ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 38 จากทั้งหมด 97 หน้า แสดงรายการที่ 741 - 760 จากข้อมูลทั้งหมด 1923 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
741 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (จำนวน 9 คน 1. นายไกรสร บารมีอวยชัย ฯลฯ) | ยธ | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและกระบวนการดำเนินคดีอาญา ๓. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔. นายประดิษฐ์ เอกมณี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี ๕. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินการธนาคาร ๖. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ๗. นายเรวัต วิศรุตเวช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ๘. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ๙. นายอนุพร อรุณรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕) อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดตัวบุคคลเฉพาะที่ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และกฎหมาย จำนวน ๔ คน นอกนั้นให้คงเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๓. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๔. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
742 | การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) | ยธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ [เรื่อง การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) และอนุกรรมการ] ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และกำหนดค่าตอบแทนกรรมการใน กคพ. และคณะอนุกรรมการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ กคพ. มีลักษณะเป็นการประชุมคณะกรรมการเช่นเดียวกับคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่พิจารณาว่าหากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดใดสมควรได้รับเบี้ยประชุมรายเดือนและมีองค์ประกอบของคณะกรรมการโดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ให้ได้รับเบี้ยประชุมไม่เกินเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท รองประธานกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๗๕๐ บาท และกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท คณะอนุกรรมการได้รับในอัตราไม่เกินกึ่งหนึ่งของอัตราที่คณะกรรมการมีสิทธิได้รับ จึงเห็นควรให้ กคพ. และคณะอนุกรรมการใน กคพ. ได้รับค่าตอบแทน ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการอื่นให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ๑.๒ ประธานคณะอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ได้รับค่าตอบแทนเฉพาะในเดือนที่ได้เข้าร่วมประชุม ๒. สำนักงาน ก.พ. พิจารณาเห็นว่า การกำหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของ กคพ. ควรเปรียบเทียบและยึดโยงกับคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน และสอดคล้องกับแนวทางตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุม ดังนี้ ๒.๑ กำหนดอัตราเบี้ยประชุม กคพ. โดยเทียบเคียงกับคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ กรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะในเดือนที่ได้ร่วมประชุม ๒.๒ กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจาก กคพ. โดยกำหนดให้ประธานอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ อนุกรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่ได้ร่วมประชุม |
||||||||||||||||||||||||
743 | การกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งอัตราค่าตอบแทนที่กำหนดขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับอัตราค่าตอบแทนของคณะกรรมการอื่น ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่และภารกิจใกล้เคียงกันของกระทรวงยุติธรรม และอัตราเบี้ยประชุมตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ใน คอ.นธ. ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ มีดังนี้ ๑.๑ ประธานอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๒ อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๓ เลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๔ ผู้ช่วยเลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นผู้ช่วยเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๕ ที่ปรึกษา คอ.นธ. ที่ คอ.นธ. แต่งตั้งและมอบหมายให้ดำเนินการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้มีการแต่งตั้ง ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเป็นค่าตอบแทนดังกล่าว รวมทั้งภารกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
744 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งอนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหากมีความจำเป็น | ยธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขอบข่ายความร่วมมือเพื่อต่อต้านยาเสพติด โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ร่วมกัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อสนเทศ และผลงานวิจัยต่าง ๆ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาปรับแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
745 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยความร่วมมือในโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน | ยธ | 17/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยความร่วมมือในโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กลไกความร่วมมือ สำนักงาน ป.ป.ส. และสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดเมียนมาร์ (CCDAC : Central Committee for Drug Abuse Control) เป็นหน่วยงานบริหารโครงการในนามของรัฐบาลไทยและเมียนมาร์ และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ และกรมความก้าวหน้าพื้นที่ชายแดนและชาติพันธุ์ (NATALA : Department of Progress of Border Areas and National Races) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการในนามรัฐบาลไทยและเมียนมาร์ ๑.๒ ขอบข่ายความร่วมมือ ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๖ ปี แบ่งเป็น ๒ ระยะ ๆ ละ ๓ ปี ดำเนินโครงการใน ๓ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ในจังหวัดท่าขี้เหล็ก พื้นที่ในเมืองสาด และพื้นที่ของกลุ่มว้าในเมืองสาด โดยจะมีการดำเนินกิจกรรมพัฒนาด้านสาธารณสุข การพัฒนาความเป็นอยู่ ได้แก่ การพัฒนาด้านชลประทาน เกษตรกรรม ปศุสัตว์และป่าเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาด้านศึกษาและสิ่งแวดล้อม และต่อไปจะมีการจัดทำเอกสารโครงการ ซึ่งเป็นการลงนามระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กับ NATALA ๑.๓ การบริหารจัดการโครงการ การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการร่วม (Joint Project Steering Committee) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายไทย จำนวน ๕ คน ฝ่ายเมียนมาร์ จำนวน ๕ คน รวมเป็น ๑๐ คน โดยทั้งสองฝ่ายจะหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดองค์ประกอบต่อไป และให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ๑.๔ การกำหนดบทบาท โดยระบุรายละเอียดในการให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือในการดำเนินโครงการของหน่วยงานบริหารโครงการและหน่วยงานดำเนินโครงการของทั้งสองฝ่าย สำหรับฝ่ายไทยสำนักงาน ป.ป.ส. จะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการโดยผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สำหรับฝ่ายเมียนมาร์จะเป็นผู้ให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรองความปลอดภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่เข้าไปดำเนินโครงการในเมียนมาร์และการอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าออกเมียนมาร์ ๒. อนุมัติให้พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการ ป.ป.ส. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงาน ป.ป.ส. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
746 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงยุติธรรม) (พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ) | ยธ | 17/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
747 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการ กรมคุมประพฤติ พ.ศ. .... | ยธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมคุมประพฤติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษเฉพาะสำหรับข้าราชการกรมคุมประพฤติ ดังนี้
๑. กำหนดชนิดหรือประเภทของเครื่องแบบพิเศษไว้สามชนิด ได้แก่ เครื่องแบบปฏิบัติงานปกติ เครื่องแบบปฏิบัติงานลำลอง และเครื่องแบบปฏิบัติงานสนาม ๒. กำหนดสิ่งประกอบหรือส่วนประกอบของเครื่องแบบพิเศษ ได้แก่ การกำหนดรายละเอียดของหมวก การกำหนดชั้นในการประดับเครื่องหมายตำแหน่งบนอินทรธนู การกำหนดเครื่องหมายแสดงระดับส่วนประกอบบนอินทรธนู ๓. การกำหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีสิทธิแต่งเครื่องแบบพิเศษ
|
||||||||||||||||||||||||
748 | ขออนุมัติในหลักการให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินโครงการความร่วมมือกับพม่าด้านการพัฒนาทางเลือก | ยธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (พม่า) ด้านการพัฒนาทางเลือก ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. สาระสำคัญของผลการหารือ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐบาลพม่าให้ความเห็นชอบข้อเสนอในการดำเนินโครงการความร่วมมือไทย-พม่าด้านการพัฒนาทางเลือก ตามที่สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เสนอผ่านคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control : CCDAC) และมอบหมายให้ CCDAC เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการกำหนดแนวทางความร่วมมือกับสำนักงาน ป.ป.ส. โดยมี NATALA และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นหน่วยงานผู้ปฏิบัติ ๑.๒ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะเร่งจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทางเลือกเพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินความร่วมมือระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๓ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะสำรวจพื้นที่ดำเนินโครงการ ๒ จุด ตามที่คณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control : CCDAC) เสนอ ๒ พื้นที่ ได้แก่ บ้านจอผละ (Gyaw pha) จังหวัดท่าขี้เหล็ก และบ้านเลพายิน (Lwe pa yin) เมืองสาด ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยจะจัดตั้งทีมสำรวจพื้นที่ร่วมกัน ๑.๔ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกับขั้นตอนการเตรียมการดำเนินงานร่วมกัน โดยขั้นที่ ๑ หลังจากสำรวจพื้นที่แล้วมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะจัดการศึกษาดูงานโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ให้แก่ทีมสำรวจพื้นที่ของพม่า เป็นเวลา ๗ วัน ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ขั้นที่ ๒ ฝ่ายพม่าจะคัดเลือกผู้แทนชาวบ้านจากหมู่บ้านในพื้นที่โครงการ หมู่บ้านละ ๒ คน และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะให้การฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาแบบเข้มข้นเป็นเวลา ๑ เดือน ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ส่วนขั้นที่ ๓ ผู้แทนชาวบ้านที่ได้ผ่านการฝึกอบรมแล้วจะกลับไปดำเนินการสำรวจพื้นที่ในแต่ละหมู่บ้าน ระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ และส่งข้อมูลผลการสำรวจให้แก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ และขั้นที่ ๔ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะใช้เวลา ๑ เดือนในการร่างแผนงานโครงการ และจะเสนอให้ฝ่ายพม่าพิจารณาภายในเดือนสิงหาคม ๑.๕ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะดำเนินโครงการระยะเวลา ๖ ปี โดยแบ่งเป็น ๒ ระยะ ๆ ละ ๓ ปี ทั้งนี้ เพื่อให้ผลอย่างยั่งยืนในการทำให้ชาวบ้านในพื้นที่อยู่ได้ด้วยตัวเองหลังจากที่โครงการสิ้นสุดลงแล้ว ๒. ในการเตรียมการดำเนินงานโครงการความร่วมมือไทย-พม่าด้านการพัฒนาทางเลือก สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เตรียมที่จะจัดสรรงบประมาณหมวดเงินอุดหนุน ประเภททั่วไป ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ล้านบาท ให้แก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สำหรับการเตรียมการดำเนินโครงการฯ ที่จะส่งทีมสำรวจฝ่ายไทยเข้าไปสำรวจพื้นที่ในพม่าและจัดการฝึกอบรมให้แก่ฝ่ายพม่า และจะจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ เสนอให้ฝ่ายพม่าพิจารณาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ โดยหากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ สำนักงาน ป.ป.ส. จะเสนอร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และหลังจากที่ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศแล้ว สำนักงาน ป.ป.ส. จะเสนอแผนงานโครงการฯ ในรายละเอียดพร้อมงบประมาณดำเนินโครงการฯ เพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในโอกาสต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
749 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดอุปกรณ์เพื่อช่วยในการแสดงสัญญาณจราจร และกำหนดข้อสันนิษฐานกรณีผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันควร) | ยธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ไฟฉายเรืองแสงหรืออุปกรณ์เรืองแสงอื่นในการแสดงสัญญาณจราจรได้ ๒. กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และให้มีอำนาจกักตัวผู้ขับขี่ที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวและไม่ยอมให้ทดสอบในกรณีผู้ขับขี่ถูกกักตัวไว้ทดสอบแล้ว หากผู้นั้นไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น |
||||||||||||||||||||||||
750 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (นายประดิษฐ์ เอกมณี) | ยธ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายประดิษฐ์ เอกมณี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และกระบวนการดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญา ในคณะกรรมการคดีพิเศษ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
751 | ร่างข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับหน่วยงานต่างประเทศ | ยธ | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับหน่วยงานต่างประเทศ จำนวน ๓ แห่ง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สถาบันนิติเวชศาสตร์วิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย โดยเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ คู่ตกลงเห็นพ้องต้องกันในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในกิจกรรมและหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านมนุษยธรรม ด้านการอำนวยความสะดวกด้านนิติเวชศาสตร์และการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและการให้ความร่วมมือด้านนิติวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ๑.๒ ทีมนักมานุษยวิทยา ประเทศอาร์เจนตินา โดยเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ คู่ตกลงเห็นพ้องต้องกันในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในกิจกรรมและหลักสูตรต่าง ๆ ในด้านการพิสูจน์บุคคลสูญหายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงเหตุภัยพิบัติและอาชญากรรม ด้วยการอำนวยความสะดวกด้านนิติมานุษยวิทยาและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและการให้ความร่วมมือด้านนิติวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ๑.๓ หน่วยบัญชาการสอบสวนทางอาญา กระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ คู่ตกลงจะร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านการเสริมสร้างศักยภาพและการพัฒนาวิชาชีพ ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อวัตถุประสงค์ในการศึกษาหาความรู้ การฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ การเข้าร่วมสัมมนา ประชุม และอื่น ๆ การจัดหาเครื่องมือและทรัพยากร การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมแก้ไขชื่อภาษาไทยของ Memorandum of Understanding ให้เป็นชื่อเดียวกันว่า “บันทึกความเข้าใจ” ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
752 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อปรับปรุงเกี่ยวกับการประกาศขายทอดตลาด การกำหนดราคาทรัพย์ในการขายทอดตลาด และการถอนทรัพย์ออกจากการขายทอดตลาด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
753 | การถอนคำแถลงตีความข้อบทที่ 6 วรรค 5 และ ข้อบทที่ 9 วรรค 3 ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง | ยธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อการถอนคำแถลงตีความข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ (เรื่อง การพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี) และข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ (เรื่อง ระยะเวลาในการนำผู้ถูกจับกุมไปศาล) ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ๑.๑ ข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ เรื่อง การพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ซึ่งประเทศไทยได้ทำคำแถลงตีความเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการปฏิบัติของไทยตามประมวลกฎหมายอาญาว่า ตามกฎหมายดังกล่าวในทางปฏิบัติประเทศไทยไม่เคยมีการพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ บัญญัติว่า เด็กอายุไม่เกิน ๑๔ ปี ไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดที่กระทำ และมาตรา ๗๕ บัญญัติว่า เด็กอายุกว่า ๑๔ ปี แต่ยังไม่เกิน ๑๗ ปี หากศาลจะพิพากษาลงโทษ ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่ง ส่วนผู้ที่มีอายุกว่า ๑๗ ปี แต่ไม่เกิน ๒๐ ปี นั้น มาตรา ๗๖ บัญญัติมีผลว่า แม้กระทำความผิดที่มีโทษถึงประหารชีวิต แต่กฎหมายไทยก็ได้ให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจว่าจะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ และในทางปฏิบัติศาลได้ใช้ดุลยพินิจลดมาตราส่วนโทษให้เสมอ จึงไม่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ๑.๒ ข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ เรื่อง ระยะเวลาในการนำผู้ถูกจับกุมไปศาล ซึ่งกติกาใช้คำว่า “โดยพลัน” นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๘๗ วรรคสาม ได้ให้อำนาจพนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาก่อนนำตัวไปศาลไว้ได้ ๔๘ ชั่วโมง แต่หากการสอบสวนไม่เสร็จสิ้น ก็สามารถควบคุมตัวต่อได้ถึง ๗ วันนั้น ไม่สอดคล้องกับกติกา ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้ทำคำแถลงชี้แจงว่า ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีในข้อนี้ในลักษณะที่กฎหมายไทยกำหนดไว้ในขณะนั้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนคำแถลงตีความ ข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ และข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
754 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังต่อไปนี้
๑. กำหนดให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๒. กำหนดให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัว
|
||||||||||||||||||||||||
755 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2553 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสำคัญในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑ การจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาระบบงานยุติธรรม ได้แก่ แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ -๒๕๕๕ และแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ๑.๒ การประสานข้อมูล เครือข่ายการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ได้แก่ โครงการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมในเขตเมืองด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม โครงการคืนคนดีสู่สังคม โครงการศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม และการส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ๑.๓ การศึกษา วิจัยและพัฒนากฎหมาย และระบบงานยุติธรรม ได้แก่ การพัฒนาการกำหนดความผิด โทษ และมาตรการทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย การพัฒนาระบบราชทัณฑ์ การพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ โครงการสำรวจข้อมูลการกระทำผิดด้วยการรายงานตนเอง (Self Reported Crime Survey) และการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ ๘ เรื่อง “นิติรัฐและพลเมือง : ทางออกประเทศไทย” ๑.๔ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้สู่สังคม ได้แก่ การเสวนาทางวิชาการ “ยุติธรรม : ความสำเร็จของกระบวนการยุติธรรมระดับพื้นที่” โครงการยกย่องผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระบวนการยุติธรรม “รางวัลยุติธรรมธร” การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม และการเผยแพร่ข้อมูลคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ๑.๕ การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม และการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง (ยธส.) ๒. รายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย ด้านการจัดทำแผนและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ด้านการส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ด้านการวิจัย พัฒนากฎหมาย และการบริหารงานยุติธรรม ด้านการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม ด้านการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ด้านการส่งเสริมพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับพื้นที่ และภารกิจด้านงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแหงชาติ รวมค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ๔๗,๐๑๗,๙๗๕.๐๑ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
756 | ขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม (นักบริหารระดับสูง) (กระทรวงยุติธรรม) | ยธ | 14/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม (นักบริหารระดับสูง) ซึ่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ครบกำหนด ๔ ปี ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ต่อไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๑) ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
757 | ขออัตรากำลังข้าราชการเพิ่ม | ยธ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่อนุมัติเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) อีกจำนวน ๑๕๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติภารกิจในการปราบปรามยาเสพติด และภารกิจบังคับโทษปรับตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)]
|
||||||||||||||||||||||||
758 | ขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน (นักบริหารระดับสูง) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (กระทรวงยุติธรรม) | ยธ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งดำรงตำแหน่งติดต่อกันครบ ๔ ปี ในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๑) ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
759 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงยุติธรรม) | ยธ | 17/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายณรงค์ รัตนานุกูล ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
760 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี" | ยธ | 17/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี” สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี” มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อระดมประชาชนสาขาอาชีพต่าง ๆ ทั่วประเทศร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่าต่อเนื่อง ภายใต้ “กองทุนแม่ของแผ่นดิน” และเพื่อใช้แนวทางกองทุนแม่ของแผ่นดิน ลดสถานการณ์ปัญหายาเสพติด สร้างความเข้มแข็งพลังแผ่นดิน สร้างความยั่งยืนให้กับหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ โดยมีแนวทางและกลยุทธการดำเนินการ ประกอบด้วย ๖ แนวทางหลัก ได้แก่ ๑.๑.๑ แนวทางที่ ๑ การสร้างกระแสความตื่นตัวและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องสื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อรณรงค์กระตุ้นจิตสำนึก สร้างกระแสการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และประชาชน ให้เกิดความตื่นตัวกระทำความดีต่อต้านยาเสพติด และร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี สืบสานปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และปณิธานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๑.๑.๒ แนวทางที่ ๒ การสร้างความมั่นคงให้กับหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่ได้รับแต่เดิม ให้สามารถลดและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ได้ โดยเน้นบทบาทภาคประชาชนสมานฉันท์ และสามัคคี เสริมบทบาทแกนนำหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ๑.๑.๓ แนวทางที่ ๓ สร้างศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดินให้เป็นแบบอย่างการพัฒนาและการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยการสร้าง ๑ อำเภอ ๑ ศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดิน และให้มีการบูรณาการกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน โดยกำหนดหมู่บ้านตัวอย่าง ๘๐ แห่ง เทิดพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี ๑.๑.๔ แนวทางที่ ๔ ขยายหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินเพิ่มใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จังหวัดละ ๒๐ - ๕๐ แห่ง โดยยึดหลักคุณภาพในทุกกระบวนการ เพื่อให้ได้หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่จะเข้ารับพระราชทานเชิงคุณภาพ ๑.๑.๕ แนวทางที่ ๕ สร้างกระแส สร้างกิจกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนแม่ของแผ่นดิน หากทุกหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศได้กระทำอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วย่อมเกิดเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ทั้งพลังแห่งความสามัคคี พลังแห่งความดี และพลังแห่งความจงรักภักดี ๑.๑.๖ แนวทางที่ ๖ การพัฒนาความพร้อมการดำเนินงานเชิงคุณภาพทั้งการพัฒนาวิทยากรกระบวนการกองทุนแม่ของแผ่นดิน การพัฒนาประสิทธิภาพของเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน ระดับอำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ การพัฒนากลไกผู้ประสานงานกลางกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่ และการพัฒนาองค์ความรู้ และจัดระบบข้อมูล เพื่อให้โครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมฉลอง ๘๐ พรรษา มหาราชินี อย่างสมพระเกียรติ และเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๑.๒ โครงสร้างการบริหารจัดการ ๑.๒.๑ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ เป็นกลไกบริหารจัดการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน มีบทบาทหน้าที่การวางกรอบนโยบาย มาตรการ กลยุทธ์ แนวทางปฏิบัติ ๑.๒.๒ ระดับส่วนกลาง มีคณะกรรมการอำนวยการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี (คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษา) ๑.๒.๓ ระดับจังหวัด โดยศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เป็นกลไกบริหารจัดการสูงสุดในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับจังหวัด และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษา ระดับจังหวัด หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับจังหวัด ๑.๒.๔ ระดับอำเภอ โดยศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดระดับอำเภอ/เขต เป็นกลไกบริหารจัดการในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับอำเภอ/เขต และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษาระดับอำเภอ/เขต หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับอำเภอ/เขต ๑.๓ งบประมาณในการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย งบประมาณจากจังหวัด งบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณสมทบจากหมู่บ้าน/ชุมชน และงบกลางของรัฐบาล ๑.๔ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน เผยแพร่ รณรงค์ประชาสัมพันธ์การดำเนินงาน “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี”
|
.....