ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1262 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 25221 - 25240 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25221 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงการจัดตั้งสำนักเลขาธิการระดับภูมิภาคสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติ วิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน | กก | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามความตกลงการจัดตั้งสำนักเลขาธิการระดับภูมิภาคสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Agreement on the Establishment of the Regional Secretariat for the Implementation of the ASEAN Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการดำเนินการตามข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals : MRA) โดยสนับสนุนการปฏิบัติงาน การบริหารงาน และการดำเนินการโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ MRA ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขความตกลงฯ ในส่วนที่ไมใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามความตกลงการจัดตั้งสำนักเลขาธิการระดับภูมิภาคสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (โดยระบุตำแหน่ง) ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามที่อ้างถึงข้างต้นในการลงนามความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านการต่างประเทศ และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวที่ได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งพิจารณาเร่งรัดและพัฒนาขีดความสามารถในสาขาวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวให้ครอบคลุมทั้ง ๓๒ ตำแหน่งงาน เช่น บริษัทนำเที่ยว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น และควรประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและประชาชนในวงกว้างทราบเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของประชาคมอาเซียน ตลอดจนติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวดังกล่าวเพื่อนำไปสู่ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับเงินสมทบสนับสนุนการจัดตั้งสำนักเลขาธิการระดับภูมิภาคที่ประเทศสมาชิกจะต้องสนับสนุนในปี ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
25222 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กต | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น รวบรวมรายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่ประเทศไทยได้ทำความตกลงให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมทั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของแต่ละแผนงาน/โครงการในส่วนที่ประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้ระบุระยะเวลาในการดำเนินโครงการและแหล่งงบประมาณด้วยเพื่อเป็นข้อมูลแจ้งให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวทราบในกรณีที่ผู้แทนของรัฐบาลไทยไปเยือนครั้งต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25223 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับลิเบีย | กต | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติ ที่ ๒๐๙๕ (ค.ศ. ๒๐๑๓), ที่ ๒๑๔๔ (ค.ศ. ๒๐๑๔), ที่ ๒๑๔๖ (ค.ศ. ๒๐๑๔) และที่ ๒๑๗๔ (ค.ศ. ๒๐๑๔) เกี่ยวกับลิเบีย ๒. มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25224 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียนแบบ 216 ล./55 โรงเรียนอมก๋อยวิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ | ศธ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารเรียนแบบ ๒๑๖ ล./๕๕ โรงเรียนอมก๋อยวิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑ หลัง จากวงเงินเดิม จำนวน ๑๘,๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินใหม่ จำนวน ๑๘,๙๒๘,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๔,๕๑๔,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอยู่อีก จำนวน ๔,๔๑๔,๐๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25225 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารเรียน แบบ 324 ล/55 - ข (เขตแผ่นดินไหว) | ศธ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารเรียน แบบ ๓๒๔ ล/๕๕-ข (เขตแผ่นดินไหว) จำนวน ๒ หลัง ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดภูเก็ต จากเดิมหลังละ ๒๖,๙๐๐,๐๐๐ บาท เป็นดำเนินการภายในวงเงินหลังละ ๒๘,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กรณีที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี วงเงินหลังละ ๓,๘๔๑,๒๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว วงเงินหลังละ ๑๖,๖๔๕,๒๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงินหลังละ ๕,๑๒๑,๖๐๐ บาท รวมเป็นเงินงบประมาณ วงเงินหลังละ ๒๕,๖๐๘,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก วงเงินหลังละ ๒,๙๙๒,๐๐๐ บาท ให้ใช้เงินรายได้ของสถานศึกษาสมทบ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25226 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการโครงการก่อสร้างทางต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2 กับทางเข้าศูนย์ราชการจังหวัดขอนแก่น | คค | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการชะลอโครงการก่อสร้างทางต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๒ กับทางเข้าศูนย์ราชการจังหวัดขอนแก่น เนื่องจากกรมทางหลวงไม่ได้ทำการยกเลิกทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟที่ กม. ๔๕๒+๒๓๓.๔๐ ที่อยู่บนทางลอด แต่จะขยายทางผ่านเดิม จึงเป็นการขัดหลักเกณฑ์การพิจารณาลดทางตัดผ่านและอนุญาตเฉพาะราย ระหว่างทางรถไฟกับทางรถยนต์ ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการร่วมพิจารณาการขออนุญาตและแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟกับถนน จึงยังไม่สามารถพิจารณาอนุญาตให้กรมทางหลวงเข้าใช้พื้นที่ดังกล่าวได้ กรมทางหลวงพิจารณาแล้วเห็นควรชะลอโครงการดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าจะได้ข้อยุติ ๒. อนุมัติในหลักการให้เปลี่ยนแปลงรายการโครงการก่อสร้างทางต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๒ กับทางเข้าศูนย์ราชการจังหวัดขอนแก่น วงเงิน ๖๔.๔๐ ล้านบาท เป็นรายการค่าชดเชยสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ในการเวนคืนที่ดินในเขตการก่อสร้างทางหลวงทั่วประเทศ วงเงิน ๖๔.๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินการจ่ายค่าชดเชยสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว จะต้องคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25227 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงสร้างยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ และ ๑ รายการ คือ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๖ ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ๑.๑.๗ ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ๑.๑.๘ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ๑.๑.๙ รายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๒ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ประกอบด้วยประเด็นยุทธศาสตร์ที่เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม รวม ๑๒ ประเด็นยุทธศาสตร์ คือ ๑.๒.๑ การเร่งรัดและผลักดันการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ๑.๒.๒ การสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนแก่เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ๑.๒.๓ การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๑.๒.๔ การพัฒนาและเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๒.๕ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ๑.๒.๖ การส่งเสริมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๒.๗ การพัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ ๑.๒.๘ การส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๑.๒.๙ การเร่งรัดประยุกต์ใช้งานวิจัยและพัฒนาไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒.๑๐ การแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๑๑ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒.๑๒ การป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐจัดทำแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เป็นไปอย่างละเอียด รอบคอบ รัดกุม รวมทั้งเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||
25228 | รายละเอียดเกี่ยวกับความต้องการและแนวทางการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายแผนที่จากการสำรวจระยะไกลทางอากาศและดาวเทียม | วท | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายแผนที่จากการสำรวจระยะไกลจากทางอากาศและดาวเทียม และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เป็นหน่วยงานร่วมดำเนินการด้วย โดยข้อเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายแผนที่ฯ มีดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าของภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียมทุกประเภท เช่น กรมแผนที่ทหาร กองทัพอากาศ กรมที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น ร่วมกันหารือถึงปัญหาอุปสรรคที่ยังไม่สามารถให้บริการภาพถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแนวทางการจัดทำระบบเพื่อให้สามารถสืบค้นและให้บริการภาพในคลังข้อมูลของหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลภูมิสารสนเทศพิจารณาเปิดให้หน่วยงานเข้าถึงและใช้งานข้อมูลของหน่วยงาน โดยในปี ๒๕๕๘ ให้เริ่มจากการบูรณาการข้อมูลข้ามหน่วยงานใน ๒ ประเด็น เพื่อเป็นการนำร่อง คือ (๑) การจัดการไฟป่าและหมอกควัน และ (๒) การจัดการที่ดินในเขตป่าไม้ โดยให้หน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันกำหนดแนวปฏิบัติในการนำภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียมไปใช้งานร่วมกัน โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนข้อมูลและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาแนวทางการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศึกษาและเสนอแนะนวัตกรรม รวมทั้งแนวทางการพัฒนาและการลงทุนในระบบสำรวจและประยุกต์ใช้งานภูมิสารสนเทศของประเทศ ที่บูรณาการการถ่ายภาพทางอากาศ การถ่ายภาพด้วยดาวเทียมสำรวจโลก การใช้งานระบบดาวเทียมนำทางและเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้งานภูมิสารสนเทศจากการสำรวจระยะไกลในภารกิจต่าง ๆ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น บูรณาการการดำเนินงานร่วมกัน โดยให้มีแผนงาน (Road Map) ที่ชัดเจนและปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ได้ข้อมูลภาพถ่ายแผนที่ที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทั้งจากการสำรวจระยะไกลทางอากาศ ดาวเทียม และจากภาคพื้นดิน และใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไปได้ สำหรับการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น มอบให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||
25229 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่กำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๗๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดไว้ ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๔๕,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๖ ๑.๒ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล และจุดเน้นของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ บูรณาการในระดับกระทรวง/หน่วยงาน และบูรณาการระดับพื้นที่ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจ ให้ความสำคัญบูรณาการ ๑๙ เรื่อง ชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำหรือหมดความจำเป็น พิจารณาการใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจน ๑.๓ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๖๗,๙๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ได้รับการจัดสรร ๒๕๗,๖๖๓.๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๑๐,๒๓๖.๒ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในลักษณะบูรณาการแผนงาน/โครงการเช่นเดียวกับการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้จัดทำแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบ รวมทั้งกำหนดรายละเอียดแผนงาน/โครงการให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณจัดทำรายละเอียดและแนวทางการบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่คงค้างเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่องบประมาณเพื่อการลงทุนของภาครัฐ แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25230 | การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดี เพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย - เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดี โดยให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการผลักดันและขับเคลื่อนการค้าชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านในเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายรัฐบาล โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยมอบผู้ว่าราชการจังหวัดตากหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเมียวดี เพื่อประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดี ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยและเมียนมาเป็นประธานร่วมในงานมหกรรมการค้าชายแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศบูรณาการการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้มีการลงนามสถาปนา Sister City ในการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๑.๔ รับทราบผลการเดินทางลงพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ พบว่า ธุรกิจในพื้นที่มีการขยายการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยธุรกิจที่มีการขยายตัวมาก คือ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และธุรกิจบริการด้านสุขภาพและอสังหาริมทรัพย์ สำหรับความคืบหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ภาคเอกชนในพื้นที่ต้องการให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ให้สิทธิพิเศษในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมากกว่าสิทธิพิเศษในพื้นที่อื่นเพื่อดึงดูดให้มีนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่ และอนุมัติให้แรงงานประเทศเพื่อนบ้านสามารถใช้บัตรผ่านแดนเข้ามาทำงานได้ชั่วคราว ตามมาตรา ๑๗ ของ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้ข้อมูลจากการลงพื้นที่ดังกล่าวประกอบการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ เพื่อให้เป็นโครงการนำร่องในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๓. เพื่อให้แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องมีความชัดเจนและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนม กับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) และเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) จาก “เพื่อให้การสถาปนาความสัมพันธ์ฯ ในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประเทศที่มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความคล่องตัว ให้ถือเป็นหลักการว่า เรื่องในทำนองนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วให้ความเห็นชอบ/อนุมัติไปได้ โดยถือว่าคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ...” เป็น “... ให้ถือเป็นหลักการว่า เรื่องในทำนองนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยต้องมีความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในประเด็นดังกล่าวก็ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติไปได้ โดยถือว่าคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ...” |
|||||||||||||||||||||||||||
25231 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) | กค | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ) ตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ (๑) ไม่ขัดข้องที่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง สินเชื่อรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพ (Nano-Finance) จะกำหนดให้มีวัตถุประสงค์ให้สินเชื่อเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำกับและตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจ Nano-Finance เฉพาะด้าน Market Conduct เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ใช้บริการ (Consumer Protection) (๒) ปรับปรุงขยายกรอบการกำกับดูแลเดิมของ P-Loan ให้ครอบคลุมถึงการให้สินเชื่อโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ เพื่อให้เปิดช่องทางให้ประชาชนที่สามารถพิสูจน์แหล่งที่มาของรายได้ชัดเจน (Proven record) สามารถใช้สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพด้วยอัตราดอกเบี้ยเดียวกับการใช้เพื่ออุปโภคบริโภค (ไม่เกินร้อยละ ๒๘ ต่อปี) และ (๓) ปรับปรุงหลักเกณฑ์ด้านการปฏิบัติอื่น ๆ เช่น การเปิด ปิดสำนักงานสาขา และการรายงาน เป็นต้น ทั้งนี้ ยกเว้นในส่วนของการคงวัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพไว้ให้ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามการหารือระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. สำหรับข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ขอให้กระทรวงการคลังปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับให้มีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อ Nano-Finance และประกาศให้ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๒๓ นั้น กระทรวงการคลังได้มีหนังสือแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยว่าไม่ขัดข้องกับข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย และได้ประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อร่วมกันพิจารณาปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งจะได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกต่อไป ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ) และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้ปรับปรุงแล้ว เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
25232 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางพรรณพิมล ชัญญานุวัตร) | กษ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นางพรรณพิมล ชัญญานุวัตร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25233 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 (กำหนดให้ชุดกุญแจมือและกุญแจเท้าเป็นเครื่องพันธนาการ อีกประเภทหนึ่ง) | ยธ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ชุดกุญแจมือและกุญแจเท้าเป็นเครื่องพันธนาการอีกประเภทหนึ่ง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25234 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชานิเทศศาสตร์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25235 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 26 | กต | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยตารางสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมและตารางติดตามสรุปผลการหารือทวิภาคี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สรุปการติดตามผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ๑.๑.๑ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การผลักดันให้การดำเนินการตาม Bali Package และการจัดทำ Post-Bali Work Program มีความคืบหน้า การเริ่มทำการศึกษาร่วมทางยุทธศาสตร์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การดำเนินการตามพิมพ์เขียวยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่าโลก การดำเนินการตามข้อริเริ่ม เรื่อง การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าโลกในอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งไทยเป็นเขตเศรษฐกิจนำในสาขาธุรกิจเกษตร และการดำเนินการตามกรอบการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ด้านการวัดการค้ามูลค่าเพิ่มภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าโลก เป็นต้น ๑.๑.๒ การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต ประเด็นสำคัญ ที่ต้องติดตาม อาทิ ยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของเอเปค (ANSSR) ความร่วมมือในประเด็นการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ข้อริเริ่มเอเปคเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ต และข้อริเริ่มเอเปคด้านความร่วมมือทางมหาสมุทรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เศรษฐกิจสีน้ำเงิน เป็นต้น ๑.๑.๓ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การพิจารณาแนวทางขยายอายุบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปค (ABTC) เป็นเวลา ๕ ปี และการพิจารณาแนวทาง การจัดทำบัตรการเคลื่อนย้ายเสมือนจริงของภาควิชาการ (virtual academic mobility card) เป็นต้น ๑.๒ สรุปการติดตามผลการหารือทวิภาคีของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากประเทศต่าง ๆ ๑.๒.๑ จีน ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การเตรียมการจัดกิจกรรมครบรอบ ๔๐ ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน คำขอของจีนให้สนับสนุนข้อเสนอของจีนในกรอบอาเซียน เช่น คณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ Treaty of Friendship and Good Neighborliness และการประชุมแม่โขง-ล้านช้าง เป็นต้น ๑.๒.๒ ออสเตรเลีย ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเยือนไทย และการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศไทย การออกกฎหมายและการมี transitional arrangement เกี่ยวกับการรับจ้างตั้งครรภ์ เป็นต้น ๑.๒.๓ นิวซีแลนด์ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การจัดจ้างการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-นิวซีแลนด์ ครั้งที่ ๓ ที่นิวซีแลนด์ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิรูปด้านต่าง ๆ โดยการจัด workshop ระหว่างผู้เชี่ยวชาญและองค์กรต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ เป็นต้น ๑.๒.๔ ปาปัวนิวกินี ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การขอรับการสนับสนุนเรื่องการสมัครรับเลือกตั้ง ใน UNSC ของไทยจากปาปัวนิวกินีเป็นลายลักษณ์อักษร การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปาปัวนิวกินีเยือนไทย การเยือนปาปัวนิวกินีของรองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และการจัดการประชุมหารือ ทวิภาคีไทย-ปาปัวนิวกินี ครั้งที่ ๑ (ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส) เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนัยตารางสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมและตารางติดตามสรุปผลการหารือทวิภาคี ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ได้ส่งเสริมการดำเนินการทางพิมพ์เขียวยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่าโลก ตลอดจนการดำเนินการตามกรอบการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ด้านการวัดการค้ามูลค่าเพิ่มภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าโลกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ควรเน้นย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรมในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้เป้าหมายการขับเคลื่อนให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง การส่งเสริมการหุ้นส่วนความร่วมมือภาครัฐเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดการสร้างบรรยากาศแข่งขันและการสนับสนุนการเปิดเสรีด้านบริการ และการสร้างความแข็งแกร่งและการขยายฐานของ SMEs เป็นต้น ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25236 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2557 | กค | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๗) ไตรมาสที่ ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๗) และไตรมาสที่ ๔ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง กระเป๋าและเข็มขัดหนัง นาฬิกาและอุปกรณ์ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี สุราต่างประเทศ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ เลนส์ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร หรือใช้ตกแต่งภายใน ที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๘๐๔.๔๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๔๕ ของมูลค่านำเข้ารวม ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) ๒๕.๔๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓.๐๖ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มีมูลค่านำเข้า ๑๕๒.๑๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มีมูลค่านำเข้า ๑๓๐.๘๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระเป๋าหนังและเข็มขัด มีมูลค่านำเข้า ๑๐๖.๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มดังกล่าว มีมูลค่านำเข้า ๗๓๗.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๒๙ ของมูลค่านำเข้ารวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) ๕.๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๐.๗๑ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มีมูลค่านำเข้า ๑๕๒.๗๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระเป๋าและเข็มขัดหนัง มีมูลค่านำเข้า ๙๗.๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาและอุปกรณ์ มีมูลค่านำเข้า ๙๕.๓๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มดังกล่าว มีมูลค่านำเข้า ๘๑๗.๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๓๙ ของมูลค่านำเข้ารวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖) ๒๓.๐๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒.๙๑ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มีมูลค่านำเข้า ๑๔๔.๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระเป๋าและเข็มขัดหนัง มีมูลค่านำเข้า ๑๑๔.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาและอุปกรณ์ มีมูลค่านำเข้า ๑๑๑.๙๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25237 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ด่านศุลกากรวังประจันสามารถปฏิบัติพิธีการส่งออกซึ่งของที่ขอคืนอากรขาเข้าหรือของที่มีทัณฑ์บนตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25238 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | คค | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๔๔ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25239 | การดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน : โครงการถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2558 | วท | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน : โครงการถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้วางแผนการจัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘” ในสถานที่ ๓ แห่ง คือ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถนนพระรามที่ ๖ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ คลองห้า จังหวัดปทุมธานี และจัตุรัสวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จามจุรีสแควร์ ซึ่งในปี ๒๕๕๘ นี้ องค์การสหประชาชาติ โดยองค์การ UNESCO กำหนดให้เป็นปี The International Year of Light and Light-based Technologies 2015 (IYL 2015) รวมทั้งองค์การ FAO ได้กำหนดให้เป็นปี International Year of Soils 2015-IYS 2015 ๒. หน่วยงานที่เข้าร่วมได้เปิดบ้านต้อนรับเยาวชนให้ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนอย่างเต็มที่ในงาน "ถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘” โดยจัดเตรียมสถานีการทดลองและสถานีกิจกรรมการเรียนรู้ รวม ๔๗ สถานี มาจาก ๔ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดพิธีเปิดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๘ ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถนนพระรามที่ ๖ และถนนโยธี กรุงเทพฯ และงานสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๘ โดยมีผู้เข้าชมงาน ๓๐,๑๕๑ คน ทำให้เด็กและเยาวชนที่เข้าชมงานมีความใส่ใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ส่งผลให้ชาติก้าวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
25240 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (นายธงชัย ศรีดามา) | ทส | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธงชัย ศรีดามา เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
.....