ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1263 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 25241 - 25260 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25241 | รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายขคนาถ อธิการี (Mr. Khaga Nath Adhikari)] | กต | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายขคนาถ อธิการี (Mr. Khaga Nath Adhikari) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายนวีน ประกาศ ชังคะ ชาห์ (Mr. Naveen Prakash Jung Shah) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25242 | ขอถอนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน พ.ศ. .... | กต | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25243 | ข้อสั่งการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และค่าตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัย | ศธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการตามข้อสั่งการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และค่าตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัย โดยได้จัดประชุมเพื่อหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิของพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. เงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่ยังค้างจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สถาบันอุดมศึกษาได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในสัดส่วนโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๐ ของเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่ยังค้างจ่าย และส่วนที่เหลือให้สถาบันอุดมศึกษาใช้จ่ายจากเงินรายได้ ๒. เงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่ยังค้างจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สถาบันอุดมศึกษาเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓. สถาบันอุดศึกษาที่ได้นำเงินรายได้สำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยไปแล้ว จำนวน ๑๓ แห่ง เป็นเงิน ๑,๕๓๒.๐๖๔๔ ล้านบาท ให้สถาบันอุดมศึกษาเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นโครงการพัฒนามหาวิทยาลัย ๔. ที่ประชุมอธิการบดีทั้ง ๔ แห่ง ประกอบด้วยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ และที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จะดำเนินการรวบรวมข้อมูลภาระงบประมาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่จ่ายให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่บรรจุก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อขออนุมัติคณะรัฐมนตรีให้พนักงานมหาวิทยาลัยกลุ่มดังกล่าวได้รับจัดสรรเงินปรับเพิ่มคุณวุฒิตามแนวทางเดียวกับการปรับค่าตอบแทนภาคราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ๕. เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ขอความร่วมมือจากที่ประชุมอธิการบดีทั้ง ๔ แห่ง เร่งรัดการพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีข้อมูลบัญชีถือจ่ายของพนักงานมหาวิทยาลัยที่เป็นจริง และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการขอปรับค่าตอบแทนพนักงานมหาวิทยาลัยพร้อมกับการปรับค่าตอบแทนภาคราชการที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25244 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางด้วน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง พ.ศ. .... | กษ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางด้วน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางด้วน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างประตูระบายน้ำพร้อมอาคารประกอบ ตามโครงการบรรเทาอุทกภัยย่านตาขาว จังหวัดตรัง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25245 | ขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ออกไปถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นครั้งสุดท้าย และให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยรายงานความคืบหน้าของการดำเนินโครงการฯ เป็นรายไตรมาสให้กระทรวงการคลังได้รับทราบและใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับเรื่องงบประมาณให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เห็นควรติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวนมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลให้สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25246 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือค่าอุปกรณ์การเรียนของนักเรียนสายอาชีพอาชีวศึกษา | ศธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการอุดหนุนอุปกรณ์การเรียนให้กับผู้เรียนสายอาชีพ อาชีวศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายในกรอบวงเงิน ๔๑๔,๕๒๗,๐๐๐ บาท โดยที่เงินอุดหนุนรายหัวเพื่อช่วยเหลือค่าอุปกรณ์การเรียนเป็นค่าเครื่องมือประจำตัวผู้เรียนเฉพาะอาชีพที่ขอเพิ่มเติมในครั้งนี้อาจมีความซ้ำซ้อนกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว รวมทั้งยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับอัตราค่าเครื่องมือประจำตัวผู้เรียนสายอาชีพดังกล่าว จึงเห็นสมควรให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในเรื่องดังกล่าวก่อนดำเนินการต่อไป แล้วจึงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากค่าใช้จ่ายรายหัวที่ได้ตั้งงบประมาณไว้แล้ว สำหรับส่วนที่ขาดให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดรายการและอัตราค่าอุปกรณ์การเรียนส่วนที่จะเพิ่มเติมให้มีความเหมาะสม โดยคำนึงถึงวิธีการจัดหาและแจกจ่ายอุปกรณ์การเรียนดังกล่าว รวมถึงความปลอดภัยและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ สำหรับในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนหรือมาตรการจูงใจให้เด็กและเยาวชนให้มาเรียนสายอาชีพมากขึ้น รวมทั้งเร่งขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน สถานประกอบการในการสนับสนุนส่งเสริมการจัดการศึกษาและยกระดับคุณภาพการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25247 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | สธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากแผนงานพัฒนาด้านสาธารณสุข ผลผลิต ผลิตและพัฒนาบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข รายการอาคารศูนย์เรียนรู้ เป็นอาคาร คสล. ๑๐ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๑๓,๐๐๐ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพฯ ๑ หลัง วงเงิน ๔๕,๙๙๕,๐๐๐ บาท ไปตั้งจ่ายในแผนงานพัฒนาระบบประกันสุขภาพ ผลผลิตประชาชนได้รับการบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน รายการครุภัณฑ์การแพทย์ที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า ๑ ล้านบาท จำนวน ๖๙ รายการ ภายในกรอบวงเงิน ๔๕,๙๙๕,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากกระทรวงสาธารณสุขมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการสร้างอาคารศูนย์เรียนรู้ ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพฯ ที่ได้ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณไปแล้วบางส่วน ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
25248 | โครงการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เพื่อความมั่นคงและการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน เทิดไท้ 82 พรรษา มหาราชินี | มท | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กรมที่ดินดำเนินโครงการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เพื่อความมั่นคงและการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน เทิดไท้ ๘๒ พรรษา มหาราชินี ภายในกรอบวงเงิน ๒๙๓,๙๐๐,๑๔๓ บาท โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน ๘๕,๕๗๓,๔๔๓ บาท ในลักษณะการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกัน โดยมีเป้าหมายดำเนินการ ๑,๔๖๗ แปลง ในพื้นที่ ๑๘ จังหวัด ทั้งนี้ การดำเนินการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าว ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ให้กรมที่ดินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๐๘,๓๒๖,๗๐๐ บาท โดยมีเป้าหมายดำเนินการ ๘,๕๐๐ แปลง ในพื้นที่ ๕๒ จังหวัด ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25249 | ขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ | กษ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานกรรมการ มีกรรมการ จำนวน ๒๗ คน โดยมีอธิบดีกรมประมง เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติเร่งดำเนินการจัดทำบัญชีรายชื่อเรือประมงและลูกเรือ รวมทั้งเร่งดำเนินการให้มีการติดตั้งระบบติดตามตำแหน่งเรือประมงไทยเพื่อให้สมารถติดตามตรวจสอบการทำประมงของเรือประมงไทยทั้งในน่านน้ำไทยและในน่านน้ำต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การทำประมงถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การดำเนินการตามมาตรการควบคุมการทำประมงที่ผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม) ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ตามที่กำหนดไว้ในแผนระยะสั้นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการลักลอบทำประมงที่ผิดกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
25250 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์) | สธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระ สถิรอังกูร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. นายเอกชัย โควาวิสารัช ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาสิติ-นรีเวชกรรม) กลุ่มงานสูติ-นรีเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๓. นายชุษณะ มะกรสาร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๔. นางสุชาดา ฮุนพงษ์สิมานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๕. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
25251 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 และ 2555 ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง | รง | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๕ ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานกำกับดูแลกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้เร่งดำเนินการจัดทำรายงานฯ ในปีต่อ ๆ ไป เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย โดยมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ปี ๒๕๕๖ กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม ๒๙๖,๕๗๕,๗๐๐.๔๓ บาท หนี้สินหมุนเวียนรวม ๘๕๐,๓๒๖.๗๙ บาท เงินกองทุนรวม ๒๙๕,๗๒๕,๓๗๓.๖๔ บาท รวมหนี้สินและเงินกองทุน ๒๙๖,๕๗๕,๗๐๐.๔๓ บาท รายได้รวม ๒๐,๔๗๖,๐๗๔.๓๓ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๔๑,๗๔๐,๐๗๑.๘๑ บาท รายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ๒๑,๒๖๓,๙๙๗.๔๘ บาท ๑.๒ ปี ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม ๓๑๗,๖๙๘,๓๕๓.๒๔ บาท หนี้สินหมุนเวียนรวม ๗๐๘,๙๘๒.๑๒ บาท เงินกองทุนรวม ๓๑๖,๙๘๙,๓๗๑.๑๒ บาท รวมหนี้สินและเงินกองทุน ๓๑๗,๖๙๘,๓๕๓.๒๔ บาท รายได้รวม ๒๗,๐๑๙,๐๑๒.๐๖ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๑๐,๘๕๒,๘๖๖.๒๘ บาท รายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ๘๓,๘๓๓,๘๕๔.๒๒ บาท ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกับกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเพียงพอแก่การบริหารจัดการกองทุนฯ ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25252 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยอดหนี้สาธารณะคงค้างของประเทศ จำนวน ๕,๖๙๐,๘๑๔.๑๕ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๗.๑๘ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๒ ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๗) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๖๘๐,๒๑๐.๕๐ ล้านบาท มีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๙๒ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๒๔,๗๕๗.๒๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากผลการบริหารจัดการหนี้ทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ มีวงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๑๖,๑๘๕.๓๘ ล้านบาท ลดยอดหนี้ได้ ๔๗,๙๓๐.๗๑ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ ๕,๘๗๔.๑๗ ล้านบาท ๒. เนื่องจากกระทรวงการคลังต้องรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยการรายงานในรอบ ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และการรายงานในรอบ ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ มีข้อมูลที่ตรงกัน ดังนั้น เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบสถานะทางการเงินและหนี้สาธารณะในภาพรวมที่ชัดเจน จึงให้กระทรวงการคลังนำรายงานดังกล่าวทั้งสองรายการรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน |
|||||||||||||||||||||||||||
25253 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่ รฟม. สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โดยการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดจากสัญญาเงินกู้ยืม (Term Loan) ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งหมด และที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ บางส่วน รวมจำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยได้ดำเนินการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ (LB21DA) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๗.๑๕ ปี จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ และได้รับเงินจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้นำเงินดังกล่าวไปชำระคืนต้นเงินกู้ Term Loan ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้ที่ชำระคืนก่อนกำหนดดังกล่าว รฟม. ได้ดำเนินการเบิกจ่ายจากงบประมาณไปชำระโดยตรงให้แก่ธนาคารผู้ให้กู้ทั้ง ๒ แห่งในวันเดียวกัน ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๑ ตอนพิเศษ ๒๒๕ ง วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
25254 | ผลการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (ระหว่างวันที่ 30 - 31 ตุลาคม 2557) | นร04 | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ และหารือทวิภาคีเต็มคณะกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ตลอดจนพบปะกับนักธุรกิจไทยในกัมพูชา ซึ่งผลการเยือนครั้งนี้ประสบผลสำเร็จลุล่วงด้วยดี ฝ่ายกัมพูชาให้การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ สมเกียรติ การหารือเป็นไปในบรรยากาศฉันมิตรและได้ความคืบหน้าในหลายประเด็น ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เสนอ สำหรับประเด็นที่มีความเร่งด่วนที่ต้องปฏิบัติในโอกาสแรก มีดังนี้ ๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพผลักดันโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดตราด และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับนโยบายในภาพรวม ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท และจุดผ่านแดนอื่น ๆ และมอบหมายให้พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำกับดูแลในภาพรวม โดยมีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยประสานงาน ๒.๓ การเปิด/ปิดจุดผ่านแดนใด ๆ ให้เป็นอำนาจในการสั่งการจากส่วนกลาง โดยมีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยประสานงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
25255 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๓๓-๒๕๕๖ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25256 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และบ้านหนองสมอ พ.ศ. .... | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และบ้านหนองสมอ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการขยายทางหลวงสายพิเศษสายดังกล่าวในท้องที่อำเภอเมืองชลบุรี อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีส่วนแคบที่สุดหนึ่งร้อยเมตร และส่วนกว้างที่สุดสามร้อยเมตร เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25257 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมุกดาหาร และตำบลศรีบุญเรือง อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมุกดาหาร และตำบลศรีบุญเรือง อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนและเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์สาธารณะในการสร้างและขยายทางหลวงชนบท เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท ถนนสาย ง ๒ และถนนสาย ง ๓ ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองมุกดาหาร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25258 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 20 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - ประเทศคู่เจรจาและการหารือทวิภาคีระหว่างไทย - สปป.ลาว และไทย - ญี่ปุ่น | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ATM) ครั้งที่ ๒๐ ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงานด้านการขนส่งของอาเซียนหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ประชุมให้การรับรองวิสัยทัศน์และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ได้แก่ วิสัยทัศน์ความร่วมมือด้านการขนส่งของอาเซียน หลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดว่า “Towards greater connectivity, efficiency, integration, safety and sustainability of ASEAN transport to strengthen ASEAN’s competitiveness and foster regional inclusive growth and development” และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ จำนวน ๕ สาขา คือ การขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และการขนส่งอย่างยั่งยืน ๑.๒ ด้านการขนส่งทางอากาศ ที่ประชุมรับทราบว่า ประเทศไทยได้ลงนามพิธีสาร ๒ ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และการเริ่มต้นการเจรจาการจัดทำข้อผูกพัน ชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ๑.๓ ด้านการขนส่งทางบกและการอำนวยความสะดวก ที่ประชุมรับทราบการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ของมาเลเซีย สายอิโป-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง ๓๒๙ กิโลเมตร ซึ่งได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยในส่วนของไทยมีความคืบหน้าของการเริ่มก่อสร้างสะพานรถไฟช่วงคลองลึก-ปอยเปต ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ-ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกได้ข้อยุติการจัดทำร่างความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน (ASEAN CBTP) ๑.๔ ด้านการขนส่งทางน้ำ ที่ประชุมให้การรับรองกรอบการดำเนินการการรวมตัวเป็นตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน และประเทศสมาชิกร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกลไกความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมและการจัดการน้ำมันรั่วไหลของอาเซียน ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ความตกลงด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน และพิธีสาร ๑ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ แนบท้ายความตกลงฯ และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียนเร่งรัดการให้สัตยาบันเพื่อการมีผลบังคับใช้ของพิธีสาร ๒ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ภายใต้กรอบความตกลงฯ รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการก่อสร้าง/บูรณะเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง รวมทั้งกรณีที่จีนจะให้เงินสนับสนุนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน-จีน ภายใต้แนวทาง 21st Century Maritime Silk Road ๓. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการ ๒๓ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการปากเซเรื่องความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมทั้งให้การรับรอง “แนวทางการแนะนำระบบ Electronics Database Interchange (EDI) ของท่าเรือ” กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รายงานผลการสำรวจท่าอากาศยานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานเบื้องต้นของการศึกษาเรื่องการขนส่ง Landbridge ในอาเซียน และให้การรับรองแผนงานการดำเนินงานหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๔. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมให้การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับปรับปรุง และรับทราบโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี ๒๕๕๘ ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านรถไฟ ด้านโลจิสติกส์ การขนส่งอย่างยั่งยืน และการศึกษาเรื่องการปรับปรุงการขนส่งทางลำน้ำในไทยและกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และเห็นชอบที่จะจัดให้มีการประชุมคณะทำงานเพื่อเจรจาการจัดทำว่าด้วยบริการเดินอากาศอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๕. การหารือทวิภาคระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น โดยผลการหารือระหว่างไทย-สปป.ลาว ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ฝ่ายลาวขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายไทยในการพัฒนาเส้นทางถนน และโครงการก่อสร้างสะพาน สำหรับผลการหารือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น จะเน้นเรื่องความร่วมมือด้านรถไฟไทย-ญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
25259 | ขออนุมัติถอนและแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเมืองกวาดาลาฮารา สหรัฐเม็กซิโก [นายโฮเซ กิแยร์โม โรโม โรเมโร (Mr. Jose Guillermo Romo Romero)] | กต | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ถอดถอนนายอัลแบร์โต มาร์ติเนซ บารา อากีลาร์ (Mr. Alberto Martinez Vara Aguilar) ออกจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองกวาดาลาฮารา สหรัฐเม็กซิโก ๒. แต่งตั้งนายโฮเซ กิแยร์โม โรโม โรเมโร (Mr. Jose Guillermo Romo Romero) เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ เมืองกวาดาลาฮารา สหรัฐเม็กซิโก โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๙ รัฐ ทางภาคตะวันตกของสหรัฐเม็กซิโก ได้แก่ อากวัสกาเลียนเตส (Aguascalientes) บาฮากาลิฟอร์เนีย (Baja California) บาฮากาลิฟอร์เนียซูร์ (Baja California Sur) โกลีมา (Colima) ฮาลิสโก (Jalisco) นายาริต (Nayarit) ซีนาโลอา (Sinaloa) โซโนรา (Sonora) และซากาเตกัส (Zacatecas)
|
|||||||||||||||||||||||||||
25260 | การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ เพื่อให้การบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น จึงขอปรับปรุงสัดส่วนที่ภาครัฐจะเข้าร่วมลงทุนในกิจการ SMEs จากเดิมร้อยละ ๑๐-๒๕ เป็นร้อยละ ๑๐-๕๐ ๑.๒ ให้มีคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จำนวนไม่เกิน ๗ คน เป็นผู้กำหนดนโยบายในการบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs และให้คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารกองทุน จำนวน ๒ ชุด ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุน (Investment Committee) และคณะกรรมการผู้ให้คำปรึกษาวิสาหกิจร่วมทุน (Advisory Committee) ๑.๓ ให้มีสำนักงานคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ทำหน้าที่ดำเนินงานของกองทุน ๒. เห็นชอบการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs มีลักษณะเป็นกองทุนเปิดและเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ขนาดของกองทุน ๑๐,๐๐๐-๒๕,๐๐๐ ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมลงทุนจากภาครัฐร้อยละ ๑๐-๕๐ ส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมลงทุน โดยจะแบ่งการลงทุนเป็นกองทุนย่อย ๆ และเรียกระดมทุนครั้งละไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาทต่อกองทุนย่อย และกองทุนย่อยแต่ละกองทุนจะมีนโยบายในการลงทุนตามแต่ละประเภท/กลุ่ม SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลัก ๓. เห็นชอบแหล่งเงินลงทุนในส่วนของภาครัฐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในฐานะภาครัฐจะลงทุนเริ่มแรก เป็นจำนวน ๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เกินกว่านี้จะขอจัดสรรจากงบประมาณประจำปีหรือจากแหล่งอื่นตามความจำเป็นในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความพร้อมในการใช้แหล่งเงินทุนของ ธพว. รวมถึงรูปแบบการบริหารจัดการและการติดตามการดำเนินงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs สำหรับกรณีการใช้แหล่งเงินทุนอื่นที่นอกเหนือจาก ธพว. เห็นควรที่จะพิจารณาจากหน่วยงานหรือกองทุนของรัฐอื่น ๆ ที่มีภารกิจในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจการ SMEs เป็นลำดับแรกก่อน ส่วนการใช้แหล่งเงินทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายผ่านหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกลุ่ม/ประเภท SMEs ที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินให้ตรงกับกลุ่มธุรกิจและสอดคล้องกับห่วงโซ่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเน้นการพัฒนา SMEs ให้มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs ที่มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาชุมชนที่มีเอกลักษณ์ แต่มีเงินทุนไม่เพียงพอ เช่น เครื่องสำอาง สปา น้ำหอม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้นำกลุ่ม SMEs ที่ได้รับรางวัลจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมมาเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการร่วมทุนภายในปีนี้ ๕. มอบรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (The Research & Development) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ต่อไป |
.....