ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1217 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 24321 - 24340 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
24321 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเลย | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลยที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย ควรคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยว (Carrying Capacity) โอกาสและความเสี่ยงที่จะเกิดจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยว กลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีความสนใจเฉพาะด้าน รวมถึงการพัฒนายกระดับมาตรฐานบริการและการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพำนักระยะยาว (Long Stay) นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในแต่ละระยะและบทบาทของแต่ละกลุ่มพื้นที่ที่สะท้อนถึงศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวหลักและความต้องการของนักท่องเที่ยว รวมทั้งควรใช้โอกาสความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งของจังหวัดเลยเพื่อพัฒนาเป็นประตูเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
24322 | ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 นโยบายของคณะกรรมการโครงการและแผนงานในอนาคตของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ นโยบายของคณะกรรมการ โครงการและแผนงานในอนาคตของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยที่ประชุมมีความเห็น ดังนี้ ๑.๑ ในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าให้คำนึงถึงการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่มาร่วมในการเดินรถให้มีความเหมาะสม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยควรนำบทเรียนที่ได้จากปัญหาที่พบในการดำเนินโครงการในปัจจุบันไปใช้ในการแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในโครงการอื่น ๆ ที่จะดำเนินการต่อไปอีก ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกรุงเทพมหานครพิจารณานำพื้นที่ที่ได้มีการเวนคืนเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ และขณะนี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาปรับพื้นที่เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบการค้าขาย เช่น คลองถม มาใช้พื้นที่ดังกล่าวแทน ๑.๓ ควรมีการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับทราบว่ารถไฟฟ้าแต่ละเส้นทางมีกำหนดแล้วเสร็จเมื่อใด ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรกำกับดูแลการดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว พร้อมทั้งเร่งรัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามแผนงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
24323 | ความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ ๑๐-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ได้มีการประชุมครั้งที่ ๓ ณ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดหนองคาย โดยผลการประชุมทั้ง ๓ ครั้ง ไทยและจีนเห็นชอบร่วมกันและได้ข้อสรุปที่ต้องดำเนินการในประเด็น (๑) การแบ่งช่วงดำเนินการ ช่วงที่ ๑ กรุงเทพมหานคร-แก่งคอย ช่วงที่ ๒ แก่งคอย-มาบตาพุด ช่วงที่ ๓ แก่งคอย-นครราชสีมา และช่วงที่ ๔ นครราชสีมา-หนองคาย (๒) รูปแบบความร่วมมือ (๓) ขอบเขตการดำเนินงานของแต่ละฝ่าย (๔) แหล่งเงินทุน (๕) การถ่ายทอดองค์ความรู้ และ (๕) กำหนดการประชุมครั้งต่อไป (ครั้งที่ ๔) ณ เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๖-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ให้คณะกรรมการบริหารโครงการฯ และกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของที่ประชุมโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นความชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินโครงการว่าจะมีนิติบุคคลใดเป็นผู้ลงทุนและเป็นเจ้าของรางรถไฟ ระบบสัญญาณ ตลอดจนตัวรถ โดยเฉพาะในส่วนของการเดินรถฝ่ายใดจะเป็นผู้จัดหาเงินลงทุน และมีการแบ่งปันเงินรายได้จากการเดินรถอย่างไร เนื่องจากกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศโดยตรง โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาให้มีการปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะในประเด็นการใช้แหล่งเงินกู้ต่างประเทศ และเร่งศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน เทคนิค และสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเจรจา รวมทั้งพิจารณาเสนอแนวทางการบริหารจัดการระบบรางของประเทศทั้งระบบให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการโครงการทั้งในช่วงระหว่างก่อสร้างและหลังเปิดให้บริการ เงื่อนไขการเงิน การลงทุน รวมถึงแผนธุรกิจที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการให้บริการกิจการทางรางในแต่ละประเภท การแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอดจนการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการระบบราง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเกี่ยวกับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าบริหารจัดการ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
24324 | การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา | นร11 | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๘๔/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๙๐/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร นายธีรเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ นายกำจร ตติยกวี นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล เป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. อำนาจหน้าที่ ได้แก่ เสนอแนะนโยบาย แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษา การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตามนโยบายรัฐบาล และแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการและแนวทางการตัดสินใจในเชิงรุกเพื่อให้การขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและแผนพัฒนาฯ บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนกำกับดูแล ติดตาม และบูรณาการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายและการดำเนินงานพัฒนาการศึกษา เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้มีความสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ เป็นเอกภาพ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล
|
|||||||||||||||||||||
24325 | ผลการสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2557 | ทก | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยภาพรวมแรงงานนอกระบบมีจำนวนลดลง ๓.๐ แสนคน (จาก ๒๕.๑ ล้านคน เป็น ๒๒.๑ ล้านคน) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ซึ่งสรุปสาระสำคัญจากการสำรวจได้ ดังนี้
๑. จำนวนแรงงานนอกระบบ ในจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น ๓๘.๔ ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ ๒๒.๑ ล้านคน หรือร้อยละ ๕๗.๖ และแรงงานในระบบ ๑๖.๓ หรือร้อยละ ๔๒.๔ ๒. ระดับการศึกษาที่สำเร็จของแรงงานนอกระบบ พบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับประถมศึกษาและต่ำกว่ามากที่สุด ประมาณ ๑๔.๐ ล้านคน หรือร้อยละ ๖๓.๔ รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษา ๖.๒ ล้านคน หรือร้อยละ ๒๘.๑ และระดับอุดมศึกษา ๑.๘ ล้านคน หรือร้อยละ ๘.๒ ๓. การประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของแรงงานนอกระบบ พบว่าแรงงานนอกระบบมากกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม โดยมีจำนวนถึง ๑๒.๕ ล้านคน หรือร้อยละ ๕๖.๙ รองลงมาทำงานอยู่ในภาคการค้าและการบริการจำนวน ๗.๒ ล้านคน หรือร้อยละ ๓๒.๔ และภาคการผลิตจำนวน ๒.๔ ล้านคน หรือร้อยละ ๑๐.๗ ๔. การได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุจากการทำงาน มีจำนวน ๓.๙ ล้านคน จากจำนวนแรงงานนอกระบบ ๒๒.๑ ล้านคน โดยลักษณะของการเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บจากการถูกของมีคมบาดมากที่สุดร้อยละ ๖๔.๕ รองลงมาเป็นพลัดตกหกล้ม ร้อยละ ๑๗.๙ การชนและกระแทกร้อยละ ๖.๕ ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกร้อยละ ๔.๙ อุบัติเหตุจากยานพาหนะร้อยละ ๒.๗ ได้รับสารเคมีเป็นพิษร้อยละ ๑.๘ และไฟฟ้าช็อตร้อยละ ๐.๕ ๕. ปัญหาของแรงงานนอกระบบ พบว่าปัญหาจากการทำงานที่แรงงานนอกระบบต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุด คือ ปัญหาเกี่ยวกับค่าตอบแทนร้อยละ ๕๒.๖ รองลงมาเป็นการทำงานหนักร้อยละ ๒๐.๒ งานที่ทำไม่ได้รับการจ้างอย่างต่อเนื่องร้อยละ ๑๕.๕ และอื่น ๆ เช่น ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีวันหยุด ทำงานไม่ตรงเวลาปกติ ชั่วโมงทำงานมากเกินไป และลาพักผ่อนไม่ได้
|
|||||||||||||||||||||
24326 | แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 (Action Plan) | คค | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ สำหรับใช้เป็นกรอบการลงทุนและการดำเนินงานในระยะ ๘ ปี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนโครงการไปสู่การปฏิบัติ และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ (Action Plan) เพื่อใช้ในการเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของหน่วยงาน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการแต่ละโครงการให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายโครงการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนต่อคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทราบเป็นระยะต่อไป ๒. ในส่วนของงบประมาณและแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ (Action Plan) เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการเตรียมความพร้อมตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งสินค้าโดยเฉพาะทางถนนและทางราง ให้พิจารณาถึงจุดเชื่อมต่อเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายผลิตผลทางการเกษตรทั้งจากแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าเกษตร และสหกรณ์การเกษตรหลักของประเทศด้วย การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามแผนฯ ควรมีการใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงกับการผลิตอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมขนส่งระบบราง อุตสาหกรรมต่อเรือ อุตสาหกรรมอากาศยาน และการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ผลิตและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายในประเทศ การเพิ่มบทบาทและสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนให้มากขึ้นและสร้างความชัดเจนของแหล่งเงินทุนทั้งหมดอีกครั้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การพิจารณาความชัดเจนในเรื่องโครงสร้างการบริหารจัดการในสาขาขนส่งสาธารณะต่าง ๆ เช่น การขนส่งทางบกและทางรางให้มีการแยกบทบาทและภารกิจของหน่วยงานระดับนโยบาย หน่วยงานกำกับดูแล และผู้ประกอบการออกจากกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม รวมทั้งโครงการที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทุกโครงการจะต้องมีความพร้อม ไม่มีปัญหาในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการต่อต้านจากประชาชน รวมทั้งไม่มีปัญหาในเรื่องการเวนคืนที่ดินและการส่งมอบพื้นที่ และการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบสนองกับความต้องการใช้ทรัพยากรในแต่ละช่วงเวลา และบูรณาการการพัฒนาได้อย่างประสานสอดคล้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
24327 | องค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 13 | ยธ | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๓ (Thirteenth United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๙ เมษายน ๒๕๕๘ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ โดยมีพลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเป็นองค์ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ช. กระทรวงวัฒนธรรม สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย และวังสุโขทัย รวม ๘๓ ราย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24328 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ว่าด้วยการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ | ทส | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ว่าด้วยการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการป้องกันมิให้มีการนำใบเบิกทางไปใช้ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
24329 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2557 ข้อ 3 เกี่ยวกับการจัดการและการใช้ประโยชน์จากงาช้างและผลิตภัณฑ์จากงาช้างของกลาง ที่อยู่ในความครอบครองของทางราชการ และขอความเห็นชอบแนวทางการจัดการและการใช้ประโยชน์งาช้างของกลาง | ทส | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ [เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย (Thailand National Ivory Action Plan) ฉบับแก้ไข เพื่อนำส่งสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES)] ข้อ ๓ ซึ่งได้กำหนดแนวทางจัดการและใช้ประโยชน์จากงาช้างและผลิตภัณฑ์จากงาช้างของกลางที่อยู่ในความครอบครองของทางราชการให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่นำไปเผาทำลาย ๑.๒ แนวทางการจัดการและการใช้ประโยชน์งาช้างของกลาง ได้แก่ ๑.๒.๑ งาช้างของกลางที่ดำเนินคดีสิ้นสุดและตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ให้พิจารณาคัดเลือกเพื่อนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมของหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ๑.๒.๒ งาช้างของกลางที่คดีสิ้นสุดและตกเป็นของแผ่นดินแล้วและไม่เหมาะสมที่จะเก็บรักษาไว้ใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรม ตามข้อ ๑.๒.๑ ให้พิจารณาตรวจสอบคัดเลือกมาทำลาย เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการต่อต้านและแก้ไขปัญหาการลักลอบค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย และเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าในระดับสากล ๑.๒.๓ มอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ในการจัดการและการใช้ประโยชน์งาช้างของกลาง และพิจารณาคัดเลือกงาช้างของกลางเพื่อการใช้ประโยชน์และเพื่อทำลาย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมการปกครอง กรมศิลปากร เป็นต้น เป็นกรรมการ และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ในการจัดการและการใช้ประโยชน์งาช้างของกลางและพิจารณาคัดเลือกงาช้างของกลางเพื่อการใช้ประโยชน์และเพื่อทำลาย ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะแต่งตั้งขึ้น พิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการจัดการกับงาช้างและผลิตภัณฑ์จากงาช้างของกลางที่อยู่ในความครอบครองของกรมศุลกากร เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
24330 | ผลการเยือนบรูไนดารุสซาลามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนบรูไนดารุสซาลามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยกำหนดการสำคัญของนายกรัฐมนตรีในการเยือนบรูไนฯ ครั้งนี้ ได้แก่ การเข้าเฝ้าฯ และการหารือข้อราชการกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ และการร่วมเป็นสักขีพยานกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ในการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนบรูไนฯ เพื่อผลักดันให้นำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลและเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ภาพรวมความสัมพันธ์ ได้แก่ การเตรียมการเสด็จพระราชดำเนินเยือนไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ๒. ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารและประมง ได้แก่ การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร บรูไนฯ รับพิจารณาเพิ่มการนำเข้าข้าวจากไทย การค้นคว้าวิจัยและแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกันผ่านศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเชิญบรูไนฯ ร่วมลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนบรูไนฯ เสนอให้ไทยเป็นศูนย์กระจายสินค้าฮาลาลไปยังตลาดในประเทศตะวันออกกลาง รวมทั้งเชิญให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมการประชุม “Brunei Bio-Tech and Food Conference 2015” ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ๓. เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ได้แก่ การต่ออายุกองทุนไทยทวีทุน ๓ ๔. พลังงาน ได้แก่ การร่วมมือกันด้านพลังงานทดแทน โดยเฉพาะการค้นคว้าวิจัยผ่าน Brunei National Energy Research Institute และการซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวและถ่านหินลิกไนต์ของบรูไนฯ ๕. ความร่วมมือด้านการทหาร/ความมั่นคง ได้แก่ การสนับสนุนความร่วมมือด้านการฝึกหลักสูตรต่าง ๆ ของกองทัพไทยและบรูไนฯ การเตรียมการจัดการแสดงสาธิตทางทหารในโอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ เสด็จพระราชดำเนินเยือนไทย และการสนับสนุนการเปิดสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบรูไนฯ ประจำประเทศไทยในปี ๒๕๕๘ ๖. การผลักดันความตกลง/บันทึกความเข้าใจที่คั่งค้าง ได้แก่ การเร่งรัดการจัดทำ (๑) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปบรูไนฯ (๒) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ และ (๓) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ๗. ความร่วมมือในอาเซียน ได้แก่ ข้อเสนอให้บรูไนฯ จัดการหารือเวทีอาเซียนเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตเกษตรตกต่ำ การรักษาป่าไม้ การแก้ไขปัญหาไฟป่า การบริหารจัดการน้ำ และการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำ ๘. ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้แก่ การขอรับการสนับสนุนจากบรูไนฯ ต่อไปในกรอบขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ในประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการสมัครรับเลือกตั้งของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ๙. ความร่วมมือด้านการศึกษา ได้แก่ การสานต่อความร่วมมือด้านการศึกษา และการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างกัน ๑๐. การก่อการร้าย ได้แก่ ความร่วมมือด้านการข่าวเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสากล |
|||||||||||||||||||||
24331 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไข ครั้งที่ 2 (Thailand's Revised National Ivory Action Plan - NIAP) | ทส | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไข ครั้งที่ ๒ (Thailand’s Revised National Ivory Action Plan : NIAP) ซึ่งประเทศไทยจะต้องจัดส่งรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ให้แก่สำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยสาระสำคัญของรายงานดังกล่าว ประกอบด้วย การออกระเบียบและกฎหมาย การจัดทำระบบทะเบียนข้อมูล การกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย และการประชาสัมพันธ์ ๒. หากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไข ครั้งที่ ๒ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง และจัดส่งรายงานความก้าวหน้าฯ ครั้งที่ ๒ ให้สำนักเลขาธิการ CITES ตามระยะเวลาที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||
24332 | การประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม | นร04 | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการเตรียมการเพื่อให้มีการจัดสรรคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เสนอ โดยให้สำนักงาน กสทช. พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย สอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมต่อทั้งผู้ประกอบการและประชาชน โดยรัฐได้ประโยชน์สูงสุด และผู้ใช้บริการไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งนี้ การกำหนดอัตราค่าบริการจะต้องมีความชัดเจนโดยพิจารณาจากต้นทุนที่แท้จริง และประกาศให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นการล่วงหน้า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน นอกจากนี้ ให้สำนักงาน กสทช. นำปัญหาในการประมูลครั้งก่อนมาแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นเดิมอีก รวมทั้งให้ชี้แจงสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในการดำเนินการในเรื่องนี้ของสำนักงาน กสทช. และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล
|
|||||||||||||||||||||
24333 | การเปิดจุดผ่อนปรนการค้าพิเศษด่านสิงขร | มท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะอนุกรรมการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดน สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง การเปิดจุดผ่อนปรนการค้าพิเศษด่านสิงขร โดยให้เปลี่ยนชื่อจาก “จุดผ่อนปรนการค้าพิเศษด่านสิงขร” เป็น “จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร” และให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาแนวทางดำเนินการให้ด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษที่เชื่อมโยงทั้งการค้า การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่ง บริเวณชายแดนโดยไม่ถือเป็นแนวเขตแดน และไม่มีผลต่อการปักปันเขตแดนในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||
24334 | สรุปสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษหมอกควันในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคเหนือ | ทส | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า ได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับความร่วมมือจากประเทศสิงคโปร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงกลาโหม ในการใช้อากาศยานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงต้องเฝ้าระวังพื้นที่รอเผาที่มีโอกาสจะเผาอีกประมาณ ๑,๑๓๔,๔๒๙ ไร่ ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการจัดลำดับให้มีการเผาทีละพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาไฟป่าและหมอกควันขึ้นอีก ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ใช้ภาษาถิ่นในการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนป้องกันไฟป่าและหมอกควันร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง สรุปสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษหมอกควันในพื้นที่ ๑๐ จังหวัดภาคเหนือ) โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ดับไฟป่าให้ได้มาตรฐานสากลและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อกำหนดประเด็นการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้เป็นวาระสำคัญในการหารือภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้วย
|
|||||||||||||||||||||
24335 | การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 1 | กค | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงาน ดังนี้
๑. ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors'' Meeting : AFMGM) ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรายงานผลการดำเนินการตาม AEC Score card และความคืบหน้าของความร่วมมือภาคการเงิน ซึ่งประกอบด้วย (๑) กองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund : AIF) ขณะนี้มีเงินกองทุนจำนวน ๔๘๕.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอนุมัติให้กู้ไปแล้ว ๓ โครงการ จำนวน ๑๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๒) ความร่วมมือด้านศุลกากร (Cooperation in ASEAN Customs) มีการลงนามในพิธีสารฉบับที่ ๗ ว่าด้วยระบบศุลกากรผ่านแดน (Customs Transit System) เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (Protocol on the Legal Framework to Implement the ASEAN Single Window) เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ (๓) การเปิดเสรีบริการด้านการเงิน มีการลงนามในพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินรอบที่ ๖ และให้สิทธิสมาชิก ๒ ประเทศเจรจากำหนดคุณสมบัติมาตรฐานธนาคาร (Qualified ASEAN Banks) ได้โดยสมัครใจ (๔) การพัฒนาตลาดทุนอาเซียน มีการเจรจาเกี่ยวกับการจัดทำกฎเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเชื่อมโยงระบบการซื้อขาย (ASEAN Exchange Linkage) การจัดทำมาตรฐานการประเมินบรรษัทภิบาลอาเซียน การใช้หนังสือชี้ชวนฉบับเดียวกัน การเปิดให้มีการขายกองทุนรวมข้ามประเทศในอาเซียน (ASEAN Passport) การเข้าถึงบริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ผ่านการเชื่อมโยงระบบซื้อขาย (trading) และการจัดทำ ASEAN Capital Market Infrastructure Blueprint (ACMI Blueprint) สำหรับระบบบริการหลังการขาย และ (๕) การเข้าถึงบริการด้านการเงินภาคประชาชน มีการจัดตั้งคณะทำงาน (Working Committee) เพื่อให้ภาคประชาชนและ SMEs ในอาเซียนเข้าถึงบริการทางการเงิน นอกจากนี้ ได้หารือทวิภาคีกับนาย David Lipton, First Deputy Managing Director ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ด้วย ๒. จากการเข้าร่วมการประชุมมีข้อมูลที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นำเสนอต่อที่ประชุมและเห็นว่าน่าสนใจ กล่าวคือ IMF ได้ ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปี ๒๐๑๕ เดิม (ประมาณการ ปี ๒๐๑๑) คาดว่าจะ เติบโตที่ระดับร้อยละ ๕ แต่ล่าสุดคาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ ๓.๕ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ ปริมาณการค้าโลกที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง ๑๕ ปีที่ ผ่านมา ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ขยายตัวมากที่สุด คือ อาเซียน เอเชีย (ไม่รวมอาเซียน) ลาตินอเมริกา และกลุ่มตลาดใหม่ในยุโรป (Emerging Europe) ตาม ลำดับ นอกจากนั้น อัตราส่วนของหนี้ต่อรายได้สุทธิของภาคครัวเรือนไทยได้เติบโตขึ้นมาก จากร้อยละ ๘๐ ในช่วงปี ๒๕๕๐ เป็นร้อยละ ๑๓๐ ในปี ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
24336 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้ง | มท | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้ง (ระยะ ๕ ปี) ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การเตรียมการป้องกันและลดผลกระทบ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเตรียมพร้อมรับภัย ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การจัดการหลังการเกิดภัย เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการป้องกันแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการภัยแล้ง และเป็นแผนสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล ถือปฏิบัติตามแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้ง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้งควบคู่ไปกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของแผนทั้งสองและมีส่วนร่วมในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
24337 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 4 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 มกราคม 2558) | นร | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ และจากการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกรมการปกครองพบว่าในระดับพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาความขัดแย้ง ๒. การปฏิรูปประเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติได้มีการพิจารณาเรื่องที่สำคัญและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนในหลายเรื่อง อาทิ โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี การกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที การเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ และเรื่องแนวทางการบริหารจัดการพลังงานปิโตรเลียมอย่างยั่งยืน เป็นต้น นอกจากนี้ ในการดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามแผนการดำเนินงานตาม Road Map ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาล และในระยะต่อไปจะได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ (๑) การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ (๒) การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ (๓) การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม (๔) การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (๕) การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน (๖) การบริหารเศรษฐกิจ (๗) การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน (๘) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาประเทศ (๙) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน (๑๐) การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และ (๑๑) การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||
24338 | สรุปผลการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum ประจำปี 2558 ของรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) | นร04 | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี ๒๕๕๘ ของรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมด้วย ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรีได้รับเชิญให้กล่าวถ้อยแถลงในการหารือหัวข้อ “The ASEAN Agenda” และได้ร่วมให้ข้อคิดเห็นในการหารือหัวข้อ “Creating the ASEAN Economic Community” โดยได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญ ได้แก่ ตลาดอาเซียน การขจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี การปรับปรุงกฎระเบียบระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนให้สอดคล้องกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการภายใต้ตลาดร่วมอาเซียน และเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการขยายฐานการผลิตในอาเซียนเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้ากับคู่ค้าจากภูมิภาคต่าง ๆ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เข้าร่วมการหารือหัวข้อ “Energy Reforms : New Models for Sustained Growth” โดยที่ประชุมเห็นว่าราคาพลังงานในปี ๒๕๕๘ จะสูงไม่เกิน ๖๐ ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และการปฏิรูปพลังงานมีทิศทางเดียวกันทั่วโลก คือ การลดบทบาทของรัฐให้เป็นผู้กำกับ เพิ่มบทบาทของภาคเอกชน และลดหรือเลิกการอุดหนุนและการบิดเบือนราคาพลังงาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของไทย โดยกล่าวถึงการเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงหลากหลายชนิดทั้งพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก รวมทั้งการปรับโครงสร้างราคา ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้าร่วมในการหารือ High-level dinner discussion หัวข้อ “Promoting Sustainable Agriculture, Food Systems and Forestry in the context of climate change” โดยที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ใหม่สำหรับการเกษตร (New Vision for Agriculture) ซึ่งประกอบด้วยหลักการ ๓ ประการ คือ ความมั่นคงทางอาหาร โอกาสทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมโดยภาครัฐ ภาคเอกชนเกษตรกร และองค์กรอิสระมีส่วนร่วมขับเคลื่อนกลไกความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร ๔. การเข้าร่วมการประชุม WEF 2015 ของไทย เป็นไปอย่างราบรื่น โดยกรรมการผู้จัดการ WEF ได้มีหนังสือแสดงความชื่นชมและขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้มีบทบาทอย่างแข็งขันในการประชุมครั้งนี้ สำหรับไทย การเข้าร่วมการประชุม WEF 2015 เป็นโอกาสในการชี้แจงและสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุม
|
|||||||||||||||||||||
24339 | ข้อเสนอแนะในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ | ศธ | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานของหน่วยราชการ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยให้มีการจำแนกประเภทที่ชัดเจน เพื่อเป็นฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในการจัดเก็บภาษี ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ และดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงและ/หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เหมาะสมสอดคล้อง ๑.๓ รัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมด้านโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยต้องมุ่งเน้นการขยายให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและทั่วถึง ปรับเปลี่ยนวิธีการวัดผลการเรียนและการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษาเพื่อลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชา ๑.๔ กระทรวงศึกษาธิการต้องพัฒนาเรื่องระบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและจัดโครงการสอนเสริมโดยจัดหาครูเก่ง ๆ ที่สอนดี พร้อมเผยแพร่การสอนหรือการติวผ่านทางสื่อต่าง ๆ แก่โรงเรียนทั่วประเทศอย่างทั่วถึง ๑.๕ การสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาต้องออกข้อสอบให้อยู่ในขอบเขตของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และควรปรับระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในแต่ละระดับให้สอดคล้องกับการเรียนในระบบโรงเรียนตามปกติเท่านั้น และในการออกข้อสอบต้องไม่เกินจากหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม ๕ ฉบับ (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการโรงเรียนเอกชนและปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา)] อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวม ๕ ฉบับ และให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาต่อไป นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและกำกับดูแลให้โรงเรียนกวดวิชาต่าง ๆ กำหนดค่าเล่าเรียนให้เหมาะสม เป็นธรรม และไม่เป็นการผลักภาระให้แก่ผู้ปกครองและนักเรียนผู้ใช้บริการ
|
|||||||||||||||||||||
24340 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 23 - 27 กุมภาพันธ์ 2558) | สผ | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๒๓-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
.....