ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1270 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 25381 - 25400 จากข้อมูลทั้งหมด 124254 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25381 | ขออนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติมโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๖๒.๔๙๐ ล้านบาท ให้องค์การสวนยางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ในช่วงที่มีการขยายระยะเวลาโครงการจนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งสรุปผลการดำเนินงานและการเงินของโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง พร้อมทั้งผลการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพยางในสต็อก เพื่อให้องค์การสวนยางสามารถปิดบัญชีโครงการฯ ได้ตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง) คือ ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และสามารถส่งมอบยางในสต็อกให้กับโครงการมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางไปบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องตามระเบียบและขั้นตอนการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
25382 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปี พ.ศ. 2557 | นร01 | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ในภาพรวม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ก.ธ.จ. ทั้ง ๗๖ คณะ/จังหวัด ได้ดำเนินการสอดส่องแผนงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด แผนงานโครงการของจังหวัดและส่วนราชการในจังหวัด รวมถึงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัด เช่น โครงการก่อสร้างถนน สะพาน อาคาร สถานที่ต่าง ๆ ฝายน้ำล้น สถานีสูบน้ำ คลองส่งน้ำ การพัฒนาและปรับปรุงด่านชายแดน และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในประเด็นต่าง ๆ เป็นต้น จำนวน ๖๘๗ งาน/โครงการ มีมติเป็นข้อเสนอแนะให้จังหวัด/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐรับไปดำเนินการ จำนวน ๑๙๐ ข้อ จังหวัดได้แจ้งผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ ก.ธ.จ. จำนวน ๑๗๓ ข้อ หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๑.๐๕ ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดและหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติ เพื่อให้การดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาลของหน่วยงานภาครัฐ มีความชัดเจนและปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม และไม่ซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน รวมทั้งให้กำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||
25383 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการส่งเสริมตลาดกล้วยไม้ภายในประเทศให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้นด้วย โดยอาจจะจัดแสดงและจำหน่ายกล้วยไม้ไทยในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีประชาชนเป็นจำนวนมาก เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหากรณีที่มีน้ำเค็มหนุนเข้าในสวนกล้วยไม้ และปัญหาการขาดแคลนน้ำในการปลูกกล้วยไม้ด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางและวิธีการในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยจัดกลุ่มประชาชนตามระดับรายได้ให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางจัดตั้งศูนย์รับซื้อยางพาราในประเทศ เพื่อเป็นจุดประสานระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อโดยตรง โดยให้เกิดเป็นรูปธรรมและให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันสำรวจปริมาณการใช้ยางพาราของแต่ละหน่วยงานโดยเร็ว และให้จัดทำแผนการใช้ยางพาราในประเทศด้วย เพื่อให้การใช้ยางพาราเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วนำเสนอผลการดำเนินการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างทางการศึกษา วิธีการจัดการศึกษาให้มีมาตรฐาน และให้เด็กไทยสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพโดยด่วน โดยให้เริ่มนำร่องในปี ๒๕๕๘ ด้วยการพัฒนาศักยภาพผู้สอนทั้งในด้านวิธีการสอน การใช้เอกสารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบการสอน และให้พิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บเงินกินเปล่า (แป๊ะเจี๊ยะ) ของโรงเรียนทั้งของรัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงานชี้แจงทำความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับความแตกต่างของการให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และการออมตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเฉพาะสิทธิการออมตามอายุและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงและสามารถตัดสินใจเลือกรับสิทธิประโยชน์จากทั้ง ๒ มาตรการ ได้อย่างถูกต้องและได้รับผลประโยชน์สูงสุดต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการและอื่น ๆ โดยที่ปริมาณน้ำฝนในปีนี้มีปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทันท่วงที ประกอบกับขณะนี้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ทันการณ์ และให้ติดตามสถานการณ์สภาพอากาศอย่างใกล้ชิดโดยให้ประสานงานกับกรมอุตุนิยมวิทยา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) พิจารณาหาแนวทางและแหล่งกักเก็บน้ำฝนซึ่งมีปริมาณมากในช่วงนี้ เพื่อเป็นการระบายน้ำดังกล่าว รวมทั้งเพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงฤดูแล้งด้วย
|
|||||||||||||||||||||
25384 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) | นร05 | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่า “ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงต่อขยายเพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้โดยเร็ว” เป็น “ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินการตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยการเจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕)] เพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้โดยเร็ว” ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
25385 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เงินตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เงินทุนหมุนเวียน (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) และเงินอื่น ๆ (เงินไทยเข้มแข็งเดิม และเงิน พ.ร.ก. น้ำ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๘๕๖,๗๐๒ ล้านบาท (ไม่รวมเงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ และเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่เบิกจ่ายจากงบประมาณ) โดยคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) จะมีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน ๙๘๔,๒๕๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ๒.๑.๑ รายการที่ลงนามในสัญญาแล้ว ให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้สามารถตรวจรับงานและเบิกจ่ายเงินได้ก่อนสิ้นงวดงานแต่ละงวดงาน หรือก่อนระยะเวลาสัญญาสิ้นสุด ๒.๑.๒ รายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในไตรมาสที่ ๓ แต่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๓ รายการที่ยังไม่ดำเนินการ (ยังไม่เริ่มขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ กรณีมีรายการที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการ หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ หากหน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ให้กรมบัญชีกลางรวบรวมรายชื่อหน่วยงานพร้อมปัญหาอุปสรรคของหน่วยงานดังกล่าวเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๒.๑.๔ รายการที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ สำหรับรายการที่ยังไม่เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้เร่งรัดดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ รวมทั้งให้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๕ การเบิกจ่ายงบฝึกอบรมและประชุมสัมมนา ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการฝึกอบรมและประชุมสัมมนาที่ได้กำหนดไว้โดยเคร่งครัด ๒.๒ มาตรการกระตุ้นการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นโดยเฉพาะงบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน รวมทั้งมอบหมายให้คลังจังหวัดร่วมกับท้องถิ่นจังหวัดติดตามเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจของท้องถิ่น และรวบรวมปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณา ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายผ่านเว็บไซต์ www.dla.go.th หัวข้อ ระบบสารสนเทศเพื่อการวางแผนและประเมินผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (e-Plan) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๕ ของทุกเดือน ไปจนกว่าการดำเนินการจะสิ้นสุด โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทราบภายในวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้ส่วนราชการในกำกับ เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้นำผลการเบิกจ่ายงบประมาณไปใช้ประกอบการพิจารณาในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป ๔. ให้สำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25386 | ผลการดำเนินงานเรื่องการปกป้องคุ้มครองมรดกทางศิลปวัฒนธรรม : การรับคืนโบราณวัตถุของไทยจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา | วธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินงานเรื่องการปกป้องคุ้มครองมรดกทางศิลปวัฒนธรรม : การรับคืนโบราณวัตถุของไทยจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สรุปได้ ดังนี้
๑. ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประสานงานผ่านสถานกงสุลใหญ่ไทย ณ นครลอสแอนเจลิส กระทรวงการต่างประเทศ ขอให้กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ส่งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบและคัดเลือกโบราณวัตถุดังกล่าวที่พิพิธภัณฑ์ Bowers สหรัฐอเมริกา ๒. คณะเจ้าหน้าที่กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้เดินทางไปตรวจสอบและร่วมจัดทำบัญชีรายการโบราณวัตถุกับนักวิชาการโบราณคดี ผลปรากฏว่าโบราณวัตถุดังกล่าวเป็นมรดกหรือทรัพย์สมบัติทางศิลปวัฒนธรรมของไทย ประกอบด้วย โบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากแหล่งโบราณคดีสำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีเป็นจำนวนมาก โบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากแหล่งโบราณคดีสำคัญในภาคกลางจากแหล่งโบราณคดีในบริเวณจังหวัดลพบุรีและนครสวรรค์ อายุประมาณ ๒,๕๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว และโบราณวัตถุสมัยประวัติศาสตร์ พบเป็นจำนวนน้อย ๓. กรมศิลปากรได้แจ้งเรื่องผลการตรวจพิสูจน์ข้างต้นให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ และแจ้งต่อไปยังสำนักงานอัยการสหรัฐอเมริกา เพื่อขอรับโบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์ Bowers คืนสู่ประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กรมสารนิเทศ) เป็นผู้ประสานหลัก ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์ Bowers ได้จัดส่งหีบห่อ โบราณวัตถุ จำนวน ๘ ลัง รวมทั้งสิ้น ๕๕๔ รายการ โดยทางเรือ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ และมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ กรมศิลปากรได้รับหีบห่อเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ และตรวจสอบแล้วพบว่าเป็น โบราณวัตถุ ซึ่งประกอบด้วย เครื่องปั้นดินเผา ๒๒๒ รายการ เครื่องประดับสำริด ๑๙๗ รายการ เครื่องมือเครื่องใช้สำริด ๗๙ รายการ ลูกปัดทำด้วยวัสดุต่างๆ ๓๕ รายการ เครื่องมือหินและขวานหิน ๑๑ รายการ และแม่พิมพ์หินทราย ๑๐ รายการ ๔. เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้แถลงข่าวในพิธีส่งมอบ-รับมอบโบราณวัตถุดังกล่าว ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ๕. กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดทำทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เสร็จสิ้นตามกระบวนการทางพิพิธภัณฑสถานวิทยาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ได้นำโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ชำรุด เสียหาย ทำการซ่อม สงวน รักษา ตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และหลังจากการอนุรักษ์เรียบร้อยจะนำโบราณวัตถุชิ้นสำคัญมาจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมเพื่อสร้างความตระหนักให้รู้คุณค่า เกิดความรักและหวงแหนโบราณวัตถุที่เป็นมรดกของชาติต่อไป โดยส่วนหนึ่งจะนำไปจัดแสดงและเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี
|
|||||||||||||||||||||
25387 | รายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย | กค | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) โดยเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ณ เรือนรับรองรัฐบาลเตียวหยู่ไถ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นการลงนามล่วงหน้าร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาเลเซียและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฟิลิปปินส์ ส่วนพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ อย่างเป็นทางการ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ หอประชุม The Great Hall of People กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีประเทศสมาชิกส่งผู้แทนเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ จำนวน ๒๑ ประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้อัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง (นางอุรีรัชต์ รัตนพฤกษ์) เป็นผู้แทนประเทศไทยในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ภายหลังจากพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ อย่างเป็นทางการ ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศที่สนใจเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง AIIB โดยที่ประชุมได้หารือกลไกและแผนการก่อตั้ง AIIB ซึ่งจะดำเนินการผ่านการประชุมหารือระหว่างผู้เจรจาหลัก (Chief Negotiator) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประเทศสมาชิก รวมทั้งได้เห็นชอบให้จีนเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะทำงานระหว่างประเทศเพื่อทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของที่ประชุมผู้เจรจาหลัก และเห็นชอบให้นาย Jin Liqun อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของจีนทำหน้าที่เลขาธิการคณะทำงานระหว่างประเทศดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
25388 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล พ.ศ. 2558 | ทก | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเดือดร้อนที่ชุมชน/หมู่บ้านได้รับในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ๕ อันดับแรก คือ สินค้าอุปโภค บริโภคราคาแพง (ร้อยละ ๔๔.๖) ผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำ (ร้อยละ ๓๑.๕) หนี้สิน (ร้อยละ ๒๓.๒) ยาเสพติด (ร้อยละ ๒๐.๗) และปุ๋ย/ยาปราบศัตรูพืช/อาหารสัตว์ราคาแพง (ร้อยละ ๑๓.๑) ๒. การประกาศใช้กฎอัยการศึกในปัจจุบัน (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗) พบว่า ประชาชนเกินครึ่งไม่ได้รับผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน (ร้อยละ ๖๔.๐) มีเพียงร้อยละ ๓๖.๐ ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งในจำนวนนี้ระบุว่าได้รับผลกระทบมาก (ร้อยละ ๖.๐) ปานกลาง (ร้อยละ ๑๕.๔) และน้อย (ร้อยละ ๑๔.๖) ๓. เรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ใน ๕ อันดับแรก คือ การควบคุมราคาสินค้าอุปโภค บริโภค (ร้อยละ ๔๓.๗) การแก้ปัญหาหนี้สิน (ร้อยละ ๓๓.๑) การแก้ปัญหาผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำ (ร้อยละ ๒๗.๐) การแก้ปัญหาการว่างงาน/จัดหาอาชีพ (ร้อยละ ๑๙.๘) และการควบคุมราคาน้ำมัน (ร้อยละ ๑๖.๘) ๔. ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๒.๙ มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือ/แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน/พัฒนาประเทศให้ดีขึ้น (เชื่อมั่นมาก ร้อยละ ๔๑.๓ ปานกลาง ร้อยละ ๔๗.๑ และน้อย ร้อยละ ๔.๕) มีเพียงร้อยละ ๑.๖ ที่ไม่เชื่อมั่น และร้อยละ ๕.๕ ระบุว่ายังไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ ๕. ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายจัดระเบียบสังคม เช่น จัดระเบียบชายหาดท่องเที่ยว จัดระเบียบหาบเร่ แผงลอย ฯลฯ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๘.๕ มีความพึงพอใจต่อนโยบายจัดระเบียบสังคม (พึงพอใจมาก ร้อยละ ๓๙.๕ ปานกลาง ร้อยละ ๔๘.๓ และน้อย ร้อยละ ๑๐.๗) มีเพียงร้อยละ ๑.๕ เท่านั้นที่ไม่พึงพอใจ
|
|||||||||||||||||||||
25389 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางเดือนถนอม พรหมขัติแก้ว) | สธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางหรรษา ไชยวานิช ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (มาตรฐานห้องปฏิบัติการ) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ ๒. นางเดือนถนอม พรหมขัติแก้ว ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เทคโนโลยีชีวภาพ) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
25390 | ยุทธศาสตร์ความเป็นหุ้นส่วนระดับประเทศ ฉบับที่ 2 ระหว่างประเทศไทยและธนาคารพัฒนาเอเชีย สำหรับปี 2556 - 2559 | กค | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบยุทธศาสตร์ความเป็นหุ้นส่วนระดับประเทศ (Country Partnership Strategy : CPS) ฉบับที่ ๒ ระหว่างประเทศไทยและธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) สำหรับปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ จัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและ ADB นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้น (การเติบโตและขีดความสามารถในการแข่งขัน) ลดความยากจน ปรับปรุงการกระจายรายได้ และลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ (การเติบโตแบบองค์รวม) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) บริการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส (หลักธรรมาภิบาลที่ดี) และปรับปรุงการเชื่อมโยงภายในอาเซียน (ความร่วมมือระดับภูมิภาค) ซึ่งจะเน้นความร่วมมือ ๓ ด้านหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรม (Knowledge Advancement and Innovation) (๒) การพัฒนาภาคเอกชน (Private Sector Development) และ (๓) ความร่วมมือและการรวมตัวในระดับภูมิภาค (Regional Cooperation and Integration : RCI) โดยผ่านแผนงานที่ ADB จะให้การสนับสนุนใน ๔ แนวสาขา ได้แก่ สาขาการขนส่งและเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาการเงิน สาขาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และสาขาพลังงาน ทั้งนี้ มีการผนวกการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หลักธรรมาภิบาลที่ดี และความเท่าเทียมกันระหว่างชาย-หญิง ให้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการและกิจกรรมของ ADB ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
25391 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และผลการการดำเนินการตามข้อสังเกตที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไปโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่ากรณีที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรการบังคับในเรื่องรถที่ค้างชำระภาษีเพื่อให้สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย จากเดิมที่ให้มีการยึดรถเพื่อมิให้นำรถมาใช้วิ่งและบังคับให้เจ้าของรถรีบมาดำเนนิากรชำระภาษีที่ค้าง โดยได้เปลี่ยนเป็นการยึดแผ่นป้ายทะเบียนแทนการยึดรถ รวมทั้งแก้ไขให้นายทะเบียนและผู้ตรวจการมีอำนาจเข้าไปตรวจในสถานที่จำหน่าย เช่า เช่าซื้อ หรือประกอบการเกี่ยวกับรถที่สงสัยว่ามีรถที่ค้างชำระภาษีด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการในทางปฏิบัติมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล กรมการขนส่งทางบกควรมีมาตรการหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน และมีการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการทำงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถประเมินผลการปฏิบัติงานได้ และเห็นควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
25392 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง และตอนทางแยกไป บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (บ้านอำเภอ) และเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 331 สายพนมสารคาม - สัตหีบ ตอนบรรจบทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (บ้านเขาบายศรี) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 สายกรุงเทพมหานคร - ตราด ตอนบ้าน กม.16 - บ้าน กม.18 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ตอนบ้านหนองปรือ-บ้านฉาง และตอนทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ (บ้านอำเภอ) และเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๑ สายพนมสารคาม-สัตหีบ ตอนบรรจบทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ (บ้านเขาบายศรี) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ สายกรุงเทพมหานคร-ตราด ตอนบ้าน กม.๑๖-บ้าน กม.๑๘ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
25393 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาสพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดความผิดเกี่ยวกับเพศ) | สว | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาสพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดความผิดเกี่ยวกับเพศ) และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการฯ แกัไขเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25394 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนาเกาะ อำเภอหล่มเก่า และตำบลน้ำเฮี้ย ตำบลฝายนาแซง ตำบลน้ำก้อ ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนาเกาะ อำเภอหล่มเก่า และตำบลน้ำเฮี้ย ตำบลฝายนาแซง ตำบลน้ำก้อ ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางวงเงินค่าทดแทนและเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ในการก่อสร้างระบบส่งน้ำตามโครงการระบบส่งน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำก้อ ได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ ๔ ปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
25395 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม 2557 และแนวโน้มปี 2557 - 2558 | นร11 | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ปรับตัวดีขึ้น โดยเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจส่วนใหญ่ (หลังปรับฤดูกาล) ขยายตัวทั้งด้านการใช้จ่ายและด้านการผลิต ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ ๐.๕ และร้อยละ ๕.๗ ตามลำดับ แต่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ ๐.๓ หลังจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๑ ในเดือนก่อนหน้า ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยขยายตัวร้อยละ ๒.๐ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗ ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๙ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงต่อเนื่อง ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ยังปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ นำโดยการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนและประเทศสำคัญ ๆ ในภูมิภาคเอเชียยังอยู่ในภาวะชะลอตัว และเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ โดยเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๒.๑ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๒.๙ ของ GDP สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕ มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๕.๘ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๔-๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๒.๒ ของ GDP
|
|||||||||||||||||||||
25396 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การอนุวัติกฎหมายไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และเพื่อเตรียมรองรับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ รวมทั้งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย | อส | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและกฎเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามเจตนารมณ์ของพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี ให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ได้แก่ การอนุวัติกฎหมายภายในให้เป็นไปตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และเพื่อเตรียมการรองรับการดำเนินการตามพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และการเตรียมรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced Disappearance : CED) ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานของหน่วยงานราชการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อาทิ การยกร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ พ.ศ. .... การศึกษาความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ การแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมวิทยากร และหลักสูตรเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และส่งมอบให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำไปฝึกอบรมภายในหน่วยงาน การประชุมเพื่อเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชน การเผยแพร่ความรู้เรื่องพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการทบทวนและปรับปรุงกฎหมาย ๒ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองพยาน พ.ศ. ๒๕๕๖ และพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นต้น และให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||
25397 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านยาเสพติด ครั้งที่ 3 และผลการหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | ยธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านยาเสพติด ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒-๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้น ๒ ระดับ ประกอบด้วย ๑.๑ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (Senior Official Meeting : SOM) จัดขึ้นในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เป็นการประชุมหัวหน้าหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศสมาชิกอาเซียน วัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านยาเสพติด ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ และเพื่อพิจารณาหารือแนวทางความร่วมมือเพื่อนำมาบรรจุไว้ในร่างรายงานสำหรับประธานที่ประชุมระดับรัฐมนตรี (Chairman’s Statement) เพื่อให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ๑.๒ การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านยาเสพติด (ASEAN Ministerial Meeting on Drug Matters : AMMDM) จัดขึ้นในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยที่ประชุมได้ให้รัฐมนตรีแต่ละประเทศแสดงทัศนะต่อประเด็นยาเสพติด ภายใต้วาระหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ของอาเซียน ซึ่งจะครบวาระการกำหนดเป้าหมายเป็นเขตปลอดยาเสพติดในอาเซียน และข้อเสนอแนะสำหรับการก้าวเดินไปข้างหน้าของอาเซียน ซึ่งหัวหน้าคณะผู้แทนแต่ละประเทศได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดของประเทศตนและภูมิภาคอาเซียน และการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จะนำมาซึ่งปัญหายาเสพติดที่เพิ่มมากขึ้น และเห็นพ้องกันว่าต้องมีความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการกับปัญหาที่เชื่อมโยงกับปัญหายาเสพติด เช่น ปัญหาการคอร์รัปชัน และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ นอกจากนี้ หัวหน้าคณะผู้แทนประเทศอาเซียนหลายประเทศได้เน้นย้ำว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ดังนั้น อาเซียนต้องร่วมมือกันเพื่อให้พร้อมต่อการรองรับกับปัญหายาเสพติดที่จะตามมา โดยกล่าวถึงการสกัดกั้นยาเสพติด ณ ท่าอากาศยานสากลในอาเซียน (ASEAN Airport Interdiction Tack Force : AAITF) ซึ่งเป็นโครงการระดับภูมิภาคของอาเซียน รวมทั้งอีกหลายประเทศยังกล่าวถึงการใช้กลไกสำนักงานประสานความร่วมมือด้านยาเสพติดอาเซียน (ASEAN Narcotics Cooperation Center) หรือเรียกว่าอาเซียน-นาโค (ASEAN-NARCO) ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งเป็นกลไกในการร่วมมือแก้ไขปัญหายาเสพติดอีกช่องทางหนึ่ง ๒. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้านต่อไป |
|||||||||||||||||||||
25398 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย พ.ศ. .... | สธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย พ.ศ. ..... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงชื่อสถานพยาบาลและการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงการกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาลตามกฎกระทรวงว่าด้วยลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
25399 | รายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นการปรับปรุงระยะเวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ e-Auction ให้มีความกระชับและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ๑.๑.๑ การอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ กรณีที่ปรากฏว่ามีผู้มีสิทธิเสนอราคาเพียงรายเดียว หรือมีผู้เสนอราคาเพียงรายเดียว เมื่อถึงเวลาเริ่มการเสนอราคา โดยปกติให้หัวหน้าหน่วยงานยกเลิกการประกวดราคาในครั้งนั้น แต่ถ้าคณะกรรมการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไป โดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคา ก็ให้คณะกรรมการฯ ต่อรองราคากับผู้มีสิทธิเสนอราคารายนั้นแล้วเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาต่อไป โดยไม่ต้องเริ่มดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ ๑.๑.๒ ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ และอนุมัติการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีการอื่นได้ โดยหากการจัดหาพัสดุครั้งนั้น เป็นการจัดหาในเรื่องการจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน การซื้อการจ้างโดยวิธีพิเศษและวิธีกรณีพิเศษ หรือหากพัสดุที่จัดหาครั้งนั้นมีการแข่งขันน้อยราย มีความซับซ้อนหรือเทคนิคเฉพาะ เป็นสินค้าและบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีประเภทระบบ IT ที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นสินค้าที่มีความผันผวนทางด้านราคา หากหน่วยงานได้ดำเนินการจัดหาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว ไม่ว่าอยู่ในขั้นตอนใด ต่อมายกเลิกการดำเนินการทั้งหมด หรือบางรายการ แล้วจัดหาใหม่ หน่วยงานสามารถดำเนินการจัดหาด้วยวิธีการอื่นได้โดยไม่ต้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) แต่อย่างใด ๑.๑.๓ การเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ หน่วยงานภาครัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้นตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๙ (๓) หรือการพิจารณาผู้มีสิทธิเสนอราคาอุทธรณ์ผลการพิจารณาการเสนอราคาตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๑๐ (๕) หน่วยงานสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้โดยไม่ต้องระงับการดำเนินการ ๑.๒ ประเด็นการพิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับการประกวดราคากลางสำหรับกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ทางเทคนิคจากภายนอกประเทศที่ผลิตเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะ หากสินค้าหรือบริการใดสามารถกำหนดราคากลางได้ ก็ให้นำราคานั้นมาเป็นราคากลางของสินค้าหรือบริการดังกล่าว แต่หากสินค้าหรือบริการใดไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ก็ให้พิจารณาราคากลางที่นำมาอ้างอิงนั้น อาจเป็นราคาที่ได้จากการคำนวณราคาของพัสดุให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง พร้อมทั้งเหตุผลที่สามารถอธิบายถึงที่มาของราคานั้นได้ ก็ย่อมถือว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่สามารถกำหนดเป็นราคากลางได้ สำหรับกรณีที่หน่วยงานสืบราคาจากท้องตลาดมากได้มากกว่า ๑ ราย จะต้องใช้ราคาต่ำ ราคาสูง หรือราคาที่เฉลี่ยเพื่อประกาศเป็นราคากลางนั้น อยู่ที่เหตุผลของหน่วยงานที่จะนำมาประกอบการใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจว่าจะใช้ราคาใดเป็นราคากลาง ๑.๓ ประเด็นกรณีการตรวจสอบการเทียบเคียงอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนอแนวทางการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมแก่ระดับความรับผิดชอบและสภาพข้อเท็จจริง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๙ กำหนดให้ผู้มีอำนาจดำเนินการตามระเบียบนี้จะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้ โดยให้คำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจเป็นสำคัญ กระทรวงกลาโหมจึงสามารถพิจารณามอบอำนาจได้ตามนัยหลักการดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีการแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวงเงินในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันด้วยแล้ว ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแนวปฏิบัติในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ได้มาซึ่งพัสดุหรืองานจ้างที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดซื้อจัดจ้างและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ และเป็นไปตามหลักการประหยัด โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยไม่เกิดการทุจริต รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการ ความจำเป็น ในระยะยาวของหน่วยงานนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างควรมีคณะกรรมการของหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณากำหนดความต้องการในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานในระยะยาวด้วย
|
|||||||||||||||||||||
25400 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล พ.ศ. .... | สธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....