ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1307 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 26121 - 26140 จากข้อมูลทั้งหมด 124254 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26121 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/09/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการบริหาร ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการรับฟังความเห็นและท่าทีของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลในขณะนี้ เช่น การปรับโครงสร้างพลังงาน การสร้างโรงไฟฟ้า การก่อสร้างโรงกำจัดขยะ มาตรการด้านภาษี โดยให้หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบนโยบายติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่ยังมีความเห็นต่าง และรวบรวมข้อมูลความเห็นเพื่อดำเนินการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ทั้งนี้ ผู้ทำหน้าที่ชี้แจงประชาสัมพันธ์จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจนในเรื่องที่จะประชาสัมพันธ์ตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๖ กันยายน ๒๕๕๗) ที่ให้ทุกส่วนราชการจัดระบบการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและระมัดระวังการประชาสัมพันธ์เรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการและทิศทางการทำงานของรัฐบาล ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านจัดทำรายงานผลการดำเนินการในด้านที่รับผิดชอบเป็นรายสัปดาห์ ส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรวบรวมและวิเคราะห์ถึงความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงกลาโหมประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนและปัญหาอื่น ๆ ในพื้นที่ชายแดน ทั้งมิติการค้าและการลงทุน การบริหารจัดการพลังงานเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณากลั่นกรองก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีทุกท่านเพื่อทราบต่อไป ๑.๔ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ทุกส่วนราชการเตรียมความพร้อมเพื่อสามารถเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ นั้น ให้ทุกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ระยะ ๑ ปี ของโครงการในความรับผิดชอบเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการพิจารณา โดยในระยะ ๓ เดือนแรกให้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับโครงการขนาดเล็กที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที ๑.๕ ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาตามนโยบายของรัฐบาล โดยในเบื้องต้นอาจพิจารณานำเงินเหลือจ่ายปี ๒๕๕๗ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ มาใช้สนับสนุนแนวทางดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๖ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมและยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการจัดตั้งสถานศึกษาที่มีความเป็นเลิศทางด้านกีฬาให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในทุกภูมิภาคโดยเร็ว โดยให้พิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ารับการศึกษาในแต่ละสาขาวิชาให้มีความเหมาะสมกับลักษณะกีฬาด้วย ๒. ด้านกฎหมาย ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานงานกับทุกส่วนราชการเพื่อจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) โดยให้จัดกลุ่มกฎหมายออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กฎหมายที่ล้าสมัย กฎหมายที่ค้างการดำเนินการ และกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใหม่ แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันและก๊าซในปัจจุบัน นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและดำเนินการตามมติดังกล่าวเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะด้วย
|
||||||||||||||||||
26122 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานของไทยกับทบวงพลังงานระหว่างประเทศ | พน | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานของไทยกับทบวงพลังงานระหว่างประเทศ [Draft MOU on Energy Cooperation between Ministry of Energy of Thailand and International Energy Agency (IEA)] โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ครอบคลุมสาขาความมั่นคงทางน้ำมันและก๊าซ (Energy Security) กรอบแนวทางการสำรองน้ำมัน (Stockholding Regime) นโยบายและมาตรการเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน (Energy Emergency Preparedness) สถิติด้านพลังงาน (Energy Statistics) และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่สนใจและตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่ายอันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยอย่างยั่งยืน และนำไปสู่การเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของโลก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ นี้ ร่วมกับผู้อำนวยการทบวงพลังงานระหว่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวได้ ๒. มอบหมายกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ ในการประชุมคัดค้านการก่อสร้างหรือขยายโรงไฟฟ้าในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น การขยายโรงไฟฟ้า จังหวัดกระบี่ เป็นต้น และให้เร่งชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องต่อสาธารณชนให้เข้าใจอย่างทั่วถึงและเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย |
||||||||||||||||||
26123 | ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ | พน | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (Draft Joint Statement of The Lao PDR, Thailand, Malaysia and Singapore Power Integration Project : LTMS PIP) โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ในการซื้อขายไฟฟ้าข้ามแดนระหว่าง ๔ ประเทศ โดยมีการดำเนินงานหลัก คือ การจัดตั้งคณะทำงานโครงการนำร่องสำหรับการศึกษาในเรื่องการซื้อขายไฟฟ้าข้ามแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว-ราชอาณาจักรไทย-มาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Lao PDR, Thailand, Malaysia, Singapore Power Integration Project Working Group : LTMS PIP Working Group) เพื่อศึกษาถึงศักยภาพและพิจารณาความเป็นไปได้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวถึงการซื้อขายไฟฟ้าไปยังสาธารณรัฐสิงคโปร์ผ่านโครงข่ายที่มีอยู่เดิม ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวในที่ประชุมได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานศึกษาลู่ทางและผลักดันให้มีการดำเนินโครงการร่วมลงทุนด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ฝั่งไทย เพื่อให้เกิดความสมดุลเป็นธรรม รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศด้วย |
||||||||||||||||||
26124 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ตช | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๓๐๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณ จำนวน ๑๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๑๗,๑๗๗,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘- พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๖๕,๘๒๓,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๑๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงในเรื่องความเหมาะสมของราคากับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในประเด็นระยะถอยร่นและการป้องกันผลกระทบต่อชายหาด และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตาม ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
26125 | ร่างพระราชบัญญัติการค้างาช้าง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการค้างาช้าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายเพื่อควบคุมการค้าและการครอบครองงาช้างหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากงาช้างตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่าน ซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากของสัตว์ป่าสงวน และซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง ให้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่าสงวนหรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗) ที่เห็นควรดำเนินการตรวจสอบการประกอบการค้า การนำเข้า และการส่งออกงาช้างอย่างจริงจัง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย รวมทั้งการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อใช้บังคับตามร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับไว้เป็นการล่วงหน้า และเร่งรัดให้มีการดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับโดยเร็ว ตลอดจนการแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการออกตั๋วรูปพรรณของช้างตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะให้เหมาะสม โดยเร็วด้วย |
||||||||||||||||||
26126 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร04 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอว่า ในระหว่างการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นั้น ได้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) แล้ว เห็นว่าเพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงขอเสนอร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๔ ฉบับ คือ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๓) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (The GMS Agreement)] ๒. รับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๗ วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๗ วันศุกร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอ
|
||||||||||||||||||
26127 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 32 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ ความพยายามของประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการพลังงานของอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๓-๒๕๕๘ (ASEAN Plan of Actions on Energy Cooperation : APAEC 2010-2015) เพื่อให้ภาคพลังงานของอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๐๑๕ และการพัฒนาแผนปฏิบัติการพลังงานอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ความพยายามของอาเซียนในการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง และการพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมทั้งการผลักดันการดำเนินการโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline-TAGP) การพัฒนาและโครงการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid-APG) การดำเนินตามเป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาเซียน การพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๑ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน+๓ สนับสนุนในเรื่องการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในสถานการณ์พลังงานของโลกและอาเซียน+๓ การแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ตลอดจนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของประเทศสมาชิกและประเทศคู่เจรจา การพัฒนาแนวทางการสำรองน้ำมันในอาเซียน การพัฒนาและพิจารณาถึงผลกระทบจาก Shale Gas ในภูมิภาค การถ่ายทอดเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดและการสนับสนุนด้านการเงิน การส่งเสริมพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงาน การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติในอาเซียน ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๘ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การประกาศจุดยืนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังในสาขาพลังงานต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำฐานข้อมูลเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศเอเชียตะวันออก และการร่วมมือในโครงการมองภาพอนาคตด้านพลังงาน (Energy Outlook) ตลอดจนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ๑.๑.๔ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงพลังงานระหว่างประเทศ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การร่วมมือในการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านตลาดก๊าซธรรมชาติที่ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนพัฒนาการตั้งศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซในภูมิภาคนี้ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวในที่ประชุมได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านต่างประเทศ ด้วย |
||||||||||||||||||
26128 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในกรอบอาเซียนเกี่ยวกับแผนการส่งเสริมสินค้าเกษตรและป่าไม้ | กษ | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในกรอบอาเซียนเกี่ยวกับแผนการส่งเสริมสินค้าเกษตรและป่าไม้ (MOU on ASEAN Co-operation in Agriculture and Forest Products Promotion Scheme) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มอำนาจการต่อรองในเรื่องการค้าผลิตภัณฑ์เกษตรและป่าไม้ของอาเซียนในตลาดโลก รวมถึงการเสริมความพยายามเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่จะนำไปสู่การขยายตลาด การพัฒนาคุณภาพ และความปลอดภัยสินค้าและอาหาร เป็นฐานสำหรับการประสานงานระหว่างรัฐสมาชิกอย่างใกล้ชิด และสร้างความมั่นใจว่าจะมีวัตถุดิบในการผลิตที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ภายใต้แผนงานการส่งเสริมสินค้าเกษตรและป่าไม้อาเซียนครอบคลุมสินค้า จำนวน ๑๒ ชนิด ได้แก่ สาหร่ายทะเลและผลิตภัณฑ์ โกโก้ มะพร้าว กาแฟ ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ น้ำมันปาล์ม เมล็ดถั่วและถั่วฝัก พริกไทย มันสำปะหลัง ชา ปลาทูน่า และหม่อนไหม ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามเอกสารดังกล่าวหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนลงนามเอกสารดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ควรคำนึงถึงผลประโยชน์และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยไม่ควรให้มีการเชื่อมโยงกับเรื่องของการเปิดเสรีการทำป่าไม้จากป่าปลูกภายใต้ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน และข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เกี่ยวกับด้านต่างประเทศ ด้วย |
||||||||||||||||||
26129 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช | กษ | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Memorandum of Understanding on Strengthening Sanitary and Phytosanitary Cooperation) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการกำหนดขอบเขตความร่วมมือเกี่ยวกับมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures : SPS) การกำหนดกลไกในการดำเนินงาน และการคุ้มครองสิทธิของทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรให้ความสำคัญในประเด็น “การเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ : (Access and Benefit Sharing)” ที่ได้จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ตามหลักของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBO) และกฎหมายของแต่ละประเทศ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านต่างประเทศ ด้วย |
||||||||||||||||||
26130 | ขอเสนอร่างแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี 2558 - 2560 เข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ | นร51 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ประกอบด้วย ๙ กลยุทธ์ ได้แก่ การแก้ปัญหาด้านยาเสพติด ด้านผู้หลบหนีเข้าเมือง ด้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ด้านความมั่นคงพิเศษ ด้านการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมการดำเนินการตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ ด้านการดำเนินการภาคประชาชนเพื่อความมั่นคงของชาติ และด้านการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ๒. ให้ กอ.รมน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับเผชิญสถานการณ์เร่งด่วน ควรมีการบูรณาการร่วมกับส่วนราชการในการจัดทำแผนร่วมกัน มีการกำหนดบทบาทของทุกส่วนราชการที่ชัดเจน รวมทั้งให้มีการซ้อมแผนอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนให้ภาคประชาชนและอาสาสมัครประจำหมู่บ้านดำเนินการเพื่อความมั่นคง หากมีเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต บุคคลเหล่านั้นควรได้รับการดูแลช่วยเหลือเพื่อชดเชยและให้ขวัญกำลังใจทั้งการให้ความช่วยเหลือด้านตัวเงินและด้านอื่น ๆ การปรับปรุงสารสนเทศข้อมูลแรงงานต่างด้าว ควรพัฒนาโปรแกรมการบันทึกข้อมูลสารสนเทศและการใช้ประโยชน์ของฐานข้อมูลร่วมกันของทุกส่วนราชการภายใต้ความมั่นคงด้านข้อมูลสารสนเทศเดียวกัน การรักษาพยาบาลและการควบคุมป้องกันโรคระบาดในกลุ่มประชากรตามแนวตะเข็บชายแดน ต้องให้การรักษาพยาบาลตามหลักมนุษยธรรม การควบคุม ป้องกัน สอบสวนและเฝ้าระวังโรคจะต้องมีแผนการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ และควรมีแผนการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมกรณีมีการระบาดของโรค และการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในส่วนของการจัดบริการรักษาพยาบาลสำหรับผู้บาดเจ็บที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ โดยเฉพาะการดูแลและการเคลื่อนย้าย ณ จุดเกิดเหตุ ต้องดำเนินงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจและอาสาสมัครในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ให้สอดคล้องกับแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการและคำนึงถึงสภาพปัญหารวมทั้งภัยคุกคามต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นต้น ทั้งนี้ ภารกิจใดมีความจำเป็นเร่งด่วน ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จและเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายใน ๓ เดือน ๔. การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปกำกับดูแลและบูรณาการการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ให้เป็นเอกภาพและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้แผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ต่อไป |
||||||||||||||||||
26131 | การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างในกระบวนการ e-Auction การประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ รวมทั้งการตรวจสอบเทียบเคียงอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ นั้น เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการดำเนินการตามมติข้างต้นให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
26132 | การประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี | นร | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔๒ วรรคสี่ บัญญัติให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือนายกรัฐมนตรีอาจขอให้มีการประชุมร่วมกันของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเพื่อร่วมพิจารณาหรือแก้ไขปัญหาใด ๆ อันเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ รวมตลอดทั้งการปรึกษาหารือเป็นครั้งคราวในเรื่องอื่นใดก็ได้นั้น จึงกำหนดให้จัดประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี เดือนละ ๑ ครั้ง โดยครั้งแรกจะจัดขึ้นในวันอังคารที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ สโมสรทหารบก วิภาวดี
|
||||||||||||||||||
26133 | ขอต่อระยะเวลาการดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) | นร11 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่อระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งเดียวติดต่อกันครบ ๔ ปี ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ต่อไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||
26134 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 6 ราย) (1. นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ฯ) | คค | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายพงษ์ไชย เกษมทวีศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายวรเดช หาญประเสริฐ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ๕. นายสมชาย พิพุธวัฒน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการบินพลเรือน ๖. นายชูศักดิ์ เกวี ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวง
|
||||||||||||||||||
26135 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 5 ราย) (1. นางอรรชกา สีบุญเรืองฯ) | อก | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง รวม ๕ ราย โดยให้ลำดับที่ ๑ มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เนื่องจากทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ และลำดับที่ ๒-๕ มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาการในตำแหน่งดังกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นางอรรชกา สีบุญเรือง ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายธวัช ผลความดี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายวิรัตน์ อาชาอภิสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายชุมพล ชีวะประภานันท์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายพิชัย ตั้งชนะชัยอนันต์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||
26136 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2558 | นร11 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๘๓,๒๖๙ ล้านบาท โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๕๓,๒๕๕ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิ รวม ๓๐๑,๕๘๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๐๐,๕๒๙ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุน รวม ๑,๙๖๘,๒๐๕ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๕๖,๐๖๘ ล้านบาท ๒. เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๓๙๗,๔๑๒ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๕๗,๙๐๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ๒.๑ กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้ว วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๐๙๗,๔๑๒ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๙๗,๙๐๑ ล้านบาท ๒.๒ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับรองรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี และงบลงทุนปกติที่อาจต้องปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตามความจำเป็นระหว่างปี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปี ในส่วนของงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วแทนคณะรัฐมนตรี เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ๔. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ที่ใช้แหล่งเงินดำเนินงานจากเงินงบประมาณให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ๕. ให้รัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๖. ให้รัฐวิสาหกิจให้ความสำคัญและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา โดยในเบื้องต้นให้พิจารณานำเงินเหลือจ่ายปี ๒๕๕๗ มาใช้สนับสนุนการดำเนินการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาตามนโยบายรัฐบาลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๗. ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ทุกส่วนราชการเตรียมความพร้อมเพื่อสามารถเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ นั้น ให้รัฐวิสาหกิจจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ระยะ ๑ ปี ของโครงการในความรับผิดชอบเสนอส่วนราชการต้นสังกัดและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการพิจารณา โดยในระยะ ๓ เดือนแรกให้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับโครงการขนาดเล็กที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที ๘. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเจ้าสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจที่ประสบปัญหาต่าง ๆ อย่างเร่งด่วน โดยให้นำข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องการปรับบทบาทการเป็นรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ข้อเท็จจริง และปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
26137 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร (นักบริหาร ระดับสูง) | นร04 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวปราณี ศรีประเสริฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
26138 | รายงานแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๑.๑ รับทราบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้จัดทำแผนฯ ครบทั้ง ๔๑๙ หน่วยงาน/รายการ ตามวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นเงิน ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยจำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๑๒๕,๕๒๔.๒๔ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๔๙,๔๗๕.๗๖ ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในมิติบูรณาการ ๑๔ แผนบูรณาการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๔๘๖,๖๘๑.๙๗ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบการเร่งรัด และกำกับดูแลการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ และผู้ว่าราชการจังหวัด ติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดไว้ รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือน ส่งให้สำนักงบประมาณเพื่อใช้ในการติดตามความก้าวหน้าของการปฏิบัติงาน และสรุปรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายไตรมาสต่อไป ๑.๒.๒ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ก็ให้เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ และส่งสำนักงบประมาณเห็นชอบการปรับแผนฯ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ๑.๒.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ นำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน ๒. สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ทั้งในส่วนราชการที่มีการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณมูลค่าโครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และที่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งงบประมาณรายจ่ายก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเร่งดำเนินการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันกับกระทรวงการคลังทุกงบรายจ่ายโดยด่วน ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ได้ขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวตามข้อ ๒ และส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณารายการที่มีความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
26139 | ขอแจ้งผลการพิจารณาในเบื้องต้นเกี่ยวกับประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | นร09 | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานผลการพิจารณาในเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานะของประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีมาใช้บังคับ รวมทั้งแนวทางการดำเนินการในการแก้ไของค์ประกอบ รายชื่อ หรืออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามประกาศและคำสั่งดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) พิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถแบ่งประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในเรื่องดังกล่าวออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประกาศหรือคำสั่งที่มีผลทางกฎหมาย และประกาศหรือคำสั่งที่เป็นการใช้อำนาจในทางบริหาร โดยหากเป็นประกาศหรือคำสั่งที่มีผลทางกฎหมาย การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์ประกอบหรืออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการก็จะต้องดำเนินการโดยการตรากฎหมาย ส่วนประกาศหรือคำสั่งที่เป็นการใช้อำนาจในทางบริหาร การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์ประกอบหรืออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการก็ดำเนินการแก้ไขโดยคำสั่งหรือระเบียบทางบริหารเท่านั้น ๒. เห็นชอบให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติตามองค์ประกอบในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๓๕ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ส่วนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน ๘ คน ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ซึ่งในจำนวนนี้จะต้องมีผู้แทนภาคเอกชนร่วมอยู่ด้วยไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ให้ใช้รายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙๐/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ รวม ๘ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการนำระเบียบ แนวทาง หรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมาใช้บังคับกับการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในครั้งนี้ โดยรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกอบด้วย ๒.๑ นางนันทริกา ชันซื่อ ๒.๒ นายชัชชม อรรฆภิญญ์ ๒.๓ นายพิจิตต รัตตกุล ๒.๔ นายสุวิชญ์ รัศมิภูติ ๒.๕ นายอนรรฆ พัฒนวิบูลย์ ๒.๖ นายสุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล ๒.๗ นายประเสริฐ ตปนียางกูร ๒.๘ นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา |
||||||||||||||||||
26140 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายชินชัย ชี้เจริญ) | พม | 23/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชินชัย ชี้เจริญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
.....