ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 97 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 1937 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 721 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงยุติธรรม (นางสุวณา สุวรรณจูฑะ) | ยธ | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งนางสุวณา สุวรรณจูฑะ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของกระทรวงยุติธรรม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 722 | รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (ช่วงครึ่งแผน) ประจำปี พ.ศ. 2552 - 2554 | ยธ | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (ช่วงครึ่งแผน) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ ซึ่งมีความสำเร็จจากการดำเนินงานตามแผนสิทธิมนุษยชนฯ ใน ๒ ประเด็นสำคัญ คือ ประเด็นแรก สังคมไทยเริ่มเห็นความสำคัญของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีแนวโน้มดีขึ้น และประเด็นที่สอง เครือข่ายสิทธิมนุษยชนเข้มแข็งในทุกภูมิภาคและมีความตื่นตัวในเรื่องสิทธิมนุษยชน เพื่อพัฒนาสู่มาตรฐานสากลยังไม่บรรลุในช่วงครึ่งแผนแรก (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔) โดยยังประสบปัญหาในหลายประการ ทั้งปัญหาการขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน การจัดการความรู้ การถอดบทเรียนการปฏิบัติที่ดีด้านสิทธิมนุษยชน และการใช้ประโยชน์ในการปรับแผนงานของหน่วยงานตนเองและการถ่ายทอดให้กับผู้อื่น รวมทั้งการวิจัยในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่มีค่อนข้างน้อยมาก ๑.๒ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำผลการศึกษาการประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานตามแผนสิทธิมนุษยชนฯ ไปดำเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตลอดจนภารกิจที่ท้าทายที่จะต้องดำเนินการที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับนโยบายรัฐบาลผลักดันเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ควบคู่กับการดำเนินงานตามภารกิจของตนเองในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีแผนในการขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชนเพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งสิทธิของตนเองและการไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างจริงจัง รวมทั้งให้ทุกภาคส่วนช่วยกันรณรงค์เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ตลอดจนให้ความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น ชุมชน ขยายสู่ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ นอกจากนี้ ในขั้นปฏิบัติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาดำเนินการผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 723 | การเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในภารกิจของกรมคุมประพฤติ | ยธ | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมคุมประพฤติเช่ารถยนต์บรรทุกแบบตู้โดยสารปรับอากาศ (เบนซิน) ขนาด ๑๕ ที่ นั่ง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) จำนวน ๙๓ คัน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ รวม ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในอัตราค่าเช่ารถยนต์ ๓๓,๙๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๑๗๐,๒๔๕,๘๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบอัตราค่าเช่าแล้ว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ให้ใช้จ่ายจากเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้จ่ายเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวน ๓๕,๗๘๑,๑๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๓๔,๔๖๔,๗๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และให้กระทรวงยุติธรรมจัดสรรเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมมาสมทบเพื่อการเช่ารถยนต์ดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ ๑๐ ของวงเงินส่วนที่เหลือต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 724 | การขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม พร้อมส่วนประกอบ | ยธ | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม พร้อมส่วนประกอบ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เป็นเงิน ๑,๕๐๒,๕๒๐,๐๐๐ บาท โดยปรับลดงานครุภัณฑ์ประกอบอาคารดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๒๒,๑๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นรายการที่กระทรวงยุติธรรมได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ แล้ว หากไม่สามารถเบิกจ่ายเงินดังกล่าวได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้กระทรวงยุติธรรมขอทำความตกลงขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินผ่านระบบ GFMIS ภายในรอบระยะเวลาเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามนัยหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๖/ว ๑๐๔ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีและ/หรือการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินผ่านระบบ GFMIS ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรมแล้วเสร็จ หากกระทรวงยุติธรรมประสงค์จะยกเลิกการใช้พื้นที่ภายในโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ก็ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่โครงการศูนย์ราชการฯ ในภาพรวมให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเพื่อเตรียมการป้องกันผลกระทบกรณีหน่วยงานต่าง ๆ ขอยกเลิกการใช้พื้นที่ภายในโครงการศูนย์ราชการฯ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเช่าอาคารหรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำแผนในเรื่องนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 725 | บรรจุผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการ (กระทรวงยุติธรรม) (นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร) | ยธ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ซึ่งได้ออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ กลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นตำแหน่งประเภทเดิม ระดับเดิม และสายงานเดิมก่อนออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 726 | ร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดำเนินการตามคำร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ๒. กำหนดให้ผู้ประสานงานกลางมีอำนาจส่งข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือทรัพย์สินใดไปให้ต่างประเทศเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน การฟ้องคดี หรือการพิจารณาคดีในศาลแม้ประเทศนั้นยังมิได้ร้องขอ ๓. แก้ไขเพิ่มเติมให้ศาลส่งบันทึกคำเบิกความของพยาน รวมทั้งพยานหลักฐานอื่นในสำนวนไปยังพนักงานอัยการผู้ยื่นคำร้องเพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดำเนินการต่อไป ๔. แก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการการค้น อายัด หรือยึดทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐาน และเพื่อประโยชน์ชั้นที่สุดในการริบทรัพย์สิน หรือในการบังคับบุคคลใดให้ชำระเงินแทนการริบทรัพย์สินในกรณีที่ศาลต่างประเทศยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้อายัดหรือยึดทรัพย์สินนั้น แม้ว่าการกระทำความผิดอันเป็นเหตุให้มีการค้น อายัด หรือยึดจะมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ๕. แก้ไขเพิ่มเติมการโอนบุคคลซึ่งถูกคุมขังให้ครอบคลุมถึงการโอนบุคคลซึ่งถูกคุมขังเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินคดีทั้งชั้นเจ้าพนักงานและชั้นศาล ๖. กำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการกรณีที่ได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ให้บุคคลซึ่งถูกควบคุมโดยประเทศผู้ร้องขอหรือประเทศที่สามเดินทางผ่านประเทศไทยเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินคดีชั้นเจ้าพนักงานหรือชั้นศาลในประเทศผู้ร้องขอ ๗. แก้ไขเพิ่มเติมการริบหรือยึดทรัพย์สินให้ครอบคลุมการอายัดทรัพย์สินและการบังคับชำระเงินแทนการริบทรัพย์สินตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต่างประเทศ ๘. กำหนดให้ถือว่าบรรดาพยานหลักฐาน เอกสาร และข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตามกฎหมายนี้เป็นพยานหลักฐานและเอกสารที่รับฟังได้ตามกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 727 | รายงานสถานะปัจจุบันในการดำเนินงานตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี | ยธ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะปัจจุบันในการดำเนินงานตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยผลจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ทำให้ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องดำเนินการ ๔ ประการ ดังนี้
๑. การประกันให้เกิดสิทธิตามอนุสัญญาฯ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดำเนินการศึกษาและยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. .... เพื่อปรับแก้ให้กฎหมายภายในประเทศมีความสอดคล้องกับอนุสัญญาฯ โดยกำหนดให้ความผิดฐานทรมานเป็นความผิดเฉพาะที่สามารถลงโทษได้ตามกฎหมายอาญา ปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของกระทรวงยุติธรรมแล้ว และอยู่ระหว่างประมวลเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๒. การปฏิบัติให้เกิดสิทธิตามอนุสัญญาฯ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมวิทยากรและหลักสูตรเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ โดยส่งมอบให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปเผยแพร่ให้กับบุคลากรในสังกัดเพื่อนำไปปรับใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม และกรมราชทัณฑ์ ได้จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับอนุสัญญาฯ ให้กับบุคลากรในสังกัด รวมทั้งได้มีหนังสือเวียนกำชับไม่ให้บุคลากรดำเนินการขัดต่อหลักการของอนุสัญญาฯ ๓. การเผยแพร่หลักการของอนุสัญญาฯ อย่างกว้างขวาง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ดำเนินการเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ ให้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในรูปแบบของสื่อ เช่น หนังสือ แผ่นพับ และการจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนา โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้จัดการฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับอนุสัญญาฯ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง ๙ ภูมิภาค เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญตามอนุสัญญาฯ ๔. การจัดทำรายงานประเทศตามอนุสัญญาฯ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ โดยได้รายงานผลการดำเนินงานฯ ฉบับสมบูรณ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าว จึงได้ส่งรายงานผลการดำเนินงานฯ ให้แก่กระทรวงการต่างประเทศเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานขององค์การสหประชาชาติเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีกำหนดเดินทางไปนำเสนอรายงานด้วยวาจา ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 728 | การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับ สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) | ยธ | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) จำนวน ๔ รายการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (ข้อกำหนดกรุงเทพฯ) ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๒ การประชุมผู้เชี่ยวชาญสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อการพัฒนาหลักสูตรในการฝึกอบรมตามข้อกำหนดกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อการพัฒนาเอกสารการฝึกอบรมสำหรับอัยการและผู้พิพากษาในด้านการขจัดความรุนแรงต่อหญิง ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ๑.๔ การประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อการพัฒนาแผนปฏิบัติการต้นแบบเพื่อป้องกันและตอบสนองต่อการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง เพื่อบรรลุเป้าหมายของการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทย ประจำสำนักงานสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา เป็นผู้ลงนามในหนังสือตอบรับความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นสารัตถะของหนังสือแลกเปลี่ยนของ UNODC ที่เห็นว่าในส่วนของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประชุม รวมทั้งบุคลากรที่รัฐบาลจัดให้ตามความตกลงนี้ UNODC ควรส่งสำเนารายชื่อผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประชุมทั้งหมดข้างต้นให้รัฐบาลไทยทราบล่วงหน้า และประเด็นมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่เห็นว่าหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทยประกอบกับหนังสือแลกเปลี่ยนของ UNODC ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ วรรค ๒ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดพันธกรณีเกี่ยวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับการประชุมทั้ง ๔ รายการในประเทศไทย ซึ่งมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๔ รองรับให้กระทำได้อยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 729 | ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (จำนวน 6 คน 1. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ฯลฯ) | ยธ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน ๖ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ๒. พลเอก อุดมเดช สีตบุตร ๓. พลเอก อัธยา สุคนธสิงห์ ๔. พลตำรวจเอก ปรุง บุญผดุง ๕. พลตำรวจเอก กฤษณะ ผลอนันต์ ๖. พลตำรวจโท วุฒิ วิทิตานนท์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 730 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 | ยธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงออกตามความในมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ ดังนี้
๑. กำหนดให้ “กุญแจมือและกุญแจเท้า” เป็นเครื่องพันธนาการเพิ่มเติมอีกหนึ่งประเภทที่จะนำไปใช้แก่ผู้ต้องขัง ๒. กำหนดให้กรมราชทัณฑ์สามารถกำหนดรูปแบบหรือลักษณะของเครื่องพันธนาการประเภท “กุญแจมือและกุญแจเท้า” ที่จะนำไปใช้แก่ผู้ต้องขัง ๓. แก้ไขเพิ่มเติมการใช้เครื่องพันธนาการประเภท "กุญแจมือและกุญแจเท้า" สำหรับพันธนาการผู้ต้องขังและในกรณีที่ต้องนำตัวคนต้องขังหรือคนฝากออกไปนอกเรือนจำ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 731 | ร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อกำหนดให้บุคคลซึ่งผ่านการตรวจหรือทดสอบเบื้องต้นว่ามียาเสพติดอยู่ในร่างกาย และสมัครใจจะขอเข้ารับฟื้นฟูสมรรถภาพได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกแจ้งข้อหาเสพยาเสพติด โดยเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดียาเสพติดต้องดำเนินการให้บุคคลดังกล่าวได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในสถานพยาบาลตามกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงเพื่อเป็นหลักฐานในการเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ถือเป็นความผิดอาญา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรตรวจสอบข้อมูลการส่งตัวผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดที่ศาลพิจารณามีคำสั่งให้ไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจพิจารณา และในกรณีที่สำนักงานศาลยุติธรรมยังเป็นห่วงว่ากระบวนการดังกล่าวอาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่มิใช่เป็นผู้เสพยาเสพติดอย่างแท้จริง อาจเพิ่มเติมในร่างพระราชบัญญัติฯ ให้ผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดที่ถูกส่งตัวไปตรวจพิสูจน์ หรือฟื้นฟูสมรรถภาพสามารถร้องต่อศาลยุติธรรมได้ หากเห็นว่ามีการกลั่นแกล้งหรือมีการกระทำอันละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 732 | ขออนุมัติดำเนินโครงการเช่ารถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังพร้อมอุปกรณ์ จำนวน 313 คัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนย้ายผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ | ยธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กรมราชทัณฑ์เช่ารถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง ๔ ประเภท เพื่อทดแทนรถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในสภาพไม่เหมาะสมแก่การใช้งาน จำนวน ๑๖๗ คัน และเช่าเพิ่มเติมให้แก่เรือนจำ/ทัณฑสถาน ที่มีความจำเป็นและต้องการรถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง อีกจำนวน ๑๔๖ คัน รวมทั้งสิ้น ๓๑๓ คัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๙๒,๑๑๑,๒๐๐ บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ รวม ๕ ปี ได้ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังแบบตู้โดยสาร ขนาด (๖ ล้อ) แบบปรับอากาศ ขนาด ๒๔ ที่นั่ง พร้อมอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๗๔ คัน อัตราค่าเช่า ๓๔,๘๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๑๔๔,๒๑๑,๒๐๐ บาท ๑.๒ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขังแบบตู้โดยสารปรับอากาศ (เบนซิน) ขนาด ๑๕ ที่นั่ง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) และอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๑๐๐ คัน อัตราค่าเช่า ๓๔,๔๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๑๙๒,๖๔๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง ขนาด ๑ ตัน แบบมีช่องว่างด้านหลังคนขับพร้อมอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๘๕ คัน อัตราค่าเช่า ๒๑,๕๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๑๐๒,๓๔๐,๐๐๐ บาท ๑.๔ รถยนต์บรรทุกผู้ต้องขัง ขนาด ๑ ตัน แบบ ๒ ประตู พร้อมอุปกรณ์สัญญาณไซเรนไฟแดง จำนวน ๕๔ คัน อัตราค่าเช่า ๑๗,๕๐๐ บาทต่อคันต่อเดือน รวมเป็นเงิน ๕๒,๙๒๐,๐๐๐ บาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๗๐,๓๐๑,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๔๒๑,๘๐๙,๖๐๐ บาท ให้กรมราชทัณฑ์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ (ระยะเวลา ๔ ปี) ปีละ ๑๐๕,๔๕๒,๔๐๐ บาท รองรับตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติดในเรือนจำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 733 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (จำนวน 5 คน 1. นายดาวิน นารูลา ฯลฯ) | ยธ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา จำนวน ๕ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายดาวิน นารูลา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ๒. นางเพทาย ปทุมจันทรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมสงเคราะห์ ๓. พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ๔. นางสาวศุภมาศ พยัฆวิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายไพฑูรย์ สว่างกมล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 734 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2554 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ สำนักงานกิจการยุติธรรม เสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ โครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการที่ได้แต่งตั้งภายใต้คณะกรรมการฯ จำนวน ๘ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการจัดทำ ประสาน ติดตาม และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ คณะอนุกรรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม คณะอนุกรรมการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายและระบบงานในกระบวนการยุติธรรม คณะอนุกรรมการด้านพัฒนาบุคลากรกระบวนการยุติธรรม คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ คณะอนุกรรมการนโยบายและประสานงานกระบวนการยุติธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมทางเลือก และคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ๒. ส่วนที่ ๒ ผลงานสำคัญของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการฯ จำแนกเป็น ๕ ด้าน ดังนี้ ๒.๑ การจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ได้แก่ แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ และแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๕๕ ๒.๒ การส่งเสริมและประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ซึ่งมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการคืนคนดีสู่สังคม และโครงการศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม ๒.๓ การศึกษา วิจัยและพัฒนากฎหมายและระบบงานยุติธรรม ซึ่งมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการทบทวนและเตรียมความพร้อมเพื่อการสำรวจข้อมูลสถิติอาชญากรรมภาคประชาชน โครงการพัฒนารูปแบบการจัดเก็บข้อมูลสถิติกระบวนการยุติธรรมทางอาญา การพัฒนาระบบงานราชทัณฑ์ การพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ การส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในคดีอื่นที่เรือนจำอยู่ในเขตอำนาจศาลอื่น และการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ ๙ เรื่อง "การขับเคลื่อนพลังสังคมสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน" ๒.๔ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้สู่สังคม ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ความสำเร็จโครงการ Enhancing Lives of Female Inmates (ELFI) ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ส่งผลให้ประชาชนทั้งในประเทศไทยและสังคมโลกได้รับทราบถึงความสำเร็จของประเทศไทยในการผลักดันให้เกิดมาตรฐานขั้นต่ำฉบับใหม่ในระบบสหประชาชาติที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ดีต่อผู้ต้องขังหญิง การจัดทำวารสารกระบวนการยุติธรรม และโครงการประกวดหนังสั้น ความยุติธรรม หัวข้อ "ร้อยเรื่องราวความยุติธรรม" ๒.๕ การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมสู่สังคม โดยจัดฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง (ยธส.) รุ่นที่ ๑ ซึ่งมีหัวข้อหลักคือ "การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม" ๓. ส่วนที่ ๓ รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลสถิติและงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และสถิติประเภทเรื่องที่เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการฯ โดยรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ด้านการจัดทำแผนและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ด้านการส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ด้านการศึกษาวิจัยพัฒนากฎหมายและระบบยุติธรรม ด้านการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้กระบวนการยุติธรรมสู่สังคม ด้านการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม และภารกิจด้านงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ รวมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานจำนวน ๒๕,๒๕๖,๕๘๒.๒๔ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 735 | การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | ยธ | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับแนวทางในการที่จะทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มากที่สุดและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า ได้หารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น พรรคร่วมรัฐบาล ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา และรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นต้น พบว่ามีความเห็นส่วนใหญ่สรุปว่า ควรให้จัดทำประชามติ ๒. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการายงานว่า ในการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามมาตรา ๑๖๕(๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยจะต้องมีการมอบหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการจัดทำประชามติเพื่อรับผิดชอบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้มีการออกเสียงประชามติ นายกรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา หลังจากนั้นจะมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีการออกเสียงประชามติ จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการกำหนดวันออกเสียงภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน แต่ไม่เกิน ๑๒๐ วัน นับแต่วันประกาศให้มีการออกเสียงในราชกิจจานุเบกษาและดำเนินการออกเสียงประชามติต่อไป ทั้งนี้ การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติต้องมีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงและมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น ๓. เห็นชอบให้ตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการศึกษาวิธีการออกเสียงประชามติและประชาเสวนาว่าจะดำเนินการอย่างไรทั้งในข้อกฎหมายและในทางปฏิบัติแล้วสรุปวิธีการที่เหมาะสมและจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะทำงานดำเนินการชี้แจงเรื่องนี้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 736 | การจัดซื้อเครื่องบริโภค สำหรับใช้เลี้ยงผู้ต้องขัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | ยธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การจัดซื้อผลไม้และพืชอื่นที่รับประทานแทนผลไม้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. กรณีการจัดหาอาหารดิบ (อาหารดิบเป็นรายสิ่ง) สำหรับใช้เลี้ยงผู้ต้องขังประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการเสนอเรื่องนี้ให้คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 737 | รายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี | ยธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) โดยเนื้อหาของรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ ประกอบด้วย ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.๑.๑ ส่วนที่ ๑ ข้อมูลพื้นฐาน ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างทางการเมือง หลักกฎหมายทั่วไปในการให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน หลักในกฎหมายอาญาและหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สถานะของอนุสัญญาฯ ในกฎหมายภายใน หลักประกันการไม่สามารถยกเลิกเพิกถอนการห้ามการปฏิบัติหรือการลงโทษใด ๆ ที่ทารุณโหดร้าย หรือทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรี การนำข้อกำหนดในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ มาใช้โดยศาลหรือเจ้าพนักงานฝ่ายบริหาร และภาพรวมของการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และปัญหาอุปสรรค ๑.๑.๒ ส่วนที่ ๒ การปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ แต่ละข้อบท โดยวิเคราะห์กฎหมาย กฎ ระเบียบ มาตรการ และกลไกต่าง ๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่เพื่อรองรับส่วนที่เป็นสาระบัญญัติ คือ ข้อบทที่ ๑-๑๖ ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานขององค์การสหประชาชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ มีการระบุถึงข้อจำกัดในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ กระทรวงยุติธรรมควรดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้การดำเนินงานในระยะต่อไปมีความชัดเจน สอดคล้องกับพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ รวมทั้งข้อเสนอแนะจากกลไกการรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายใต้กระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) ว่าด้วยการปรับปรุงกฎหมายสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และเป็นการแสดงถึงพัฒนาการการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 738 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม) (พันตำรวจเอก ประเวศน์ มูลประมุข และนางกรรณิการ์ แสงทอง) | ยธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. พันตำรวจเอก ประเวศน์ มูลประมุข ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางกรรณิการ์ แสงทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 739 | การเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในภารกิจของกรมคุมประพฤติ | ยธ | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมคุมประพฤติเช่ารถยนต์ จำนวน ๔ ประเภท รวม ๑๓๔ คัน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ได้ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามหลักเกณฑ์และอัตราค่าเช่ารถยนต์ที่กระทรวงการคลังกำหนด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๕,๑๕๐,๔๐๐ บาท ประกอบด้วย รถโดยสาร ๑๒ ที่นั่ง จำนวน ๗ คัน อัตราค่าเช่า ๒๔,๗๕๐ บาทต่อคันต่อเดือน เป็นเงิน ๑๐,๓๙๕,๐๐๐ บาท รถนั่งส่วนบุคคล จำนวน ๓ คัน อัตราค่าเช่า ๑๘,๔๕๐ บาทต่อคันต่อเดือน เป็นเงิน ๓,๓๒๑,๐๐๐ บาท รถบรรทุก (ดีเซล) ขนาด ๑ ตัน ขับเคลื่อน ๒ ล้อ แบบดับเบิลแคบ จำนวน ๑๐๔ คัน อัตราค่าเช่า ๑๕,๖๖๐ บาทต่อคันต่อเดือน เป็นเงิน ๙๗,๗๑๘,๔๐๐ บาท และรถบรรทุก (ดีเซล) ขนาด ๑ ตัน ขับเคลื่อน ๒ ล้อ แบบธรรมดา จำนวน ๒๐ คัน อัตราค่าเช่า ๑๑,๔๓๐ บาทต่อคันต่อเดือน เป็นเงิน ๑๓,๗๑๖,๐๐๐ บาท ๑.๒ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๒๕,๐๓๐,๐๘๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑๐๐,๑๒๐,๓๒๐ บาท ให้กรมคุมประพฤติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ (ระยะ ๔ ปี) ปีละ ๒๕,๐๓๐,๐๘๐ บาท รองรับตามขั้นตอนต่อไป ๒. กรณีการเช่ารถโดยสาร ๑๒ ที่นั่ง (แบบธรรมดา) จำนวน ๙๓ คัน วงเงินทั้งสิ้น ๑๓๘,๑๐๕,๐๐๐ บาท เพื่อทดแทนรถโดยสาร ๑๒ ที่นั่ง (แบบติดตั้งลูกกรง) (ปรับรูปแบบ) ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) รับไปพิจารณาทบทวนแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 740 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสุชน ชาลีเครือ) | ยธ | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายสุชน ชาลีเครือ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
