ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1263 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 25241 - 25260 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25241 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (จำนวน 8 คน 1. นางอรวรรณ พงศ์พงัน ฯลฯ) | รง | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน จำนวน ๘ คน เนื่องจากกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดวาระ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นางอรวรรณ พงศ์พงัน อดีตผู้ตรวจราชการ ๒. นายโชคชัย ศรีทอง อดีตรองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ๓. นางณัฐยา อนุดิษฐ์ อดีตผู้ตรวจราชการกรมการจัดหางาน ๔. ร้อยโท ปรีมาวศุต อดิศักดิ์ อดีตแรงงานจังหวัดฉะเชิงเทรา ๕. นายเกริกศักดิ์ ศักดิ์บดินทร์ ที่ปรึกษาสมาคมการจัดหางานไทยไปต่างประเทศ ๖. นายสราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ๗. นายวัชรพล บุษมงคล สภาองค์การนายจ้างธุรกิจการค้าและบริการไทย ๘. นายพิชิต พระปัญญา สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||
25242 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (นายโชค บูลกุล) | วธ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายโชค บูลกุล ผู้เชี่ยวชาญสาขาบริหารงานบุคคล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนนางสุชาดา ยุวบูรณ์ ที่ลาออก ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
25243 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (จำนวน 8 คน 1. นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ฯลฯ) | ทก | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ จำนวน ๘ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม เป็นประธานกรรมการ ๒. นายอนุรักษ์ นิยมเวช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. พลเอก โสภณ เวคะวากยานนท์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายศุภชัย จงศิริ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นางสุวดี ปาจรียางกูร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายรอม หิรัญพฤกษ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายสุรพันธ์ เมฆนาวิน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||
25244 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) | พศ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการอนุรักษ์และพัฒนาพุทธมณฑล ฝ่ายสงฆ์ และคณะกรรมการอำนวยการอนุรักษ์และพัฒนาพุทธมณฑล ฝ่ายฆราวาส ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
25245 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๑,๐๓๗,๓๕๘ ล้านบาท ๒. ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๑๖ มกราคม ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่าย เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๑,๑๖๔,๖๗๘ ล้านบาท ๓. สถานการณ์จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๑๖ มกราคม๒๕๕๘ ตามระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ของกรมบัญชีกลาง พบว่า ลงนามในสัญญาแล้ว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๑๕,๗๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๕.๗ ซึ่งรายละเอียดการจัดซื้อจัดจ้างรายกระทรวงและการรายงานผลในระบบ EvMIS ของสำนักงบประมาณ มีบางหน่วยงานยังไม่ได้บันทึกผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่าย งบประมาณ จึงเห็นสมควรที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดจะกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และผู้ว่าราชการจังหวัด ติดตามและกำกับดูแลเร่งรัดการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน การเบิกจ่ายเงิน และการรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25246 | ขออนุมัติร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย - ลาว ครั้งที่ 19 | กต | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๑๙ เป็นกรอบในการหารือกับฝ่ายลาวระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยร่างบันทึกการประชุมดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันไว้ ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้า เพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์ โดยมีประเด็นสำคัญที่จะหยิบยกขึ้นหารือระหว่างการประชุมฯ ได้แก่ การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน การยกระดับจุดผ่านแดน การค้าและการลงทุน การคมนาคมขนส่ง การเชื่อมโยงในภูมิภาค ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา เป็นต้น ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกการประชุมในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
25247 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๕๘ จำนวน ๔๓ รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ หมวดอาหาร จำนวน ๑๔ รายการ คือ กระเทียม ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ไข่ไก่ สุกร เนื้อสุกร น้ำตาลทราย น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน นมผง นมสด แป้งสาลี อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก และผลปาล์มน้ำมัน ๑.๒ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน จำนวน ๕ รายการ คือ ผงซักฟอก ผ้าอนามัย กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า แชมพู และสบู่ ๑.๓ หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน ๖ รายการ คือ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องสูบน้ำ รถไถนา และรถเกี่ยวข้าว ๑.๔ หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน ๓ รายการ คือ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น สายไฟฟ้า และท่อพีวีซี ๑.๕ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน ๓ รายการ คือ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน และเยื่อกระดาษ ๑.๖ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน ๓ รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง และรถยนต์บรรทุก ๑.๗ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน ๓ รายการคือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง และเม็ดพลาสติก ๑.๘ หมวดยารักษาโรค จำนวน ๑ รายการ คือ ยารักษาโรค ๑.๙ หมวดอื่น ๆ จำนวน ๑ รายการ คือ เครื่องแบบนักเรียน ๑.๑๐ หมวดบริการ จำนวน ๓ รายการ คือ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า และบริการทางการเกษตร ๒. ยกเว้นการเพิ่มรายการสินค้าควบคุมใหม่ ๒ รายการ คือ แชมพูและสบู่ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีการผลิตจำนวนมากจากคู่แข่งหลายรายทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด ซึ่งสามารถใช้กลไกตลาดในการควบคุมระดับราคาได้
|
|||||||||||||||||||||
25248 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2558 | กษ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ปี ๒๕๕๘ ตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้าระหว่างประเทศ และให้มีการบริหารการนำเข้าตามความตกลงทุกกรอบการค้าระหว่างประเทศเช่นเดียวกับกรอบ WTO คือ ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร และการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. โดยมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. ดำเนินการต่อไป รวมทั้งมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. พิจารณาการเพิ่มเติมกรรมการ กนป. โดยตำแหน่งให้มีผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันจากจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า ๕ แสนไร่ ๒. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ โดยให้กระทรวงพลังงานปรับลดข้อกำหนดการใช้ไบโอดีเซล B100 ผสมในน้ำมันดีเซลจากไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖ แต่ไม่เกินร้อยละ ๗ เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓.๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๗ รวมทั้งการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไข (Crude Palm Olein) ในปริมาณจำกัด โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (องค์การคลังสินค้า) นำเข้าในปริมาณ ๕๐,๐๐๐ ตัน ให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
25249 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (ระหว่างวันที่ 13 - 15 มกราคม 2558) | กห | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๑๓ ถึง ๑๕ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดนไทย จำนวน ๖ เขต และการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียน โดยเสนอให้มีการพัฒนาความร่วมมือทางการเกษตรเนื่องจากทั้งสองประเทศมีผลิตผลทางการเกษตรที่คล้ายคลึงกัน รวมทั้งขอให้เวียดนามสนับสนุนการสมัครเป็นสมาชิกไม่ถาวรของไทยในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติสำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗ ถึง ค.ศ. ๒๐๑๘ โดยไทยพร้อมที่จะสนับสนุนเวียดนามในกรณีนี้เช่นกัน สำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๒๐ ถึง ค.ศ. ๒๐๒๑ ในส่วนของนายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวว่าไทยและเวียดนามมีความเห็นที่คล้ายคลึงกันในประเด็นต่าง ๆ ในเวทีระดับโลก สำหรับปัญหาในทะเลจีนใต้ เวียดนามมีความประสงค์ที่จะจัดให้มีการลงนามในแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct of Parties in the South China Sea : COC) โดยเร็ว เพื่อยุติข้อพิพาท และกล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การดูแลผู้อพยพและแรงงานชาวเวียดนาม จำนวน ๑๓๐,๐๐๐ คน เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีของไทยถึงการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ด้านแรงงานระหว่างไทยกับเวียดนามแล้ว ๑.๒ การเข้าเยี่ยมคำนับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอแนวทางการพัฒนาความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน โดยเพิ่มการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับผู้ปฏิบัติงาน การแลกเปลี่ยนที่นั่งฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และความร่วมมือเพื่อสร้างความมั่นคงทางทะเล รวมทั้งเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกในการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันในรูปของคณะกรรมการร่วมของทั้งสองฝ่ายเพื่อขยายผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมทั้งหารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทางทหารในด้านต่าง ๆ และร่วมกันแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนามเห็นพ้องกับข้อเสนอของไทยที่จะพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศและภูมิภาค พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณนักลงทุนไทยในเวียดนาม และชื่นชมรัฐบาลไทยที่ให้การดูแลผู้อพยพและแรงงานชาวเวียดนามที่อยู่ในประเทศไทยเป็นอย่างดี และกล่าวว่า หากมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างกัน เช่น ด้านการประมง และด้านแรงงาน ขอให้แก้ไขโดยยึดหลักมนุษยธรรม โดยหากต้องใช้กลไกทางกฎหมาย ขอให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๓ การเยี่ยมชมกรมซาดิ่ง ภาคทหารบกที่ ๗ นครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นกรมทหารราบและเป็นหนึ่งในหน่วยทหารที่ได้รับยกย่องว่าดีที่สุดของภาคทหารบกที่ ๗ เป็นหน่วยทหารที่มีการพัฒนากำลังพลให้มีความพร้อมรบของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบและพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยการส่งเสริมอาชีพที่มั่นคงให้กับชาวบ้าน และกิจกรรมอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของคนในชุมชน ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้มีการเจรจาหารือกับฝ่ายเวียดนามไว้แล้วติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการในแต่ละเรื่องด่วน เช่น การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว (กระทรวงแรงงาน) การแก้ไขปัญหาการลักลอบทำประมงผิดกฎหมาย (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) การช่วยเหลือคนไทยที่ได้รับโทษจำคุกอยู่ในประเทศเวียดนาม (กระทรวงยุติธรรม) และการเข้าร่วมดำเนินโครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมี ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กระทรวงพลังงาน) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
25250 | การใช้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ในการป้องกันการทุจริตเป็นโครงการนำร่อง | สลธ.คสช. | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘ ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการใช้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาบังคับใช้เป็นโครงการนำร่อง (Pilot Project) ใน ๒ โครงการ คือ โครงการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ จำนวน ๔๘๙ คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการกำหนดรายละเอียด หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการนำระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ไปใช้ในการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานของรัฐ และเอกชน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25251 | รายงานการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศมาเลเซียของกระทรวงศึกษาธิการ | ศธ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยที่ประเทศมาเลเซีย กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) ร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศมาเลเซีย โดยจัดตั้งศูนย์อาชีวะอาสาเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนชาวมาเลเซียใน ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอตุมปัต อำเภอปาเซมัส และอำเภอตาเนาะห์แมเราะห์ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย โดยได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือใน ๔ กิจกรรม ได้แก่ การบริจาคสิ่งของ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม การให้บริการตรวจสุขภาพอนามัย และการให้บริการซ่อมแซมรถจักรยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ มกราคม ๒๕๕๘ สามารถให้บริการครอบครัวกว่า ๑,๐๐๐ ครอบครัว ซ่อมรถจักรยานยนต์ ๕๑๒ คัน ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ๑๐๕ ชิ้น และฝึกอาชีพระยะสั้น ๓๔๖ คน
|
|||||||||||||||||||||
25252 | ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๘ และรับทราบข้อคิดเห็นของประธานกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (พลเรือเอก วัลลภ เกิดผล) และข้อชี้แจงของผู้แทนกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... (ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการต่างประเทศรับไปเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมัน ค.ศ. ๑๙๙๒ และการตราพระราชบัญญัติที่ต้องอนุวัติหรือรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25253 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ทุกกระทรวงรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ทุกกระทรวงติดตามผลการพิจารณาร่างกฎหมายในชั้นกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อมิให้เนื้อหาสาระของร่างกฎหมายมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีมีมติไว้แล้ว ไปปฏิบัติต่อไป ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และ ๒.๑ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒.๒ รับทราบกรอบระยะเวลาการนำเสนอร่างกฎหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วน (ชุดที่ ๑) จำนวน ๒๖ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ไขแล้ว ๒.๓ รับทราบบัญชีร่างกฎหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วน (ชุดที่ ๒) จำนวน ๔๔ ฉบับ ที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติติดตามและเร่งรัดการดำเนินการตรากฎหมายให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามข้อ ๒.๒ และ ๒.๓ ต่อไป ๒.๔ รับทราบข้อคิดเห็นของประธานกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (พลเรือเอก วัลลภ เกิดผล) และข้อชี้แจงของผู้แทนกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเรื่องความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... (ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการต่างประเทศรับไปเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมัน ค.ศ. ๑๙๙๒ และการตราพระราชบัญญัติที่ต้องอนุวัติหรือรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25254 | การเสนอเรื่องขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้วหรือขอขยายระยะเวลาดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี และการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ | นร | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
๑. ในกรณีที่หน่วยงานขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้วหรือขอขยายระยะเวลาดำเนินการ หน่วยงานจะต้องประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการที่อาจเปลี่ยนแปลงไป อันเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องว่า โครงการดังกล่าวนั้นยังคงเป้าหมายและผลประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ประชาชน และชุมชนที่จะได้รับอย่างไรด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการประเมินผลการศึกษาของทุกสถาบันการศึกษาในสังกัดในทุกระดับ ทั้งระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษา และสายอาชีวศึกษา เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย จำนวนนักเรียน/นักศึกษา จำนวนอาคารสถานที่ งบประมาณที่สนับสนุน ผลสัมฤทธิ์ของการจัดการศึกษา ผลการศึกษาต่อ และการมีงานทำ เพื่อใช้ประกอบในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณให้แก่สถาบันการศึกษา ทั้งนี้ ให้มีการปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบันทุกปี ๓. ให้สำนักงบประมาณใช้ฐานข้อมูลที่กระทรวงศึกษาธิการจัดทำขึ้นตามข้อ ๒ ในการประกอบการพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในแต่ละปี
|
|||||||||||||||||||||
25255 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง โดยที่ขณะนี้ใกล้ครบกำหนดเวลาที่ใบอนุญาตทำงานชั่วคราวที่ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จออกให้แก่แรงงานต่างด้าวจะหมดอายุแล้ว แต่กระบวนการตรวจสัญชาติอาจไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ จึงให้กระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ โดยมีเรื่องแผนการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ซึ่งได้กำหนดขอบเขตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก ได้แก่ จังหวัดตาก มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และตราด นั้น ในการดำเนินการให้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษพิจารณาใช้พื้นที่ของทางราชการเป็นลำดับแรก ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรองรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล และจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) เพื่อไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นั้น เนื่องจากขณะนี้ยังมีความเข้าใจที่แตกต่างกันในเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลค่อนข้างมาก จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการสร้างการรับรู้ในเรื่องนี้ต่อสาธารณชนในวงกว้าง เช่น จัดกิจกรรมหรือเวทีให้ทุกภาคส่วนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ร่วมกัน เป็นต้น ๒.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับเรื่องรายงานผลการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหินไปกำกับดูแล โดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งหมด นั้น ให้คณะทำงานดังกล่าวพิจารณาหาแนวทางการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน โดยเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และให้พิจารณาดำเนินการในช่วงเวลาที่เหมาะสม ๒.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางผลักดันจัดตั้งศูนย์กลางโลจิสติกส์ของประเทศไทย โดยศึกษาผลดี ผลเสีย และเตรียมความพร้อมและมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนย้ายเสรี (free flow) ในสาขาต่าง ๆ เช่น สินค้า บริการ การลงทุน แรงงาน ด้วย ๒.๕ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการขยายเส้นทางรถไฟสายหลักให้เกิดความเชื่อมโยงและครอบคลุมพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญในด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น สถานที่ท่องเที่ยว เขตพื้นที่การศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ๒.๖ ให้กระทรวงพลังงานสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตามโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) ว่าได้มีระบบการกำหนดโควตาในการรับซื้อ มิใช่การรับซื้ออย่างไม่จำกัดจำนวน ๓. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานงานและร่วมติดตามการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการตรวจสอบการดำเนินโครงการก่อสร้างห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน ที่มีกรณีว่าโครงการดังกล่าวเข้าข่ายการทุจริต ๔. ด้านการต่างประเทศ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านคาดหวังให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้แทนการเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน เช่น กรณีความขัดแย้งเรื่องการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขงของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และกรณีข้อพิพาทหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จึงให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจาต่อไปด้วย ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีกลุ่มอาจารย์ของสถาบันการศึกษาที่ออกนอกระบบเรียกร้องเพื่อขอรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้เท่าเทียมกับข้าราชการในสถาบันการศึกษาที่อยู่ในระบบ ๕.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งกำหนดบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดอย่างเหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพิ่มความระมัดระวังในการให้บริการยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว พร้อมทั้งติดตามกรณีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น การข่มขู่ การเอารัดเอาเปรียบ และการหลอกลวงนักท่องเที่ยวด้วย ๕.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริโภค อุปโภค และการเกษตรกรรม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป นั้น ให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์การขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งให้มีแหล่งกักเก็บน้ำให้เพียงพอด้วย ๕.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับทุกหน่วยงานในการบูรณาการการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางให้ศูนย์ต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของกระทรวงต่าง ๆ และศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด มีการทำงานที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร นั้น ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลและการปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานทุกเวลา ๕.๕ ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์และการผลักดันการปฏิรูปให้บรรลุผลสำเร็จ ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ การสร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ และอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การนิรโทษกรรม การดำเนินคดีผู้กระทำผิดกฎหมาย อำนาจหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนทราบเหตุผลของการดำเนินการในแต่ละเรื่องให้ถูกต้องและชัดเจน จึงให้ทุกหน่วยงานเร่งสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในเรื่องสำคัญและอยู่ในความสนใจของประชาชนที่อยู่ภายใต้ภารกิจความรับผิดชอบอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
25256 | แผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ | นร04 | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ปี ๒๕๕๘ โดยครอบคลุมถึงปัจจัยที่ผลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวที่สำคัญครบทั้ง ๔ ด้าน ประกอบด้วย การใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งมีทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออก ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการของทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะการดำเนินการที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง และการอนุมัติ/อนุญาตใด ๆ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. รับทราบข้อสังเกตของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อสังเกตของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒.๑.๑ ปัจจุบันพบว่า ประชาชนในระดับรากหญ้ายังมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก มีการใช้จ่ายน้อย ส่งผลให้ภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว จึงควรหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและเป็นการยกระดับรายได้ของประชาชนกลุ่มนี้ รวมทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในด้านอื่น ๆ ต่อไป ๒.๑.๒ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไม่จำเป็นจะต้องมีอัตราการเติบโตที่สูง แต่จะต้องสะท้องสภาพเศรษฐกิจในความเป็นจริง โดยเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป หมวดอาหาร คิดเป็นร้อยละ ๓.๒ หมวดสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารคิดเป็นร้อยละ ๐.๖ แสดงให้เห็นว่าราคาอาหารซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนยังอยู่ในระดับที่สูง ส่งผลให้อำนาจการซื้อในตลาดของประชาชนยังมีน้อย ๒.๑.๓ ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นและมีแนวโน้มที่จะแข็งขึ้นอีก ซึ่งหากค่าเงินบาทแข็งมากเกินไปจะมีผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกและธุรกิจการท่องเที่ยว ดังนั้น จึงควรดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยพิจารณาระดับค่าเงินของประเทศในภูมิภาคประกอบด้วย ๒.๑.๔ โดยที่ประเทศไทยมีนโยบายในการขยายการลงทุนในประเทศ เช่น การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง เป็นต้น ประกอบกับประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจในการลงทุนในประเทศไทย ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศจึงควรเตรียมการประสานงานเพื่อชักชวนและเจรจาสร้างความร่วมมือในการลงทุนกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้กระเตื้องขึ้น ๒.๒ นายกรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า การพิจารณาสภาพเศรษฐกิจของประทศให้พิจารณาเปรียบเทียบกันระหว่างช่วงก่อนและหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ และแม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ต้องให้ความสนใจกับรายได้ของประชาชนในทุกระดับด้วย ดังนั้น ทุกส่วนราชการควรจะต้องพิจารณาภารกิจในความรับผิดชอบและหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมประชาชนทุกระดับ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชนว่า ในขณะนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้ร่มมือกันทำงานเพื่อพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืน ๓. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอว่า ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบประมาณรายจ่ายลงทุนที่มีการเบิกจ่ายค่อนข้างน้อย คือ งบกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก ที่ใช้เงินจากงบไทยเข้มแข็งและงบกลางส่วนที่เหลือ รวม ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการดำเนินโครงการหลายโครงการต้องใช้ราคามาตรฐานที่ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามแบบรูปรายการเดิม จึงส่งผลให้ไม่มีผู้เขาประมูลรับงาน ดังนั้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พงศ. ๒๕๕๘ ให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น การปรับปรุงราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นต้น แล้วรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||
25257 | แผนการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ปี 2558 | นร | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ด้านการสร้างความเป็นธรรมในสังคม การรักษาความสงบเรียบร้อยและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ประกอบด้วย การจัดบริการทางสังคมตามสิทธิขั้นพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาจงหวัดชายแดนภาคใต้ และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๒. ด้านการพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย การส่งเสริมการเรียนการสอนตลอดชีวิต การปฏิรูปการศึกษา การเสริมสร้างและพัฒนาสุขภาพของประชาชน และการปลูกฝังค่านิยมจิตสำนึกและการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย ๓. ด้านการสร้างความเข้มแข็งภาคการเกษตร ความมั่นคงของอาหารและพลังงาน ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ และการแก้ไขปัญหาเกษตรกรอย่างยั่งยืน ๔. ด้านการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่การเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประกอบด้วย การเพิ่มศักยภาพสหกรณ์ในการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ตามพื้นที่เป้าหมายบริเวณชายแดน การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมืองและการพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะ และการบริหารจัดการเศรษฐกิจส่วนรวมอย่างมีเสถียรภาพ ๕. ด้านการสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการขนส่งและระบบ Logistic และการสร้างความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ๖. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ๗. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในการใช้บริการอย่างแท้จริง ๘. การปรับปรุงระบบโทรคมนาคมเทคโนโลยีของชาติให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคตให้ทัดเทียมอาเซียนและประชาคมโลก ๙. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างยั่งยืน แผนการดำเนินการดังกล่าว คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะกำหนดห้วงเวลาดำเนินการรายไตรมาสให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินการของรัฐบาล เพื่อให้ผลการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลเป็นไปอย่างประสานสอดคล้อง ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะติดตามและประเมินผลการดำเนินการของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ ซึ่งจะได้ประชุมกำหนดรายละเอียดการดำเนินการในวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๘ และจะรายงานผลการดำเนินการ รวมทั้งความเห็นหรือข้อเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขเสนอต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาสั่งการส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25258 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายยุทธนา พูนพานิช) | สธ | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ร้อยโท เกรียงศักดิ์ ศิริรักษ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลพระปกเกล้า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๗ ๒. นายยุทธนา พูนพานิช ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๓. นายอิทธิพล สูงแข็ง ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๗ |
|||||||||||||||||||||
25259 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายอิทธิพล สูงแข็ง) | สธ | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ร้อยโท เกรียงศักดิ์ ศิริรักษ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลพระปกเกล้า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๗ ๒. นายยุทธนา พูนพานิช ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๓. นายอิทธิพล สูงแข็ง ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๗ |
|||||||||||||||||||||
25260 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจกรณีต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษา และกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่ว่า ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือนนั้น ในร่างมาตรา ๓ การกำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจยังมีความไม่สอดคล้องกับมาตรา ๓๖ ข. (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดให้การได้รับโทษจำคุกต้องเป็นการกระทำที่เกิดจากความผิดทางอาญา และในร่างมาตรา ๔ การกำหนดลักษณะต้องห้ามของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกำหนดให้พนักงานรัฐวิสาหกิจเมื่อพ้นโทษเกินห้าปีแล้ว สามารถกลับเข้าทำงานได้นั้น ควรกำหนดหลักการของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
.....