ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1308 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26141 - 26160 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26141 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สารระเหยในกลุ่มโวลาไทล์อัลคิลไนไตรท์เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สารระเหยในกลุ่มโวลาไทล์อัลคิลไนไตรท์เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... โดยกำหนดให้สารระเหยในกลุ่มโวลาไทล์อัลคิลไนไตรท์ (Volatile alkyl nitrite) ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๒๙๒๐.๙๐.๙๐ ได้แก่ (๑) เอมิลไนไตรท์ (Amyl nitrite) (๒) ไซโคลเฮ็กชิลไนไตรท์ (Cyclohexyl nitrite) (๓) เอทิลไนไตรท์ (Ethyl nitrite) (๔) ไอโซบิวทิลไนไตรท์ (Isobutyl nitrite) (๕) ไอโซโพรพิลไนไตรท์ (Isopropyl nitrite) และ (๖) นอร์มาลบิวทิลไนไตรท์ (n-Butyl nitrite) รวม ๖ รายการ เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินการออกประกาศเพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าจำพวกบารากุโดยเร็ว เพื่อป้องกันปัญหาและผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งเสพติดชนิดนี้ |
||||||||||||||||||||||||
26142 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี) | พณ | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๙๔ (ค.ศ. ๒๐๑๓) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้เร่งดำเนินการเพื่อออกประกาศดังกล่าวโดยเร็วต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26143 | ร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 | กค | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) โดยร่างความตกลงฯ มีเนื้อหาสอดคล้องกับความตกลงเพื่อการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศอื่นที่มีโครงสร้างและภารกิจที่คล้ายกัน เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ AMRO และบุคลากรของ AMRO นั้น ได้พิจารณาหลักความจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO เป็นสำคัญ และวิธีการระงับข้อพิพาทตามความตกลงฉบับนี้มีแนวปฏิบัติสอดคล้องกับแนวปฏิบัติในทางระหว่างประเทศขององค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ สำหรับค่าใช้จ่ายของ AMRO ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำปีของ AMRO โดยเงินงบประมาณของ ธปท. ๑.๒ อนุมัติการลงนามในร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. เมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อรองรับพันธกรณีตามความตกลงฯ ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันความตกลงฯ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อมูลด้วย ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) |
||||||||||||||||||||||||
26144 | ร่างถ้อยแถลงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น การประชุมรัฐมนตรีข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และการประชุมรัฐมนตรีมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง | กต | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ ๑.๑.๑ ร่างถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๗ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความเชื่อมโยงและลดช่องว่างของการพัฒนาในอาเซียน ตลอดจนการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศลุ่มน้ำโขงในการบำรุงรักษาและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๑.๒ ร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๗ เน้นความสำคัญของประเด็นความเชื่อมโยง อาหาร น้ำ และความมั่นคงทางพลังงาน ความเชื่อมโยง และการพัฒนาบทบาทสตรี รวมทั้งการดำเนินการตามโครงการหลัก อาทิ โครงการเชื่อมโยงแม่โขง โครงการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน โครงการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และส่งเสริมความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน ๑.๑.๓ ร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๔ ย้ำความสำคัญของความร่วมมือกับประเทศผู้ให้ สำนักเลขาธิการอาเซียน คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) และองค์การระดับภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะความร่วมมือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาขีดความสามารถของสถาบันภูมิภาค และการระดมทุนเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว อาทิ โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว พลังงานสะอาด การเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๒ มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ด้วย ๓. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในเวทีการเจรจาระหว่างประเทศเกี่ยวกับแม่น้ำโขง กระทรวงการต่างประเทศต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่ต้องมีความเท่าเทียมกันของประชาชนทุกประเทศในลุ่มน้ำโขงในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำร่วมกัน โดยเฉพาะประเด็นปัญหาการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำของประเทศที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำโขง ซึ่งทำให้ผู้ใช้น้ำในประเทศตอนใต้ได้รับผลกระทบ เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของมนุษย์ |
||||||||||||||||||||||||
26145 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป | พณ | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (MOU : Memorandum of Understanding on Bilateral Co-operation between the Department of Intellectual Property of Thailand and the European Patent Office) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านสิทธิบัตรระหว่างกัน ครอบคลุมความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาศักยภาพการตรวจสอบสิทธิบัตรและการบริหารสำนักงาน การจัดสัมมนาฝึกอบรมบุคลากรกรมทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาระบบอัตโนมัติและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลสิทธิบัตรและมาตรการความร่วมมือทั่วไป ๑.๒ มอบอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ที่มิใช่สาระสำคัญก่อนลงนาม ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจดำเนินการได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลความร่วมมือดังกล่าวและรายงานต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการนำไปสู่ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) เร่งตรวจสอบและดำเนินการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องต่าง ๆ ของไทยให้ครอบคลุมครบถ้วนทุกด้าน โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรม การเกษตร ผลงานวิจัย รวมทั้งภูมิปัญญาของปราชญ์ท้องถิ่นที่ได้คิดค้นขึ้นด้วย โดยให้เร่งดำเนินการให้รวดเร็วเพื่อปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินอันเป็นมรดกของชาติมิให้ถูกลอกเลียนและนำไปจดทะเบียนก่อน แล้วกำหนดแนวทางคุ้มครองสิทธิในงานทรัพย์สินทางปัญญาให้ชัดเจน เพื่อนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์และชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการเพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตและจำหน่ายสินค้าเลียนแบบตราสินค้าที่มีชื่อเสียง (Brand) ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับปรุงพัฒนาสินค้าภายใต้ตราสินค้าของตนเองให้ได้คุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยควรส่งเสริมให้สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้เป็นตราสินค้าที่ได้รับความนิยมทัดเทียมกับสินค้าของต่างประเทศต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26146 | การลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยทรัพย์สินอุตสาหกรรม ที่ 2013/0443 ระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (Memorandum of Cooperation on Industrial Property No 2013/0443 Between the Intellectual Property Offices of the Member States of the Association of Southeast Asian Nations and the European Patent Office) | พณ | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือว่าด้วยทรัพย์สินอุตสาหกรรม ที่ ๒๐๑๓/๐๔๔๓ ระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (Memorandum of Cooperation on Industrial Property No 2013/0443 Between the Intellectual Property Offices of the Member States of the Association of Southeast Asian Nations and the European Patent Office) โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือด้านทรัพย์สินอุตสาหกรรมระหว่างอาเซียนและสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (European Patent Office : EPO) เช่น กิจกรรมความร่วมมือด้านสิทธิบัตรเพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญาอาเซียนปี ๒๕๕๔-๒๕๕๘ การแลกเปลี่ยนข้อมูลและฐานข้อมูลสิทธิบัตร การพัฒนาข้อมูลสิทธิบัตรอาเซียน และการจัดประเภทสิทธิบัตร เป็นต้น ๑.๒ มอบหมายให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) รายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการตามความร่วมมือที่ได้ลงนามไว้ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะๆ เพื่อให้รัฐบาลสามารถติดตามผลการดำเนินงานและเร่งรัดผลักดันในประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยทรัพย์สินอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26147 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 2 | กค | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๖,๓๑๔.๗๔ ล้านบาท จากเดิม ๑,๓๑๖,๓๓๐.๘๔ ล้านบาท เป็น ๑,๓๑๐,๐๑๖.๑๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดนโยบายเพิ่มเติมเพื่อกำกับองค์ประกอบและโครงสร้างหนี้ต่างประเทศให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และแนวโน้มด้านการเงินของประเทศและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26148 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ค่าถอนคืนเงินรายได้แผ่นดิน) | กค | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต จ่ายค่าถอนคืนเงินรายได้แผ่นดินให้แก่ผู้ประกอบการ ๘๙ ราย จำนวน ๑๖๑,๐๙๔,๖๘๐.๓๔ บาท ทั้งนี้ ให้กรมสรรพสามิตขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ดังนี้
๑. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกรมสรรพสามิต แผนงานบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคให้เกิดความยั่งยืน ผลผลิตการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต งบบุคลากร ซึ่งตรวจสอบแล้วมีเงินเหลือจ่าย จำนวน ๖๑,๗๔๙,๙๙๑ บาท โดยเห็นสมควรให้ปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณและโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาสมทบสำหรับเป็นค่าถอนคืนเงินรายได้แผ่นดินในครั้งนี้ ๒. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙๙,๓๔๔,๖๘๙.๓๔ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายอีก จำนวน ๕,๓๑๘,๒๙๗.๓๗ บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการหรือภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานแสตมป์สรรพสามิต ที่ต้องจ่ายคืนให้สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ๕ แห่ง ซึ่งไม่ถือเป็นค่าถอนคืนเงินรายได้แผ่นดิน ให้กรมสรรพสามิตพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์แสตมป์สรรพสามิตที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว จำนวน ๙๑,๐๘๘,๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||
26149 | ขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนประจำปี 2557 เพื่อซ่อมแซมท่าเทียบเรือประมงหัวหิน | กษ | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้องค์การสะพานปลาดำเนินการซ่อมแซมท่าเทียบเรือประมงหัวหิน ภายในวงเงิน ๑๑๔,๙๒๘,๗๘๔ บาท โดยอนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้องค์การสะพานปลาปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยถือประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (องค์การสะพานปลา) จัดส่งเอกสารรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คงโครงสร้างและลักษณะของสิ่งก่อสร้างเดิม เพื่อรักษาสมดุลของชายฝั่ง และป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายหาดหัวหินและบริเวณพื้นที่ข้างเคียงซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญของประเทศอย่างยิ่ง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26150 | การบูรณาการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (กรณีถนนชำรุดเสียหายในหมู่บ้าน/ชุมชน) | นร52 | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการบูรณาการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (กรณีถนนชำรุดเสียหายในหมู่บ้าน/ชุมชน) ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน ๘๓๕,๙๓๓,๐๒๒ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี และอำเภอจะนะ) และให้ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนด้านความมั่นคงที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย ๒. ให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมตลอดถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในทุกมิติจากยางพาราในประเทศ หรือผลิตภัณฑ์จากยางพาราชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตในประเทศให้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณยางพาราในสต็อกที่มีอยู่ รวมทั้งให้ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนให้ร่วมดำเนินการในเรื่องดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26151 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการเช่าทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี | กต | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ รายการค่าเช่าทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๑,๘๔๐,๐๐๐ รูปี หรือเท่ากับ ๑๓,๑๐๔,๐๐๐ บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ รูปี เท่ากับ ๐.๖๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่าสถานทูตสถานกงสุล จำนวน ๖,๕๕๒,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๖,๕๕๒,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ เป็นไปตามเงื่อนไขในร่างสัญญาเช่าระยะเวลา ๒ ปี ที่ระบุให้ผู้เช่าจะต้องจ่ายค่าเช่า ๒ ปี โดยจะจ่ายค่าเช่าสำหรับปีที่ ๒ ภายใน ๑๐ วัน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเช่าของปีที่ ๑ ซึ่งจะต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่สำนักงบประมาณได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมทำเนียบเอกอัครราชทูตถาวร ณ กรุงนิวเดลี ให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26152 | การออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ให้สอดคล้องกับมาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวของคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ | รง | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการยกเลิกการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเป็นการจูงใจให้คนต่างด้าวที่อยู่นอกระบบการจ้างงานเข้าสู่ระบบการจ้างงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย รวม ๒ ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวของคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการให้แรงงานต่างด้าวยังคงต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ในอัตราที่เหมาะสม เพื่อเป็นการประกันค่าใช้จ่ายในการส่งแรงงานกลับออกไปนอกราชอาณาจักร เมื่อครบกำหนดระยะเวลาอนุญาตทำงาน โดยแรงงานควรจะได้รับเงินสะสมคืนเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ย เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง หรือเมื่อประสงค์จะกลับประเทศของตน และในการกำหนดให้ลูกจ้างต่างด้าวต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ เห็นควรดำเนินการในรูปแบบของการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อขยายระยะเวลาการหักเงิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
26153 | ขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าว เพื่อเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติ | รง | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ที่เห็นควรไม่ขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานตามมติคณะรัฐมนตรี (๖ สิงหาคม ๒๕๕๖) ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยให้ไปรายงานตัว ณ ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ในจังหวัดซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานประกอบการเพื่อจัดทำทะเบียนประวัติ ตรวจสุขภาพ ออกบัตรอนุญาต ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ชั่วคราว รวมทั้งเข้าสู่กระบวนการปรับสถานะเป็นแรงงานถูกกฎหมายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26154 | ผลการพิจารณาทบทวนการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนและโครงการตามนโยบายรัฐบาลที่ตั้งงบประมาณที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | สลธ.คสช. | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาทบทวนการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนและโครงการตามนโยบายรัฐบาลที่ตั้งงบประมาณที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติต่อไป ๑.๒ ให้ดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ในรอบแรก ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ที่ยังค้างอยู่ต่อไปให้แล้วเสร็จ ส่วนโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รอบที่ ๒ วงเงินงบประมาณรวม ๕,๗๐๐ ล้านบาท ให้ยุติการดำเนินการ ๑.๓ ให้ดำเนินการโครงการพัฒนาเมือง จำนวน ๑,๐๒๖ โครงการ วงเงินงบประมาณรวม ๑,๖๔๐.๘๘ ล้านบาท ที่ค้างอยู่ต่อไปให้แล้วเสร็จ ส่วนโครงการพัฒนาเมืองในส่วนของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่เหลือ จำนวน ๑,๒๒๕.๒๙๐๐ ล้านบาท ให้ยุติการดำเนินการ ๑.๔ กองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในหมู่บ้านและชุมชน วงเงินงบประมาณรวม ๓,๐๐๐ ล้านบาท ให้ยุติการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้โอนงบประมาณในส่วนของโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รอบที่ ๒ จำนวน ๕,๗๐๐ ล้านบาท และกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในหมู่บ้านและชุมชน จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘,๗๐๐ ล้านบาท ส่งคืนให้สำนักงบประมาณ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการโอนงบประมาณให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้โอนงบประมาณตามโครงการพัฒนาเมืองในส่วนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑,๒๒๕.๒๙๐๐ ล้านบาท ไปเพื่อดำเนินโครงการจัดหายานพาหนะขนส่งสำหรับบุคคลสำคัญในภารกิจเร่งด่วนและงานราชการที่ต้องรักษาความปลอดภัยต่อไป ๑.๕ ให้ชะลอการดำเนินการกองทุนส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในส่วนของงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๕๙๖.๕๖๔๑ ล้านบาท ไว้ก่อน และให้โอนงบประมาณจำนวนดังกล่าวไปดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาปรับโครงสร้างของกองทุนฯ เพื่อให้สามารถดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งต่อไป ๑.๖ ให้โอนย้ายสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติและกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปอยู่ที่กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาว่าควรดำเนินการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีต่อไปหรือจะยุบรวมกับภารกิจของกรมการพัฒนาชุมชน ๑.๗ ให้โอนย้ายสภาเกษตรกรไปที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาว่าควรดำเนินการต่อหรือยุบรวมกับภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. มอบให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมรับไปตรวจสอบร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่ากรณีการนำเงินกองทุนต่าง ๆ เพื่อไปใช้ประโยชน์ในโครงการอื่น ๆ ที่จำเป็นให้ได้ประโยชน์สูงสุด (ตามข้อ ๑) จะต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องประการใดหรือไม่ ให้ถูกต้อง และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยด่วนต่อไป ๓. มอบให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาพรวมว่ากองทุนต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดแต่ละกองทุนมีผลการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนมากน้อยเพียงใด และกองทุนใดสมควรที่จะยุบเลิกหรือยุบรวมเพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อน และให้เหลือเท่าที่จำเป็น และให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีที่จะจัดตั้งขึ้นพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26155 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | สลธ.คสช. | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช จำนวน ๗,๖๗๙,๐๐๐ บาท เป็น ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนร่วมสมทบทุนมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) จำนวน ๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26156 | ขออนุมัติจัดตั้งโครงการศูนย์รังสีโปรตอนบำบัด | ศธ | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์รังสีโปรตอนบำบัด ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ภายในกรอบวงเงิน ๑,๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณ ๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๑) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณให้ตามกำลังเงินของประเทศต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้เสนอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
26157 | ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 4 | กต | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ ซึ่งเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ที่จะสานต่อความร่วมมือภายใต้กรอบลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และรับรองแผนปฏิบัติการ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙) เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือระหว่างกันในอีก ๓ ปีข้างหน้า และตกลงที่จะดำเนินความร่วมมือที่มีอยู่ระหว่างกันต่อไป เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ทั้งสามประการของความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลีได้ระบุไว้ในปฏิญญาแม่น้ำฮัน (๒๕๕๔) ได้แก่ ความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการพัฒนาที่มุ่งเน้นประชาชน รวมถึงการให้ความสำคัญแก่ภาคเอกชน การสนับสนุนสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) และการให้ความเห็นชอบเอกสารวิธีการดำเนินการโครงการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างถ้อยแถลงดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรปรับข้อความบางประการในร่างแผนปฏิบัติการแนบท้ายถ้อยแถลงฯ ในส่วนของการพัฒนาทรัพยากรน้ำ (Water Resources Development) เนื่องจากประเด็นเรื่องการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงถือเป็นประเด็นอ่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งในภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ด้วย ๔. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในเวทีการเจรจาระหว่างประเทศเกี่ยวกับแม่น้ำโขง กระทรวงการต่างประเทศต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่ต้องมีความเท่าเทียมกันของประชาชนทุกประเทศในลุ่มน้ำโขงในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำร่วมกัน โดยเฉพาะประเด็นปัญหาการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำของประเทศที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำโขง ซึ่งทำให้ผู้ใช้น้ำในประเทศตอนใต้ได้รับผลกระทบ เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของมนุษย์ |
||||||||||||||||||||||||
26158 | ร่างพระราชบัญญัติที่ควรเร่งรัดให้มีผลใช้บังคับตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ครั้งที่ 3 รวม 12 ฉบับ | สลธ.คสช. | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติที่ควรเร่งรัดให้มีผลใช้บังคับตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งค้างการพิจารณาในกระบวนการนิติบัญญัติ (เพิ่มเติม) รวม ๑๒ ฉบับ ตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และเมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .... (กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งเพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางดำเนินการให้ความคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและให้จัดตั้งสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งเพื่อรับผิดชอบในการช่วยเหลือและคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติการกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ พ.ศ. .... (กำหนดให้สมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ สามารถมีสิทธิขอกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔) ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดให้ทายาทของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนซึ่งเสียชีวิตภายหลังจากที่ได้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุพิการทุพพลภาพมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอด) ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ขยายขอบเขตการบังคับใช้ให้ครอบคลุมลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ กำหนดการคำนวณค่าจ้างรายวันในการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ รวมทั้งเพิ่มหลักเกณฑ์และอัตราเงินสมทบที่รัฐจะออกให้แก่ผู้ประกันตน) ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... (กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และกำหนดหลักเกณฑ์ในการเรียกเก็บเงินจากสถาบันเงินของรัฐเข้ากองทุน เพื่อนำไปช่วยเหลือและสนับสนุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ) ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [แก้ไขมาตรา ๔๘ (๑) โดยกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดข้อยกเว้นในการให้สินเชื่อแก่กรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้มีตำแหน่งเทียบเท่า หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงินหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวได้ โดยเฉพาะกรณีก่อนรับตำแหน่ง] ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ไม่จำเป็นต้องโอนทรัพย์สินอย่างเด็ดขาดไปยังนิติบุคคลเฉพาะกิจ แต่สามารถใช้วิธีให้สินทรัพย์เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินจากนิติบุคคลเฉพาะกิจแทนได้ และนิติบุคคลจัดตั้งในรูปแบบของทรัสต์ได้ ทำให้สินทรัพย์ที่โอนมายังนิติบุคคลเฉพาะกิจที่ตั้งในรูปทรัสต์จะไม่ถูกกระทบจากผลของการล้มละลายของผู้จำหน่ายสินทรัพย์หรือทรัสตี) ๑.๘ ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พุทธศักราช ๒๔๘๒ พ.ศ. .... (ยกเลิกพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พุทธศักราช ๒๔๘๒ เนื่องจากไม่มีการใช้บังคับโดยสภาพอันเป็นผลจากการดำเนินงานของกรมชลประทาน ตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. ๒๔๘๕) ๑.๙ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๓ แห่งประมวลรัษฎากร โดยปรับปรุงระยะเวลาการยื่นคำร้องขอคืนภาษีเงินได้ที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับมาตรา ๒๗ ตรี คือ สามปีนับจากวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีที่แตกต่างกัน) ๑.๑๐ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดเพิ่มการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียหายจำนวนมากในการดำเนินคดีครั้งเดียว) ๑.๑๑ ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงน้ำหนักของรถที่ใช้ในการประกอบการขนส่งส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี และปรับปรุงบทกำหนดโทษ) ๑.๑๒ ร่างพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมและจูงใจมีการปลูกสร้างสวนป่าควบคู่ไปกับการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือด้านป่าไม้ของอาเซียน) ๒. ให้นำข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... รวมทั้งข้อสังเกตของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เห็นควรให้มีการกำหนดอายุการใช้งานของรถที่จะอยู่ภายใต้ร่างพระราชบัญญัตินี้ และร่างพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ที่เห็นควรให้มีมาตรการเกี่ยวกับความโปร่งใสในการปลูกสวนป่าและการดูแลสวนป่า ไปประกอบการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26159 | นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ปี 2557 และปี 2558 - 2560 | พณ | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลืองปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๗ นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และนโยบายและมาตรการนำเข้าปลาป่นปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๗๖) เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี ๒๕๕๗ พ.ศ. ๒๕๕๗ และร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี ๒๕๕๘ ถึงปี ๒๕๖๐ พ.ศ. ๒๕๕๗ รวม ๒ ฉบับ โดยกำหนดระยะเวลานำเข้าของผู้นำเข้าทั่วไป จากเดิมให้นำเข้าระหว่างเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นให้นำเข้าเดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๗ และกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ยกเว้นในส่วนของการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๗ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป และให้ส่งร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่นที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ และให้รายงานสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรทั้ง ๓ รายการดังกล่าวทุกเดือนในช่วงระยะเวลาที่มีการนำเข้า ต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26160 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕) ซึ่งประกอบด้วย ๕ แผนงาน ได้แก่ แผนงานการพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง แผนงานการพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แผนงานการเพิ่มขีดความสามารถทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน แผนงานการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ และแผนงานการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางอากาศ เพื่อให้หน่วยงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางประกอบการพิจารณาในการจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการในระยะต่อไป ๒. เห็นชอบแนวทางการพัฒนาในระยะเร่งด่วนที่จะเร่งดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย ๒.๑ การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประตูการค้า เมืองหลักในภูมิภาค และกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๒.๒ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางราง ๒.๒.๑ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรถไฟทางคู่ในเส้นทางรถไฟเดิม ในช่วงที่มีปัญหาความคับคั่งของการเดินรถ เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า และสำหรับขบวนรถไฟท้องถิ่น ๖ เส้นทาง รวมระยะทาง ๘๘๗ กิโลเมตร ๒.๒.๒ วางมาตรฐานใหม่สำหรับอนาคต โดยการสร้างทางรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐาน ๑.๔๓๕ เมตร (Standard Gauge) จำนวน ๒ เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะทาง ๗๓๗ กิโลเมตร และเส้นทางเชียงของ-เด่นชัย-บ้านภาชี ระยะทาง ๖๕๕ กิโลเมตร ทั้งนี้ ในการดำเนินการแผนงาน/โครงการตามกรอบยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาในระยะเร่งด่วน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำข้อมูลสรุปในเรื่องนี้ให้เข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจ โดยให้ครอบคลุมประเด็นความเป็นมา แผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการในแต่ละปี แหล่งที่มาของเงินงบประมาณ และการดำเนินงานร่วมกันของกระทรวงคมนาคมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง ตรงกัน ผ่านสื่อโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยต่อไป ๔. ให้ฝ่ายเศรษฐกิจรับไปดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมเพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ โดยให้มีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นประธานกรรมการ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ โดยให้เร่งดำเนินการออกเป็นคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป
|
.....