ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1301 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 26001 - 26020 จากข้อมูลทั้งหมด 124252 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26001 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ) | กค | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ) รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
26002 | ขอความเห็นชอบแนวทางการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาทุกภาคส่วน และเตรียมการส่งความช่วยเหลือของไทยไปยังแอฟริกาตะวันตก | สธ | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานการณ์และความคืบหน้ามาตรการเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา โดยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการ อาทิ ติดตามสถานการณ์จากองค์การอนามัยโลกและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง คัดกรองผู้เดินทางที่มีประวัติเดินทางกลับมาจากประเทศที่เกิดโรค เฝ้าระวัง สอบสวนโรคในผู้ป่วยที่สงสัยติดเชื้อ จัดหาชุดพร้อมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมความพร้อมด้านศักยภาพของการรักษาพยาบาลทั้งในด้านสถานที่และจัดการฝึกอบรมให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในด้านการรักษาพยาบาล เตรียมความพร้อมร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยในการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล จัดให้มีการซ้อมแผนสำหรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในทุกระดับ จัดทำแผนเตรียมความพร้อมแบบบูรณาการทุกภาคส่วนสำหรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบและมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางมาตรการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาทุกภาคส่วน ใน ๓ สถานการณ์ ได้แก่ ๑.๒.๑ สถานการณ์ที่ ๑ ยังไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทย รวมถึงพบผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสอีโบลาเดินทางมาจากต่างประเทศ เป้าหมายคือ (๑) เตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังและการตอบสนองต่อโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเต็มรูปแบบในประเทศที่ยังไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งประเทศที่มีเขตติดต่อกับประเทศที่มีการระบาดและมีศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศ ภายใน ๑ เดือน และ (๒) สามารถตรวจจับการระบาดตั้งแต่แรกเริ่ม (Early detection) ๑.๒.๒ สถานการณ์ที่ ๒ กรณีพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทยแต่ยังไม่พบการแพร่กระจายเชื้อในประเทศ เป้าหมายคือ สามารถควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาอย่างรวดเร็ว (Rapid Containment) โดยสามารถหยุดการระบาดภายใน ๘ สัปดาห์ หลังจากพบผู้ป่วยรายแรก ๑.๒.๓ สถานการณ์ที่ ๓ กรณีพบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทย เป้าหมายคือ (๑) หยุดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทย ภายใน ๖-๙ เดือน และป้องกันการแพร่ระบาดระหว่างประเทศ และ (๒) ลดการเสียชีวิต และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ๑.๓ เห็นชอบให้จัดความช่วยเหลือของประเทศไทยด้านเงินช่วยเหลือ วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น และด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ โดยระดมความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ ๑.๓.๑ เงินช่วยเหลือเพื่อสมทบในกรอบที่องค์การสหประชาชาติประมาณการไว้ โดยขอรับการสนับสนุนจากงบกลางของรัฐบาลตามความเหมาะสมและจัดการระดมเงินบริจาคเพิ่มเติมภายในประเทศผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น รัฐบาล สภากาชาดไทย ภาคเอกชน ๑.๓.๒ สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นที่ผลิตได้ในประเทศ เช่น อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย น้ำยาฆ่าเชื้อโรค วัสดุวิทยาศาสตร์สำหรับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ๑.๓.๓ การสนับสนุนด้านนโยบายทางการเมือง เช่น นโยบายการต่อสู้กับการระบาดของโรค สนับสนุนการยกเลิกมาตรการห้ามการเดินทางและการค้าระหว่างประเทศ ๑.๓.๔ ความช่วยเหลือด้านคมนาคมขนส่งทางอากาศ ทั้งการขนส่งสิ่งของและผู้โดยสาร ๑.๓.๕ จัดส่งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งบุคลากรสาขาอื่น ๆ ในขั้นต้น ตั้งเป้าหมายที่จะจัดหาชุดละจำนวน ๓๕ คน โดยส่งไปร่วมปฏิบัติงานในประเทศใกล้เคียงกับประเทศที่มีการระบาด เพื่อร่วมจัดการฝึกอบรมหรือประสานงานเตรียมความพร้อมแก่บุคลากรของประเทศเหล่านี้เพื่อรับมือการระบาดหรือร่วมปฏิบัติงานในศูนย์ประสานความช่วยเหลือของสหประชาชาติ หรือเห็นควรส่งไปปฏิบัติงานในประเทศที่มีการระบาด คือ สาธารณรัฐกินี สาธารณรัฐไลบีเรีย และสาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน โดยมีเวลาปฏิบัติงานชุดละ ๑ เดือน จำนวน ๓ ชุด ใช้งบประมาณฝ่ายไทยสำหรับค่าใช้จ่ายพื้นฐานของบุคลากรดังกล่าว เป็นเงิน ๕๔,๘๔๐,๐๐๐ บาท ๒. ในส่วนของการจัดส่งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขไปให้ความช่วยเหลือในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา นั้น ในชั้นนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมความพร้อมและซักซ้อมความรู้ความเข้าใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง รอบคอบ และมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง รอบคอบ และมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อจากโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาก่อน โดยอาจศึกษาข้อมูลและประสบการณ์การดำเนินงานขององค์กรหรือประเทศที่มีการรับมือกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กรมควบคุมโรค (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
26003 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ [ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ..... (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงพาณิชย์)] | นร | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนอร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงพาณิชย์) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
26004 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการอุทธรณ์ฎีกา) | ศย | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนการฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ เพื่อจำกัดคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา โดยให้ศาลฎีกามีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาได้เมื่อเห็นว่าปัญหาตามฎีกานั้นเป็นปัญหาซึ่งเกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะหรือเป็นปัญหาสำคัญอื่นที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26005 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้อง ในคดีระหว่าง มูลนิธิชีววิถี ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ฟ้องคดีคณะรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัตถุอันตราย จำนวน 4 คน | อส | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๗๘/๒๕๕๗ ระหว่าง มูลนิธิชีววิถี ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26006 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ในคดีระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 1,075 คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการขึ้น-ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการเพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด | นร05 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๗, ๑๓๑๘, ๑๓๑๙, ๑๓๒๐, ๑๓๒๑, ๑๓๒๒, ๑๓๒๓, ๑๓๒๔, ๑๓๒๕, ๑๓๒๖, ๑๓๒๗, ๑๓๒๘, ๑๓๒๙, ๑๓๓๐, ๑๓๓๑, ๑๓๓๒, ๑๓๓๓, ๑๓๓๔, ๑๓๓๕, ๑๓๓๖, ๑๓๓๗, ๑๓๓๘, ๑๓๓๙, ๑๓๔๐, ๑๓๔๑/๒๕๕๗ รวม ๒๕ คดี ระหว่าง ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๒๕ คน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ และให้ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ (คณะรัฐมนตรี) เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑๔ (คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๓๐/๒๕๓๗) เป็นเงิน ๑๙๒,๙๑๗.๕๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26007 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึง พืช ผลไม้ พืชหมัก ผลไม้หมัก สาร สารสกัด หรือสิ่งอื่นใด ที่ใช้เป็นแหล่งกำเนิดควันหรือละอองไอน้ำ ซึ่งนำเข้ามาพร้อมกันเพื่อใช้กับอุปกรณ์ดังกล่าว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจ ควรระบุเป็น “บทอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง (๑) และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒”เพื่อให้การระบุบทอาศัยอำนาจเป็นไปโดยชัดเจนและครบถ้วน รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดให้ “บารากู่” รวมถึงยาสูบ ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย ๒๔๐๓.๑๑.๐๐ ซึ่งเป็นพิกัดของยาสูบที่สามารถนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยได้หากได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. ๒๕๐๙ อีกครั้งหนึ่ง และควรกำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีการจำหน่ายและโฆษณาบารากู่ บารากู่ไฟฟ้า และบุหรี่ไฟฟ้าภายในประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปกำกับ ดูแล ติดตามและตรวจสอบการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการนำบารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมอันจะก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ อนามัย สังคม และความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการกำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีการจำหน่ายและโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าบารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าภายในประเทศด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
26008 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 2 ปี 2557 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนสิงหาคม 2557 | อก | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ มีค่า ๑๖๕.๒ ลดลงจากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ (๑๖๘.๙) ร้อยละ ๒.๒ และลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ (๑๗๔.๒) ร้อยละ ๕.๒ โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive น้ำตาล เบียร์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำตาล รถจักรยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ๑.๒ อัตราการใช้กำลังการผลิต ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ อยู่ที่ระดับร้อยละ ๖๐.๑ ลดลงจากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ (ร้อยละ ๖๐.๖) และลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ (ร้อยละ ๖๔.๕) โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม แปรรูปผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ โทรทัศน์สี เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เม็ดพลาสติก อุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ๑.๓ เศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตและส่งออกคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างและค่าเงินบาทที่ทรงตัวในระดับเดียวกันกับเดือนก่อน ส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและประชาชนกลับมาจับจ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๘๔ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าจะลดลงร้อยละ ๑.๐๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๒. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่าในการจัดทำรายงานภาวะเศรษฐกิจของปีปัจจุบันไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ แต่อาจเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เห็นความแตกต่างและใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26009 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการต่อสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย เมืองไทเป ไต้หวัน และทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย | กต | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย เมืองไทเป ไต้หวัน และทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย วงเงินงบประมาณ ๕๓,๓๘๖,๕๖๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณค่าใช้จ่าย ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่าอาคารสถานทูตสถานกงสุล จำนวน ๑๙,๘๓๗,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ จำนวน ๓๓,๕๔๘,๗๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำแนวทางตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง โครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ) ที่ให้ดำเนินการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ในทำนองเดียวกับศูนย์ดำรงธรรม รวมทั้งนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการจัดสร้างหรือเช่าอาคารเป็นที่ทำการสถานทูตหรือที่ทำการของหน่วยงานต่าง ๆ ในต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีผู้แทนประจำต่างประเทศพิจารณาดำเนินการในแต่ละกรณีให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความคุ้มค่าในการลงทุนที่ประเทศจะได้รับ รวมตลอดถึงระดับของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีต่อกัน เป็นสำคัญด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26010 | การประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. 2014 ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็มของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกตราสารแต่งตั้ง (Credentials) โดยมอบอำนาจในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมฯ ให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
26011 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เรื่องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรี ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งเคยได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการตามที่เคยได้รับมอบหมาย ๒. ด้านต่างประเทศ ๒.๑ สืบเนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้มีการเจรจาและลงนามบันทึกความตกลงร่วมกัน ดังนั้น เพื่อเร่งสานต่อความร่วมมือระหว่างกัน จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ ในการเตรียมประเด็นเพื่อใช้ในการเจรจาระหว่างประเทศ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาจัดเตรียมข้อมูลและนำประเด็นหลักที่ทุกเวทีโลกให้ความสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การแพร่ระบาดของโรคร้ายแรง (Pandemics) เป็นต้น รวมไว้ในประเด็นการเจรจาด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือการค้าและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ รวมทั้งจัดมุมประเทศไทย (Thai Corner) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้ต่างชาติได้รู้จัก ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการวิจัยและการพัฒนาองค์ความรู้ซึ่งก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๓.๒ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและบรรเทาความเดือดร้อนทางการเกษตร เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าทางการเกษตรทุกประเภท ๓.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่ระบุแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ประเภทของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ให้กำหนดตัวชี้วัดกิจกรรม และกรอบระยะเวลาการดำเนินการ ที่ชัดเจน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) และรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือดำเนินโครงการซึ่งต้องมีการจ้างที่ปรึกษาโครงการ พิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทย โดยเฉพาะบุคลากรภาครัฐที่จบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และลดการจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ ๔.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เร่งดำเนินการพัฒนาในเรื่องการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งพัฒนาด้านเศรษฐกิจ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น การทุจริตของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเงื่อนไขผลักให้ประชาชนไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ ๔.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงภารกิจและการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ให้เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการมากยิ่งขึ้นด้วย ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ผู้ที่สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมิได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติมีส่วนร่วมในการปฏิรูปผ่านเวทีหรือกลไกอื่น ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งให้ชี้แจงข้อเท็จจริง หากมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับข้อมูลด้านการปฏิรูปต่าง ๆ ที่คลาดเคลื่อน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและรับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาดำเนินการ ๕.๒.๑ กำหนดมาตรการในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ประชาชน โดยปราศจากการบิดเบือนอันจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ความขัดแย้ง ๕.๒.๒ กำหนดแนวทางในการนำมาตรการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเคยมีมติหรือออกเป็นประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน นอกจากนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการมีอยู่ของคณะกรรมการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่จำเป็นต้องคงไว้ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันด้วย ๕.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมพิจารณาดำเนินการ ๕.๓.๑ พิจารณาอำนาจหน้าที่และความเชื่อมโยงของระบบศาลกับองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านกระบวนการยุติธรรม นอกจากนั้น ให้รวบรวมประเด็นต่าง ๆ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาระบบศาลและองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านกระบวนการยุติธรรม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อนำเสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาต่อไป ๕.๓.๒ เห็นควรให้พิจารณากำหนดแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและดำเนินคดีแทนรัฐบาลกับหน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้องคดี ๕.๓.๓ พิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาพื้นที่ควบคุมนักโทษคดียาเสพติดที่มีอยู่อย่างจำกัดแต่มีนักโทษคดียาเสพติดจำนวนมาก นอกจากนั้น ให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ในการประกันตัวโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งปัจจุบันยกเว้นเฉพาะกรณีคดียาเสพติด โดยควรให้พิจารณายกเว้นคดีประเภทอื่นที่มีความร้ายแรง เช่น คดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕.๔ ในกรณีที่กระทรวงใดเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ให้รัฐมนตรี เจ้าสังกัดชี้แจงสาระสำคัญ ความจำเป็นในการปรับโครงสร้าง รวมทั้งผลกระทบต่อจำนวนบุคลากรและงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อพิจารณาความสอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ๖. ด้านอื่น ๆ ๖.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการติดตามการรายงานและการพยากรณ์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำอย่างใกล้ชิด และให้ทุกส่วนราชการติดตามสภาพอากาศและระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงให้แก่เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ๖.๒ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิต) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการประกอบกิจการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายแก่ผู้ฝ่าฝืนอย่างเข้มงวด รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณใกล้สถานศึกษาและที่สาธารณะ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26012 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... | ศร | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... [กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔๕ วรรคสอง] ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ สำหรับร่างมาตรา ๕ เกี่ยวกับอัตราเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งพนักงานคดีรัฐธรรมนูญ และร่างมาตรา ๘ เกี่ยวกับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้รอผลการพิจารณาของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนหรือเงินเพิ่มค่าครองชีพของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นธรรม เท่าเทียม และยึดโยงกันอย่างเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26013 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “การบริหารจัดการ” “ที่ดิน” และ “ทรัพยากรดิน” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า คทช. ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒ มีกรรมการโดยตำแหน่งอีก ๙ คน และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน ๑๐ คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรเอกชนที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย โดยมีเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ และข้าราชการในสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวนไม่เกิน ๒ คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ๑.๓ กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกิน ๒ วาระติดต่อกัน ๑.๔ กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ๑.๕ กำหนดค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและคณะอนุกรรมการ ๒. อนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๕ (เรื่อง นโยบายการใช้และกรรมสิทธิ์ที่ดิน และนโยบายเกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารที่ดิน) เฉพาะในส่วนของข้อ ฉ (ที่กำหนดให้การจัดที่ดินซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันให้ดำเนินการต่อไป แต่ไม่ให้ขยายพื้นที่ดำเนินการ และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำแผนปฏิบัติการ หรือโครงการในการจัดที่ดินที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้นภายใน ๕ ปี) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
26014 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันการก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 - 2560 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กระทรวงศึกษาธิการ | ศธ | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กระทรวงศึกษาธิการ จากวงเงินรวม ๒,๑๖๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินรวม ๓,๐๐๑,๓๒๙,๖๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปการ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ โดยใช้เงินรายได้สมทบตามสัดส่วนที่เคยได้รับการจัดสรรงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีความชัดเจนว่าในระยะต่อไป สมควรจะมีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศกี่แห่ง เพื่อความเป็นเลิศด้านใด และจัดทำในพื้นที่ใด ตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน ทั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่จำเป็นจะต้องจัดตั้งขึ้นอีก ควรมีการกระจายตัวทั่วทุกภาคของประเทศสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัดที่เกี่ยวข้อง และให้โรงพยาบาลและสถานศึกษาในจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ได้อย่างเต็มศักยภาพ และให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการนำยุทธศาสตร์ดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||||||||
26015 | การรายงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) | นร04 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) รายงานผลการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธานาธิบดีเต็งเส่ง (Thein Sein) ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยได้เน้นย้ำความร่วมมือกันทางด้านการค้าและการลงทุน เป็นหุ้นส่วนเพื่อความมั่นคงและการพัฒนา โดยด้านความมั่นคงได้หารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าวและการพิสูจน์สัญชาติ ส่วนด้านเศรษฐกิจจะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เช่น ก่อสร้างถนนระหว่างเมียวดี-กอกะเร็ก การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เพิ่มจุดผ่านแดนถาวร เช่น ด่านสิงขร-ม่อต่อง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เป็นพยานการลงนามบันทึกความตกลงบ้านพี่เมืองน้อง จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ เชียงใหม่-เชียงตุง ประจวบคีรีขันธ์-มะริด และระนอง-เกาะสอง เพื่อความร่วมมือในการเปิดจุดผ่านแดนถาวร การพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับนายวันนะ หม่อง ลวิน (U Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยแจ้งว่าประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ซึ่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นประเทศแรกที่นายกรัฐมนตรีเยือนอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์ร่วมในการจัดระเบียบและพัฒนาพื้นที่ชายแดน การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจทั้งในกรอบความร่วมมือแบบทวิภาคีและในกรอบอาเซียน การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน/การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในไทย ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๔ ที่ประเทศออสเตรเลีย ได้พบปะและหารือกับนางจูลี่ บิชอป (Julie Bishop) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าของประเทศออสเตรเลีย เพื่อยืนยันนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศออสเตรเลียให้ครอบคลุมในทุก ๆ มิติ เน้นย้ำความพร้อมของภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนของไทยที่จะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partners) กับทุกภาคส่วนของประเทศออสเตรเลียในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศสมาชิกประชาคม ASEAN ที่จะขยายบทบาทความร่วมมือกับประเทศออสเตรเลียให้ครอบคลุมไปถึงภาคการผลิตของเอกชนในลักษณะธุรกรรมร่วมทุนระหว่างกลุ่มบรรษัทข้ามชาติที่มีศักยภาพของ ASEAN อาทิเช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ของประเทศไทยและบริษัท เปโตรนาส จำกัด ของประเทศมาเลเซีย เพื่อลงทุนร่วมกันในการดำเนินธุรกิจการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศออสเตรเลียด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26016 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 5 ราย) (1. นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ ฯลฯ) | ทส | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวอาระยา นันทโพธิเดช ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายชัยพร ศิริพรไพบูลย์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นางรวีวรรณ ภูริเดช ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
26017 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย (1. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ฯลฯ) | อก | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ๒. นายปณิธาน จินดาภู ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสมชาย หาญหิรัญ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายสุรพงษ์ เชียงทอง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ๖. นายหทัย อู่ไทย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๗. นายพิชัย ตั้งชนะชัยอนันต์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26018 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส) | นร10 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26019 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศย | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การโอนคดีที่มีผลกระทบต่อการอนุรักษ์หรือการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม หรือประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นไปยังศาลแพ่ง) รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการขยายอัตราโทษจำคุกที่ศาลจะลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด และอาจใช้ดุลยพินิจรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ จากเดิมอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ขยายอัตราโทษจำคุกออกไปเป็นไม่เกินห้าปี ควรคำนึงถึงข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบอื่น ๆ อย่างรอบด้าน เพราะการขยายอัตราโทษจำคุกให้สูงขึ้นย่อมจะเป็นผลให้คดีที่ผู้กระทำความผิดสำคัญหรือคดีที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสามารถได้รับโอกาสในการรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ ส่วนการนำเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติอย่างใด ๆ มาใช้กับการกระทำความผิด ควรมีการกำหนดกลไกการพิจารณา การใช้ข้อมูลอย่างรอบด้าน และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การคุมประพฤติมีความสอดคล้องต่อลักษณะผู้กระทำความผิดและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดเพิ่มวิธีการอายัดทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ และหลักเกณฑ์การบังคับทรัพย์สินเพื่อชำระค่าปรับ การปรับปรุงอัตราเงินในการกักขังแทนค่าปรับ การยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนค่าปรับที่ผู้ต้องโทษอาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26020 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. (หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล) | นร10 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งหม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้ข้าราชการรักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
.....