ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1008 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 20141 - 20160 จากข้อมูลทั้งหมด 124192 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20141 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558 | กค | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สรุปได้ ดังนี้
๑. บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๒๔,๘๗๘.๖๙ ล้านบาท และมีหนี้สินรวมจำนวน ๒๓,๙๐๑.๙๖ ล้านบาท ๒. ในปี ๒๕๕๘ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีรายได้รวมจำนวน ๙๓๗.๓๑ ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวมจำนวน ๗๐๐.๖๐ ล้านบาท ๓. ณ สิ้นปี ๒๕๕๘ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีส่วนของเงินกองทุนเท่ากับ ๙๗๖.๗๓ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
20142 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการสนับสนุนและส่งเสริมโรงเรียนนิติบุคคล (รูปแบบใหม่) ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการสนับสนุนและส่งเสริมโรงเรียนนิติบุคคล (รูปแบบใหม่) ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาศึกษาเพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบและแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาที่มีศักยภาพ ส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นอิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการศึกษาของสถานศึกษานิติบุคคลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมทั้งด้านการบริหารงานบุคคล การบริหารงานทั่วไป การบริหารงานวิชาการ และการบริหารการเงินและงบประมาณ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20143 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น พิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น พิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นเพื่อให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานครมีเงินเพียงพอในการจ่ายบำเหน็จบำนาญให้แก่ข้าราชการกรุงเทพมหานคร โดยในระยะยาวกรุงเทพมหานครควรพิจารณาหามาตรการเพื่อลดค่าใช้จ่ายสำหรับบำเหน็จบำนาญข้าราชการโดยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารงานบุคคลเพื่อพัฒนาสมรรถนะของข้าราชการและลดอัตรากำลังข้าราชการในอนาคต รวมทั้งการเข้าสู่ระบบบำเหน็จบำนาญแบบกองทุนบำเหน็จบำนาญที่ประกอบด้วยเงินสมทบของรัฐและเงินสะสมของสมาชิกกองทุนดังเช่นกรณีของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ ปี เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการจ่ายบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานครที่ยั่งยืนต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20144 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบการนำเข้า - ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร | สว | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้ศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคของระบบการตรวจสอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารในปัจจุบัน เช่น ปัญหาการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารนำเข้าและส่งออกที่ทำให้ประเทศไทยขาดอำนาจในการเจรจาต่อรองทางการค้า ปัญหาข้อจำกัดของทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารนำเข้า และปัญหาการตรวจสอบสินค้าส่งออกของไทยที่ถูกส่งกลับ ซึ่งต้องถูกตรวจสอบซ้ำและใช้ระยะเวลานาน เป็นต้น รวมทั้งได้จัดทำข้อเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร โดยเป็นการบูรณาการกลไกการดำเนินงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และสามารถผลักดันไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้ โดยนำเสนอเป็นมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาว ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ เกษตรกร และเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคภายในประเทศให้ได้รับความสะดวกและความปลอดภัยภายใต้การยึดโยงกับผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20145 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การศึกษามาตรฐานค่ารักษาพยาบาลของสถานพยาบาล" ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “การศึกษามาตรฐานค่ารักษาพยาบาลของสถานพยาบาล” พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ข้อเสนอแนะต่อผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน และข้อเสนอแนะต่อประชาชนผู้ที่ต้องเข้ารับบริการ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20146 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | อส | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้พิจารณาตัดสินชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ กับเอกชน และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๑๘ เรื่อง โดยเป็นการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ กับเอกชน ได้พิจารณาคดีเสร็จสิ้น รวม ๓ เรื่อง และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง ได้พิจารณาคดีเสร็จสิ้น รวม ๑๕ เรื่อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอ และแจ้งให้สำนักงานอัยการสูงสุดส่งเรื่องคืนตัวความหรือส่งคำตัดสินชี้ขาด และมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ให้คู่กรณีทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20147 | การขอเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานข้ามลำน้ำพรมโหด | นร08 | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานข้ามลำน้ำพรมโหด ระหว่างบ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย กับ สตึงบท เมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดแล้วจะต้องปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวทันที ๒. มอบให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเงื่อนไข ข้อกำหนด และการควบคุมดูแลไม่ให้มีผลกระทบในด้านต่าง ๆ ๓. การดำเนินการใด ๆ จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อความมั่นคง โดยต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใด ๆ ตามบริเวณชายแดน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์) อย่างเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวและสร้างสะพานชั่วคราวจะต้องดำเนินการในพื้นที่ซึ่งชุดสำรวจร่วมไทย-กัมพูชาได้สำรวจไว้แล้ว หากมีการดำเนินการนอกพื้นที่ดังกล่าวในฝั่งไทยจะต้องหารือกรมสนธิสัญญาและกฎหมายและกรมแผนที่ทหารก่อน นอกจากนี้ การดำเนินการใด ๆ ระหว่างการก่อสร้างสะพานและภายหลังการเปิดจุดผ่านแดนถาวรจะต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบต่อตลิ่งทั้งสองฝั่งของลำน้ำ และให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์สำหรับใช้ก่อสร้างสะพานเท่านั้น โดยควบคุมมิให้มีสิ่งผิดกฎหมาย รวมทั้งกำหนดเวลาเปิด-ปิดให้เหมาะสม ตลอดจนกำหนดมาตรการเข้า-ออกราชอาณาจักรให้ชัดเจนและไม่มีผลกระทบด้านความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20148 | ขอรับเงินสนับสนุนสมทบร้อยละห้าของเงินบริจาคภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่พรรคการเมืองประจำปีภาษี 2555 ประจำปีภาษี 2556 และประจำปีภาษี 2557 จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อสมทบการบริจาคเงินภาษี ประจำปีภาษี ๒๕๕๕-๒๕๕๗ จำนวน ๒,๒๓๒,๔๐๕ บาท นั้น สำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นว่า ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๕๗/๒๕๕๗ เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ข้อ ๒ กำหนดให้ระงับการจัดสรรเงินสนับสนุนแก่พรรคการเมืองของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองไว้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น สำนักงบประมาณจึงเห็นควรให้ชะลอการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่ากองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจะสามารถจัดสรรเงินสนับสนุนแก่พรรคการเมืองได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
20149 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 42/2559 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 43/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 4 | สลธ.คสช. | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๒/๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สั่ง ณ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๓/๒๕๕๙ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๔ สั่ง ณ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
20150 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 4 ฉบับ (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 40/2559 และ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 41/2559) | สลธ.คสช. | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๘/๒๕๕๙ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๙ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๙ สั่ง ณ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ (แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งดังกล่าวเพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น) ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๙/๒๕๕๙ เรื่อง การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา สั่ง ณ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๓. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๐/๒๕๕๙ เรื่อง ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๔๘/๒๕๕๗ สั่ง ณ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ (ยกเลิกประกาศเกี่ยวกับการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่าง) ๔. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๑/๒๕๕๙ เรื่อง การกำกับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ สั่ง ณ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
20151 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 (ครั้งที่ 16) | มท | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๖) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๓๗ ๑.๒ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ส่งมอบแล้ว ๑๐๓-๒-๑๓ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๘๔ ๑.๓ ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ และกระทบกับการใช้พื้นที่ในการจัดกองวัสดุหรือประกอบชิ้นส่วนโครงสร้างก่อนนำไปติดตั้ง ซึ่งตามแผนงานผู้รับจ้างจะใช้เวลาก่อสร้างงานส่วนดังกล่าว เป็นเวลา ๓๗๖ วัน รวมทั้งกรณีชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า จำนวน ๑๙ ครอบครัว ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าอยู่อาศัยในที่พักแห่งใหม่ ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะดำเนินการปรับปรุงแฟลตดังกล่าว แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนสำรวจและประเมินราคา ๑.๔ คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าของโครงการฯ มีความเห็นว่า (๑) การขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปจำนวน ๓๘๗ วัน ไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จได้ อีกทั้งยังมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก (๒) พื้นที่ที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้ผู้รับจ้างที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการ ได้แก่ พื้นที่บ้านพักกรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์บริการสาธารณสุข ๓๘ โรงเรียนโยธินบูรณะ และชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า และ (๓) ควรให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการขายซากอาคารเพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างได้โดยเร็ว ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ |
|||||||||||||||||||||
20152 | การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 48 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers : AEM) ครั้งที่ ๔๘ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะมีการรับรองเอกสารด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๒๑ ฉบับ ประกอบด้วย (๑) เอกสารผลงานด้านเศรษฐกิจที่ สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียนในปี ๒๕๕๙ ให้ความสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ (๒) แผนปฏิบัติการรายสาขาภายใต้ AEC Blueprint 2025 จำนวน ๑๑ ฉบับ (๓) กรอบการตรวจสอบและประเมินผลสำหรับ AEC Blueprint 2025 (AEC 2025 Monitoring & Evaluation Framework) และ (๔) เอกสารที่ AEM จะรับรองร่วมกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน จำนวน ๔ ฉบับ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการ รายสาขาภายใต้ AEC Blueprint 2025 ซึ่งเห็นควรมีประเด็นเพิ่มเติมในส่วนของแผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการค้าบริการอาเซียน แผนยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานและการรับรอง แผนงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน และแผนงานการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลกของอาเซียน สำหรับกรอบการดำเนินงานด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียนเห็นควรมีการปรับปรุงสาระสำคัญของร่างเอกสารฯ บางประการ และปรับสถานะของเอกสารเป็น General Principles for AFSRF เพื่อความเหมาะสมกับเนื้อหาของร่างเอกสารฯ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันพิจารณาจัดทำรายละเอียดเครื่องมือทางกฎหมายและพิธีสารภายใต้ร่างเอกสารดังกล่าว ทั้งนี้ แนวทางความร่วมมือระหว่างกันในอาเซียนควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความช่วยเหลือเพื่อลดช่องว่างระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อขจัดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานและส่งเสริมการพัฒนาของประเทศสมาชิกให้สามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้ รวมทั้งการทบทวนและใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น นอกจากนี้ ควรสร้างความรู้ความเข้าใจและการเตรียมการในแนวทางการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไป โดยเฉพาะภาคเอกชนซึ่งจะเข้ามามีบทบาทในความร่วมมือเพื่อพัฒนาในประเด็นต่าง ๆ ภายในอาเซียนมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
20153 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2560 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๐ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. งบประมาณประจำปี ๒๕๖๐ จำนวน ๔,๒๖๘,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้เงินจากทุนฝึกอบรมที่คงเหลืออยู่ในบัญชีกองทุนฝึกอบรมขององค์กรร่วมฯ จำนวน ๑๐๗,๒๑๐ ดอลลาร์สหรัฐ รายได้ที่องค์กรร่วมฯ ได้รับจากการขายปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๙ จำนวน ๓,๒๗๗,๑๕๑ ดอลลาร์สหรัฐ และงบประมาณเหลือจ่ายของปี ๒๕๕๘ จำนวน ๘๘๔,๒๓๙ ดอลลาร์สหรัฐ ๒. แผนการดำเนินงานในปี ๒๕๖๐ ประกอบด้วยการดำเนินงานด้านการประเมินผล ด้านการพัฒนาปิโตรเลียม และด้านการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย แปลง A-18 ดำเนินงานโดยบริษัท Carigali Hess Operating Company Sdn. Bhd. แปลง B-17 และ C-19 ดำเนินงานโดยบริษัท Carigali-PTTEPI Operating Company Sdn. Bhd. และแปลง B-17-01 ดำเนินงานโดยบริษัท Carigali-PTTEPI Operating Company Sdn. Bhd. |
|||||||||||||||||||||
20154 | ร่างพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. .... | รง | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. .... ของกระทรวงแรงงาน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญให้มีกฎหมายว่าด้วยการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาถ้อยคำในร่างพระราชกำหนดให้สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ อีกครั้งหนึ่ง และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||
20155 | มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิต [ร่างกฎกระทวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร] | กค | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิต และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเงินฝากไว้กับธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยการฝากเงินนั้นมีข้อตกลงว่าธนาคารจะจ่ายเงินและผลประโยชน์ตามข้อตกลงโดยอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของผู้ฝากเงิน และการรับฝากเงินต้องมีกำหนดเวลาตั้งแต่สิบปีขึ้นไป และกำหนดให้เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการฝากเงินดังกล่าว เป็นเงินได้พึงประเมินที่ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้ธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ผู้ฝากเงินถึงประโยชน์ในการฝากเงินเพื่อสงเคราะห์ชีวิต รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ฝากเงินเข้าใจถึงประโยชน์และความจำเป็นในการออมเงินระยะยาวและการสร้างหลักประกันของชีวิตในอนาคต และในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกใหม่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น หน่วยงานกำกับดูแลต้องพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎระเบียบในการกำกับดูแลมาตรฐานการดำเนินงาน ตลอดจนหลักเกณฑ์ในการบริหารความเสี่ยง เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นแก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจและระบบการเงินโดยรวม นอกจากนี้ หากธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะแห่งใดจะพิจารณาขยายขอบเขตการออกผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิต ควรจะต้องมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20156 | มาตรการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม | กค | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการดำเนินมาตรการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยอุดหนุนเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑.๒ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความชัดเจน เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs และโอกาสในการพลิกฟื้นกิจการของ SMEs เป็นสำคัญ สำหรับการใช้จ่ายเงินจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อดำเนินมาตรการดังกล่าวนั้น เห็นควรที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาตามที่คณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามนัยมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฟื้นฟูกิจการ SMEs เห็นควรเพิ่มผู้แทนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหรือภาคเอกชนอื่นเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเพิ่มเติมอีก ๑ ตำแหน่ง และควรพิจารณาถึงกระบวนการทำงาน ปัญหาและอุปสรรคจากการให้ความช่วยเหลือ SMEs ในลักษณะร่วมกิจการ ร่วมทุน หรือลงทุน จากผลการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา เช่น โครงการ Venture Capital Fund เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินมาตรการฟื้นฟูกิจการ SMEs และหลีกเลี่ยงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ซึ่งจะเป็นการใช้เงินลงทุนให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อ SMEs อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ควรพิจารณาการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจ โดยคำนึงถึงทั้งขนาดวิสาหกิจ สาขาธุรกิจ และพื้นที่การประกอบธุรกิจ เพื่อให้เกิดการกระจายความช่วยเหลือวิสาหกิจอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังนำมาตรการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อติดตามและรวบรวมผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวเพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20157 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาของสมาชิก | กษ | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ จัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเงิน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจัดเก็บดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๐ กำหนดชำระคืนภายใน ๕ ปี เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาของสมาชิกสถาบันเกษตรกร ๑.๒ เงินจ่ายขาด สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานโครงการฯ จำนวน ๒,๙๙๗,๕๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้ทันต่อสถานการณ์อย่างทั่วถึง เป็นธรรม โปร่งใส และบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ รวมถึงติดตามการชำระคืนเงินจากสถาบันเกษตรกรอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การชำระคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด และให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการชี้แจงทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และเงื่อนไขการชำระคืน การกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาและจัดสรรเงินกู้ ซึ่งควรพิจารณาทั้งสถานการณ์น้ำและภาวะภัยแล้งในพื้นที่ ควบคู่กับศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรในการประกอบอาชีพและการชำระคืนเงินตามโครงการฯ การสำรวจและการจัดทำแผนผังและออกแบบแหล่งน้ำในไร่นาให้สามารถรับน้ำและกักเก็บน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตามหลักวิชาการ ร่วมกับการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชใช้น้ำน้อยหรือการทำเกษตรผสมผสานที่เหมาะสมกับเงื่อนไขในพื้นที่ โดยในส่วนเกษตรกรที่ยังขาดความพร้อมด้านอาชีพและรายได้ และได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำในไร่นา กรมส่งเสริมสหกรณ์ควรประสานกรมพัฒนาที่ดิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือด้านแหล่งน้ำและการประกอบอาชีพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20158 | ขอความเห็นชอบขยายกลุ่มเป้าหมายและขยายรายการเครื่องจักรกลทางการเกษตรในโครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนสมาชิก ระยะขยายผล ปี พ.ศ. 2559 - 2562 | กษ | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายกลุ่มเป้าหมายและขยายรายการเครื่องจักรกลทางการเกษตรในโครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนสมาชิก ระยะขยายผล ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กลุ่มเกษตรกรที่ขอขยายเป้าหมายในครั้งนี้จะต้องเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เท่านั้น และในการขยายรายการเครื่องจักรกลทางการเกษตรตามโครงการฯ ต้องเป็นรายการเครื่องจักรกลทางการเกษตรที่จำเป็นต่อการดำเนินกิจการ การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในด้านปริมาณและคุณภาพ การแปรสภาพผลผลิต และการสนับสนุนระบบการผลิตทางการเกษตรอุตสาหกรรม โดยไม่รวมถึงครุภัณฑ์ ยานพาหนะ เช่น รถบรรทุก รถพ่วง เป็นต้น เนื่องจากไม่ทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรโดยตรง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการขยายกลุ่มเป้าหมายและรายการเครื่องจักรกลทางการเกษตรดังกล่าว ให้เร่งรัดดำเนินการให้ครอบคลุมถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรม และตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับโครงการประเภทอื่นที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และเห็นควรให้ความสำคัญกับการคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการบริหารจัดการเครื่องจักรกลทางการเกษตร และมีความพร้อมในด้านการเงิน เนื่องจากการเข้าร่วมโครงการในระยะขยายผล กลุ่มเกษตรกรจะต้องใช้เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินการจัดซื้อเครื่องจักรกลทางการเกษตร รวมทั้งให้ความสำคัญกับประเภทของเครื่องจักรกลทางการเกษตรที่จะขยายเพิ่มขึ้น ต้องเป็นเครื่องจักรกลทางการเกษตรหลักที่มีความจำเป็นและสำคัญต่อขั้นตอนการผลิตและสามารถสนับสนุนกระบวนการลดต้นทุนการผลิตให้กับกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ได้อย่างแท้จริง และต้องมีระบบการบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ เห็นควรให้ขยายกลุ่มเป้าหมายโครงการฯ เฉพาะในกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการจัดพื้นที่เพื่อทำการเกษตรเป็นแปลงใหญ่ ตามนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรกลที่จะจัดหาได้เต็มประสิทธิภาพและเป็นการสร้างแรงจูงใจให้มีการรวมกลุ่มของเกษตรกร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20159 | ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน - หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ในกรอบวงเงิน ๔๔,๑๕๗.๗๖ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับแนวทางการรับภาระการลงทุนและการจัดหาแหล่งเงินทุน รัฐบาลควรรับภาระค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานงานโยธาและส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศและให้กู้ต่อแก่ รฟท. เพื่อเป็นค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมการก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าที่ปรึกษาจัดการประกวดราคาและค่ารื้อย้ายและเวนคืนที่ดิน รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓. สำหรับงานระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณและขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเดินรถและการบำรุงรักษา ให้ รฟท. เป็นผู้รับภาระการลงทุนเอง โดยให้ รฟท. กู้เงินจากในประเทศ และกระทรวงการคลังค้ำประกัน ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารจัดการเดินรถและการบำรุงรักษา ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เร่งจัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลอดทั้งเส้นทางตามมติของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ และเสนอ คนร. พิจารณาโดยเร็ว และหาก คนร. มีมติให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการบริหารจัดการเดินรถและบำรุงรักษาโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ให้ รฟท. เร่งดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ดำเนินการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฯ และประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น การจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหาย หรือการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินโครงการในอนาคต |
|||||||||||||||||||||
20160 | การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว กัมพูชา | รง | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โดยการปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเปลี่ยนไปทำงานกับนายจ้างรายใหม่ (๒) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ติดตามของแรงงานต่างด้าวและบุตรของแรงงานต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย และ (๓) คณะอนุกรรมการพิจารณาการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๑๘๘ และคณะอนุกรรมการยกร่างกฎหมาย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า โดยที่ชื่อ “ศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน” อาจซ้ำซ้อนกับภารกิจที่หน่วยงานอื่นรับผิดชอบ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับภารกิจที่ศูนย์ฯ จะดำเนินการ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงขอแก้ไขชื่อเป็น “ศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้าง” ๓. เห็นชอบในหลักการให้ขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างจากลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเวลา ๒ ปี (๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๙-๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑) และให้เริ่มหักเงินในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานเร่งดำเนินการจัดทำกฎกระทรวงเพื่อรองรับการขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ๔. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้าง และศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว โดยให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเพิ่มภารกิจของ "ศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว" ให้มีหน้าที่ประสานการส่งกลับแรงงานต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรยังภูมิลำเนาในประเทศต้นทาง ในกรณีที่ผลการตรวจสุขภาพเป็นประเภทที่ ๓ และแรงงานต่างด้าวที่เจ็บป่วยจนไม่สามารถทำงานได้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งและดำเนินการศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้าง และศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร โดยคำนึงถึงความประหยัด ความมั่นคง การบูรณาการในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบ ติดตาม ให้นายจ้างนำแรงงานต่างด้าวมาตรวจร่างกายตามที่ได้นัดหมายไว้ เพื่อป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคต้องห้าม อันจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนพิจารณาปรับระบบวิธีการทำงานของศูนย์ฯ ทั้ง ๒ ศูนย์ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นระบบและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้านแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กันไป และควรกำหนดให้มีตัวชี้วัดผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพื่อติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานตามแนวทางที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๖. ให้กระทรวงแรงงานสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขการขยายระยะเวลาการอยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้เสียหายจากการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย |
.....