ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 38 จากทั้งหมด 97 หน้า แสดงรายการที่ 741 - 760 จากข้อมูลทั้งหมด 1930 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
741 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (พันตำรวจเอกโภคพิบูลย์ โปตระนันทน์ และนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล) | ยธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. พันตำรวจเอก โภคพิบูลย์ โปตระนันทน์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ๒. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมคุมประพฤติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
742 | ร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กับหน่วยงานต่างประเทศ | ยธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงบริหารจัดการสาธารณะและความมั่นคง สาธารณรัฐเกาหลี (National Forensic Service-NFS, the government department within the Ministry of Public Administration and Security of the Republic of Korea) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการทางนิติวิทยาศาสตร์และพัฒนาการทำงานให้มีมาตรฐานสากล โดยให้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
743 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (จำนวน 3 คน 1. นายเจียม เสาวภา ฯลฯ) | ยธ | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ จำนวน ๓ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ กันยายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายเจียม เสาวภา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. นายเรวัต ฉ่ำเฉลิม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานยุติธรรม ๓. พลตำรวจเอกดรุณ โสตถิพันธุ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาชญาวิทยา
|
|||||||||||||||||||||||||||
744 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อีกตำแหน่งหนึ่ง | ยธ | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ ข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม อีกตำแหน่งหนึ่ง มีกำหนดระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
745 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 5 ราย 1. พันตำรวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ ฯลฯ) | ยธ | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. พันตำรวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายชาติชาย สุทธิกลม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔. นายธวัชชัย ไทยเขียว ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายฐานิส ศรียะพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
746 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (จำนวน 4 คน 1. นายไกรสร บารมีอวยชัย ฯลฯ) | ยธ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและกระบวนการดำเนินคดีอาญา ๓. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔. นายประดิษฐ์ เอกมณี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี ๕. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินการธนาคาร ๖. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ๗. นายเรวัต วิศรุตเวช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ๘. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ๙. นายอนุพร อรุณรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕) อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดตัวบุคคลเฉพาะที่ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และกฎหมาย จำนวน ๔ คน นอกนั้นให้คงเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๓. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๔. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
747 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. .... | ยธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษของข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้เป็นไปตามที่กำหนดในร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีนี้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
748 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (จำนวน 9 คน 1. นายไกรสร บารมีอวยชัย ฯลฯ) | ยธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและกระบวนการดำเนินคดีอาญา ๓. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔. นายประดิษฐ์ เอกมณี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี ๕. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินการธนาคาร ๖. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ๗. นายเรวัต วิศรุตเวช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ๘. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ๙. นายอนุพร อรุณรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕) อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดตัวบุคคลเฉพาะที่ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และกฎหมาย จำนวน ๔ คน นอกนั้นให้คงเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๓. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๔. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
749 | การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) | ยธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ [เรื่อง การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) และอนุกรรมการ] ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และกำหนดค่าตอบแทนกรรมการใน กคพ. และคณะอนุกรรมการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ กคพ. มีลักษณะเป็นการประชุมคณะกรรมการเช่นเดียวกับคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่พิจารณาว่าหากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดใดสมควรได้รับเบี้ยประชุมรายเดือนและมีองค์ประกอบของคณะกรรมการโดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ให้ได้รับเบี้ยประชุมไม่เกินเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท รองประธานกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๗๕๐ บาท และกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท คณะอนุกรรมการได้รับในอัตราไม่เกินกึ่งหนึ่งของอัตราที่คณะกรรมการมีสิทธิได้รับ จึงเห็นควรให้ กคพ. และคณะอนุกรรมการใน กคพ. ได้รับค่าตอบแทน ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการอื่นให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ๑.๒ ประธานคณะอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ได้รับค่าตอบแทนเฉพาะในเดือนที่ได้เข้าร่วมประชุม ๒. สำนักงาน ก.พ. พิจารณาเห็นว่า การกำหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของ กคพ. ควรเปรียบเทียบและยึดโยงกับคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน และสอดคล้องกับแนวทางตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุม ดังนี้ ๒.๑ กำหนดอัตราเบี้ยประชุม กคพ. โดยเทียบเคียงกับคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ กรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะในเดือนที่ได้ร่วมประชุม ๒.๒ กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจาก กคพ. โดยกำหนดให้ประธานอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ อนุกรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่ได้ร่วมประชุม |
|||||||||||||||||||||||||||
750 | การกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งอัตราค่าตอบแทนที่กำหนดขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับอัตราค่าตอบแทนของคณะกรรมการอื่น ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่และภารกิจใกล้เคียงกันของกระทรวงยุติธรรม และอัตราเบี้ยประชุมตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ใน คอ.นธ. ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ มีดังนี้ ๑.๑ ประธานอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๒ อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๓ เลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๔ ผู้ช่วยเลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นผู้ช่วยเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๕ ที่ปรึกษา คอ.นธ. ที่ คอ.นธ. แต่งตั้งและมอบหมายให้ดำเนินการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้มีการแต่งตั้ง ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเป็นค่าตอบแทนดังกล่าว รวมทั้งภารกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
751 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งอนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหากมีความจำเป็น | ยธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขอบข่ายความร่วมมือเพื่อต่อต้านยาเสพติด โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ร่วมกัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อสนเทศ และผลงานวิจัยต่าง ๆ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาปรับแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||||||||
752 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยความร่วมมือในโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน | ยธ | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยความร่วมมือในโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กลไกความร่วมมือ สำนักงาน ป.ป.ส. และสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดเมียนมาร์ (CCDAC : Central Committee for Drug Abuse Control) เป็นหน่วยงานบริหารโครงการในนามของรัฐบาลไทยและเมียนมาร์ และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ และกรมความก้าวหน้าพื้นที่ชายแดนและชาติพันธุ์ (NATALA : Department of Progress of Border Areas and National Races) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการในนามรัฐบาลไทยและเมียนมาร์ ๑.๒ ขอบข่ายความร่วมมือ ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๖ ปี แบ่งเป็น ๒ ระยะ ๆ ละ ๓ ปี ดำเนินโครงการใน ๓ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ในจังหวัดท่าขี้เหล็ก พื้นที่ในเมืองสาด และพื้นที่ของกลุ่มว้าในเมืองสาด โดยจะมีการดำเนินกิจกรรมพัฒนาด้านสาธารณสุข การพัฒนาความเป็นอยู่ ได้แก่ การพัฒนาด้านชลประทาน เกษตรกรรม ปศุสัตว์และป่าเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาด้านศึกษาและสิ่งแวดล้อม และต่อไปจะมีการจัดทำเอกสารโครงการ ซึ่งเป็นการลงนามระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กับ NATALA ๑.๓ การบริหารจัดการโครงการ การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการร่วม (Joint Project Steering Committee) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายไทย จำนวน ๕ คน ฝ่ายเมียนมาร์ จำนวน ๕ คน รวมเป็น ๑๐ คน โดยทั้งสองฝ่ายจะหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดองค์ประกอบต่อไป และให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ๑.๔ การกำหนดบทบาท โดยระบุรายละเอียดในการให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือในการดำเนินโครงการของหน่วยงานบริหารโครงการและหน่วยงานดำเนินโครงการของทั้งสองฝ่าย สำหรับฝ่ายไทยสำนักงาน ป.ป.ส. จะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการโดยผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สำหรับฝ่ายเมียนมาร์จะเป็นผู้ให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรองความปลอดภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่เข้าไปดำเนินโครงการในเมียนมาร์และการอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าออกเมียนมาร์ ๒. อนุมัติให้พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการ ป.ป.ส. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงาน ป.ป.ส. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||||||||
753 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงยุติธรรม) (พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ) | ยธ | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
754 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการ กรมคุมประพฤติ พ.ศ. .... | ยธ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมคุมประพฤติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษเฉพาะสำหรับข้าราชการกรมคุมประพฤติ ดังนี้
๑. กำหนดชนิดหรือประเภทของเครื่องแบบพิเศษไว้สามชนิด ได้แก่ เครื่องแบบปฏิบัติงานปกติ เครื่องแบบปฏิบัติงานลำลอง และเครื่องแบบปฏิบัติงานสนาม ๒. กำหนดสิ่งประกอบหรือส่วนประกอบของเครื่องแบบพิเศษ ได้แก่ การกำหนดรายละเอียดของหมวก การกำหนดชั้นในการประดับเครื่องหมายตำแหน่งบนอินทรธนู การกำหนดเครื่องหมายแสดงระดับส่วนประกอบบนอินทรธนู ๓. การกำหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีสิทธิแต่งเครื่องแบบพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||
755 | ขออนุมัติในหลักการให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินโครงการความร่วมมือกับพม่าด้านการพัฒนาทางเลือก | ยธ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (พม่า) ด้านการพัฒนาทางเลือก ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. สาระสำคัญของผลการหารือ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐบาลพม่าให้ความเห็นชอบข้อเสนอในการดำเนินโครงการความร่วมมือไทย-พม่าด้านการพัฒนาทางเลือก ตามที่สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เสนอผ่านคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control : CCDAC) และมอบหมายให้ CCDAC เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการกำหนดแนวทางความร่วมมือกับสำนักงาน ป.ป.ส. โดยมี NATALA และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นหน่วยงานผู้ปฏิบัติ ๑.๒ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะเร่งจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทางเลือกเพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินความร่วมมือระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๓ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะสำรวจพื้นที่ดำเนินโครงการ ๒ จุด ตามที่คณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control : CCDAC) เสนอ ๒ พื้นที่ ได้แก่ บ้านจอผละ (Gyaw pha) จังหวัดท่าขี้เหล็ก และบ้านเลพายิน (Lwe pa yin) เมืองสาด ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยจะจัดตั้งทีมสำรวจพื้นที่ร่วมกัน ๑.๔ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกับขั้นตอนการเตรียมการดำเนินงานร่วมกัน โดยขั้นที่ ๑ หลังจากสำรวจพื้นที่แล้วมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะจัดการศึกษาดูงานโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ให้แก่ทีมสำรวจพื้นที่ของพม่า เป็นเวลา ๗ วัน ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ขั้นที่ ๒ ฝ่ายพม่าจะคัดเลือกผู้แทนชาวบ้านจากหมู่บ้านในพื้นที่โครงการ หมู่บ้านละ ๒ คน และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะให้การฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาแบบเข้มข้นเป็นเวลา ๑ เดือน ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ส่วนขั้นที่ ๓ ผู้แทนชาวบ้านที่ได้ผ่านการฝึกอบรมแล้วจะกลับไปดำเนินการสำรวจพื้นที่ในแต่ละหมู่บ้าน ระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ และส่งข้อมูลผลการสำรวจให้แก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ และขั้นที่ ๔ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะใช้เวลา ๑ เดือนในการร่างแผนงานโครงการ และจะเสนอให้ฝ่ายพม่าพิจารณาภายในเดือนสิงหาคม ๑.๕ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะดำเนินโครงการระยะเวลา ๖ ปี โดยแบ่งเป็น ๒ ระยะ ๆ ละ ๓ ปี ทั้งนี้ เพื่อให้ผลอย่างยั่งยืนในการทำให้ชาวบ้านในพื้นที่อยู่ได้ด้วยตัวเองหลังจากที่โครงการสิ้นสุดลงแล้ว ๒. ในการเตรียมการดำเนินงานโครงการความร่วมมือไทย-พม่าด้านการพัฒนาทางเลือก สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เตรียมที่จะจัดสรรงบประมาณหมวดเงินอุดหนุน ประเภททั่วไป ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ล้านบาท ให้แก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สำหรับการเตรียมการดำเนินโครงการฯ ที่จะส่งทีมสำรวจฝ่ายไทยเข้าไปสำรวจพื้นที่ในพม่าและจัดการฝึกอบรมให้แก่ฝ่ายพม่า และจะจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ เสนอให้ฝ่ายพม่าพิจารณาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ โดยหากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ สำนักงาน ป.ป.ส. จะเสนอร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และหลังจากที่ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศแล้ว สำนักงาน ป.ป.ส. จะเสนอแผนงานโครงการฯ ในรายละเอียดพร้อมงบประมาณดำเนินโครงการฯ เพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในโอกาสต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
756 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดอุปกรณ์เพื่อช่วยในการแสดงสัญญาณจราจร และกำหนดข้อสันนิษฐานกรณีผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันควร) | ยธ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ไฟฉายเรืองแสงหรืออุปกรณ์เรืองแสงอื่นในการแสดงสัญญาณจราจรได้ ๒. กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และให้มีอำนาจกักตัวผู้ขับขี่ที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวและไม่ยอมให้ทดสอบในกรณีผู้ขับขี่ถูกกักตัวไว้ทดสอบแล้ว หากผู้นั้นไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น |
|||||||||||||||||||||||||||
757 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (นายประดิษฐ์ เอกมณี) | ยธ | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายประดิษฐ์ เอกมณี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และกระบวนการดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญา ในคณะกรรมการคดีพิเศษ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
758 | ร่างข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับหน่วยงานต่างประเทศ | ยธ | 05/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับหน่วยงานต่างประเทศ จำนวน ๓ แห่ง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สถาบันนิติเวชศาสตร์วิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย โดยเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ คู่ตกลงเห็นพ้องต้องกันในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในกิจกรรมและหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านมนุษยธรรม ด้านการอำนวยความสะดวกด้านนิติเวชศาสตร์และการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและการให้ความร่วมมือด้านนิติวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ๑.๒ ทีมนักมานุษยวิทยา ประเทศอาร์เจนตินา โดยเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ คู่ตกลงเห็นพ้องต้องกันในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในกิจกรรมและหลักสูตรต่าง ๆ ในด้านการพิสูจน์บุคคลสูญหายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงเหตุภัยพิบัติและอาชญากรรม ด้วยการอำนวยความสะดวกด้านนิติมานุษยวิทยาและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและการให้ความร่วมมือด้านนิติวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ๑.๓ หน่วยบัญชาการสอบสวนทางอาญา กระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ คู่ตกลงจะร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านการเสริมสร้างศักยภาพและการพัฒนาวิชาชีพ ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อวัตถุประสงค์ในการศึกษาหาความรู้ การฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ การเข้าร่วมสัมมนา ประชุม และอื่น ๆ การจัดหาเครื่องมือและทรัพยากร การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมแก้ไขชื่อภาษาไทยของ Memorandum of Understanding ให้เป็นชื่อเดียวกันว่า “บันทึกความเข้าใจ” ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||||||||
759 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อปรับปรุงเกี่ยวกับการประกาศขายทอดตลาด การกำหนดราคาทรัพย์ในการขายทอดตลาด และการถอนทรัพย์ออกจากการขายทอดตลาด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
760 | การถอนคำแถลงตีความข้อบทที่ 6 วรรค 5 และ ข้อบทที่ 9 วรรค 3 ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง | ยธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อการถอนคำแถลงตีความข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ (เรื่อง การพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี) และข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ (เรื่อง ระยะเวลาในการนำผู้ถูกจับกุมไปศาล) ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ๑.๑ ข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ เรื่อง การพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ซึ่งประเทศไทยได้ทำคำแถลงตีความเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการปฏิบัติของไทยตามประมวลกฎหมายอาญาว่า ตามกฎหมายดังกล่าวในทางปฏิบัติประเทศไทยไม่เคยมีการพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ บัญญัติว่า เด็กอายุไม่เกิน ๑๔ ปี ไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดที่กระทำ และมาตรา ๗๕ บัญญัติว่า เด็กอายุกว่า ๑๔ ปี แต่ยังไม่เกิน ๑๗ ปี หากศาลจะพิพากษาลงโทษ ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่ง ส่วนผู้ที่มีอายุกว่า ๑๗ ปี แต่ไม่เกิน ๒๐ ปี นั้น มาตรา ๗๖ บัญญัติมีผลว่า แม้กระทำความผิดที่มีโทษถึงประหารชีวิต แต่กฎหมายไทยก็ได้ให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจว่าจะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ และในทางปฏิบัติศาลได้ใช้ดุลยพินิจลดมาตราส่วนโทษให้เสมอ จึงไม่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ๑.๒ ข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ เรื่อง ระยะเวลาในการนำผู้ถูกจับกุมไปศาล ซึ่งกติกาใช้คำว่า “โดยพลัน” นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๘๗ วรรคสาม ได้ให้อำนาจพนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาก่อนนำตัวไปศาลไว้ได้ ๔๘ ชั่วโมง แต่หากการสอบสวนไม่เสร็จสิ้น ก็สามารถควบคุมตัวต่อได้ถึง ๗ วันนั้น ไม่สอดคล้องกับกติกา ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้ทำคำแถลงชี้แจงว่า ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีในข้อนี้ในลักษณะที่กฎหมายไทยกำหนดไว้ในขณะนั้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนคำแถลงตีความ ข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ และข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
|
.....