ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1301 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26001 - 26020 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26001 | ขอลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินโรงไฟฟ้าจะนะประจำปี 2557 | พน | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้องค์การบริหารส่วนตำบลคลองเปียะลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี ๒๕๕๗ ให้แก่โรงไฟฟ้าจะนะ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยให้คิดค่ารายปี จาก ๑๒๗,๘๑๖,๓๗๖.๔๐ บาท เป็น ๔๔,๘๖๖,๒๗๙.๔๔ บาท และค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จาก ๑๙,๙๗๗,๘๒๖.๘๑ บาท เป็น ๕,๖๐๘,๒๘๔.๙๓ บาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. เพื่อให้การประเมินค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งเป็นระบบและมีมาตรฐานเดียวกัน จึงให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้มีมาตรฐานเดียวกัน เป็นธรรมและมีผลบังคับใช้ทั่วไปกับทุกรัฐวิสาหกิจ และให้นำเสนอฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเขื่อนรัชชประภาประจำปี ๒๕๕๖) โดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
26002 | การปรับปรุงโครงสร้างในส่วนภูมิภาคของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบในหลักการและแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างในส่วนภูมิภาคของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้ ๑.๑ ตำแหน่ง “พาณิชย์จังหวัด” เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานพาณิชย์ประเภทอำนวยการระดับสูง โดยต้องประเมินค่างานใหม่ที่เป็นค่างานเชิงยุทธศาสตร์สอดคล้องกับภารกิจในแต่ละจังหวัดและผลสัมฤทธิ์ของตำแหน่ง (Key Result Area) ในการเป็นผู้ที่มีสมรรถนะในการวางยุทธศาสตร์และบูรณาการการทำงานเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการพาณิชย์ของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ควรมีการวางเส้นทางความก้าวหน้าแก่บุคลากรที่มีส่วนประเมินค่างานตำแหน่ง ตามข้อ ๑.๑ บุคลากรในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ส่วนภูมิภาคทุกหน่วย (ปัจจุบันมีกรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์) มีสิทธิเท่าเทียมกันในการได้รับการพิจารณาแต่งตั้งในตำแหน่งพาณิชย์จังหวัด (ประเภทอำนวยการระดับสูง) ตามความรู้ ความสามารถ สมรรถนะ และผลสัมฤทธิ์ของงานอย่างเป็นธรรม ๑.๓ ให้มีการกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ในสายงานของตนเอง หากค่างานของตำแหน่งนั้นมีคุณภาพและปริมาณงานที่สูงขึ้น สามารถเป็นระดับเชี่ยวชาญได้ ซึ่งบุคลากรที่มีความสามารถ สามารถประเมินเข้าสู่ตำแหน่งได้ตามวิธีการประเมินค่างานตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด และมีสิทธิที่จะโอนกลับหน่วยงานต้นสังกัดเดิมได้หากมีความประสงค์ ๑.๔ ก่อนที่จะมีการดำเนินการ ควรมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมืออันดีต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการปรับปรุงโครงสร้างในส่วนภูมิภาคใหม่นี้ กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีการบูรณาการเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของบุคลากรกับส่วนราชการอื่น ๆ ในพื้นที่ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับเรื่อง การบูรณาการงานบริหารภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ และสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การกำหนดตัวชี้วัดผลงาน (KPI) ส่วนราชการ นั้น ควรพิจารณาปรับปรุงตัวชี้วัดดังกล่าวให้เหมาะสม โดยให้มุ่งเน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ของงานในหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนผลการประสานงานหรือบูรณาการการปฏิบัติงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก โดยไม่ควรกำหนดตัวชี้วัดเกิน ๕ ตัว และให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทุก ๆ ๓ เดือน |
|||||||||||||||||||||
26003 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในประเทศไทย จำนวน ๒ รายการ เพื่อจะได้ดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศแจ้งให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำกรุงเวียนนาทราบ และแจ้งทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศตามแนวทางปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. การประชุมเชิงปฏิบัติการ Regional Workshop on the Implementation of the IAEA Nuclear Security Series No.13 : Nuclear Security Recommendations on Physical Protection of Nuclear Material and Nuclear Facilities (INFCIRC/225/Rev.5) [แนวทางปฏิบัติตามเอกสารความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ฉบับที่ ๑๓ : ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ฉบับปรับปรุงป้องกันทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๕] ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ กันยายน ๒๕๕๗ ๒. การประชุม IAEA/RCA Final Coordination Meeting ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๓-๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/6/063 “Strengthening the Application of Nuclear Medicine in the Management of Cardiovascular Diseases” (การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการใช้ประโยชน์จากวิธีทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ) |
|||||||||||||||||||||
26004 | การคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (จำนวน 7 คน 1. นางธาริษา วัฒนเกส ฯลฯ) | กค | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จำนวน ๗ คน แทนชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๓ ปี ตามที่ปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๒ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป
๑. นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๒. นายอัชพร จารุจินดา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๓. นางโชติกา สวนานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๔. นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประกันภัย ๕. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบัญชี ๖. นายปราโมทย์ พรประภา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๗. นายไพบูลย์ ศิริภาณุเสถียร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ
|
|||||||||||||||||||||
26005 | มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติในการเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินได้ตามกรอบระยะเวลาและแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงิน ๑.๑.๑ ให้เร่งรัดการก่อหนี้ให้ได้ภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรภายในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๑.๓ ให้หน่วยงานที่มีเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีเร่งรัดการเบิกจ่าย เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี โดยเฉพาะในส่วนของรายจ่ายประจำที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว ๑.๒ การเตรียมความพร้อมในการจัดหาพัสดุ ด้วยขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น ให้หน่วยงานที่จะจัดหาพัสดุเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนที่เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานให้พร้อมไว้ก่อน เช่น การกำหนดรายละเอียดหรือคุณลักษณะเฉพาะ (Specification) คุณสมบัติผู้เสนอราคา เงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้าง รูปแบบและเนื้อหาของสัญญาที่จะลงนาม เป็นต้น เพื่อให้สามารถก่อหนี้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๓ การติดตามเร่งรัดการดำเนินงาน ๑.๓.๑ ให้หน่วยงานรายงานผลการก่อหนี้ให้กระทรวงการคลังทราบภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามและกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโดยเคร่งครัด ๑.๓.๓ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในลักษณะเดียวกับข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ โดยมอบหมายให้คลังจังหวัดทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณในภาพรวมของจังหวัดทั้งมิติส่วนราชการ (Function) และมิติพื้นที่ (Area) ๑.๓.๔ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส ทั้งนี้ ให้จัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ หากแผนงาน/โครงการใดสามารถดำเนินการได้ทันที ก็ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน ก็ให้เตรียมการดำเนินงานคู่ขนานกันไปในเวลาเดียวกัน เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐไม่สามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามแผนที่กำหนดไว้จะถือเป็นเหตุหนึ่งในการพิจารณาปรับลดงบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณต่อไป ๒.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการก่อหนี้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ยกเว้นกรณีที่ต้องมีการจัดซื้อจัดหาพัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ พัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ พัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ ๒.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาการให้ประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นในการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนาด้วย ๒.๔ ในกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่เสนอขอตั้งงบประมาณไว้ได้ และมีความประสงค์จะขอโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐจัดทำคำขอไปยังสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าวจะต้องอยู่ในหมวดหมู่หรือรายการเดียวกัน และห้ามโอนเปลี่ยนแปลงแผนงาน/โครงการข้ามวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการเดิม |
|||||||||||||||||||||
26006 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการมาตรฐานสินค้า (จำนวน 6 คน 1. นางสาวสายพิณ มณีพันธ์ ฯลฯ) | พณ | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการมาตรฐานสินค้า จำนวน ๖ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๒ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นางสาวสายพิณ มณีพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านอุตสาหกรรมอาหาร ๒. นายอิทธิพล ช้างหลำ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานสินค้า ๓. นายสมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านห้องปฏิบัติการ ๔. นางลัดดาวัลย์ กรรณนุช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว ๕. นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๖. นายพูนศักดิ์ เมฆวัฒนากาญจน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านข้าว
|
|||||||||||||||||||||
26007 | โครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2557 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๗ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๒๓ โครงการ กรอบวงเงินลงทุนรวม ๕,๒๑๘.๓๓๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ใช้เงินรายได้ของ กปภ. จำนวน ๒ โครงการ และโครงการที่ใช้เงินงบประมาณและเงินรายได้ จำนวน ๒๑ โครงการ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยแหล่งเงินและรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณสำหรับโครงการที่ขอรับเงินงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ จำนวน ๒๑ โครงการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ดังนี้ ๑.๑ โครงการซึ่งเป็นรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ แล้ว จำนวน ๗ โครงการ วงเงินลงทุน ๑,๑๑๖.๒๑๗ ล้านบาท ๑.๒ โครงการซึ่งเป็นรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้เสนอตั้งงบประมาณไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุน ๖๔๐.๐๕๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินรองรับ จำนวน ๑๐ โครงการ วงเงินลงทุน ๑,๘๙๖.๕๖๖ ล้านบาท เห็นควรให้ กปภ. พิจารณาแหล่งเงินลงทุนจากเงินรายได้ของ กปภ. เป็นลำดับแรกก่อน หรือขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรให้ กปภ. พิจารณาเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับจัดสรรไว้ให้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และเตรียมความพร้อมการดำเนินงานโครงการที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งพิจารณาในเรื่องของความคุ้มค่าจากการลงทุนทางด้านการเงิน โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายการผลิตและเพิ่มรายได้จากการให้การบริการ และลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มความสามารถในการลงทุนของ กปภ. และลดภาระของภาครัฐในการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการลงทุนในโครงการก่อสร้างระบบประปาต่อไป ๒. ให้ กปภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอโครงการเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็วเพื่อให้การดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด การพิจารณาแนวทางการจัดการน้ำประปาอย่างมีระบบเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทั่วถึงและเพียงพอ และการปรับอัตราค่าน้ำประปาใหม่ ควรกำหนดอัตราที่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้ กปภ. เร่งรัดการดำเนินการโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๗ ดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยยึดหลักความโปร่งใสและตรวจสอบได้ รวมทั้งให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
26008 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ (จำนวน 9 คน 1. นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ ฯลฯ) | ทส | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๒ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ ผู้แทนสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ๒. นายอาชว์ เตาลานนท์ ผู้แทนสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย ๓. รองศาสตราจารย์ปานเทพ รัตนากร ผู้แทนมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย ๔. นางรตยา จันทรเทียร ผู้แทนมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ๕. พลเอก สุรัตน์ วรรักษ์ ผู้แทนมูลนิธิอนุรักษ์ผืนป่ารอยต่อ ๕ จังหวัด ๖. นายธิติ กนกทวีฐากร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคม/มูลนิธิ ๗. รองศาสตราจารย์อุทิศ กุฏอินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคม/มูลนิธิ ๘. นางสาวธำรงลักษณ์ ลาพินี ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคม/มูลนิธิ ๙. นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคม/มูลนิธิ
|
|||||||||||||||||||||
26009 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 | กค | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบตามที่รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายงานว่า เงินกู้สำหรับการดำเนินโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ที่ผ่านมาได้มีการนำไปใช้เฉพาะโครงการเร่งด่วนประมาณ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท จึงยังคงเหลือวงเงินกู้กว่า ๓๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ดังนั้น จึงอาจพิจารณานำเงินกู้ดังกล่าวมาใช้สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อการบริหารจัดการน้ำในปัจจุบันเพิ่มเติมจากเงินกู้ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากจำเป็นที่จะต้องใช้วงเงินดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่วงเงิน ๓๘๑,๘๙๔.๓๒ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้วงเงิน ๗๙๗,๑๗๓.๖๖ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยงวงเงิน ๗๖,๐๔๘.๑๐ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๔๑,๓๒๐.๙๗ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุน และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ๒.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒.๕ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการกำหนดวงเงินดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรคงค้างทั้งหมดให้อยู่ภายใต้กรอบ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยแยกเป็นวงเงินกู้ ๔๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๙๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิมภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เป็นภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๓. เมื่อแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ได้รับการอนุมัติแล้ว หากปรากฏว่าโครงการใดภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวเกิดปัญหาข้อขัดข้องหรือมีความล่าช้าทำให้ไม่สามารถเริ่มดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาของแผนการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาปรับโครงการดังกล่าวออกจากแผนบริหารหนี้สาธารณะและบรรจุโครงการใหม่ที่มีความพร้อมดำเนินการ โดยให้พิจารณาโครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการ โครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการด้านการสื่อสารโทรคมนาคม และโครงการด้านพลังงาน เป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดของโครงการ รวมทั้งแหล่งเงินและแผนการใช้จ่ายส่งให้กระทรวงการคลังโดยด่วน เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำแผนงานเกี่ยวกับการดำเนินโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการขนส่งทางราง การบริหารจัดการน้ำและชลประทาน รวมทั้งโครงการที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเชื่อมโยงกับการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อให้สอดคล้องกับการวางแผนด้านการเงินและระดับการก่อหนี้สาธารณะของประเทศ รวมทั้งแผนการบริหารความเสี่ยงด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการดำเนินการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และการใช้เงินกู้สำหรับการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||
26010 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี 2557 | นร11 | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ซึ่งครอบคลุมความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ บทความพิเศษเรื่อง “เด็กปฐมวัย...จุดเริ่มต้นการพัฒนาตามช่วงวัย” และประเด็นทางสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ๑.๑.๑ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๒.๘ อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๑.๐ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ ๐.๗๔ ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แรงงานมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย ๔๔.๓ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่หักด้วยเงินเฟ้อแล้วเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ ๙.๘ ๑.๑.๒ การก่อหนี้ของครัวเรือนชะลอลง จากข้อมูลยอดคงค้างสินเชื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ เท่ากับ ๓,๓๓๔,๐๒๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๘ ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ ๖ ส่วนหนึ่งจากการสิ้นสุดของมาตรการรถยนต์คันแรก ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับรายได้และการมีงานทำในอนาคต ทำให้ครัวเรือนชะลอการใช้จ่าย แม้การก่อหนี้ยังไม่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อภาพรวม แต่ยังต้องเฝ้าระวังการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเร็ว ซึ่งสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนที่ลดลง ๑.๑.๓ การสร้างความเป็นพลเมืองที่ดีตามระบอบประชาธิปไตย ด้วยการทบทวนการปลูกฝังเรื่องหน้าที่พลเมืองควบคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทยและโลก ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ มีจิตสำนึกความรับผิดชอบ เห็นประโยชน์ของประเทศชาติ พร้อมทั้งบรรจุค่านิยมของคนไทย ๑๒ ประการตามนโยบายหัวหน้าคณะรักษาความสบแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติให้อยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑.๑.๔ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๒๕.๘ แต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคที่แพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ และโรคมือ เท้า ปาก ๑.๑.๕ มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตร้อยละ ๒๘.๙ ของประชากร ๖ ปีขึ้นไป โดยใช้ผ่านสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์พกพาเพิ่มขึ้น กิจกรรมที่ใช้ร้อยละ ๗๐ เพื่อการบันเทิงและการติดต่อสื่อสาร ขณะที่การทำธุรกรรมทางการเงิน การซื้อขายสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัญหาการหลอกลวง สื่อลามก และการดูแลไม่ให้เด็กเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสม จำเป็นต้องให้ความรู้ กำกับดูแลและใช้อย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ๑.๑.๖ คดีอาญาโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๑๒.๖ ขณะที่ปัจจุบันคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญโดยเฉพาะคดีชีวิตร่างกายและเพศมีแนวโน้มของความรุนแรงมากขึ้น การป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจรเพื่อสร้างความมั่นคงทางสังคมด้านการปราบปราม การบำบัดรักษา การป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกัน ยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๗ การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๑ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๗.๙ สาเหตุจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขณะที่การเกิดอุบัติเหตุจากรถตู้สาธารณะมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถโดยสารประเภทอื่น จึงต้องมีการจัดระเบียบรถตู้สาธารณะอย่างจริงจังต่อเนื่อง รวมทั้งริเริ่มขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจากการใช้ความเร็วในทุกภาคส่วน ๑.๑.๘ การค้ามนุษย์ ประเทศไทยได้รับการประเมินต่ำสุดอยู่ในระดับกลุ่มที่ ๓ โดยถูกระบุว่ามีสถานการณ์การค้ามนุษย์ในระดับรุนแรง และไม่มีความก้าวหน้าในการรับมือกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ ๑.๑.๙ การแสวงหาผลประโยชน์จากการตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) เชิงพาณิชย์โดยใช้ช่องทางบริการทางการแพทย์ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมีมากขึ้น จำเป็นต้องมีการผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการรับตั้งครรภ์แทนทั้งระบบ และเข้มงวดในการควบคุมสื่อออนไลน์ เพื่อมิให้เป็นช่องทางนำไปสู่ธุรกิจรับจ้างตั้งครรภ์หรืออุ้มบุญเชิงพาณิชย์ ๑.๑.๑๐ ปัญหาขยะมูลฝอยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในปี ๒๕๕๖ พบขยะมูลฝอย ๒๖.๘ ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๘.๕ อัตราการผลิตขยะเพิ่มขึ้นจาก ๑.๐๓ กิโลกรัมต่อคนต่อวันในปี ๒๕๕๑ เป็น ๑.๑๕ กิโลกรัมต่อคนต่อวันในปี ๒๕๕๖ โดยสามารถกำจัดขยะอย่างถูกต้องเพียงร้อยละ ๒๖.๙ ซึ่งยังต้องการระบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ๑.๒ บทความพิเศษเรื่อง “เด็กปฐมวัย...จุดเริ่มต้นการพัฒนาตามช่วงวัย” เด็กปฐมวัยยังประสบปัญหาทั้งด้านภาวะทุพโภชนาการและด้านสติปัญญา ส่วนหนึ่งเนื่องจากพ่อแม่ยังขาดความรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์และไม่ให้ความสำคัญกับการวางแผนครอบครัว รวมทั้งสภาพการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ทำให้เด็กไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินการส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์อย่างครบวงจร ทั้งในด้านการพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมทั่วถึงและมีคุณภาพ เน้นความสำคัญของสถาบันครอบครัวทั้งในเรื่องอนามัยการเจริญพันธุ์ การเลี้ยงดูเด็ก ขณะเดียวกันครูและโรงเรียนต้องเข้าใจถึงบทบาทของตนในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ภาครัฐควรอุดหนุนและให้ความช่วยเหลือเด็กในครัวเรือนยากจนอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริม/สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนมากขึ้น ๑.๓ ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ประกอบด้วย การเร่งเพิ่มผลิตภาพแรงงานเกษตร การป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร การระดมความร่วมมือดำเนินแนวทางมาตรการการลดอุบัติเหตุการจราจรทางบกจากรถตู้สาธารณะอย่างจริงจังต่อเนื่อง การผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการรับตั้งครรภ์แทนทั้งระบบ การเร่งรัดการจัดการขยะมูลฝอยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และการเร่งส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์อย่างครบวงจร ๒. ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ในด้านสังคมที่เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการของเยาวชนไทยให้มีความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความสูงโดยเฉลี่ยเพิ่มมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
26011 | ขอรับความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงรายการงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 (ครั้งที่ 2) | ตช | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติในหลักการการเปลี่ยนแปลงรายการงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อย (ครั้งที่ ๒) ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ โดยวงเงินและรายละเอียดของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่เห็นควรอนุมัติงบประมาณเหลือจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๔๖๗,๓๗๙,๘๐๐ บาท โดยในส่วนของโครงการอาคารสัมมนาและพัฒนาทางวิชาการ ๘ ชั้น ระยะที่ ๒ วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น ให้ดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มีเงินเหลือจ่าย จำนวน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
26012 | ร่างเอกสารผลการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก ครั้งที่ 3 | กต | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองเอกสารผลการประชุม “Small Island Developing States Accelerated Modalities of Action” (Samoa Pathway) ในการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑-๔ กันยายน ๒๕๕๗ ณ กรุงอาปีอา รัฐเอกราชซามัว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารผลการประชุมที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย โดยไม่ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติอีก |
|||||||||||||||||||||
26013 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2557 | นร11 | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อทราบ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศภายใต้การดำเนินการของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านอุตสาหกรรม ด้านเกษตร และด้านการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ ๑.๒ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ (National Single Window : NSW) ๑.๓ รับทราบรายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๖ ๒. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑ เห็นชอบหลักการของแผนปฏิบัติการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกทางการค้า การพัฒนาระบบการขนส่งทางราง และการพัฒนาเส้นทางยุทธศาสตร์การค้าในการเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้ปรับกรอบระยะเวลาของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๒ จากปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เป็น ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ที่มีระยะเวลาถึงปี ๒๕๕๙ ๒.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาการขนส่งชายฝั่งทะเลของประเทศ ประกอบด้วย ๒.๒.๑ การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทยเจรจากับผู้ประกอบการท่าเทียบเรือต่าง ๆ ภายในท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อให้แต่ละท่าเพิ่มช่องว่างให้เรือชายฝั่งสามารถเข้าเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้าโดยตรงไปยังเรือสินค้าระหว่างประเทศ และให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการโครงการยกระดับท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (e-port) ทั้งนี้ ในระหว่างที่โครงการยังไม่แล้วเสร็จ การท่าเรือแห่งประเทศไทยควรประสานกับศุลกากรในการอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกให้กับตู้สินค้าเรือชายฝั่ง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเร่งวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับรูปแบบการลงทุนโครงการท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อให้กระทรวงคมนาคมสามารถนำเสนอโครงการเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนได้โดยเร็วต่อไป ๒.๒.๒ การส่งเสริมการขนส่งชายฝั่งในระยะยาว ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดพื้นที่สำหรับรองรับท่าเทียบเรือชายฝั่งในโครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ ๓ เพื่อรองรับการขยายตัวของตู้สินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และให้กระทรวงคมนาคมพิจารณารูปแบบการพัฒนาท่าเรือชายฝั่งอ่าวไทยเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพให้มีความทันสมัย และพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างท่าเรือชายฝั่งและท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อส่งเสริมการขนส่งชายฝั่งในระยะยาว ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปเร่งดำเนินการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาสนามบินและท่าเรือ เช่น สนามบินดอนเมือง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด เป็นต้น โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งจัดทำเป็นโครงการพร้อมรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อเสนอขอความเห็นชอบตามขั้นตอน โดยให้เริ่มดำเนินโครงการให้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
26014 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - คาซัคสถาน | คค | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างสาธารณรัฐคาซัคสถานและราชอาณาจักรไทย ซึ่งระบุถึงผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-คาซัคสถาน เกี่ยวกับใบพิกัดเส้นทางบิน การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน และการปรับปรุงสิทธิความจุความถี่ รวมถึงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและคาซัคสถาน ก่อนมอบกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ขอให้กระทรวงการต่างประเทศปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางตามที่มีการกำหนดขอบเขตหรือความหมายไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง |
|||||||||||||||||||||
26015 | รายงานการดำเนินโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | สลธ.คสช. | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบตามที่รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) คณะรักษาความสงบแห่งชาติรายงานว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยในส่วนของโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นชอบในหลักการแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดดำเนินการโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบแล้ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๔ โครงการ ได้ดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนได้ผู้รับจ้างเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยสามารถลดวงเงินโครงการจากที่ได้รับอนุมัติไว้รวม ๙,๕๓๔ ล้านบาท คงเหลือวงเงินรวม ๗,๐๙๔ ล้านบาท ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๔๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
26016 | การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ในทางปฏิบัติพบว่าส่วนราชการประสบปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ที่ใช้ระยะเวลานาน การจัดซื้ออุปกรณ์ทางเทคนิคจากภายนอกประเทศที่ผลิตเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะสำหรับกรณีไม่สามารถประกาศราคากลางได้เนื่องจากไม่มีราคาเทียบเคียงและกรอบวงเงินในอำนาจการสั่งซื้อหรือจัดจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องรับผิดชอบการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงมาก จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้
๑. ปรับปรุงระยะเวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ e-Auction ให้มีความกระชับและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ๒. พิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับการประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะข้างต้นที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ โดยให้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติด้วย ๓. ตรวจสอบการเทียบเคียงอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนอแนวทางการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมแก่ระดับความรับผิดชอบและสภาพข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ให้การดำเนินการโดยยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม และประสิทธิภาพ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
26017 | เงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) | นร01 | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติว่า เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) รวมทั้งเงินคงค้างอื่น ๆ ให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงขอให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการพิจารณาบำเหน็จความชอบค่าทดแทนและการช่วยเหลือ (ก.บ.ท.ช.) เร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) รวมทั้งเงินคงค้างอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จ เพื่อเบิกจ่ายให้แก่ผู้เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว ทั้งนี้ หากงบประมาณเพื่อการดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
26018 | การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จำนวน 8,500 ล้านบาท | สลธ.คสช. | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๘,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง แห่งละ ๑ ล้านบาท และส่วนที่ ๒ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามสัดส่วนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๒ เงินอุดหนุนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรตามข้อ ๑.๑ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความมั่นคงถาวร การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การส่งเสริมอาชีพของประชาชน และการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของท้องถิ่นมีความเจริญเติบโต โดยมิให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปใช้จ่ายในการศึกษาดูงานของบุคลากรท้องถิ่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ๒ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ การกำกับดูแล และการรายงานผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัดและนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน มุ่งสร้างความเข้มแข็ง และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งให้พิจารณาการบูรณาการเชื่อมโยงดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ข้างเคียงและการดำเนินการของส่วนกลางด้วย |
|||||||||||||||||||||
26019 | การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจระหว่างปีงบประมาณ 2557 | กค | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๑๐ แห่ง โดยเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการจาก ๑๒๔,๒๔๗ ล้านบาท เป็น ๑๒๙,๔๑๗ ล้านบาท หรือปรับเพิ่ม จำนวน ๕,๑๗๐ ล้านบาท และปรับลดวงเงินเบิกจ่ายจาก ๕๔,๑๔๓ ล้านบาท เป็น ๔๖,๓๓๓ ล้านบาท หรือปรับลด จำนวน ๗,๘๑๐ ล้านบาท ๒. เห็นชอบหลักการในการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีงบประมาณในครั้งต่อไป โดยให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและกระทรวงเจ้าสังกัดแล้วให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาอนุมัติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
26020 | ร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... | กค | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน ตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนด้วย แล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
.....