ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 123 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 2441 - 2460 จากข้อมูลทั้งหมด 124242 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2441 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ประจำปี ค.ศ. 2024 | กต. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน
(High-level Political
Forum on Sustainable Development : HLPF)
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๔ และให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ
หรือเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
ร่วมรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน
(High-level Political Forum on Sustainable Development :
HLPF) ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๔ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๑๘ กรกฎาคม
๒๕๖๗ ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ
(๑) สถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายในการบรรลุ SDGs และ (๒)
การกำหนดแนวทางการดำเนินการและการลงทุนเพื่อสนับสนุนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.
๒๐๓๐ ตามเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสนับสนุนการจัดทำ VNRs โดยไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
กอปรกับไม่มีการลงนามในร่างปฏิญญาดังกล่าว ดังนั้น ร่างปฏิญญาฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความมุ่งมั่นระดับประเทศ (National Commitment) ที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ใน HLPF ห้วงปี ค.ศ. ๒๐๒๓ ด้วย
และให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมผลการปรับแก้ร่างปฏิญญาดังกล่าวกับผลการปรับแก้เอกสารผลลัพธ์ความตกลงระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมืออื่น
ๆ พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2442 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 11 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ เมษายน ๒๕๖๗ ณ
เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในการประชุมฯ ได้มีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุม
AFMGM ครั้งที่
๑๑ ซึ่งในระหว่างการประชุมได้มีการปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เช่น
การปรับรายงานประมาณการเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน
+ ๓ และเพิ่มถ้อยคำสนับสนุนให้มีการหารือเพื่อผลักดันการจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๒ โดยมีบางถ้อยคำแตกต่างจากฉบับร่างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒ เมษายน ๒๕๖๖๗ เพื่อให้มีความเหมาะสม และสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
โดยไม่กระทบสาระสำคัญ ไม่กระทบหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย
และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2443 | ผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) | คค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) (โครงการฯ)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งเสนอพระราชบัญญัติบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบัตรโดยสารร่วมและโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งสาธารณะโดยนำร่องในระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้นได้ตามเป้าหมาย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ ตามมาตรา ๔๓
แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ พิจารณาปรับแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ
ให้สอดคล้องกับผลการเจรจาเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการและป้องกันข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ๒.๒
เร่งรัดดำเนินการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และการส่งมอบพื้นที่ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (โครงการฯ ส่วนตะวันตก) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการสำรวจอสังหาริมทรัพย์และการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้อยู่ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ
(จำนวน ๑๔,๖๖๑ ล้านบาท)
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนแห่งประเทศไทย] เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการคลังของประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการเจรจากับเอกชนผู้ร่วมลงทุนในการปรับแผนการดำเนินงานและเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ
ให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ๒.๓
เร่งเสนอร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งเร่งพัฒนาระบบการจ่ายเงินค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งสาธารณะโดยคิดอัตราค่าแรกเข้า
๑ ครั้งต่อ ๑ เที่ยว มาใช้สำหรับการเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าได้ในทุกกรณี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2444 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 | กษ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี
(โครงการฯ) ปีการผลิต ๒๕๖๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน
Tier 1)
และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน ๒๑
ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม ๒,๓๐๒.๑๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ยกเว้นในส่วนของการกำหนดผู้รับผลประโยชน์กรณีเกษตรกรเป็นลูกค้าสินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) ให้เกษตรกรที่ประสบภัยที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส.
เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
ควรได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน หากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
อาจทำให้มีเงินทุนลดลงสำหรับการเพาะปลูกรอบใหม่และไม่สามารถพ้นจากภาวะหนี้สินได้
รวมทั้งเห็นควรขยายระยะเวลาการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัย
เพื่อให้เกษตรกรในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ
และภาคตะวันตก รวม ๖๓ จังหวัด ซึ่งสิ้นสุดการจำหน่ายกรมธรรม์ในวันที่ ๗ กรกฎาคม
๒๕๖๗ มีโอกาสเข้าร่วมโครงการฯ ได้เพิ่มมากขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรในวงกว้างให้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีหลักประกันภัยเพื่อผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ร่วมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางการเกษตรให้แตกต่างหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรได้ตรงจุด
และเร่งรัดพัฒนาระบบการบริหารจัดการและเทคโนโลยีด้านการประกันภัยสินค้าเกษตรให้สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้อย่างถูกต้องและจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ทันต่อความต้องการใช้จ่ายของเกษตรกรเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตหรือการวางแผนเพาะปลูกในรอบการเพาะปลูกต่อไปได้อย่างทันต่อสถานการณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2445 | การแยกบัญชีโครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อยและโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบาย (Public Service Account : PSA) | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแยกบัญชีโครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อยและโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
(Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ
(Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับการพิจารณาให้สินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ในระยะยาว
เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2446 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ | กษ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศออกไปเป็นเวลา
๒๐ ปี (ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ - ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๘๗)
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ สกช. ๐๔๐๔/๑๐๒๒ ลงวันที่ ๒๔
พฤษภาคม ๒๕๖๗) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดตั้งกองทุนโดยตราเป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา
๖๓ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๒ ปี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2447 | แนวทางในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อรองรับการเกษียณผ่านโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการตามแนวทางในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ
(กอช.) เพื่อรองรับการเกษียณผ่านโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว
กอช. จะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายได้เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน และมอบหมาย กอช.
ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔
ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินโครงการสลากสะสมทรัพย์ฯ ข้างต้นต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเงินรางวัลที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำทุกปีนั้น
ให้กระทรวงการคลังพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุน ความจำเป็นเร่งด่วน
ความเหมาะสมกับสภาวการณ์ และประโยชน์สูงสุดของทางราชการและที่ประชาชนจะได้รับ โดยให้คำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
และพิจารณาแนวทางในการบริหารเงินสะสมที่สมาชิกซื้อสลากเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
รวมทั้งความเป็นไปได้ในการนำผลตอบแทนดังกล่าว หรือรายได้อื่นใดมาสมทบกับเงินรางวัลที่ภาครัฐจะต้องสนับสนุน
เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินโครงการและลดภาระงบประมาณในระยะยาวของภาครัฐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรพิจารณาขยายผู้มีสิทธิซื้อสลากฯ
ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ
กลุ่มแรงงานในระบบ กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตราต่าง ๆ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม
พ.ศ. ๒๕๓๓ ฯลฯ เพื่อให้มีเงินออมที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตยามเกษียณได้อีกช่องทางหนึ่ง
ควรพิจารณามาตรการสร้างแรงจูงใจในการส่งเสริมการออมหรือแนวทางการเพิ่มมูลค่าและสวัสดิการอื่น
ๆ เพิ่มเติม เช่น การออมเงินที่คุ้มครองชีวิตและสุขภาพในรูปแบบของประกัน เป็นต้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เห็นควรพัฒนาแพลตฟอร์มโดยเน้นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยของระบบเพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลกับการฉ้อโกงและการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เพื่อสร้างความมั่นใจและความสะดวกสำหรับการซื้อสลากแบบออนไลน์
และควรคำนึงถึงการเชื่อมโยงแอปพลิเคชันภาพรวมและฐานข้อมูลเพื่อประโยชน์ในด้านความสะดวกในการใช้งานและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านอื่น
ๆ ที่อาจมีความเกี่ยวข้องเชิงนโยบายภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2448 | ร่างแผนปฏิบัติการ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | นร.14 | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ
ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองต่อร่างแผนปฏิบัติการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)
สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
และเพื่อให้ประชาชนของทั้ง ๖ ประเทศสมาชิกสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำโขง
- ล้านช้าง ผ่านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ๗
สาขาความร่วมมือ ดังนี้ ๑) การคุ้มครองทรัพยากรน้ำและการพัฒนาสีเขียว ๒)
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
๓) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและผลประโยชน์ร่วมกัน ๔) พื้นที่ชนบท
การอนุรักษ์น้ำ และการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ ๕)
การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืนและความมั่นคงด้านพลังงาน ๖)
ความร่วมมือแม่น้ำข้ามพรมแดนและการแบ่งปันข้อมูล และ ๗)
การประสานงานกับสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2449 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้เพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้ สัตว์ป่าควบคุมที่ต้องขออนุญาตเพาะพันธุ์ ใบอนุญาตค้าสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า และผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าดังกล่าว และใบอนุญาตการได้มาซึ่งการครอบครองสัตว์ป่าและซากสัตว์ป่าดังกล่าว พ.ศ. .... | ทส. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้เพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้
สัตว์ป่าควบคุมที่ต้องขออนุญาตเพาะพันธุ์ ใบอนุญาตค้าสัตว์ป่า ชากสัตว์ป่า และผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าดังกล่าว
และใบอนุญาตการได้มาซึ่งการครอบครองสัตว์ป่าและซากสัตว์ป่าดังกล่าว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตการดำเนินกิจการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้
หรือสัตว์ป่าควบคุมที่ต้องขออนุญาตเพาะพันธุ์ การค้าสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า
และผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าดังกล่าว และการครอบครองสัตว์ป่าและซากสัตว์ป่าดังกล่าว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น ควรมีการแบ่งประเภทของการใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่าคุ้มครองเป็นหลายระดับ
เพื่อให้การออกใบอนุญาตมีความแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์
เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ควรกำหนดให้มีเกณฑ์มาตรฐานในสถานที่เพาะเลี้ยงสัตว์ป่าของผู้ขอรับใบอนุญาต
ต้องมีการติดตามตรวจสอบ สภาพการเพาะเลี้ยง สถานที่เพาะเลี้ยง จำนวนประชากรสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากการเพาะเลี้ยง
จัดให้มีการตรวจสอบทางพันธุกรรม รวมถึงการแลกเปลี่ยนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นที่ปรึกษา เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นควรให้มีการพัฒนาระบบบการจัดเก็บข้อมูล
เพื่อพัฒนาให้เกิดเป็นฐานข้อมูลการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตให้พันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้
สัตว์ป่าควบคุมที่ต้องขออนุญาตเพาะพันธุ์ใบอนุญาตค่าสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า
และผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าดังกล่าว
รวมทั้งใบอนุญาตการได้มาซึ่งการครอบครองสัตว์ป่า
และซากสัตว์ป่าดังกล่าวกรณีสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์น้ำ ในกรณีการขออนุญาตที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ป่าควบคุม
ต้องตระหนักถึงโอกาสในการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
การแพร่ระบาดของโรคที่เกี่ยวข้องและมีผลกระทบต่อการทำปศุสัตว์ ตลอดจนสัตว์ป่าในธรรมชาติ
เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2450 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่องนี้คืนไปก่อน
เพื่อรอการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) ให้แล้วเสร็จ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2451 | การทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน | กต. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการแนวปฏิบัติการให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน
๒ ประเกท [เอกสารระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกที่เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในนามอาเซียนในฐานะองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล
และแผนงาน (Work Plan) และแผนดำเนินการ (Plan
of Action) ระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกที่ไทยต้องร่วมรับรอง]
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องส่งเอกสารดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยทุกครั้งก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมรการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าเอกสารที่ประเทศไทยต้องร่วมรับรอง
(Adopt) ที่ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งให้ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
ซึ่งไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น ในส่วนของกระทรวงการคลัง
จะเป็นแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ในระดับรัฐมนตรี ซึ่งทางเจ้าภาพจะยกร่างมาในเวลากระชั้นชิดก่อนการประชุม
การต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการต่างประเทศก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี
และการต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการรับรองนั้น
ก่อให้เกิดอุปสรรคในการทำงานในระยะเวลาที่จำกัด
จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาทบทวนขั้นตอนการปฏิบัติด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2452 | บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ด้านความร่วมมือในการกำกับการแข่งขันทางการค้าระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและองค์กรกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Philippine Competition Commission) | สขค | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าแห่งราชอาณาจักรไทย
และองค์กรกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวของฝ่ายไทย
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานในด้านต่าง
ๆ เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าในแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และไม่มีข้อความใดมุ่งจะก่อให้เกิดสิทธิและพันธกรณีที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ดังนั้น
จึงไม่มีสถานะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีไห้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2453 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่องนี้คืนไปก่อน
เพื่อรอการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) ให้แล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2454 | รายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ประจำปี 2565 | พม. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ
พ.ศ. ๒๕๕๘ ประจำปี ๒๕๖๕ โดยรายงานผลการปฏิบัติงานฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑)
ผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. ๒๕๕๘
ประจำปี ๒๕๖๕ พระราชบัญญัติฯ ได้กำหนดให้มีกลไกลคณะกรรมการ ๓ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
(เช่น
การจัดทำข้อเสนอแนะและคู่มือตัวอย่างที่ดีในการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ)
คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (เช่น
การรับพิจารณาคำร้องเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ) และคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินงานกิจกรรมหลัก)
๒) ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติฯ เช่น การดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ระยะ ๓ ปี
(พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) และ ๓) ข้อท้าทายและการดำเนินงานในระยะต่อไป เพื่อให้การปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติฯ
มีประสิทธิภาพ ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2455 | การดำเนินการตามมติข้อตัดสินใจในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ 16 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพิชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 11 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 11 | ทส. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองการเสนอให้มีการแก้ไขภาคผนวกที่
๓ ของอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ
(อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ) และการแก้ไขภาคผนวก เอ
ของอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (อนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ)
ตามพันธกรณีในข้อบทที่ ๒๒ การรับรองและการแก้ไขภาคผนวก ของทั้งสองอนุสัญญา และการดำเนินการตามมติข้อตัดสินใจในการประชุมรัฐภาคีของสามอนุสัญญา
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นการทำหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าไม่เข้าข่ายมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
แต่โดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
จึงเข้าข่ายเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ ตามนัยมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2456 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับภาษีอากร) | ศย. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ศาลภาษีอากรมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่เกี่ยวกับภาษีอากร
และให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวโดยอนุโลม
แก้ไขเพิ่มเติมการรับทราบกำหนดนัดของศาลในคดีภาษีอากรไม่ใช้กับคดีอาญาเกี่ยวกับภาษีอากร
และแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์ และฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีภาษีอากร ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2457 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.01 | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่
๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน
สรุปสาระสำคัญได้ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นของประชาชนฯ
ที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ รวมทั้งสิ้น ๓๒,๕๑๗ ครั้ง (๑๗,๐๕๐ เรื่อง)
สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๑๓,๕๒๕ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ
๗๙.๓๓ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
มากที่สุด (๑,๘๗๗ เรื่อง) ๒.
การประมวลผลและวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นฯ มีสถิติเรื่องร้องทุกข์
๑๗,๐๕๐ เรื่อง มากกว่าไตรมาสที่ ๑
ของปีงบประมาณ ๒๕๖๖ จำนวน ๒,๖๑๑ เรื่อง (มีเรื่องร้องทุกข์
๑๔,๔๓๙ เรื่อง) โดยประเด็นที่ประชาชนยื่นเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ
การน้ำเข้าและส่งออกสัตว์นอกราชอาณาจักร (๑,๗๑๐ เรื่อง
ซึ่งดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ๑,๖๙๐ เรื่อง) ๓.
ปัญหาและความต้องการของประชาชนที่ร้องทุกข์/หน่วยรับการประสานเรื่องร้องทุกข์ เช่น
หน่วยงานของรัฐควรปรับปรุงคุณภาพการให้บริการอย่างสม่ำเสมอ
กรณีช้างพลายที่ส่งไปเป็นทูตสันถวไมตรี
รัฐบาลควรให้ความสำคัญและควรตรวจสอบข้อเท็จจริง
เพื่อสื่อสารให้ประชาชนมั่นใจในความเป็นอยู่ของช้างพลาย ๔.
ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน เช่น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและแจ้งความคืบหน้าให้กับประชาชนทราบ
ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานทางการทูตเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีช้างพลายและสื่อสารให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้
ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ที่มีข้อสังเกตว่า กรณีการนำช้างพลายที่ส่งไปเป็นทูตสันถวไมตรีกลับประเทศไทย นั้น เห็นควรที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาให้เหมาะสม
และละเอียดรอบคอบทุกมิติ
โดยคำนึงถึงความพร้อมด้านสุขภาพของช้างและความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายและขนส่งเป็นสำคัญ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพาณิชย์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน
และแจ้งความคืบหน้าให้ประชาชนทราบตามระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งหาแนวทางเพื่อป้องกันการร้องเรียนซ้ำในประเด็นเดิม
ซึ่งจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนการดำเนินงานและพัฒนาปรับปรุงการให้บริการของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นว่าปัญหาเรื่องเสียงที่เกิดจากการจุดพลุดอกไม้ไฟ
ประเด็นดังกล่าวควรนำรายละเอียดเรื่องการร้องทุกข์มาประกอบการพิจารณาปรับปรุงประกาศเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนในการจุดและปล่อยหรือการกระทำการอย่างใด
เพื่อให้บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุที่คล้ายคลึงกันขึ้นสู่อากาศ
ในประเด็นของสถานที่และวันอนุญาต ปริมาณ ความถี่
และระยะเวลาการจุดให้มีความเหมาะสม
เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและป้องกันการร้องเรียนซ้ำ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2458 | การเร่งรัดออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 | นร.05 | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง การเร่งรัดออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา
๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒) เห็นชอบแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยเร่งรัดออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด
ตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งต่อมาหน่วยงานต่าง ๆ
ได้เสนอขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว นั้น บัดนี้
จะครบกำหนดการขยายระยะเวลาการดำเนินการดังกล่าว
โดยเฉพาะกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะต้องออกตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะครบกำหนดในวันที่
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ดังนั้น
เพื่อให้การดำเนินการออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและตรงตามเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ก่อนวันที่
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2459 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (1. นายธีรลักษ์ แสงสนิท ฯลฯ รวม 5 คน) | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย รวม ๕ คน
เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖
กรกฎาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายธีรลักษ์ แสงสนิท ประธานกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๒. นายอาทิตย์ สุริยาภิวัฒน์ กรรมการ ๓. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ กรรมการ ๔. นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการ ๕. นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2460 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงอะซุนซิโอน และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงอาซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย (นายฮอร์เฮ ซาโลมอน ฮูเร บาเยโฮส) | กต. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายเนลสัน อยาลา
โคเชียน (Mr. Nelson Ayala Cocian) กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงอะซุนซิโอน สาธารณรัฐปารากวัย
ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เนื่องจากถึงแก่กรรม ๒. พิจารณาอนุมัติแต่งตั้ง นายฮอร์เฮ ซาโลมอน ฮูเร
บาเยโฮส (Mr. Jorge Salomon Jure
Vallejos) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงอาซุนซิออน
สาธารณรัฐปารากวัย โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมสาธารณรัฐปารากวัย
|