ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1211 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 24201 - 24220 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
24201 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า | พน | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน (Memorandum of Understanding between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Energy of the Republic of the Union of Myanmar on Energy Cooperation) ๑.๑.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า (Memorandum of Understanding between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Electric Power of the Republic of the Union of Myanmar on Electric Power Cooperation) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงพลังงานหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับแก้วรรคสุดท้ายก่อนช่องลงนามเป็น “...in the English Language” ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
24202 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีในการสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา (Joint High-level Committee : JHC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา การแลกเปลี่ยนเงินบาทไทย-เงินจ๊าคเมียนมา ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง การหารือระหว่างกลุ่มกิจการร่วมค้าที่ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับสัมปทานเป็นผู้พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก และกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับโครงการท่าเรือ LNG (LNG Terminal) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมฯ ชุดต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนโครงการทวาย และการจัดประชุมคณะกรรมการ JHC ครั้งที่ ๔ และการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Joint Coordinating Committee : JCC) ครั้งที่ ๖ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการของแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา ในกรอบวงเงินกู้ ๔,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เงื่อนไขการกู้ การผ่อนชำระ และอัตราดอกเบี้ย ให้เป็นไปตามผลการเจรจาร่วมกันของทั้ง ๒ ฝ่าย และมอบหมายสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนดังกล่าว ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ วงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) จัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนในโอกาสต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการ (๑) ประสานงานกับฝ่ายเมียนมาเพื่อจัดทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย (๒) สร้างความเข้าใจกับทุกฝ่ายของไทยถึงผลประโยชน์ของโครงการต่อไทยในภาพรวม และ (๓) เร่งรัดหารือกับฝ่ายเมียนมาให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนดังกล่าวควรคิดดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
24203 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ในการสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในระยะที่สองเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม (โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง และสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ) โดยยึดหลักการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ลดความขัดแย้ง และการดำเนินการตามกรอบกฎหมาย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องการบังคับใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๑.๒ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แก้ไขปัญหาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเร่งขึ้นทะเบียน SMEs ให้ครอบคลุมและครบถ้วนโดยเร็ว และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งพิจารณาขยายเพดานวงเงินกู้ให้เหมาะสม โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจใหม่ กลุ่มส่งออก กลุ่มที่ต้องการขยายการผลิตในประเทศ และกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูศักยภาพ ๑.๓ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกันเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการเบิกจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการดำเนินการเพื่อการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๖ แห่ง (๕+๑) ให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งดำเนินการให้สิทธิการเช่าพื้นที่การลงทุนสำหรับเอกชนเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๒ (กำหนดเวลาเช่าไม่เกิน ๓๐ ปี แต่ไม่เกิน ๕๐ ปี และสามารถต่อระยะเวลาการเช่าออกไปอีกได้ไม่เกิน ๔๙ ปี) ๑.๕ มอบหมายคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง ๑.๖ มอบหมายกระทรวงการคลังตรวจสอบปัญหาความล่าช้าของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๒. ในส่วนที่มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐต่อไป |
|||||||||||||||||||||
24204 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. 2558 - 2569) | สลธ.คสช. | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศต่อไป ซึ่งประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค (๒) ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรม) (๓) ยุทธศาสตร์การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย (๔) ยุทธศาสตร์การจัดการคุณภาพน้ำ (๕) ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน และ (๖) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานในระยะเร่งด่วน/สั้น (ปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙) ระยะกลาง (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และระยะยาว (ปี ๒๕๖๕ ขึ้นไป) ๑.๒ มอบหมายให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) นำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปปฏิบัติ ตลอดจนเร่งรัดดำเนินการตามข้อเสนอแผนการปรับปรุงองค์กร เพื่อให้มีบทบาทเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศ (National Water Board) ที่สามารถบริหารจัดการและสั่งการหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำของประเทศได้อย่างมีเอกภาพ และปรับปรุงให้คณะกรรมการลุ่มน้ำเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการสะท้อนความต้องการของภาคีการพัฒนาในพื้นที่ และสามารถเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและเอกภาพในการบริหารจัดการน้ำภายในลุ่มน้ำของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการและวงเงินลงทุนที่ชัดเจน และเห็นควรปรับปรุงอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขา ให้เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการสะท้อนความต้องการของภาคีการพัฒนาในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสามารถเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและเอกภาพในการบริหารจัดการน้ำภายในลุ่มน้ำของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณาจัดตั้งกองทุนเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำสำหรับใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการบริหารจัดการของคณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขา เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความก้าวหน้าของโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยระบุผลสัมฤทธิ์เทียบกับเป้าหมายตามด้านต่าง ๆ ในแผนยุทธศาสตร์ฯ เช่น การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค การสร้างความมั่นคงน้ำภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรม) การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย การจัดการคุณภาพน้ำ รวมทั้งรายงานกิจกรรมที่จะต้องดำเนินการในระยะต่อไปในแต่ละไตรมาส เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เช่น การจัดหาแหล่งน้ำให้กับพื้นที่เกษตร เป็นต้น รวมทั้งแผนการดำเนินงานในอนาคตด้วย ๔. เมื่อมีการปรับปรุงโครงสร้าง กนช. เพื่อทำหน้าที่ผลักดันและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งมีพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นประธานกรรมการ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ติดตามการขับเคลื่อนโครงการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของ กนช. ตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบเป็นระยะต่อไป |
|||||||||||||||||||||
24205 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ในกรอบวงเงิน ๒๖,๐๐๗.๒๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๕๘-๒๕๖๑) โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายปี และหรือกระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการโดยใช้เงินกู้ เห็นสมควรให้ความเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ มาตรา ๓๙ (๔) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งเสนอโครงการก่อสร้างทางคู่ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทันทีเมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้สามารถเพิ่มความจุทางของรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ และมอบหมายให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของกรอบวงเงินลงทุนของโครงการในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงความพร้อมของกรอบวงเงินงบประมาณประจำปี การบริหารหนี้สาธารณะ และการรักษาวินัยทางการคลังของประเทศในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้ รฟท. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ รฟท. ด้วย นอกจากนี้ ในการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องเรียบร้อยก่อนผูกพันสัญญา และไม่มีปัญหา เช่น การไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้บริษัทคู่สัญญาทันตามระยะเวลาที่กำหนด การออกแบบแบบรูปรายการไม่สมบูรณ์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงหรือเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและผู้โดยสาร จึงทำให้ต้องออกแบบแบบรูปรายการเพิ่มเติม เป็นเหตุให้ขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมและขยายระยะเวลาออกไปอีก ไปประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
24206 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยและสิ่งปลูกสร้างประกอบสำนักงาน ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี) | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมศุลกากรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือใช้งบประมาณเหลือจ่ายที่หมดความจำเป็นแล้ว มาดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยและสิ่งปลูกสร้างประกอบ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งผู้รับจ้างมีแผนที่จะส่งมอบงานงวดที่ ๑๕-๒๒ ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖๑,๔๕๙,๐๖๒.๗๒ บาท ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้กรมศุลกากรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
24207 | การกำหนดค่าตอบแทนสำหรับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และบุคคลตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2558 | ทก | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการการกำหนดค่าตอบแทนสำหรับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และบุคคลตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทน เห็นควรกำหนดค่าตอบแทนของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานดังกล่าวในแนวทางเช่นเดียวกันกับคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับเปลี่ยนให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนแทนรายครั้ง ส่วนอัตราค่าตอบแทนรายเดือนให้ได้รับตามอัตราค่าตอบแทนรายครั้งที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สำหรับบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญที่มาช่วยปฏิบัติงานนั้น เนื่องจากไม่ได้กำหนดภารกิจ อำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน กรมบัญชีกลางจะพิจารณาเทียบเคียงร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อกำหนดอัตราที่เหมาะสมให้ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||
24208 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 30 มีนาคม - 3 เมษายน 2558) | สผ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ จำนวน ๒๔ คณะ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๓๐ มีนาคม-๓ เมษายน ๒๕๕๘) ตามที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24209 | ขอรับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนกรณีพิเศษ 2 ขั้น (นอกเหนือโควตาปกติ) จากงบกลางเพิ่มเติมให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอขอรับการสนับสนุนโควตาการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปี (๒ ขั้น) กรณีพิเศษ เพิ่มเติมอีกร้อยละ ๓ ของจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๑,๐๓๓ นาย โดยให้มีผลในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘) สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการเป็นลำดับต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
24210 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2556 | ผผ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ พร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ผลการปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ความร่วมมือของหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และแนวทางการพัฒนาดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24211 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 | ทก | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้รับทราบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย ผลการประชุมกลุ่มเตรียมการครั้งที่ ๔ สำหรับการประชุมใหญ่ระดับโลกว่าด้วยวิทยุคมนาคม ค.ศ. ๒๐๑๕ (APG 15-4) ขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียแปซิฟิก (APT) และความคืบหน้าการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์การอนุญาตการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างประเทศ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการประสานสำนักกฎหมายในการนำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และมอบหมายให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานดำเนินการและกำกับดูแลภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อไป ๒.๒ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการรับข้อสังเกตจากที่ประชุมเกี่ยวกับการกำหนดสิทธิ์ในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศและหลักเกณฑ์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการให้สิทธิ์การใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศ และวิเคราะห์หาข้อมูลการจัดเก็บค่าธรรมเนียมของต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อเปรียบเทียบและนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓ เห็นชอบให้ รศ.ดร.สุเจตน์ จันทรังษ์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการอวกาศ และอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
24212 | การกำหนดให้วันที่ 4 กรกฎาคมของทุกปีเป็น "วันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย" | สธ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดให้วันที่ ๔ กรกฎาคมของทุกปีเป็น “วันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และเพื่อสร้างความตระหนักของสังคมและหน่วยงานทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเป็นหน่วยงานประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์ สร้างความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อม โดย ๑.๑ กำหนดนโยบายส่งเสริมและรณรงค์ให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ตระหนักถึงความสำคัญของวันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย และมีส่วนร่วมดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ๑.๒ ประสานความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่น ในการจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน และร่วมแก้ไขหรือลดปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมของชุมชนและประเทศ โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาแต่ละปี ๑.๓ ส่งเสริม สนับสนุนการจัดกิจกรรมรณรงค์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของภาคีเครือข่าย ตลอดจนชุมชนในการพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม การจัดการมลพิษ และการจัดสภาพแวดล้อม ดูแลชุมชนและที่อยู่อาศัยให้สะอาดถูกสุขลักษณะ ๑.๔ ส่งเสริมความรู้ และปลูกจิตสำนึกและความตระหนักให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนในการร่วมดูแลอนามัยสิ่งแวดล้อม และร่วมกันเฝ้าระวัง แก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ๒. มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดกิจกรรมส่งเสริมการอนามัยสิ่งแวดล้อม เนื่องใน “วันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย” ของทุกปีโดยพร้อมเพรียงกัน |
|||||||||||||||||||||
24213 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2558 เรื่อง การให้ข้าราชการสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ | สลธ.คสช. | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๕๘ เรื่อง การให้ข้าราชการสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๘ ให้นายพิชิต นิลทองคำ จัดหางานจังหวัดชลบุรี สิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาด้านแรงงานต่างด้าว การป้องกัน ปราบปราม ดำเนินคดี ช่วยเหลือ คุ้มครอง และแก้ไขปัญหาจากการค้ามนุษย์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดการกำลังคนของกระทรวงแรงงานเป็นไปตามกรอบอำนาจ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24214 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม | สลธ.คสช. | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถเร่งดำเนินการแก้ปัญหาให้การทำประมงสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบ และยกระดับมาตรฐานการประมงของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการประมง อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากมิได้มีการป้องกันและแก้ไขโดยเร่งด่วน จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24215 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2556 | ทส | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแล้ว ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรพลังงาน ทรัพยากรดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และแร่ธาตุ สิ่งแวดล้อมชุมชน สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม มลพิษ ๒. ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ประกอบด้วย ภัยแล้งและภาวการณ์ขาดแคลนน้ำ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศแม่น้ำโขง การสูญพันธุ์และสูญเสียระบบนิเวศกับการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ๓. ข้อเสนอแนะเชิงบูรณาการ ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และข้อเสนอแนะด้านมาตรการ
|
|||||||||||||||||||||
24216 | การประชุมสภากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ระดับภาคพื้น เอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 (The 2nd Meeting of ASIA - PACIFIC Council for Juvenile Justice) | ยธ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประชุมสภากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ระดับภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Meeting of ASIA-PACIFIC Council for Juvenile Justice) ซึ่งกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนร่วมกับสถาบันกำกับดูแลกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชนระหว่างประเทศ (International Juvenile Justice Observatory : IJJO) สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nation Office on Drugs and Crime : UNODC) จัดการประชุมดังกล่าวขึ้นในระหว่างวันที่ ๕-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชนระหว่างประเทศ พัฒนายกระดับมาตรฐานการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมของไทยและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน และเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการดูแลเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศในระดับนานาชาติและประเทศในภูมิภาคอาเซียน สำหรับรูปแบบของการประชุมมี ๒ รูปแบบ คือ วันที่ ๕-๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อการประชุมประกอบด้วย การป้องกันและตอบสนองต่อความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน การหันเหคดีและมาตรการทางเลือก ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จากทฤษฎีสู่แนวทางปฏิบัติ และในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นการประชุมวิชาการ เพื่อร่วมกันกำหนดภารกิจและแผนงานของสภากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนในภาคพื้นอาเซียน ร่วมกันหาวิธีการประเมินผลการดำเนินงานด้านมาตรฐานสิทธิเด็กและเยาวชนในภูมิภาค และร่วมกันจัดทำมาตรการในการดูแลเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นการกระทำความผิดข้ามพรมแดน เพื่อปกป้องสิทธิเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24217 | รายงานสรุปผลการปฏิบัติของคณะทำงานช่วยเหลือ เยียวยา และส่งกลับแรงงานไทยที่ทำงานที่เกาะอัมบนและเบนจินา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | พม | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการปฏิบัติของคณะทำงานช่วยเหลือ เยียวยา และส่งกลับแรงงานไทยที่ทำงานที่เกาะอัมบนและเบนจิน่า สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๒๗ มีนาคม-๙ เมษายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพิสูจน์ทราบค้นหาคนไทย พิสูจน์ทราบแรงงานได้จำนวนทั้งสิ้น ๑๖๕ คน เป็นคนไทย จำนวน ๗๔ คน เมียนมา จำนวน ๖๖ คน กัมพูชา จำนวน ๑๗ คน และลาว จำนวน ๘ คน ในจำนวนคนไทย ๗๔ คน เป็นแรงงานตกเรือ จำนวน ๔๕ คน และบนเรือไม่มีสังกัด จำนวน ๒๙ คน โดยมีระยะเวลาที่ตกเรือเฉลี่ยประมาณ ๓-๑๐ ปี ยังคงเหลือแรงงานที่ตกเรือที่เกาะอัมบน จำนวน ๑๖ คน เกาะตวล จำนวน ๗๖ คน ๒. การตรวจแรงงานในเรือประมง ตรวจแรงงานบนเรือ จำนวน ๘๐ ลำ ที่เกาะอัมบน จำนวน ๗๓ ลำ เกาะเบนจิน่า จำนวน ๗ ลำ แรงงานทั้งหมด จำนวน ๑,๔๖๖ คน เป็นคนไทย จำนวน ๘๙๕ คน เมียนมา จำนวน ๓๐๐ คน กัมพูชา จำนวน ๒๔๗ คน ลาว จำนวน ๒๑ คน และอินโดนีเซีย จำนวน ๓ คน มีแรงงานไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลับโดยสมาคมและบริษัทเอกชนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ จำนวน ๓๕๙ คน จากการตรวจสอบไม่พบสภาพการถูกบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวงแรงงานแต่อย่างใด ๓. การพิสูจน์ทราบผู้เสียชีวิต ตรวจหลุมฝังศพ จำนวน ๑๑๒ หลุม ที่เกาะอัมบน จำนวน ๒๒ หลุม เกาะเบนจิน่า จำนวน ๙๐ หลุม ส่วนใหญ่ไม่มีระบบการจัดเก็บข้อมูลและไม่มีหลักฐานทางราชการ บางหลุมไม่มีป้ายชื่อหลุมศพ จึงยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องมีการพิสูจน์ทราบต่อไป ๔. การส่งกลับ ดำเนินการส่งกลับแรงงานไทยตกเรือและแรงงานบนเรือไม่มีสังกัด จำนวน ๖๘ คน ในจำนวนนี้พบว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จำนวน ๖ คน ที่เหลืออยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน
|
|||||||||||||||||||||
24218 | ขออนุมัติวงเงินงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อชำระเงินอุดหนุนค่าบำรุงตามที่สหประชาชาติเรียกเก็บ สำหรับปีงบประมาณ 2558 | กต | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชำระค่าบำรุงตามพันธกรณีที่สหประชาชาติเรียกเก็บและค่าบำรุงปฏิบัติการรักษาสันติภาพต่าง ๆ ตามที่สหประชาชาติเรียกเก็บ จำนวน ๑๐๓,๕๘๐,๔๐๐ บาท โดยให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอหรือไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๑๐๓,๕๘๐,๔๐๐ บาท เพื่อนำมาชำระค่าบำรุงตามพันธกรณี และค่าบำรุงปฏิบัติการรักษาสันติภาพต่าง ๆ ตามที่สหประชาชาติเรียกเก็บ โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
24219 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2558 | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑ จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑ แต่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ร้อยละ ๐.๑ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนอยู่ในภาวะทรงตัว และดัชนีปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ ๒.๓ ๑.๒ เศรษฐกิจไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ขยายตัวดีขึ้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๓.๖ จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวสูงร้อยละ ๒๙.๖ แต่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงร้อยละ ๓.๘ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๐.๕ และการลงทุนภาครัฐปรับตัวดีขึ้น การบริโภคภาคเอกชนยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อลดลงตามราคาพลังงาน อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีและงบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปีในเดือนกุมภาพันธ์ลดลง สัดส่วนหนี้สาธารณะ GDP ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคง ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ เงินฝากธนาคารพาณิชย์ (รวมตั๋วแลกเงิน) ขยายตัวร้อยละ ๕.๐ ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๒.๕๗ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นร้อยละ ๐.๕ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปิดที่ ๑,๕๘๗.๐ จุด ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี (ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นร้อยละ ๑.๗๕ ต่อปีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘) ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเอเชีย ในขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศสำคัญ ๆ ท่ามกลางการลดลงของแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
24220 | ผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2558 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ เมษายน ๒๕๕๘ ระยะเวลา ๑๑ วัน ประกอบด้วย การให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง การดำเนินงานด้านความปลอดภัย และสถิติอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๘ ซึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ โดยไม่มีผู้โดยสารตกค้าง ทั้งนี้ จากสถิติอุบัติเหตุบนโครงข่ายของกระทรวงคมนาคม ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๘ ระยะเวลา ๗ วัน ระหว่างวันที่ ๙-๑๕ เมษายน ๒๕๕๘ พบว่า มีผู้เสียชีวิต ๒๖๒ คน รถโดยสารสาธารณะเกิดอุบัติเหตุ ๒๐ ครั้ง เสียชีวิต ๑๐ คน และรถไฟเกิดอุบัติเหตุ ๓ ครั้ง ไม่มีผู้เสียชีวิต จึงเห็นสมควรดำเนินการในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มเติม ดังนี้
๑. การบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. การรณรงค์ประชาสัมพันธ์การสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะและรถตู้โดยสาร ๓. การบังคับใช้กฎหมายและการกวดขันวินัยจราจรอย่างเคร่งครัดทั้งช่วงเทศกาลและช่วงวันปกติ รวมทั้งการปลูกฝังค่านิยมการขับขี่ที่ปฏิบัติตามกฎจราจรตั้งแต่ในระดับเยาวชน ๔. การตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไข ซ่อมบำรุง หรือพัฒนาทางกายภาพของโครงข่ายคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ๕. การกวดขันพฤติกรรมกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นกรณีพิเศษ และควบคุมให้ปฏิบัติตามกฎจราจร พร้อมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัย
|
.....