้ร้องสอด นายกรัฐมนตรีที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย | อส | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๙/๒๕๕๒ คดีหมายเลขแดงที่ ๖๒๐/๒๕๕๕ ระหว่างนายพรชัย ปรีชาปัญญา ผู้ฟ้องคดี นางก่องกานดา ชยามฤต ผู้ร้องสอด นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ คณะรัฐมนตรี ที่ ๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ๓ อดีตคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๔ คณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๕ คณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๖ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๗ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษายกฟ้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28912 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติด้านบริการรักษาพยาบาล" | สสป | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติด้านบริการรักษาพยาบาล" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติด้านบริการรักษาพยาบาล" โดยในส่วนความเห็นสำนักงานสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะด้านหลักการของการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติ ต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาด้านวิชาการและเทคโนโลยีทางด้านแพทย์และสาธารณสุขเป็นหลัก และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงความเป็นเลิศนี้ โดยต้องไม่ปิดกั้นโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ใช้บริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพและระบบอื่น ๆ รวมทั้งต้องสร้างให้เกิดความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ตลอดจนมีแผนการดำเนินการที่ไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อระบบสุขภาพของประเทศ และเปิดเผยแผนฯ ต่อสาธารณชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การดำเนินการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติต้องสอดคล้องกับธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่องนโยบายการเป็นศูนย์กลางการสุขภาพนานาชาติ ๒. ข้อเสนอต่อรัฐบาล กำหนดนโยบาย ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่สนับสนุน อาทิ ดำเนินนโยบายการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๐ (๒) ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่องนโยบายการเป็นศูนย์กลางการสุขภาพนานาชาติ และการจัดสรรเงินรายได้ของผู้ดำเนินการตามนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ในการลงทุนผลิตและพัฒนากำลังคนทางการแพทย์ เพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพในชนบทอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มการลงทุนด้านงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และวางแผนเพิ่มการผลิตกำลังคนให้เพียงพอ เป็นต้น ๓. ข้อเสนอสำหรับผู้ดำเนินการตามนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ อาทิ มีการจัดสรรเงินรายได้ (Gross Revenue) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ มาลงทุนในด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนสำหรับการพัฒนาระบบสุขภาพในชนบทอย่างต่อเนื่อง กำหนดแผนและมาตรการที่เป็นหลักประกันการเข้าถึงบริการของศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติของผู้ป่วยชาวไทยอย่างเท่าเทียม และหากมีการจ้างงานหรือนำเข้าบุคลากรทางการแพทย์ในสาขาที่ขาดแคลนจากต่างประเทศจะต้องดำเนินการตาม WHO Global Code of Practive on the International Recruitment of Health personnel เป็นต้น ๔. การติดตาม เฝ้าระวัง ต้องมีกลไกร่วมระหว่างรัฐและผู้ดำเนินการตามนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ และหน่วยงานวิชาการเพื่อการติดตาม ประเมินสถานการณ์ในระดับประเทศอย่างสม่ำเสมอ การจัดระบบการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลจำนวนของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยว การเคลื่อนย้ายของบุคลากร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28913 | รายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ 1 สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] โดย รฟท. ได้จัดทำรายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไปแล้ว และได้ส่งให้กระทรวงการคลังรับทราบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28914 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนอนุบาลชุมพร | ศธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียน แบบ ๓๒๔ ล. ตอกเข็ม โรงเรียนอนุบาลชุมพร จังหวัดชุมพร จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๒๔,๕๕๖,๔๐๐ บาท เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๒๕๗,๗๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๖,๖๕๐,๕๐๐ บาท และให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑,๘๐๙,๘๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้ใช้เงินรายได้สถานศึกษาสมทบ อีกจำนวน ๒,๘๓๘,๔๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28915 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ | พณ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๕/๕๖ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ จุดละ ๒ คน ๆ ละ ๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ ระยะเวลา ๘ เดือน จำนวน ๑,๓๐๐ จุด เป็นเงิน ๑๒๖,๓๖๐,๐๐๐ บาท และจุดรับจำนำโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๕/๕๖ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ จุดละ ๒ คน ๆ ละ ๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ ระยะเวลา ๔ เดือน จำนวน ๖๕๐ จุด เป็นเงิน ๓๑,๔๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕๗,๘๒๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำดังกล่าว ให้เจียดจ่ายจากเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อน หากไม่สามารถเจียดจ่ายได้ เห็นควรสนับสนุนเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเฉพาะในส่วนที่ไม่เพียงพอ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำกำกับดูแลและให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกรที่นำข้าวเปลือกและมันสำปะหลังมาเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดระบบตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุด เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างเต็มที่ และป้องกันการฮั้วระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าของโรงสี รวมทั้งประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน ให้มีการรายงานผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ตลอดจนให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดเกี่ยวกับการรับจำนำ โดยเน้นด้านการตรวจสอบการทุจริต เช่น การตรวจวัดความชื้น การชั่งน้ำหนัก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
28916 | ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2553 - 2555) ภายใต้แผนแม่บทการป้องกันและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่ม (ระยะ 5 ปี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทการป้องกันและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่ม (ระยะ ๕ ปี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย แผนงาน/โครงการที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๒,๘๐๗.๖๑๑๖ ล้านบาท มีหน่วยงานร่วมบูรณาการทั้งสิ้น ๓๐ หน่วยงาน ๒. หน่วยงานที่ร่วมบูรณาการได้แจ้งผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทราบ จำนวน ๒๓ หน่วยงาน โดยได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินการ จำนวน ๓๒ โครงการ เป็นเงิน ๓๔,๔๙๑.๘๑๘๘ ล้านบาท ๓. จากการรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ตั้งข้อสังเกตเพื่อใช้ในการบริหารจัดการอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดย ๓.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านการจัดการหลังเกิดภัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับงบประมาณเกินกว่าที่ตั้งไว้เป็นจำนวนมากเนื่องจากเกิดมหาอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้รับงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อนำไปดำเนินการฟื้นฟู ซ่อมแซม เช่น การซ่อมสร้างเส้นทางคมนาคม สะพาน ระบบไฟฟ้า ซ่อมแซมฝาย อ่างเก็บน้ำ ประตูน้ำ รวมถึงการฟื้นฟูด้านจิตใจ และการสร้างอาชีพแก่ผู้ประสบภัย เป็นต้น ๓.๒ จากข้อมูลที่ปรากฏพบว่ารัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการจัดการหลังเกิดภัยสูงกว่างบประมาณในด้านการป้องกันและการเตรียมความพร้อมถึงร้อยละ ๙๗.๙๗ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็น ในการป้องกันและเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งจะมีผลทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูได้เป็นจำนวนมาก ๓.๓ จากการวิจัยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) พบว่าหากลงทุนในการป้องกันภัยพิบัติ ๑ บาท จะสามารถลดความเสียหายจากภัยพิบัติได้ถึง ๘ บาท ดังนั้น หากลงทุนในเรื่องการป้องกันและการเตรียมความพร้อมจากภัยพิบัติจะไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในด้านการจัดการหลังเกิดภัย ซึ่งแนวทางดังกล่าวนับเป็นการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืนของประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28917 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม 2555 | พณ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๖ เทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๔๑ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๙ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๕) จากการสูงขึ้นของราคาอาหารสดและน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น ร้อยละ ๒๑.๙๕ สาเหตุจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนทำให้พืชผักหลายชนิดได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ไข่และผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหารและอาหารสำเร็จรูปมีราคาสูงขึ้นตามภาวะต้นทุนการผลิต ขณะที่สินค้าประเภทเนื้อสุกร ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง และผลไม้สดมีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๐.๑๑ เนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา เป็นสำคัญ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๖๓ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๐ โดยดัชนีราคาหมวดปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๙๓ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๖.๗๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๒.๔๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๕๘ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๓๒ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๓.๓๙ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๘ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๙ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๒๕ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๔๑หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๕๙ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๙ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๐๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๘๕ และดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๘๕ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๑๑ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๐.๙๐ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๐๐ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๕.๔๓ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๓ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๕.๕๗ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๗๓ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๖๔ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๕.๗๘ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๙ หมวดยานพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๕๖ หมวดบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๑ และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๙๕ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๘๘ เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๔ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๕) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา วัสดุก่อสร้าง (แผ่นไม้อัด ปูนซีเมนต์) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ใบมีดโกน น้ำมันใส่ผม กระดาษชำระ ผ้าอนามัย) ค่าบริการส่วนบุคคล (ค่าแต่งผมบุรุษ-สตรี) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด [ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม้กวาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น) สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง] เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (เบียร์) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น บริภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ ๐.๐๑ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า) และค่าอุปกรณ์การบันเทิง ร้อยละ ๐.๐๒ (เครื่องรับโทรทัศน์)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28918 | การนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน (KKFC) เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ | ทส | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก นำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมทั้งเห็นชอบเอกสารนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการแก้ไขชื่อภาษาอังกฤษของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน จากเดิม "Kaeng Krachan Forest Complex : KKFC" เป็น "Thailand Western Forest Complex" ก่อนนำเสนอไปยังศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๓. เพื่อให้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งพื้นที่กลุ่มป่าอื่นๆ ของไทยทุกแห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไว้แล้ว เช่น มรดกโลกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง มรดกโลกป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นต้น มีกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและการบริหารจัดการพื้นที่โดยมีการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นเจ้าภาพรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่กำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่กลุ่มป่าดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
28919 | ผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเชิญนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเยือนไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญให้นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเดินทางเยือนไทย ทั้งด้วยวาจา (ระหว่างการหารือทวิภาคี) และในหนังสือขอบคุณหลังเสร็จสิ้นการเยือนแล้ว ซึ่งสหราชอาณาจักรตอบรับ ๒. การจัดการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร ครั้งที่ ๑ โดยนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมในการจัดตั้งกลไกการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร (Thailand-United Kingdom Strategic Dialogue) เป็นกลไกหารือประจำปีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทั้งประเด็นทวิภาคี ภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศ ๓. การค้าและการลงทุน โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุน/ดำเนินธุรกิจในสหราชอาณาจักร และต้องการ ผลักดันให้มีการเพิ่มปริมาณการลงทุนของบริษัทสหราชอาณาจักรในประเทศไทย โดยเฉพาะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ในโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการป้องกันอุทกภัย รวมทั้งขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนการขยายโควตาการนำเข้าไก่สดแช่แข็งของไทยเข้าสหภาพยุโรป สำหรับสหราชอาณาจักรย้ำความสำคัญของการเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน ๔. การถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ โดยสหราชอาณาจักรเสนอที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของสหราชอาณาจักรในกรณีไอร์แลนด์เหนือ เพื่อเป็นกรณีศึกษาที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการปรองดองแห่งชาติของไทย ๕. ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง โดยสหราชอาณาจักรแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม และความมั่นคงกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะในด้านการต่อต้านการก่อการร้าย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ๖. การศึกษา โดยฝ่ายไทยประสงค์จะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษจากฝ่ายสหราชอาณาจักรต่อไป เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ๗. มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของสหราชอาณาจักร โดยฝ่ายไทยขอให้สหราชอาณาจักรพิจารณาผ่อนปรนข้อกำหนดที่เข้มงวดในการขอรับตรวจตราสำหรับพ่อครัว/แม่ครัวไทยที่ประสงค์จะไปทำงานที่สหราชอาณาจักร แต่ฝ่ายสหราชอาณาจักรย้ำถึงความจำเป็นในการคงกฎระเบียบดังกล่าวเพื่อรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ๘. พลังงานทางเลือก โดยไทยสนใจที่จะขอรับการสนับสนุนองค์ความรู้และนวัตกรรมเรื่องพลังงานทดแทนจากสหราชอาณจักร ๙. อุตสาหกรรมอาหาร โดยไทยสนใจขอรับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และนวัตกรรมในด้านอุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปสินค้าเกษตรซึ่งภาคเอกชนสหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ ๑๐. การท่องเที่ยว โดยสหราชอาณาจักรแสดงความห่วงกังวลเรื่องปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยว อาชญากรรม และมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนในไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของภาคเอกชนสหราชอาณาจักร อาทิ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ไปพร้อมกับการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวเดิม ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านสื่อมวลชนระดับโลก ให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์กรองปรีซ์ (Grand Prix) การจัดเตรียมบริการรองรับเที่ยวบินพิเศษ (chartered flight) การเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะ (niche market) และความไม่สอดคล้องของการตรวจลงตรานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยทางบกและทางอากาศ (๑๕ วัน และ ๓๐ วัน ตามลำดับ) เป็นต้น ๑๑. เมียนมาร์ โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนพัฒนาการในเมียนมาร์ให้มีปฏิสัมพันธ์อย่างสมดุล โดยเฉพาะการผลักดันให้สภาพยุโรปยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรโดยสมบูรณ์ และขอให้สหราชอาณาจักรร่วมมือพัฒนาเมียนมาร์กับไทยในลักษณะไตรภาคี ๑๒. บทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยไทยขอรับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรต่อการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกครั้งในวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28920 | ผลการประชุมผู้นำเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 9 | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๙ (The 9th Asia-Europe Meeting : ASEM 9) ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชาว (สปป.ลาว) ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สาธารณรัฐโปแลนด์ ได้แก่ การเชิญนายโดนัลด์ ทุสค์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยและโปแลนด์มีความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกันมากขึ้น โดยการจัดตั้งกลไกเพื่อหารือ และการเชิญชวนให้โปแลนด์นำเข้าข้าวจากไทย การเร่งรัดการพิจารณาร่างความตกลงว่าด้วยการรักษาข้อมูลลับ และการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากโปแลนด์ การขอยกเว้นการตรวจลงตราเขตเชงเก้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย การแลกเสียงระหว่างการสมัครเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย กับการสมัครวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๑๙ ของโปแลนด์ และการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-โปแลนด์ ๒. ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้แก่ การจัดตั้ง Joint-Committee ไทย-นอร์เวย์ การขอยกเว้นการตรวจลงตราเขตเชงเก้น และร่วมมือกับนอร์เวย์ในลักษณะไตรภาคีเพื่อให้ความช่วยเหลือเมียนมาร์ ๓. สาธารณรัฐอิตาลี ได้แก่ การเยือนอิตาลีของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอิตาลี การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยกับอิตาลีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การส่งตัวนาย Vito Roberto Palazzolo เป็นผู้ร้ายข้ามแดน การดำเนินคดีกรณีการเสียชีวิตของนาย Fabio Polenghi ช่างภาพอิสระ ๔. มองโกเลีย ได้แก่ การเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของประธานาธิบดีมองโกเลีย การเป็นเจ้าภาพการประชุม Community of Democracies ที่กรุงอูลานบาตอร์ ของมองโกเลีย ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๖ การลงทุนในสาขาเหมืองแร่และสาขาอื่นในมองโกเลีย การสนับสนุนมองโกเลียในการสมัครเป็นสมาชิกกรอบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit : EAS) และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย (Asia Pacific Economic Cooperation : APEC) และการเปิดบริการบินตรง กรุงเทพฯ-กรุงอูลานบาตอร์ ๕. ญี่ปุ่น ได้แก่ การยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่สด แช่แข็ง และไก่แช่เย็นจากไทย การเปิดเสรีสินค้าเกษตรเพิ่มเติมภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เช่น ระบบราง ระบบ ICT การเชิญญี่ปุ่นร่วมมือในโครงการพัฒนาพื้นที่ทวาย การจัดกิจกรรมฉลอง ๔๐ ปี ความสัมพันธ์กรอบอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมถึงการจัดประชุมผู้นำอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ และการสนับสนุนกรุงโตเกียวในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๖. สาธารณรัฐฟินแลนด์ ได้แก่ การพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของฟินแลนด์ และการเชิญนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์เยือนไทย ๗. สาธารณรัฐบัลแกเรีย ได้แก่ การเยือนบัลแกเรียของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของประธานาธิบดีบัลแกเรีย ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และการขอเสียงสนับสนุนจากบัลแกเรียในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย ๘. สาธารณรัฐเอสโตเนีย ได้แก่ การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาเอสโตเนียเพื่อการท่องเที่ยวพำนักได้ ๓๐ วัน การยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเก้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย การเชิญนายกรัฐมนตรีเอสโตเนียเยือนไทย และการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร (IT) ๙. สปป.ลาว ได้แก่ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน โดยการจัดประชุม JBC ครั้งที่ ๙ ปัญหายาเสพติด การชี้แจงทำความเข้าใจกับประเทศที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการไซยะบุรี ความคืบหน้าโครงการสะพานมิตรภาพ ๔ ข้อเสนอโครงการสะพานมิตรภาพ ๕ และสะพานสำหรับทางรถไฟหนองคาย-เวียงจันทน์ และการหารือเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระบบรถไฟความเร็วสูง ๑๐. สาธารณรัฐฮังการี ได้แก่ การเยือนฮังการีของนายกรัฐมนตรี ความร่วมมือด้านการเงินการคลังร่วมกัน การเลื่อนการเยือนฮังการีของรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การประชุม Joint Economic Commission (JEC) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ความร่วมมือระหว่าง VITUKI Academy ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-ฮังการี ครั้งที่ ๓
|
.....