ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 226 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 4501 - 4520 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4501 | รายงานการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา | กค | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกิน
ราคาที่กำหนด ซึ่งเป็นการเอาเปรียบและสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ซื้อสลากโดยทั่วไป โดยที่ปัญหา ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมาก การแก้ไขปัญหาจึงต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ เพื่อให้เกิดผล กระทบต่อผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด ได้มีการกำหนดแนวทางการสำรวจความคิดเห็นของผู้ซื้อ-ผู้ขายสลากทั่วประ เทศ การสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาจากผู้เกี่ยวข้อง ในการนี้ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เห็นชอบการจัดทำแผนแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา กำหนดจะเริ่มการ จำหน่ายสลากตามระบบใหม่ได้ ในสลากงวดวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 โดยให้สำนักงานสลากกินแบ่ง รัฐบาลเจรจากับ 30 องค์กร ที่ได้รับการจัดสรรสลากไปจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่มิได้นำสลาก ไปดำเนินการเองโดยตรง เพื่อขอคืนสลากและนำไปจัดสรรใหม่ให้กับผู้ค้าสลากจริง และได้เพิ่มเงินส่วนลดใน การจำหน่ายให้กับผู้จำหน่ายอีกร้อยละ 1 หรือ ฉบับละ 0.40 บาท สำหรับบุคคลทั่วไป เดิมที่เคยได้รับใน อัตราร้อยละ 7 เพิ่มเป็นร้อยละ 8 ในจำนวนสลาก 30 ล้านฉบับ และสำหรับสมาคม องค์กรการกุศล หรือ นิติบุคคล เดิมที่เคยได้รับในอัตราร้อยละ 9 เพิ่มเป็นร้อยละ 10 ในจำนวนสลาก16 ล้านฉบับ การเพิ่มส่วน ลดดังกล่าวเป็นการเพิ่มให้ในช่วงรณรงค์ไม่จำหน่ายสลากเกินราคาเป็นการชั่วคราว 6 เดือน และได้นำสลาก ที่ขอคืนจากองค์กรจำนวนประมาณ 5 ล้านฉบับ และสลากที่จำหน่ายแบบเสรีจำนวน 10 ล้านฉบับ มาจัด สรรให้ผู้ประสงค์จะรับสลากไปจำหน่าย ได้แก่ กลุ่มบุคคลทั่วไปและผู้พิการ จำนวน 530,489 ราย กลุ่ม สมาคมและองค์กรการกุศล จำนวน 412 ราย และกลุ่มนิติบุคคล จำนวน 225 ราย โดยจะทำการตรวจสอบ และคัดเลือกผู้จำหน่ายรายใหม่ด้วยวิธี RANDOM ที่โปร่งใสและเป็นธรรม สำหรับแนวทางการจัดสรรสลาก จำนวน 15 ล้านฉบับ ในเบื้องต้นได้กำหนดสัดส่วนให้บุคคลและผู้พิการทั่วไปทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 12.5 ล้านฉบับ สมาคม องค์กรการกุศล จำนวน 1.5 ล้านฉบับ และนิติบุคคล จำนวน 1 ล้านฉบับ และให้มีการพิมพ์แถบสีลงบนสลาก แบ่งตามกลุ่มผู้รับสลากไปจำหน่าย โดยกลุ่มผู้ค้าสลากรายย่อยในเขต กรุงเทพมหานคร แถบสีเขียว กลุ่มผู้ค้าสลากรายย่อยในเขตภูมิภาค แถบสีน้ำเงิน กลุ่มสมาคมและองค์กร การกุศล แถบสีน้ำตาล และกลุ่มบริษัทและนิติบุคคล แถบสีชมพู โดยผู้ขายต้องมาขึ้นทะเบียนพร้อมติดบัตร แสดงตนที่สำนักงาน ฯ จะเป็นผู้ออกให้ จะเริ่มดำเนินการในงวดวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 และให้มีการติด ตามดูแลการดำเนินการดังกล่าวอย่างเข้มข้นจริงจังต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 4502 | รายงานผลการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน | กค | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน
ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 ข้อมูลลูกหนี้ที่มาลงทะเบียนด้านปัญหาหนี้สินทั้งหมด ที่ได้รับจากกระทรวง มหาดไทยมีจำนวน 5,066,169 ราย มูลหนี้ 692,991.31 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้นอกระบบ จำนวน 519,095 ราย หนี้ในระบบ จำนวน 3,290,548 ราย และหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ จำนวน 1,245,938 ราย โดยได้ดำเนินการให้ลูกหนี้นอกระบบ ได้ผ่านเข้าสู่กระบวนการให้ความช่วยเหลือเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ ได้แก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบให้กับลูกหนี้ที่ต้องการโอนเข้าสู่ระบบธนาคารของรัฐ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารอาคาร สงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) จำนวน 206,011 ราย ลูกหนี้ที่ได้รับอนุมัติเงินจากธนาคารแล้ว จำนวน 64,422 ราย มูลหนี้ทั้งสิ้น 4,226.19 ล้านบาท ลูกหนี้ที่ ไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้จำนวน 79,398 ราย และลูกหนี้ที่ไม่สามารถเข้าระบบได้ จำนวน 59,758 ราย โดยลูกหนี้ ที่ไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้ ได้มีการพัฒนาศักยภาพของลูกหนี้โดยนำเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาของศูนย์อำนวย การต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน ประจำจังหวัด (ศตจ. จังหวัด) คณะอนุกรรมการส่งเสริมอาชีพและการมีงาน ทำ และกระบวนการฟื้นฟูของธนาคารของรัฐทั้ง 5 แห่ง โดย ธ.ก.ส. และธนาคารออมสินได้มีโครงการนำร่อง ไปแล้ว และจะขยายเพิ่มเติมต่อไป สำหรับหนี้สินในระบบธนาคารของรัฐมีจำนวน 2,458,690 ราย มูลหนี้ 282,353.89 ล้านบาท มีลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการเจรจาแล้ว จำนวน 1,103,535 ราย ประกอบด้วย ลูกหนี้ ที่เจรจาสำเร็จ จำนวน 105,060 ราย ลูกหนี้ที่ยุติเรื่องจำนวน 994,694 ราย และลูกหนี้ที่เจรจาไม่สำเร็จ จำนวน 3,781 ราย โดยลูกหนี้ที่เจรจาไม่สำเร็จจะได้รับการดูแลจากธนาคารของรัฐทั้ง 5 แห่ง ส่วนลูกหนี้ใน ระบบธนาคารพาณิชย์ จำนวน 70,189 ราย มูลหนี้ 38,098.34 ล้านบาท กระทรวงการคลังได้ส่งข้อมูลลูก หนี้ให้กับสมาคมธนาคารไทย โดยจะแก้ไขปัญหาตามแนวทางของธนาคารพาณิชย์ร่วมกันต่อไป และลูกหนี้ใน ระบบชุมชน จำนวน 4,223,802 ราย มูลหนี้ 144,394.22 ล้านบาท จะดำเนินการแก้ไขโดยเจ้าหนี้ในระบบ ชุมชนเอง สำหรับการดำเนินการในปี พ.ศ. 2549 กระทรวงการคลังจะดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินในระบบ สถาบันการเงินและหนี้สินในระบบชุมชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้สนับสนุนนโยบายเร่ง ด่วนของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามยาเสติด และปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยให้กรมสรรพากรเร่ง รัดดำเนินการใช้มาตรการทางภาษี กับผู้กระทำความผิดทั่วราชอาณาจักร รวมจำนวนทั้งสิ้น 3,522 ราย ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 2,332 ราย มีจำนวนเงินภาษีมูลค่า 2,685.82ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 4503 | แนวทางการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 | กค | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางในการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่
สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ดังนี้ (1) รายการที่เห็นสมควร ผ่อนผันถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 (มิถุนายน 2548) ประกอบด้วย รายการที่อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ก่อนสิ้นไตรมาสที่ 2, รายการที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการเอง, รายการที่มีปัญหาและอุปสรรค เนื่องจากปัจจัยภายนอก หรือรายการที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานอื่น, รายการที่ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจได้รับจัดสรรงบประมาณในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนการ ใช้จ่ายงบประมาณที่จะจัดซื้อจัดจ้างหลังไตรมาสที่ 2 ซึ่งสำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบแผน ฯ แล้ว และ รายการที่หน่วยงานสังกัดส่วนราชการส่วนกลางแต่มีสำนักงานที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค หรือส่วนราชการในภูมิภาค ได้รับการโอนจัดสรรเงินประจำงวดจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจส่วนกลางล่าช้า จนไม่สามารถดำเนินการ ก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 และ (2) รายการที่เห็นสมควรผ่อนผันถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2548 ได้แก่ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (23,400 ล้านบาท)
|
|||||||||||||||||||||
| 4504 | ขอยกเว้นคุณสมบัติของข้าราชการที่ไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ | กค | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมาย ฯ) ที่มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอขอยกเว้นคุณสมบัติกรณี นางสาวมะลิ จิวะกุล ข้าราชการ ที่ลาไปปฏิบัติงานในตำแหน่งเศรษฐกร ณ สำนักงานใหญ่ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ กรุงวอชิงตัน ดี ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2535 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีเจ้าสังกัดในการยกเว้นหรือผ่อนผันคุณสมบัติของข้าราชการที่ไปปฏิบัติ งานในองค์การระหว่างประเทศตามข้อ 37(1) วรรคสอง และ ข้อ 37(2) แต่มิได้กำหนดให้มีอำนาจพิจารณา ยกเว้นคุณสมบัติข้อ 37(1) วรรคหนึ่ง ไว้ ดังนั้น รัฐมนตรีเจ้าสังกัดจึงไม่มีอำนาจพิจารณายกเว้นได้ ต้องนำ เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้กำหนดระเบียบ ฯ เป็นผู้พิจารณา และให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาแก้ ไขพระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำการ ซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราช การ พ.ศ. 2530 และระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2535 ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดอนุมัติให้ข้าราช การไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศในกรณีทำนองเดียวกันกับเรื่องนี้ได้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและ เหมาะสมกับสภาวการณ์ ทั้งนี้ ให้เชิญผู้แทนกระทรวงการคลังและผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 4505 | การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ และลดอัตราค่าจดทะเบียนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดิน (บางส่วน) ให้แก่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | กค | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความ
ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระ สำคัญคือ กำหนดให้กิจการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริม ทรัพย์ให้แก่ผู้รับโอนที่เกิดขึ้นจากการให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ของ ธอท. เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษี ธุรกิจเฉพาะ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และร่างพระราช กฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ ธอท. ได้รับยกเว้นอากรแสตมป์ในขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้รับโอน ที่เกิดจากการให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ของ ธอท. โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวล กฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนในการโอนอสังหาริม ทรัพย์ของ ธอท. ให้แก่ลูกค้าในอัตราร้อยละ 1 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 4506 | คาดการณ์รายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2548 และประมาณการรายได้ปีงบประมาณ 2549 และล่วงหน้า 3 ปี (เบื้องต้น) | กค | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการจัดทำคาดการณ์รายได้ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2548 ประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 และประมาณการรายได้ล่วงหน้า 3 ปี (เบื้องต้น) สรุปได้ดังนี้ การคาดการณ์รายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 คาดว่าจะมีจำนวน 1,250,000 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ (1,200,000 ล้านบาท) จำนวน 50,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.2 และสูงกว่าที่จัดเก็บได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 141,212 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.2 และคิดเป็นร้อย ละ 17.5 ของ GDP ส่วนประมาณการรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 เบื้องต้น ประมาณการว่ารัฐบาลจะมี รายได้สุทธิจำนวน 1,360,000 ล้านบาท สูงกว่าคาดณการปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 (1,250,000 ล้านบาท) จำนวน 110,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.8 และคิดเป็นร้อยละ 17.4 ของ GDP สำหรับประมาณการรายได้ รัฐบาลล่วงหน้า 3 ปี (เบื้องต้น) เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.8, 5.5 และ 5.5 ตามลำดับ โดยประมาณการรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. 2550-2552 จะมีจำนวน 1,491,000 ล้านบาท, 1,630,600 ล้านบาท และ 1,782,700 ล้านบาท ตามลำดับ โดยคิดค่า Revenue Buoyancy หรืออัตราเพิ่มของรายได้รัฐบาล ต่ออัตราเพิ่มของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ ราคาประจำปี (Nominal GDP) ประมาณ 1.1
|
|||||||||||||||||||||
| 4507 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนมกราคม 2548 | กค | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2548 โดยผลการเบิกจ่าย เงินงบประมาณในภาพรวมทั้งประเทศในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 361,884 ล้านบาท หรือร้อย ละ 30.16 ของวงเงินงบประมาณ (1,200,000 ล้านบาท) จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 306,819 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.02 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ (901,825 ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน 55,065 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.47 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน (298,175 ล้านบาท) สำหรับการเบิกจ่าย รายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับจัด สรรงบประมาณรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 20 แห่ง วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนรวม 219,149 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2548 หน่วยงานดังกล่าวมีการ เบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน 43,693 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.94 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน
|
|||||||||||||||||||||
| 4508 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (การปรับปรุงระบบภาษีที่ดิน) | กค | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมหารือหน่วยราชการที่
เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเหมาะสมในการยุติแผนงานการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือ ครองตามข้อเสนอของมูลนิธิสถาบันที่ดิน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ซึ่งผลการหารือ กระทรวงการคลัง เสนอว่า ควรยุติแผนดังกล่าว เนื่องจากการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือครองมีการ จัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง (ร้อยละ 2 ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) ซึ่งยังไม่เหมาะสมที่จะนำมา ใช้จัดเก็บในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงการคลังได้เร่งผลักดันให้พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้างให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว โดยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เร่งผลักดันอยู่นี้ จะเป็นการเก็บภาษีใน อัตราไม่เกินร้อยละ 0.3 ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ยุติแผนการศึกษา จัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือครองตามข้อเสนอของมูลนิธิสถาบันที่ดิน และเห็นควร ให้เร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดการกระจาย การถือครองที่ดินได้ในระดับหนึ่งและกระตุ้นให้ใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
| 4509 | การแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน | กค | 22/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยมีสาระสำคัญคือ ปรับปรุง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ให้แก่บริษัทซึ่งรับโอนสิน ทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์จากสถาบันการเงิน และยกเลิกการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการยื่นคำ ขอต่าง ๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้ว ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 4510 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 22/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมายฯ) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ย หวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ให้ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดบำนาญซึ่งได้รับเบี้ย หวัดหรือบำนาญรวมกับ ช.ค.บ. แล้วต่ำกว่าเดือนละห้าพันหนึ่งร้อยบาท ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือน ละเท่ากับส่วนต่างของจำนวนเงินห้าพันหนึ่งร้อยบาท หักด้วยจำนวนเบี้ยหวัดหรือบำนาญรวมกับ ช.ค.บ. ที่ได้ รับอยู่ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ คณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ มีความ เห็นว่า การเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพ มีลักษณะเป็นการปรับเพิ่มจำนวนเงินให้ถึง 5,100 บาทสำหรับผู้ที่ได้รับ ต่ำกว่า โดยไม่ต้องปัดเศษของบาททิ้งแต่อย่างใด รวมทั้งวันใช้บังคับของร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ สมควรแก้ไข ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ทั้งนี้ ในการประกาศในราชกิจจานุ เบกษา หากดำเนินการประกาศให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 1 ของเดือน ก็จะเป็นประโยชน์ในการคำนวณเงิน ช.ค.บ. ได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สำนักงบประมาณมีความเห็นว่า เพื่อให้ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัด บำนาญสามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรและเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ควรกำหนดมาตรการ ให้มีการปรับเพิ่มเงินเบี้ยหวัดบำนาญให้สอดคล้องกันในโอกาสต่อไปด้วย โดยให้กระทรวงการคลังรับความ เห็นดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 4511 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเงินเหลือจ่าย/เงินที่ลดได้มาจัดสรรเป็นสิ่งจูงใจและการจัดสรรเงินรางวัลจากการประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | กค | 22/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎหมาย ฯ) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเงิน เหลือจ่าย/เงินที่ลดได้มาจัดสรรเป็นสิ่งจูงใจ และการจัดสรรเงินรางวัลจากการประหยัดงบประมาณในการจัด ซื้อจัดจ้าง โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. แจ้งผลการประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการให้กระทรวงการ คลังทราบภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อดำเนินการจัดสรรเงินดังกล่าวให้ส่วนราชการนำไปใช้จ่ายเพื่อการ พัฒนาบุคลากรและหรือพัฒนาองค์กรได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 โดยผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2541 เพื่อให้กระทรวงการคลังอนุมัติการกันเงินงบประมารเหลือจ่ายไว้เบิกเหลื่อม ปีรายการเพื่อพัฒนาบุคลากรและหรือรายการเพื่อพัฒนาองค์กร สำหรับการโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบ ประมาณเหลือจ่าย ให้หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณถือปฏิบัติตามนัยข้อ 25 ของระเบียบว่าด้วย การบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2546 และให้โอนเปลี่ยนแปลงเงินงบประมาณเหลือจ่ายที่ได้รับอนุมัติให้กัน เงินเป็นรายการใด ๆ ไปเพื่อพัฒนาบุคลากรและหรือเพื่อพัฒนาองค์กรโดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนัก งบประมาณ และแจ้งกรมบัญชีกกลางเพื่อเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ส่วนกรณีมีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ หรือวงเงินงบประมาณเหลือจ่ายเพื่อนำมาจัดสรรเป็นสิ่งจูงใจ มอบให้กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ ร่วมกันพิจารณากำหนดตามความเหมาะสม และสำหรับกรณีที่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นจะนำแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเงินเหลือจ่ายดังกล่าวมาจัดสรรเป็นสิ่งจูงใจมาอนุโลมใช้ นั้น ให้ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อหาแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมิน ผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลัก Good Governance ก่อน แล้วรายงานให้คณะ รัฐมนตรีทราบ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยว่า ควรประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดสรรเงินเหลือจ่าย/เงินที่ลดหรือ ประหยัดเพื่อเป็นสิ่งจูงใจและเงินรางวัลให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุก ภาคส่วนได้ร่วมมือกันบริหารงบประมาณของหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยจะต้องมีกลไกและ หลักเกณฑ์ในการควบคุม ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานอย่างเหมาะสมด้วย เช่น การ กำหนดราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 4512 | ขออนุมัติแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุโฉนดที่ 892 และ 897 | กค | 08/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุตามโฉนดเลขที่
832 และ 897 แขวงบางลำภู่ล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 1-3-57 ไร่ และ เนื้อที่ 1-3-14.1 ไร่ กับที่ดินของบริษัทสยามเจ้าพระยาโฮลดิ้ง จำกัด แปลงโฉนดที่ 710, 26704-26708, 18193 และ 61969 (รวม 8 โฉนด) เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เนื้อที่รวมประมาณ 8-3-02.6 ไร่ ตาม เงื่อนไขของบริษัท ฯ โดยให้บริษัท ฯ เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ ดินและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
|
|||||||||||||||||||||
| 4513 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนธันวาคม 2547 | กค | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2547 โดยผลการเบิกจ่าย เงินงบประมาณในภาพรวมทั้งประเทศในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 269,754 ล้านบาท หรือร้อย ละ 22.48 ของวงเงินงบประมาณ (1,200,000 ล้านบาท) จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 239,155 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.52 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ (901,784 ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน 30,599 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.26 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน (298,216 ล้านบาท) สำหรับการเบิกจ่าย รายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับจัด สรรงบประมาณรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 20 แห่ง วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนรวม 219,149 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2547 หน่วยงานดังกล่าวมีการ เบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน 28,703 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.10 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน
|
|||||||||||||||||||||
| 4514 | การปรับเงินเดือนของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง | กค | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับเงินเดือนของพนักงานการไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และพนักงานการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ พนักงานตำแหน่งต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่าย หรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งเทียบเท่าตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่าย ให้ได้รับการปรับเงินเดือนในอัตราร้อยละ 3 และปรับเพิ่มอีก 2 ขั้น พนักงาน ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายหรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่น ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไป ให้ได้รับการปรับเงินเดือนไม่เกินร้อยละ 8 ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นไป และให้ กฟภ. และ กฟน. ปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานให้สามารถเพิ่มพูน รายได้และลดรายจ่ายขององค์กร เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด
|
|||||||||||||||||||||
| 4515 | การจัดทำข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางศุลกากรระหว่างไทยและศุลกากรฮ่องกงเกี่ยวกับความร่วมมือและความช่วยเหลือทางศุลกากร | กค | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางศุลกากร
ระหว่างกรมศุลกากรแห่งราชอาณาจักรไทย และกรมศุลกากรและสรรพสามิตฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชา ชนจีนเกี่ยวกับความร่วมมือและความช่วยเหลือทางศุลกากร (Customs Cooperative Arrangement between the Customs Department of the Kingdom of Thailand and the Customs and Excise Department of Hong Kong, China Regarding Cooperation and Mutual Administrative Assistance in Customs Matters) และการจัดทำข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางศุลกากรระหว่างศุลกากรไทย และศุลกากรฮ่องกง เกี่ยวกับความร่วมมือและความช่วยเหลือทางศุลกากร โดยสาระสำคัญของข้อตกลง ฯ ดังกล่าว เป็นการให้ ความช่วยเหลือภายใต้กฎหมายและความสามารถของแต่ละประเทศ อาทิเช่น การให้ความร่วมมือด้านการ วิจัย พัฒนา และประเมินผลพิธีการศุลกากรระบบใหม่ การให้ข้อมูลทางศุลกากรในเรื่องที่ต้องการหรือตาม ที่ร้องขอ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้ในการบริหารและบังคับใช้กฎหมายศุลกากร การให้ความร่วมมือ ในการป้องกัน ปราบปราม ตรวจจับและสืบสวนการกระทำผิดกฎหมายศุลกากร การลักลอบหนีศุลกากร รวมถึงการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งรัดการเคลื่อนย้ายสินค้าและโดยสารข้าม แดน เป็นต้น ทั้งนี้ ให้อธิบดีกรมศุลกากรเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย
|
|||||||||||||||||||||
| 4516 | การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นสูงของลูกจ้างระดับสูงสุด และปรับอัตราเงินเดือนให้กับลูกจ้างทุกตำแหน่งของธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมาย ระบบราชการและการประชาสัมพันธ์) ที่มีมติเห็นชอบการกำหนดอัตรา ค่าจ้างขั้นสูงของลูกจ้างระดับสูงสุด และปรับเงินเดือนให้กับลูกจ้างทุกตำแหน่งของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามผลการพิจารณาร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 พนักงานระดับ 1-10 ปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ของเงินเดือน และกลุ่มที่ 2 พนักงานระดับ 11-15 และพนักงานตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ของเงินเดือน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ธนาคาร ฯ รับข้อสังเกตตามประเด็น อภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับการปรับอัตราเงินเดือนดังกล่าวจะมีผลให้ ธอส. มีภาระค่า ใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง ธอส. ควรปรับปรุงการบริหารงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่ชัดเจน โดยอาจมีแผนงาน ลดค่าใช้จ่าย และขยายฐานลูกค้าเพื่อให้มีรายได้มากขึ้น โดยไม่ผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้แก่ประชาชน โดยการเก็บค่าธรรมเนียมหรือขึ้นดอกเบี้ย และเมื่อได้มีการปรับค่าตอบแทนให้กับพนักงานแล้ว ให้ ธอส. พิจารณาลดค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ใช้บริการเป็นการตอบแทน อาทิ การนำส่วนต่างของเบี้ยประกันอัคคี ภัยที่ได้รับจากบริษัทประกันภัยมาปรับลดให้แก่ผู้ใช้บริการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 4517 | การช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพรับ
เหมาก่อสร้างในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องแล้ว โดยสรุปดังนี้ พิจารณาให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของทางราชการและเจ้าหน้าที่ของบริษัท/ห้าง ฯ ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกี่ยวกับการขออนุญาตมี พกพาและใช้อาวุธ ปืนเพื่อป้องกันตนเองในการปฏิบัติงานในพื้นที่ตามความเหมาะสมและจำเป็น และกำหนดมาตรการส่งเสริม และสนับสนุนให้บริษัทผู้รับประกันภัยรับประกันภัยบุคคล และเครื่องจักรในงานก่อสร้างของทางราชการใน พื้นที่ในอัตราปกติ และกำหนดให้หน่วยงานเฉพาะกิจในพื้นที่เพื่อรับผิดชอบและดำเนินการเกี่ยวกับการขอ อนุญาต เก็บรักษา จำหน่าย และใช้วัตถุระเบิดเพื่อการระเบิดหินสำหรับการก่อสร้างในลักษณะ One Stop Service นอกจากนี้ พิจารณาขยายอายุสัญญาในงานก่อสร้างของทางราชการที่มีนิติสัมพันธ์ หรือที่รอเซ็น สัญญาได้ 180 วัน ส่วนงานก่อสร้างใหม่และไม่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา ฯ ให้พิจารณาเพิ่มระยะเวลาดำเนิน การที่จะกำหนดในสัญญาได้จำนวนไม่เกินร้อยละ 50 ของระยะเวลาที่ได้ประมาณการไว้เดิม สำหรับการ กำหนดราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการให้คำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามหลักเกฑ์ปกติแล้วบวก เพิ่มเป็นค่าตอบแทนพิเศษเพื่อจูงใจในการปฏิบัติงาน จำนวนร้อยละ 5 ของราคากลางที่คำนวณได้เป็นราคา กลางงานก่อสร้างนั้นจนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ภาวะปกติตามประกาศของทางราชการ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ให้ขออนุมัติเบิกจ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรอง จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยประสานการดำเนินงานกับกองอำนวยการ เสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) และชี้แจงกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องให้ทราบทั่ว กันอย่างชัดเจนด้วย โดยงานก่อสร้างใดที่ล่าช้าหยุดชะงักและผู้ประกอบการเอกชนไม่ดำเนินการ ให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องประสานกับ กอ.สสส.จชต. เพื่อขอให้หน่วยทหารช่างรับดำเนินการแทนต่อไป ทั้งนี้ ค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการที่เกี่ยวข้องพิจารณา รับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีในโอกาสแรกก่อน โดยดำเนินการให้สอดคล้องตามนัย ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2546 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 ตามความเห็น ของสำนักงบประมาณด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 4518 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินและการธนาคารในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต (นายภาณิพงศ์ นิธิประภา) | กค | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ รับทราบการลาออกจากการเป็นกรรมการผู้ทรง
คุณวุฒิด้านการเงินและการธนาคารในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตของนายนริศ ชัยสูตร และอนุมัติแต่ง ตั้งนายภาณุพงศ์ นิธิประภา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินและการธนาคารในคณะกรรมการคุ้มครอง ข้อมูลเครดิต โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (18 มกราคม 2548) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
| 4519 | การบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบธรณีพิบัติใน 6 จังหวัดภาคใต้ | กค | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบธรณี
พิบัติใน 6 จังหวัดภาคใต้ (จังหวัดภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล) ในส่วนของผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์ สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าว โดยกระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้มี การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการบริจาคเงินให้แก่ส่วนราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบธรณีพิบัติ โดยผู้บริจาคที่เงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบธรณีพิบัติใน 6 จังหวัดภาคใต้ สามารถนำเงินบริจาค หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษี หรือนำไปหักเป็นรายจ่ายในการเสียภาษีได้ โดย กรณีบุคคลธรรมดาบริจาคเงินให้แก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาของทางราชการและเอกชนหรือให้แก่องค์ การหรือสถานสาธารณกุศล หรือให้แก่ส่วนราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัยหรือภัย ธรรมชาติ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้เท่าจำนวนเงินที่บริจาค แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินที่เหลือ จากการคำนวณเงินได้พึงประเมินที่ได้หักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว และกรณีบริจาคเงินผ่านทาง บัญชีธนาคารให้แก่ธนาคารหรือเอกชนใด เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าวสามารถนำไปหักลดหย่อน ภาษีได้เท่าจำนวนเงินที่บริจาคแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินที่เหลือจากการคำนวณเงินได้พึงประเมินที่ได้ หักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่นๆ แล้ว สำหรับกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินเพื่อการ กุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณะประโยชน์ สามารถหักเป็นรายจ่ายในการเสียภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ รวมทั้งสามารถหักเป็นรายจ่ายในการเสียภาษีได้ไม่เกินมูลค่าต้นทุนที่เหลือ อยู่ของทรัพย์สิน ฯลฯ |
|||||||||||||||||||||
| 4520 | การให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรแก่ประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน (AISP) สำหรับปี 2548 | กค | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ เห็นชอบให้ขยายเวลาการให้สิทธิพิเศษทาง
ภาษีศุลกากรสำหรับรายการสินค้าเดิมแก่ประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน หรือ ASEAN Integration System of Preferences : AISP ในปี พ.ศ. 2547 ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2548 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2548 และเห็นชอบให้ AISP แก่สินค้าประเทศสมาชิกใหม่ อาเซียนเพิ่มเติม ในปี พ.ศ. 2548 ดังนี้ สินค้าลาว จำนวน 88 รายการ สินค้าพม่า จำนวน 341 รายการ และสินค้าเวียดนาม จำนวน 5 รายการ รวมทั้งเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้น อากรและการลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน และให้ส่งร่างประกาศดังกล่าวให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
.....
