คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อ  Refinance  เงินกู้
ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น โดยเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2548  กระทรวงการคลัง
ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการและเงื่อนไขการกู้เงินโดยวิธีการออกพันธบัตรเงินเยนชนิดจัดจำหน่ายทั่วไป
ในตลาดทุนญี่ปุ่น (Samurai Bond) วงเงิน 48,000 ล้านเยน ระยะไถ่ถอน 3 ปี  โดยมี Nomura Securities
Co., Ltd. เป็นหัวหน้าคณะผู้จัดการจัดจำหน่าย และ Shimazaki International Law Office เป็นที่ปรึกษากฎ
หมายของกระทรวงการคลังเพื่อนำเงินที่ได้ไป  Refinance  เงินกู้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
แห่งญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการกู้เงิน  นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้เจรจากำหนดราคาและ
อัตราดอกเบี้ยพันบัตร รวมทั้งลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดจำหน่ายพันธบัตร  (Subscription Agree
ment)  กับ  Nomura Securities Co., Ltd.  ในฐานะหัวหน้าคณะผู้จัดการจัดจำหน่ายพันบัตร  และ  Daiwa
Securitles SMBC Co., Ltd.  ในฐานะผู้จัดการจัดจำหน่าย และลงนามในความตกลงว่าด้วยการเป็นตัวแทน
รับจ่ายเงิน  (Fiscal and Paying Agency Agreement)  และความตกลงว่าด้วยการจดทะเบียนผู้ซื้อพันธบัตร
(Recording Agency Agreement) กับ  The Nomura Trust and Banking Co., Ltd.  เมื่อวันที่  17  มิถุนายน
2548 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รับเงินสุทธิจากการออกพันธบัตรเงินเยนเป็นจำนวน  47,904  ล้านเยน
และนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระคืนเงินกู้  Euro Commercial Paper  ที่ใช้เป็น  Bridge Financing  ในการ
Refinance เงินกู้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่  30  มิถุนา
ยน 2548

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังเสนอ
การดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในสมาคมพัฒนาระหว่างประเทศ (International  Development  Association :
IDA) จำนวน 3,212,174 บาท โดยชำระในรูปตั๋วสัญญาใช้เงินคลังประเภทจ่ายเมื่อทวงถามและไม่มีดอกเบี้ย
และอนุมัติงบกลางของปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เพื่อเป็นค่าเพิ่มทุนดังกล่าว 3,212,174 บาท โดยให้สำนัก
งานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เบิกจ่ายเพื่อชำระเงินในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมพระ
ราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการช่วยเหลือบุตร พ.ศ. 2535 พ.ศ. .... โดย
มีสาระสำคัญคือ  ให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ยังคงมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือบุตรอยู่ก่อนวันที่ 1 เมษายน
2535 มีสิทธิได้รับเงินครั้งเดียวเต็มทั้งจำนวนตามสิทธิ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่  1  ตุลาคม  พ.ศ. 2548
เป็นต้นไป และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ..(พ.ศ. ....) ออก
ตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร  ที่คณะรัฐมนตรีชุดก่อนมีมติอนุมัติหลักการ  และ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว โดยมีสาระสำคัญคือ  กำหนดให้เงินได้จากการโอน
กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่สภากาชาดไทย เป็นเงินได้พึง
ประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ และให้ดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนองบประมาณเพื่อชดเชยให้แก่ธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นระยะเวลา 5 ปี (เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 สิ้นสุดปี
งบประมาณ พ.ศ. 2553) สำหรับต้นเงินกู้ค้างชำระ  (ในส่วนที่เป็นภาระขาดทุน)  จำนวนเงิน  17,686.10  ล้าน
บาท ดอกเบี้ยแทนเกษตรกรจำนวนเงิน 5,448.90 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 23,135 ล้านบาท  โดยให้ ธ.ก.ส. เป็น
ผู้ขอจัดสรรจากสำนักงบประมาณตามความเหมาะสมต่อไป และให้กระทรวงการคลังประสานกับ ธ.ก.ส. เพื่อปรับ
ลดอัตราเรียกเก็บดอกเบี้ยจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จากเดิมที่ลดแล้ว
เท่ากับต้นทุนเงิน ธ.ก.ส. บวก 2 ให้เหลือเพียงต้นทุนเงิน ธ.ก.ส. บวก 1.78 ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติม
ว่า  คชก.  ควรศึกษาและประเมินผลความจำเป็น เหมาะสม และคุ้มค่าของโครงการต่าง ๆ ก่อน (pre-evaluation)
ให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการ  รวมทั้งมีกลไกติดตามและเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง  ๆ  ที่
ได้รับอนุมัติไปแล้ว ให้แล้วเสร็จภายในกำหนด และนำเงินมาชดใช้คืน คชก. โดยเร็วเพื่อให้สามารถนำเงินดังกล่าว
มาหมุนเวียนใช้สำหรับสนับสนุนการดำเนินงานโครงการอื่น ๆ ที่จำเป็นได้ต่อไป  กับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ซึ่งกำกับดูแล ธ.ก.ส.
องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และองค์การคลังสินค้า  ตามลำดับ  กับกำดูแลและติดตามการดำเนินงานของหน่วย
งานดังกล่าวซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก คชก.  ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิ
ภาพ  และมีความโปร่งใส  และไม่ทำให้กลไกตลาดสินค้าเกษตรกรเสียหาย   และให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งระบายสินค้าเกษตรไปขายยังตลาดโลกและประเทศ
คู่ค้าต่าง ๆ ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวนี้โดยเร็ว โดยอาจใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้า  (Barter Trade)  หรือการค้า
แบบหักบัญชี (Account Trade) ได้ตามความเหมาะสม

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยก
เว้นอากรและการลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (อจ.)  (ฉบับที่ 2)  และให้ดำเนิน
การต่อไปได้ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2548 และให้สิทธิประโยชน์ตามข้อตกลงกับประเทศ
สมาชิกอาเซียนและจีนต่อเมื่อประเทศเหล่านี้ได้ออกประกาศลดอากรตามข้อผูกพันแล้ว  และมอบให้กระทรวง
การต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลบังคับใช้ความตกลงต่อประเทศภาคีอื่น ๆ โดยด่วนที่สุด

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำ
เดือนพฤษภาคม  2548  ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม  2548  โดยผลการเบิกจ่ายเงินงบ
ประมาณในภาพรวมทั้งประเทศในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ
/ลงทุน) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 729,608 ล้านบาท  หรือร้อยละ 60.80
ของวงเงินงบประมาณ (1,200,000 ล้านบาท) จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 595,554 ล้านบาท  หรือร้อยละ
66.04 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ (901,856 ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน  134,054  ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 44.96 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน (298,144  ล้านบาท) สำหรับการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของ
หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน  1,000  ล้านบาท  ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณราย
จ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 20 แห่ง วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนรวม  219,103  ล้านบาท
โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม  2548  หน่วยงานในกลุ่มนี้มีการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน
114,047 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 52.05 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน

              คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอการจัดตั้งกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อ
การศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต และกองทุนเงินให้เปล่า โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานกองทุน
เงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และอนุมัติในหลักการการกำหนดวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549
สำหรับกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคตจำนวน 4,803,268,200 บาท และสำหรับกอง
ทุนเงินให้เปล่าจำนวน 689,970,000 บาท รวมทั้งสิ้น 5,493,238,200 บาท  หากไม่เพียงพอ ให้ขออนุมัติใช้
จากงบกลางได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งนายสมภพ อมาตยกุล เป็นกรรมการ
ในคณะกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย แทน นายอาชว์  เตาลานนท์  ที่ลาออก  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
คณะรัฐมนตรีมีมติ (12  กรกฎาคม  2548) เป็นต้นไป  ทั้งนี้  ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการ
เสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แต่งตั้งพลตำรวจโท อิสระพันธ์ สนิทวงศ์
ณ อยุธยา และนายกำธร ตติยกวี เป็นกรรมการในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล  โดยให้มีผลตั้งแต่
วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (12 กรกฎาคม 2548) เป็นต้นไป  ทั้งนี้  ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่า
ด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรง
คุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านชุดแรก จำนวน
5 คน  ประกอบด้วย  นายมนู เลียวไพโรจน์ เป็นประธานกรรมการ นายรพี อสัมภินพงศ์ นายสมบูรณ์ เอื้อม
อารีวงศ์ นายชัยพัฒน์ สหัสกุล และนายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  โดยให้มีผลตั้งแต่
วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (12 กรกฎาคม 2548) เป็นต้นไป  ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย
การเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำ
ปี พ.ศ. 2548 ของรัฐวิสาหกิจ  จำนวน  6  แห่ง  ประกอบด้วย  การเคหะแห่งชาติ  ได้รับอนุมัติให้เบิกจ่ายงบ
ลงทุนปี พ.ศ. 2548 จำนวน 50,193.738 ล้านบาท สามารถดำเนินการเบิกจ่ายได้เพียง 16,543.143 ล้าน
บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 32.96 และได้ขอปรับลดงบประมาณโครงการลงทุนอื่นลง จำนวน  369.418  ล้าน
บาทเนื่องจากได้ยกเลิกโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบางส่วน และโครงการบ้านพักอัยการ บริษัท ทีโอที จำกัด 
(มหาชน)  มีวงเงินเบิกจ่ายงบลงทุนที่ได้รับอนุมัติในปี พ.ศ. 2548  จำนวน  21,408.7  ล้านบาท  ประมาณ
การว่า จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ  59.43  พร้อมทั้งได้เสนอขอปรับเป้าหมายเบิกจ่ายงบลงทุนปี
พ.ศ. 2548 จำนวน  3,615  ล้านบาท  การทางพิเศษแห่งประเทศไทย  มีกรอบวงเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้
เบิกจ่ายในปี พ.ศ. 2548 จำนวน 6,458.23 ล้านบาท (ใช้เงินงบประมาณอุดหนุนจำนวน 1,630 ล้านบาท) 
คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินได้ จำนวน 4,323.90 ล้านบาท  หรือคิดเป็นร้อยละ 66.95  ของวงเงินที่ได้รับ
อนุมัติให้เบิกจ่าย และได้เสนอขอปรับเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนปี พ.ศ. 2548 ลงจำนวน 166.26 ล้าน
บาท เนื่องจากการจัดซื้อโดยวิธี E-Auction ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณลงได้จำนวน 34.5 ล้านบาท 
และยกเลิกแผนงานขยายช่องจราจรของโครงการทางพิเศษอาจณรงค์-ท่าเรือ    เนื่องจากมีทางด่วนสายอื่น
มารองรับ วงเงิน  131.76  ล้านบาท  การท่าเรือแห่งประเทศไทย  มีกรอบวงเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้เบิก
จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 1,650.43 ล้านบาท ประมาณการว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 
552.24 ล้านบาท  หรือคิดเป็นร้อยละ  33.46  ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติให้เบิกจ่าย   และได้เสนอขอเปลี่ยน
แปลงรายการจากโครงการเรือขจัดคราบน้ำมันเป็น  Truck  Terminal  ในวงเงินเท่าเดิม  คือ 150 ล้านบาท  
พร้อมทั้งได้ยกเลิกโครงการจ้างที่ปรึกษา  เพื่อดำเนินการศึกษาและออกแบบก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือ
แหลมฉบัง  ขั้นที่ 3  วงเงิน 66 ล้านบาท  และโครงการเปลี่ยนสายเคเบิ้ลโทรศัพท์ท่าเทียบเรือ ฝั่ง B วงเงิน 
2.57 ล้านบาท  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 68.57 ล้านบาท  นอกจากนี้  ได้ขอชะลองบลงทุนในส่วนของแผนระยะ
ยาว รวม 5 แผนงาน วงเงินทั้งสิ้น 245.70 ล้านบาท ไปดำเนินการในปี พ.ศ. 2549 การรถไฟแห่งประเทศ
ไทยมีกรอบวงเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้เบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 7,042.17 ล้านบาท 
(ใช้เงินงบประมาณอุดหนุนจำนวน 3,296.78 ล้านบาท) และประมาณการว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 
552.24  ล้านบาท  หรือคิดเป็นร้อยละ 33.46  ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติให้เบิกจ่าย  และบริษัท ท่าอากาศ
ยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่   จำกัด     มีกรอบวงเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้เบิกจ่ายในปีงบประมาณ   พ.ศ. 
2548  จำนวน 51,673.04 ล้านบาท และประมาณการว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 40,734.12  ล้าน
บาท  หรือคิดเป็นร้อยละ  79.22  ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติให้เบิกจ่า ย อย่างไรก็ตาม บทม. จะสามารถเร่ง
รัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2548   และจะสามารถเบิกจ่ายเงินได้หมดภายในเดือน
ธันวาคม 2548  ทั้งนี้  เนื่องจากการก่อสร้างที่ใช้เงินกู้จาก  JVIC  เมื่อผู้รับเหมาก่อสร้างแล้วเสร็จ JBIC จะ
ต้องตรวจสอบก่อนโอนเงินให้ผู้รับเหมาโดยตรง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 60 วัน

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน
ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....  โดยมีสาระสำคัญคือ  กำหนดให้บริษัทร่วม
ทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยการร่วมทุนระหว่างประเทศไทย อินโดนีเซีย
และประเทศมาเลเซีย  ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการประกอบกิจการ  โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28
เมษายน พ.ศ. 2547  (วันเริ่มต้นการเป็นนิติบุคคลของบริษัทร่วมทุนยางพารา ฯ)  เป็นต้นไป  และให้ส่งสำนัก
งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานตามโครงการรวมกิจการระหว่างบริษัท
ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด (TCB) กับบริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด (CCIS)  โดยกระทรวงการคลังรายงานว่า
ทั้งสองบริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายและโอนกิจการ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548  และ CCIS ได้เปลี่ยน
ชื่อเป็นบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด  (National Credit Bureau : NCB)  ทั้งนี้  การโอนสินทรัพย์ หนี้สิน
และข้อมูลเครดิตทั้งหมดได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่  31  พฤษภาคม  2548 โดยจำนวนสมาชิกขณะนี้
NCB มีจำนวนสมาชิก 69 ราย แบ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ 12 ราย สถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4 ราย บริษัทเงิน
ทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 9 ราย  บริษัทที่ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 17 ราย  บริษัทที่
ให้บริการเช่าซื้อ 25 ราย บริษัทบริหารสินทรัพย์ 1 ราย และบริษัทประกันภัย 1 ราย  และคาดว่าภายในสิ้น
ปี พ.ศ. 2548  จะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 80 ราย  ในส่วนของจำนวนข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ในระบบฐานข้อมูล แบ่ง
เป็นข้อมูลสินเชื่อเพื่อการบริโภค มีลูกค้าประมาณ 9 ล้านราย  รวมประมาณ 20 ล้านบัญชี  และข้อมูลสินเชื่อ
เพื่อธุรกิจ มีลูกค้าประมาณ 1 ล้านราย  รวมประมาณ 3 ล้านบัญชี  สำหรับค่าธรรมเนียมการให้บริการ แบ่ง
เป็น  ค่าธรรมเนียมรายเดือน   เดือนละ  50,000  บาท    และค่าธรรมเนียมในการสืบค้นข้อมูลในแต่ละครั้ง
ประกอบด้วย  ค่าสืบค้นข้อมูลระบบบุคคลธรรมดา  พบข้อมูล  12  บาท/รายการ  ไม่พบข้อมูล 5 บาท/ราย
การ และค่าสืบค้นข้อมูลระบบนิติบุคคล พบข้อมูล 100 บาท/รายการ และไม่พบข้อมูล 50 บาท/รายการ

           คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้ รับทราบรายงานสรุปสถานะการเบิกจ่ายงบลง
ทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. 2548  ซึ่งคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้จำนวน 271,599.49 ล้าน
บาท คิดเป็นร้อยละ 75.88 ของงบลงทุนได้รับอนุมัติให้เบิกจ่ายทั้งหมด (357,933.49 ล้านบาท) ทั้งนี้ การ
เบิกจ่ายงบลงทุนดังกล่าวสูงกว่าอัตราเบิกจ่ายงบลงทุนในปีก่อน ๆ (อัตราร้อยละ 56-67) สำหรับงบลงทุน
ส่วนที่เหลือรัฐวิสาหกิจจะผูกพันนำไปเบิกจ่ายในปีต่อไปเนื่องจากงบลงทุนส่วนใหญ่ใช้เงินรายได้ของรัฐวิสาห
กิจและเงินกู้  จึงไม่สามารถนำไปจัดสรรให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอื่นได้  รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวง
เจ้าสังกัดร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งรัดและติดตามให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งดำเนินโครงการ  และเบิกจ่ายงบลง
ทุนให้เป็นไปตามแผนการลงทุน    และในปี พ.ศ. 2549  ให้นำอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นตัวชี้วัดหนึ่งใน
การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
ประสิทธิภาพของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ  และให้กระทรวงการคลังเชิญรัฐมนตรี ประธานกรรม
การ (Board) และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่และมีวงเงินลงทุนสูง ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยาน
สากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (มหาชน) การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค  บริษัท ทีโอที จำกัด
(มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย  การเคหะ
แห่งชาติ และโรงงานยาสูบมาร่วมพิจารณาและกำหนดแนวทางเพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นรายแห่ง
ภายในเดือนกรกฎาคม 2548  เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการ และเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผนการ
ลงทุนต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดิน
ทางไปราชการ  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....  ที่คณะรัฐมนตรีชุดก่อนมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรม
การกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยมีสาระสำคัญคือ  แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดิน
ทางไปราชการ พ.ศ. 2526  ทั้งนี้  เพื่อให้ผู้มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการมีสิทธิเบิกจ่ายได้
เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง และให้ดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่า
ด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งการลงนามในสัญญาเงินกู้และสัญญา
ค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบหมาย
ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  (นายวราเทพ รัตนากร)  เป็นผู้ลงนามรัฐบาลไทย และเอกอัครราช
ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลญี่ปุ่น  เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548  โดยมีวงเงินให้
กู้ผ่านธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น จำนวน 35,453 ล้านเยน และได้มอบหมายให้รอง
ปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน (นายประกอบ ตันติยาพงศ์) ลงในสัญญา
ค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้โครงการเงินกู้รัฐบาลญี่ปุ่น ครั้งที่ 29  และ
ผู้แทนบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่  จำกัด  ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคาร ฯ  เมื่อวันที่
17 พฤษภาคม 2548 สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 0.90 ต่อปี ระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ 15 ปี รวม
ระยะเวลาปลอดหนี้ 5 ปี

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2548  โดยผลการเบิกจ่าย
เงินงบประมาณในภาพรวมทั้งประเทศในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ
(ประจำ/ลงทุน)  ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 609,743 ล้านบาท หรือร้อย
ละ 50.81 ของวงเงินงบประมาณ (1,200,000 ล้านบาท) จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 507,198 ล้านบาท
หรือร้อยละ 56.24  ของงบประมาณรายจ่ายประจำ  (901,865 ล้านบาท)  และรายจ่ายลงทุน 102,545
ล้านบาท หรือร้อยละ 34.40  ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน  (298,135 ล้านบาท)  สำหรับการเบิกจ่าย
รายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน  1,000  ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับจัด
สรรงบประมาณรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 20 แห่ง วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนรวม
219,101  ล้านบาท   โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2548  หน่วยงานในกลุ่มนี้มีการ
เบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน 86,480 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 39.47 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน

              คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการ
แปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ  มีวัตถุประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหา
อันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ และเพิ่มเติมบทบัญญัติที่จะเอื้ออำนวย
ต่อธุรกรรมดังกล่าวอันเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมตลาดทุนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ  และโดยที่ร่างพระราชบัญญัติ ฯ
มีรายละเอียดมาก   รวมทั้งมีประเด็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สมควรนำมาพิจารณาประกอบด้วย
อาทิ  ข้อสังเกตของสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับร่างมาตรา 21 ซึ่งกำหนดให้นิติบุคคลเฉพาะกิจที่เข้าสวมสิทธิ
เป็นคู่ความแทน  อาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดง  คัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้แล้ว   ถามค้านพยานที่สืบมาแล้ว
และคัดค้านพยานหลักฐานที่ได้สืบไปแล้ว จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและขัดแย้งกับหลัก
การดำเนินคดีแพ่งซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียม 07  ดังนั้น ร่างมาตรา 21 จึงขัดกับหลักการตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง   จึงให้ส่งร่างพระราชบัญญัติและความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรม
การกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1  (ฝ่ายเศรษฐกิจ)  พิจารณา  โดยให้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้า
ร่วมพิจารณาและชี้แจง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป