ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 43 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 841 - 860 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
841 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 11 (CMP 11) | ทส | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (The 21st Session of the Conference of the Parties to the UNFCCC : COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (The 11th session of the Conference of the Parties serving as the Meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP 11) โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขออนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยให้เป็นไปตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุมัติให้เดินทางไปราชการและการจัดการประชุมของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๒๔ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศ) ต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบกรอบท่าทีการเจรจาของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (CMP 11) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเน้นย้ำท่าทีในการเจรจาฯ ว่า ไทยไม่สามารถสนับสนุนพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเด็นเกี่ยวกับก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตรได้ เนื่องจากภาคการเกษตรของไทยมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การพัฒนาชนบท การลดความยากจน และเป็นวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ๓. กรณีมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากท่าทีการเจรจาฯ และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย หากไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว ให้เป็นดุลยพินิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาจนสิ้นสุดการประชุมฯ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอย่างยั่งยืน ควรพิจารณาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ส่งผลต่อความเชื่อมโยงระหว่างมิติความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร และพลังงาน (Water-Food-Energy Security Nexus) รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อม ซักซ้อมความเข้าใจ และกำหนดท่าทีการเจรจาในการประชุมในเวทีต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้การเข้าร่วมประชุมดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ นอกจากนี้ หากในการประชุมจะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐภาคี ก็จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศก็จะเข้าข่ายลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
842 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาของ ศาลปกครองสูงสุด (กรณีคลองด่าน) | ทส | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำ ที่ อ. ๒๘๕-๒๘๖/๒๕๕๖ คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๔๘๗-๔๘๘/๒๕๕๗ ตามผลการเจรจาของคณะทำงานเจรจาเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทางราชการอันเนื่องมาจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เป็นจำนวนเงินที่ต้องชำระทั้งสิ้น ๗,๙๓๖,๔๕๓,๙๑๕.๑๐ บาท กับ ๕๔,๒๙๔,๖๓๘.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๑,๙๕๔,๖๐๖,๙๘๖ บาท (อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เท่ากับ ๓๖.๐๐ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙,๘๙๑,๐๖๐,๙๐๑.๑๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การจัดการน้ำเสีย) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ (คลองด่าน) ในการดำเนินการตรวจสอบ/วิเคราะห์สภาพงานก่อสร้าง และองค์ประกอบต่าง ๆ รวมถึงการประเมินมูลค่าปัจจุบันของโครงการฯ ในสภาพปัจจุบัน และหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อนำโครงการฯ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนไป รวมทั้งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ ที่ให้พิจารณาศึกษากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อสร้างโครงการดังกล่าวโดยอาจพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเพื่อดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) รับผิดชอบการดำเนินคดีที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการฯ ดังกล่าวเช่นเดิม รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้บุคคลที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
843 | ข้อเสนอโครงการการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการวิจัยร่วมไทย - จีน ด้านสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศทางทะเล | ทส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอโครงการการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการวิจัยร่วมไทย-จีน ด้านสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศทางทะเล เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนความร่วมมือทางทะเลอาเซียน-จีน ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนการดำเนินงานของโครงการวิจัยร่วมระหว่างไทยและจีน ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทะเลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและทบวงกิจการทางมหาสมุทรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาศักยภาพของการปฏิบัติงานวิจัยของประเทศไทย ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิจัยร่วมไทย-จีนฯ เรือสำรวจวิจัย เครื่องมือและอุปกรณ์ในการวิจัย รวมทั้งงบประมาณในการดำเนินงานวิจัยร่วม ซึ่งจะส่งผลให้มีการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยของประเทศไทยและสามารถขยายผลการวิจัยไปสู่ภูมิภาคอาเซียนได้ โดยมีกำหนดเวลาดำเนินโครงการ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
844 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ว่าด้วยการทำไม้หวงห้าม | ทส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ว่าด้วยการทำไม้หวงห้าม ซึ่งเป็นการกำหนดให้เพิ่มแบบคำขอทำไม้หวงห้ามที่มิได้ขึ้นอยู่ในป่า และแบบอนุญาตทำไม้หวงห้ามที่มิได้ขึ้นอยู่ในป่า เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐๖/๒๕๕๗ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
845 | รายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง กลไกและ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง กลไกและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณและรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยเห็นด้วยกับการจัดตั้งสถาบันพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนจัดทำแหล่งเก็บน้ำขนาดเล็กระดับครัวเรือนเป็นวาระเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองทุนพัฒนาการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น เห็นว่ามีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการที่ซ้ำซ้อนกับภารกิจด้านหนึ่งของกองทุนสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนั้น จึงควรปรับปรุงพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยให้มีรายละเอียดที่ครอบคลุมการรับรองสิทธิของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือหากจะมีการจัดตั้งกองทุนฯ ก็ต้องกำหนดแหล่งที่มาของเงินทุนและวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ ให้มีความชัดเจน เพื่อมิให้ซ้ำซ้อนกับพระราชบัญญัติดังกล่าวส่วนการยกร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... นั้น ไม่เห็นด้วยกับการยกร่างฉบับใหม่เนื่องจากพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีบทบัญญัติในส่วนนี้แล้ว ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขและแก้ไขชื่อเป็น “ร่างพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ....” ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
846 | ร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าเขาวังพา ป่าหัวกะหมิง และป่าเทือกเขาแก้ว ในท้องที่ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ ตำบลคลองหลา ตำบลคลองหอยโข่ง อำเภอคลองหอยโข่ง ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง และตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล พ.ศ. .... (ขยายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง) | ทส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าเขาวังพา ป่าหัวกะหมิง และป่าเทือกเขาแก้ว ในท้องที่ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ ตำบลคลองหลา ตำบลคลองหอยโข่ง อำเภอคลองหอยโข่ง ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง และตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล พ.ศ. .... (ขยายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง) มีสาระสำคัญเป็นการขยายบริเวณที่ดินป่าเขาวังพา ป่าหัวกะหมิง ป่าเทือกเขาแก้ว ในท้องที่ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ ตำบลคลองหลา ตำบลคลองหอยโข่ง อำเภอคลองหอยโข่ง ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง และตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
847 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2558 | ทส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ ได้มีมติรับรองรายงานการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๘ เรื่อง ดังนี้
๑. โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ คำขอประทานบัตรที่ ๒๐/๒๕๕๔ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอประทานบัตรที่ ๒๑/๒๕๕๔, ๒๒/๒๕๕๔, ๒๓/๒๕๕๔ และ ๒๔/๒๕๕๔ ของบริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ๒. โครงการเหมืองแร่แบไรต์ และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๕๖๐๓/๑๔๗๐๔) ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของบริษัท เชียงใหม่จำรัสขนส่ง จำกัด ๓. โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์) และแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๓ (ประทานบัตรที่ ๒๘๐๓๕/๑๕๗๒๔) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองแร่เดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๓ (ประทานบัตรที่ ๒๘๐๓๖/๑๕๖๒๕) คำขอต่ออายุประทานที่ ๓/๒๕๕๓ (ประทานบัตรที่ ๒๘๐๓๙/๑๕๖๒๖) และคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๔/๒๕๕๓ (ประทานบัตรที่ ๒๘๐๔๐/๑๕๖๒๗) ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ ๕ และหมู่ที่ ๑๐ ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ๔. โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด คำขอประทานบัตรเลขที่ ๑๐-๒๒/๒๕๕๓ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรเลขที่ ๓๒๔๕๑/๑๕๖๘๗, ๓๒๔๕๔/๑๕๖๘๘, ๓๒๔๕๒/๑๕๖๘๙, ๑๙๙๑๗/๑๕๖๙๐, ๓๒๔๕๓/๑๕๖๙๑ และใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่เพื่อเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ เลขที่ ๑/๒๕๔๘, ๒/๒๕๔๘, ๓/๒๕๔๘ ตั้งอยู่ที่ ตำบลเขาวงและตำบลพุกร่าง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ๕. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๖. การเสนอขอควบคุมสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (สาร POPs) ภายใต้อนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ที่ยังไม่ได้กำหนดเป็นวัตถุอันตราย ๗. การกำหนดบังคับใช้มาตรฐานการระบายสารมลพิษจากรถจักรยานยนต์ใหม่ ระดับที่ ๗ ๘. การเข้าร่วมโครงการ The Ratification and Early Implementation of the Minamata Convention on Mercury
|
|||||||||||||||||||||
848 | การลงนามในการดำเนินโครงการระดับภูมิภาคโครงการใหม่ ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการป่าไม้ (Agreement between the Governments of the Member States of the Association of Southeast Asia Nations and the Republic of Korea on Forestry Cooperation : AFoCo) | ทส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในร่างเอกสารการลงนามการดำเนินโครงการระดับภูมิภาคโครงการใหม่ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการป่าไม้ (Agreement between the Governments of the Member States of the Association of Southeast Asian Nations and the Republic of Korea on Forestry Cooperation : AFoCo) จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่าง Project Implementation Agreement Between Republic of the Philippines Department of Environment and Natural Resources Forest Management Bureau and Kingdom of Thailand Ministry of Natural Resources and Environment Royal Forest Department for the Implementation of the Regional Project Entitled “Facilitating the Participatory Planning of Community-based Forest Management Using Geographic Information System and Remote Sensing Technologies in Forest Resources Management in the Philippines, Indonesia and Thailand” ๑.๒ ร่าง Memorandum of Understanding between Republic of Korea and Socialist Republic of Viet Nam & Kingdom of Thailand for Implementation of ASEAN-ROK Forest Cooperation Project : “Developing High Valuable Species in Vietnam and Thailand as the Mechanism for Sustainable Forest Management and Livelihood Improvement for Local Communities” สำหรับร่าง Memorandum of Agreement between Korea Forest Service, Republic of Korea and Malaysian Forest Research and Development Board, Malaysia and Royal Forest Department, Thailand for Implementation of ASEAN-ROK Forest Cooperation Project : “Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand” กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอถอนร่างฉบับนี้ไปหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมป่าไม้ หรือผู้ที่อธิบดีกรมป่าไม้มอบหมายเป็นผู้ลงนามในการดำเนินโครงการระดับภูมิภาคโครงการใหม่ภายใต้ AFoCo (ตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขถ้อยคำของเอกสารการดำเนินโครงการฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพในการดำเนินโครงการ และควรจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์และจุลินทรีย์ออกจากพื้นที่ รวมทั้งจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในแต่ละโครงการเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์ของชนิดพันธุ์พืชในประเทศไทย นอกจากนี้ ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นสินทรัพย์ (Bio-Asset) ในเชิงเศรษฐกิจที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ควรได้รับการอนุรักษ์ บริหารจัดการอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ รวมถึงแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยุติธรรม หากต้องระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของชนิดพันธุ์ที่สำคัญหรือใกล้สูญพันธุ์ ควรกระทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากการระบุตำแหน่งที่ตั้งอาจจะทำให้เกิดการเข้าถึงได้ง่ายและส่งผลกระทบต่อสถานภาพของทรัพยากรชีวภาพนั้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
849 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | ทส | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนควบคุมการก่อสร้าง การกระทำ หรือการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแก้ไขข้อความในประกาศกระทรวงฯ ข้อ ๙(๘) เป็น “...เขตที่ดินของอาคารหรือสถานที่ที่เป็นโบราณสถานตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ...” เพื่อให้ร่างประกาศกระทรวงฯ มีส่วนเอื้อต่อการปกครองคุ้มครองเขตต่อเนื่องกับโบราณสถานทั้งที่ประกาศขึ้นทะเบียนแล้วและที่ยังไม่ประกาศขึ้นทะเบียน รวมทั้งแก้ไขข้อความในข้อ ๑๘ (๑) และ (๒) เป็น “...ผู้แทนส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง...” เพื่อเอื้อให้ผู้แทนของสำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี กรมศิลปากร สามารถเข้าร่วมการประชุมของคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในจังหวัดเพชรบุรี และคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะกรรมการจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรมีมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคงความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติของพื้นที่ ตลอดจนแก้ไขปัญหาการคุกคามทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และควรเร่งรัดการออกประกาศฯ ดังกล่าว เพื่อมิให้เกิดช่องว่างของการบังคับใช้ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานตามประกาศกระทรวงฯ เกิดผลอย่างจริงจัง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
850 | ร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการในการคุ้มครอง ป้องกัน และบำรุงรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ และกำหนดให้มีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นระบบและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติประจำจังหวัด เพื่อกำหนดมาตรการที่จำเป็นในการควบคุม ดูแล การส่งเสริมการปลูกป่า และการฟื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่งชาติ และกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อเสนอแนะมาตรการและแนวทางในการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ได้มาหรือได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้ในการกระทำความผิด และปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับบทกำหนดโทษ อัตราค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
851 | สถานการณ์หมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่างและผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในประเทศไทย | ทส | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่างและผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์มลพิษหมอกควันข้ามแดนอันเป็นผลมาจากการเผาพื้นที่พรุในเกาะสุมาตราและบอร์เนียว สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับประเทศในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ และภาคใต้ของประเทศไทย โดยข้อมูลคุณภาพอากาศจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในภาคใต้ของกรมควบคุมมลพิษพบการเพิ่มสูงขึ้นของฝุ่นละอองในภาคใต้ของประเทศไทยเป็นระยะตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน โดยพบฝุ่นละอองเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมง ณ เวลา ๐๙.๐๐ น. สูงสุด ๓๖๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานและอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมาก ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดแผนงานและดำเนินการรับมือกับสถานการณ์หมอกควันทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ๒. สถานการณ์หมอกควันภาคใต้ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ได้ลดระดับลงจนคุณภาพอากาศทุกจังหวัดในภาคใต้อยู่เกณฑ์ดีถึงปานกลาง พบฝุ่นละอองสูงสุดเพียง ๔๘ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติแล้ว อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมมลพิษจะยังคงติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ไปจนกว่าหน้าแล้งในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่างจะสิ้นสุดลง ไม่พบจุดความร้อนและการปกคลุมของหมอกควันเหนือเกาะสุมาตรา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
|||||||||||||||||||||
852 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ ) | ทส | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
853 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อม สาธารณรัฐเกาหลี และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม | ทส | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อม สาธารณรัฐเกาหลี และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม มีสาระสำคัญเพื่อพัฒนาความร่วมมือระยะยาวในสาขาการส่งเสริมและปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยอยู่บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันและได้รับประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคโนโลยีและประสบการณ์ในสาขาสิ่งแวดล้อมและดำเนินกิจกรรมในสาขาอื่นที่สนใจร่วมกัน ๑.๒ เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาสาระของบันทึกข้อตกลงให้สอดคล้องกับวาระการพัฒนาภายหลังปี ๒๕๕๘ โดยเฉพาะสาขาความร่วมมือควรให้ความสำคัญกับประเด็นที่จะขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายและเป้าประสงค์การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals and Targets-SDGs & Targets) และหากมีประเด็นที่จะต้องจัดทำความตกลงในเรื่องการดูแลสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและผลประโยชน์ที่เกิดจากกิจกรรมและโครงการความร่วมมือภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้จัดเตรียมความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรต่างหาก โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเริ่มดำเนินกิจกรรมหรือโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
854 | ร่างปฏิญญาอาเซียนภายหลังปี พ.ศ. 2558 ว่าด้วยวาระความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และร่างยุทธศาสตร์อาเซียน - จีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2559 - 2563 | ทส | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาอาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ว่าด้วยวาระความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และร่างยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนในการพัฒนาแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ตอบสนองต่อวิสัยทัศน์อาเซียน ภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ASEAN Post-2015 Vision) และแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ASEAN Socio-Cultural Community Attendant Document) เพื่อให้อาเซียนก้าวสู่เป้าหมายภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ส่วนร่างยุทธศาสตร์ฯ มีสาระสำคัญเพื่อที่จะเสริมสร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างภูมิภาคอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีนในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมตามบริบทของข้อริเริ่มของสาธารณรัฐประชาชนจีนในเรื่อง “เส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ ๒๑” ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองในร่างปฏิญญาฯ และร่างยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างปฏิญญาฯ และร่างยุทธศาสตร์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
|||||||||||||||||||||
855 | แถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ASEAN Joint Statement on Climate Change 2015) | ทส | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ASEAN Joint Statement on Climate Change 2015) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงถึงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในความร่วมมือการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้หลักการของการรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกันที่สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะทำให้บรรลุผลในเรื่องความยั่งยืนในการจัดการป่าไม้ ความมั่นคงทางอาหาร การลดภัยพิบัติและการแก้ไขปัญหาความยากจนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการผลักดันให้มีการสนับสนุนกลไกทางการเงิน และเสริมสร้างศักยภาพในด้านต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนและการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยี ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) เป็นผู้ให้การรับรองในแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ นี้ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
|||||||||||||||||||||
856 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย | ทส | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความร่วมมือในสาขาการใช้และการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมีขอบเขตความร่วมมือครอบคลุมในประเด็นการพัฒนายุทธศาสตร์ นโยบาย และการวางแผนทรัพยากรน้ำ การบริหารจัดการ การอนุรักษ์ และการป้องกันทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้เพื่อการบรรเทาภัยพิบัติจากการเกิดน้ำท่วมและน้ำแล้ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางอุทกวิทยา การเสริมสร้างขีดความสามารถแก่ผู้จัดการและนักวิชาการด้านทรัพยากรน้ำ การประสานงานและความร่วมมือในการจัดกิจกรรมด้านน้ำระหว่างประเทศ รวมทั้งการฝึกอบรมทางวิชาการและการใช้องค์ความรู้ในสาขาทรัพยากรน้ำที่มีความสนใจร่วมกัน ๒. อนุมัติให้จัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๕. โดยที่ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สามารถดำเนินการได้ และมิได้ใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีนี้จึงเป็นการทำความตกลงในระดับหน่วยงานมิใช่ระดับรัฐ และไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) สำหรับการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||
857 | สถานการณ์น้ำและการคาดการณ์ | ทส | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการคาดการณ์ ความก้าวหน้าในการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และผลการดำเนินงานของหน่วยราชการในการประหยัดน้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำและการคาดการณ์ ณ วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ๑.๑ สถานการณ์ฝน ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ เฉลี่ยรายภาคน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ๓๐ ปี ร้อยละ ๖-๑๗ คาดการณ์ฝนสะสมถึงสิ้นปี ๒๕๕๘ จะมีปริมาณฝนสะสมรายภาคทั่วประเทศเฉลี่ยร้อยละ ๑๐-๒๕ ๑.๒ สถานการณ์น้ำท่าในลำน้ำสายหลัก ปริมาณน้ำสายใหญ่อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ โดยเฉพาะในแม่น้ำเจ้าพระยาปริมาณน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์มีปริมาณน้ำไหลผ่าน ๒๖๒ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๑.๓ สถานการณ์การกักเก็บน้ำ ณ วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ มีปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ๔๒,๓๗๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๘ ของความจุอ่างเก็บน้ำ หรือมีปริมาณน้ำใช้การได้ทั่วประเทศ ๑๗,๙๖๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๕ ของความจุใช้การได้ ๑.๔ สถานการณ์ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ใน ๔ เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำในเขื่อน ๑๐,๑๖๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๑ หรือมีปริมาณน้ำใช้การได้ ๓,๔๖๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๑๙ คาดการณ์เมื่อสิ้นฤดูฝน (๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘) จะมีปริมาณน้ำใช้การได้ ๓,๖๗๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒. ความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำปี ๒๕๕๗-๒๕๖๙ จำนวน ๑๒ กิจกรรม (ณ วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๘) เช่น การทำประปาหมู่บ้าน/โรงเรียน/ชุมชน การทำน้ำบาดาลการเกษตร การขุดลอกลำน้ำสายหลัก การฟื้นฟูป่า ซึ่งส่งให้ปัจจุบันมีน้ำกักเก็บแล้ว ๙๒๖.๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. ผลการดำเนินงานของหน่วยราชการในการประหยัดน้ำ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เปรียบเทียบระหว่างเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายน ๒๕๕๘ จำนวน ๔,๘๒๗ ราย มีปริมาณการใช้น้ำลดลง จำนวน ๒,๗๖๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๒๔ ปริมาณการใช้น้ำเท่าเดิม จำนวน ๒๘๐ ราย คิดเป็นร้อยละ ๕.๘ และปริมาณการใช้น้ำเพิ่มขึ้น จำนวน ๑,๗๘๔ ราย คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๙๖
|
|||||||||||||||||||||
858 | การยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัด | ทส | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel : RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ เนื่องจากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า อปท. หลายแห่งมีความสามารถในการสมทบเงินงบประมาณได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการยกเว้นเงินสมทบควรมีเงื่อนไขกรณีการปรับลดการสมทบงบประมาณในแต่ละโครงการว่า การปรับแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ จะต้องไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างหลักของระบบการจัดการขยะมูลฝอย และให้มีระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าว รวมทั้งการยกเว้นเงินสมทบควรเป็นมาตรการระยะสั้นตามความจำเป็นเร่งด่วน สำหรับระยะยาวให้ อปท. เข้ามามีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจ่ายค่าบริการในอัตราที่เหมาะสมสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริง และควรมีการจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ระหว่าง อปท. ที่เข้าร่วมโครงการและมีกลไกการกำกับดูแลเพื่อให้มีปริมาณขยะเข้าสู่ระบบจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีกลไกการกำกับดูแลติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และในโอกาสต่อไปหากมีการแก้ไขกฎหมายหรือมีการกำหนดมาตรการจัดเก็บรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และ อปท. สามารถจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้ อปท. มีส่วนร่วมในการใช้เงินรายได้สมทบงบประมาณค่าก่อสร้างระบบการจัดการน้ำเสียและมูลฝอยชุมชน ภายใต้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินงานโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ซึ่งในครั้งนี้ อปท. ไม่ต้องสมทบงบประมาณในการดำเนินงานตามโครงการ รวมทั้งปัญหาการจัดเก็บขยะมูลฝอยของประเทศ เพื่อให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับ อปท. ในการจัดการขยะมูลฝอยต่อไป ๔. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการขยะของประเทศในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้มีกลไกเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาขยะในภาพรวมให้เป็นเอกภาพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอเรื่องนี้ต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
859 | การจัดทำความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ โดยทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในประเทศไทยและดำเนินงานกลไกให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบในประเทศที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามความร่วมมือฝ่ายไทย ๑.๒ ร่างองค์ประกอบคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย ๑.๓ ให้จัดตั้งสำนักเลขาธิการกลไก JCM (Thailand JCM Secretariat) เพื่อดำเนินงานดังกล่าวต่อไป โดยมอบหมายให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการกลไก JCM ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนเงินลงทุนแก่โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโครงการ JCM การถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาความสามารถ/โครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในโครงการ JCM ภายใต้ร่างความร่วมมือ การกำหนดกลไกในการศึกษา รวบรวมข้อมูล และการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนการพิจารณาดำเนินโครงการ ภายใต้กลไก JCM การเพิ่มผู้แทนและระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานหลักในการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมฝ่ายไทย ให้ครอบคลุมการทำงานของแต่ละกิจกรรม และการปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวในอนาคต เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับประเภทของโครงการที่จะเข้าร่วมภายใต้ความร่วมมือ โดยเฉพาะโครงการที่ประเทศไทยมีความพร้อมและความเหมาะสม ได้แก่ โครงการในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการจัดการของเสีย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
860 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (จำนวน 3 ราย 1. นายนิพนธ์ โชติบาล ฯลฯ) | ทส | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายนิพนธ์ โชติบาล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ
|
.....