ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 988 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 19741 - 19760 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19741 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 56/2559 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด | สลธ.คสช. | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๖/๒๕๕๙ เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด สั่ง ณ วันที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19742 | บันทึกสรุปผลการประชุมเพื่อติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงาน กรณีขบวนการทำรถยนต์จดประกอบ | ยธ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกสรุปผลการประชุมเพื่อติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงาน กรณีขบวนการทำรถยนต์จดประกอบ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน ซี่งกรมศุลกากรแจ้งว่า ในขั้นตอนที่กำหนดให้กรมศุลกากรส่งข้อมูลที่ได้รับจากกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ตรวจสอบหมายเลขเครื่องยนต์และตัวถังจากผู้ผลิต (ระยะเวลา ๓ เดือน) โดยตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยจะสามารถร้องขอข้อมูลรถยนต์เฉพาะรถยนต์ที่ตนเป็นตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ไม่สามารถร้องขอข้อมูลรถยนต์คันอื่น ๆ รวมถึงกรมศุลกากรไม่มีอำนาจในการเรียกเอกสารจากต่างประเทศ จึงขอปรับแก้ขั้นตอนและกรอบการติดตามเร่งรัดคดีรถยนต์จดประกอบใหม่ โดยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบในขั้นตอนนี้ และเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบข้อมูลแล้วให้ส่งข้อมูลการตรวจสอบให้กรมศุลกากรจัดเก็บอากรตามมาตรา ๖ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19743 | ขออนุมัติขยายระยะเวลา และอนุมัติให้ความเห็นชอบการลงนามจัดซื้อจัดจ้างรายการงบลงทุนที่ไม่สามารถลงนามได้ทันภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 | ศธ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างรายการในลักษณะงบลงทุนของสถาบันอุดมศึกษา ๑๑ แห่ง ที่ไม่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ทันภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๑๗ รายการ วงเงิน ๒๙๔,๒๔๙,๐๐๐ บาท ซึ่งยังไม่ลงนาม ๑.๒ เห็นชอบการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างรายการในลักษณะงบลงทุน จำนวน ๑๕ รายการ วงเงิน ๘๔,๙๐๒,๖๐๐ บาท ของสถาบันอุดมศึกษา ๓ แห่ง ที่ได้ลงนามในสัญญาแล้วเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ และเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการกำกับดูแลส่วนราชการในสังกัดให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างรายการงบลงทุนให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19744 | แผนปฏิบัติการ "ประเทศไทย ไร้ขยะ" ตามแนวทาง "ประชารัฐ" ระยะ 1 ปี (พ.ศ. 2559 - 2560) | ทส | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบทั้ง ๒ ข้อ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทย ไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ ๑ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นแผนปฏิบัติการในการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยในระยะสั้น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำและใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับแผนงานบูรณาการการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม แผนงานบูรณาการส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแผนงานบูรณาการส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตลอดจนพิจารณาทบทวนปรับปรุงเป้าประสงค์และตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ และเพิ่มบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของภาคส่วนอื่น เช่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ในแผนปฏิบัติการฯ ตามหลักการประชารัฐ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19745 | รายงานผลการดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 | รง | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน-๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประมาณการแรงงานต่างด้าวที่จะมาจดทะเบียน มีจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ คน แยกเป็นกลุ่มแรงงานที่ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) จำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐ คน และแรงงานที่ถือเอกสารจากประเทศต้นทาง จำนวน ๖๐๐,๐๐๐ คน ๒. ผลการจดทะเบียน (ข้อมูล ณ วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙) เป็นแรงงานต่างด้าว จำนวน ๑,๐๖๗,๑๙๐ คน ผู้ติดตาม จำนวน ๒๓,๔๗๐ คน รวมทั้งสิ้น ๑,๐๙๐,๖๖๐ คน (เมียนมา ๖๕๕,๘๒๗ คน ลาว ๖๓,๗๒๐ คน และกัมพูชา ๓๗๑,๑๑๓ คน) ๓. แรงงานต่างด้าวที่ไม่มาจดทะเบียน จำนวนประมาณ ๙๐๐,๐๐๐ คน โดยมีสาเหตุต่าง ๆ เช่น เดินทางกลับประเทศและกลับเข้ามาตามข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาล (MOU) ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน แรงงานต่างด้าวผ่านการตรวจสัญชาติและมีหนังสือเดินทางแล้ว ๑๔๒,๐๐๐ คน อยู่ระหว่างการรับหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง (กัมพูชา) ๑๙๐,๐๐๐ คน และ จดทะเบียนซ้อน ในภาคประมงและแปรรูปสัตว์น้ำ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน เป็นต้น ๔. การดำเนินการในระยะต่อไป ได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ประกอบด้วยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด อำนวยความสะดวกการตรวจสัญชาติ เร่งรัดการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายตาม MOU และบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานอย่างเป็นระบบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19746 | การรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 29 มีนาคม 2559 ในการพิจารณาข้อเสนอการขอใช้อำนาจตามความในมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ต่อคณะรัฐมนตรี | สลธ.คสช. | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ในการพิจารณาข้อเสนอการขอใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ของส่วนราชการต่าง ๆ โดยมีส่วนราชการ จำนวน ๙ หน่วยงาน เสนอขอใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ จำนวน ๑๓ เรื่อง แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ ข้อเสนอการขอใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ที่นำมาจัดทำเป็นคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๕ เรื่อง และส่วนที่ ๒ ข้อเสนอการขอใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามมาตรการทางการบริหารหรือเสนอเป็นกฎหมายตามขั้นตอนปกติ จำนวน ๘ เรื่อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19747 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 57/2559 เรื่อง การปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคำสั่งหัวหน้าคณะ รักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 58/2559 เรื่อง การรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกฎหมาย ว่าด้วยการประกันสังคม | สลธ.คสช. | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๗/๒๕๕๙ เรื่อง การปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สั่ง ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๘/๒๕๕๙ เรื่อง การรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม สั่ง ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19748 | การรับรองร่างปฏิญญาตุนหวง (ความคิดริเริ่มตุนหวง) ของงานมหกรรมเส้นทางสายไหมทางวัฒนธรรม ครั้งที่ 1 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาตุนหวง (ความคิดริเริ่มตุนหวง) สำหรับงานมหกรรมเส้นทางสายไหมทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑ [The Silk Road (Dunhuang) International Cultural Expo] ซึ่งจะมีการรับรองในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ณ เมืองตุนหวง มณฑลกานซู สาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญที่มุ่งเน้นให้มีการเจรจา การแลกเปลี่ยน และความร่วมมือทางวัฒนธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และปฏิญญาสากลว่าด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม บนหลักการพื้นฐาน ประกอบด้วย การเชื่อมั่นในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความเท่าเทียม และความไม่แบ่งแยก การปกป้องมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของทุกประเทศ การเพิ่มพูนระดับการเจรจาทางวัฒนธรรมและความร่วมมือในหลายระดับ และการเสริมสร้างความร่วมมือและการค้าทางวัฒนธรรมในอุตสาหกรรมวัฒนธรรม โดยการดำเนินการตามหลักการพื้นฐานนี้จะนำไปสู่การพัฒนาและสันติภาพของโลกต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมงานมหกรรมเส้นทางสายไหมทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑ ร่วมกับประเทศที่เข้าร่วมงานดังกล่าว ให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ อันนำไปสู่ฉันทามติร่วมกันต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19749 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 34 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๔ (The 34th ASEAN Ministers on Energy Meeting : AMEM) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๓ [The 13th ASEAN+3 (China, Japan, and Korea) Ministers on Energy Meeting] ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๐ (The 10th East Asia Summit Energy Ministers Meeting) และร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (ASEAN Ministers on Energy Meeting-International Energy Agency Dialogue : AMEM-IEA Dialogue) ครั้งที่ ๖ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในความร่วมมือด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในกรอบอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) และประเทศเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหพันธรัฐรัสเซีย สหรัฐอเมริกา) และทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๔ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19750 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการกำกับดูแลความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ระหว่างสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีนและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย | กก | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการกำกับดูแลความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสำนักงานการท่องเที่ยว แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding Between the National Tourism Administration of the People’s Republic of China and the Ministry of Tourism and Sports of the Kingdom of Thailand on Regulatory Cooperation in Tourism) ซึ่งจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการของ Mr. Wang Xiaofeng รองประธานสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อการขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นผลประโยชน์ต่อทั้ง ๒ ฝ่าย เช่น การดูแลความเรียบร้อยในการท่องเที่ยว เพิ่มคุณภาพการบริการด้านการท่องเที่ยว และสนับสนุนให้เกิดความเรียบร้อยในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ (โดยระบุตำแหน่ง) ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19751 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเพียวร่าว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค | กษ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญาเพียวร่าว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค มีสาระสำคัญเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินงานเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารระหว่างสมาชิกเอเปค โดยไม่มีการลงนามในร่างปฏิญญาฯ และไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย (non-legal binding) โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ ณ เมืองเพียวร่า สาธารณรัฐเปรู ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็นควรใช้ร่างปฏิญญาฯ ในการแสดงบทบาทนำในเรื่องความมั่นคงทางอาหารในกรอบเอเปค โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ของไทยในด้านการส่งเสริมความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน (Public-Private Partnership : PPP) ตลอดจนในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) และการพัฒนาบุคลากรด้านการเกษตร นอกจากนี้ เห็นควรเพิ่มเติมข้อความในร่างปฏิญญาฯ หน้า ๕ หัวข้อ ความยั่งยืนสำหรับระบบอาหารที่มีความยืดหยุ่นปรับตัวได้ ข้อ ๒๖ จาก “โดยตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้อง อนุรักษ์ และใช้ทรัพยากรดิน น้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ และป่าไม้อย่างยั่งยืน ...” เป็น “โดยตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้อง อนุรักษ์ และใช้ทรัพยากรดิน น้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและป่าไม้อย่างยั่งยืน ...” และข้อ ๓๐ การบูรณาการระหว่างการลดผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควรให้ความสำคัญกับการทำเกษตรแบบประณีต (Precision Farming) เพื่อใช้น้ำและปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพทั้งในการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19752 | ร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. .... | มท | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นองค์ประกอบของคณะกรรมการผังเมือง ข้อกำหนดการใช้พื้นที่ในการดำเนินโครงการด้านพลังงาน และระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์ กระบวนการแจ้งสิทธิและข้อมูลให้ผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่วางผังรับทราบเป็นการล่วงหน้า การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะต้องประกอบด้วยการจัดประชุมประชาชนเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผังเมืองอย่างน้อยหนึ่งครั้ง รวมทั้งการจัดทำผังเมืองจะต้องมีความสมดุลระหว่างด้านการพัฒนาและการควบคุมการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองและแผนการเสนอกฎหมายลำดับรอง และการเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ) และให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อเสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด รวมทั้งคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่เดิม และประสานกับกรมชลประทานเรื่องปริมาณความต้องการใช้น้ำที่คาดว่าจะใช้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาวางแผนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดแนวเขตปฏิรูปที่ดินพร้อมทั้งสัญลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อความสะดวกชัดเจนในการตรวจสอบ นอกจากนี้ ควรกำหนดลักษณะการใช้ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินต้องเป็นไปตามกฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19753 | ร่างพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. .... | นร08 | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี (ในคราวประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙) ในประเด็นการยึดโยงกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การพิจารณาความสอดคล้องของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กับพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑การบังคับใช้กฎหมายกรณีกำหนดบทลงโทษต่อเจ้าหน้าที่ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทั้งทางวินัยและอาญา และการกำหนดกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลให้ยึดโยงกับฝ่ายการเมือง (รัฐบาลและรัฐสภา) และความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามร่างมาตรา ๓๓ อาจไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๓๘ ที่กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนอาจได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ ตำแหน่งในบางท้องที่ ตำแหน่งในบางสายงาน หรือตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามระเบียบที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ แล้วให้แจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการขอตั้งงบประมาณของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลไปดำเนินการด้วย ๓. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19754 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันภูมิราชธรรม พ.ศ. .... | ศธ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันภูมิราชธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้จัดตั้งสถาบันภูมิราชธรรม เป็นสถาบันอุดมศึกษาทางวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ และอยู่ในอุปถัมภ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ อาทิ กรณีการกู้ยืมเงิน ควรแก้ไขร่างมาตรา ๑๓ (๕) วรรคสอง โดยกำหนดกรอบวงเงินที่อยู่ในอำนาจรัฐมนตรีให้ชัดเจน กรณีการออกพันธบัตร ควรแก้ไขร่างมาตรา ๑๓ (๖) โดยกำหนดให้สถาบันออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อประโยชน์แก่กิจการของสถาบันโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และกรณีการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องกำหนดถ้อยคำเพิ่มเติมไว้ในร่างมาตรา ๑๔ วรรคสี่ รวมทั้งปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ ในหมวด ๕ การบัญชีและการตรวจสอบตามร่างมาตรา ๔๓ และร่างมาตรา ๔๔ สำหรับการจัดให้มีกองทุนเพื่อกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน หากกระทรวงศึกษาธิการมีความประสงค์จะกำหนดให้กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนภายในที่ตั้งขึ้นโดยใช้เงินรายได้ของสถาบัน ซึ่งมิใช่กองทุนตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ และพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ควรบัญญัติไว้ให้ชัดเจนว่าเป็นกองทุนภายในของสถาบัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐโดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา) ที่กำหนดให้การจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ให้ใช้แนวทางการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองและแผนการเสนอกฎหมายลำดับรอง และการเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ) และให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อเสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) วางแผนแม่บท (Master Plan) อย่างเป็นระบบทั้งด้านบริหาร ด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงินและด้านบุคลากร มีระบบบริหารตามหลักธรรมาภิบาล รวมทั้งมีระบบในการบริหารเป้าหมายการรับนักศึกษาที่สอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการพัฒนาของท้องถิ่นและประเทศในภาพรวม นอกจากนี้ การจัดตั้งสถาบันการศึกษาใหม่ ควรพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในลักษณะความร่วมมือภาครัฐ-ภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) เพื่อลดความเสี่ยงจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนประชากรวัยเด็กและวัยเรียนลดลงอย่างต่อเนื่อง และในขั้นการดำเนินการ ควรพิจารณาจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานทั้งแผนการผลิตบัณฑิตที่สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนของประเทศในอนาคต แผนการใช้งบประมาณ แผนอัตรากำลัง และแผนการบริหารจัดการ เพื่อความมีประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19755 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่นครนิวยอร์ก | กต | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อ (๑) ร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่าด้วยความร่วมมืออาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Foreign Ministers’ Statement on ASEAN Cooperation on Sustainable Development) เป็นเอกสารที่ไทยยกร่างในฐานะประเทศผู้ประสานงานในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และ (๒) ร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน-กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก (ASEAN-Pacific Alliance Framework for Cooperation) เป็นเอกสารที่ระบุถึงเจตจำนงของอาเซียนและกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกที่จะผลักดันความสัมพันธ์ของทั้งสองภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดจะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการประชุมช่วงคู่ขนานกับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ ๗๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และจะมีการรับรองร่างเอกสารฯ ดังกล่าว ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรพิจารณาปรับเพิ่มเติมข้อความในร่างกรอบความร่วมมือฯ ในหัวข้อ Scope of Cooperation ข้อที่ ๕ ที่พูดถึงสาขาความร่วมมือในด้าน energy and mining โดยเพิ่มคำว่า “green” หน้าคำว่า “energy” และ “mining” และเพิ่มการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการขยายตัวของเมืองใหญ่ ในขอบเขตความร่วมมือ ข้อ ๖ สาขาความร่วมมือที่อาจพิจารณาสำรวจร่วมกัน ส่วนการจัดทำแผนการดำเนินงาน (Roadmap) ควรมีการกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัดและแหล่งงบประมาณสนับสนุนที่ชัดเจน มีการติดตามทบทวนและประเมินผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในประเด็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในส่วนที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่มูลค่าโลกนั้น มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับบทบาทของภาคการผลิต ควรเพิ่มเติมภาคการผลิตในประเด็นความร่วมมือดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19756 | การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 17 (CITES CoP17) การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 67 และครั้งที่ 68 (SC67 - SC68) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Lekgotla) | ทส | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) กรอบท่าทีของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๗ (The 17th meeting of the Conference of the Parties to CITES : CITES CoP17) ทั้งในส่วนของวาระการประชุมที่เกี่ยวกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามอนุสัญญา CITES (Working documents) และข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์ (Proposals) โดยการประชุมฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๔ กันยายน-๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ นครโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ มีวาระสำคัญ เช่น (๑) กระบวนการเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ (๒) การปิดตลาดการค้างาช้างภายในประเทศ (๓) การรายงานของคณะกรรมการด้านสัตว์ (Animals Committee : AC) ของอนุสัญญา CITES และ (๔) วาระที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการวางแผนระยะสั้นและระยะยาวให้สอดคล้องกับท่าทีของที่ประชุม CITES โดยลดค่านิยมของการบริโภคผลิตภัณฑ์จากงาช้าง ตลอดจนทำความเข้าใจกับผู้ผลิต เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนอาชีพให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมในอนาคตถ้าหากที่ประชุม CITES ได้มีข้อตกลงให้มีการปิดตลาดการค้างาช้างภายในประเทศ โดยจะทำให้ประเทศไทยสามารถให้ความร่วมมือกับ CITES ดำเนินการตามข้อตกลงได้อย่างราบรื่น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกรอบท่าทีของประเทศไทยต่อวาระการประชุม CITES ที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19757 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง ลาว ไทย และมาเลเซีย | พน | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง ลาว ไทย และมาเลเซีย (Memorandum of Understanding Between the Government of Lao People’s Democratic Republic, the Government of The Kingdom of Thailand and the Government of Malaysia on Power Integration Project) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในระดับรัฐบาล ในการดำเนินโครงการนำร่องเพื่อศึกษากรอบความร่วมมือการบูรณาการด้านพลังงานไฟฟ้า และเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ต้องให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาอัตราค่าใช้ระบบเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้า ควรประเมินมูลค่าผลกระทบทางอ้อม อาทิ การสูญเสียความสามารถในการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศของระบบส่งไฟฟ้าของประเทศไทย รวมถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ประกอบการศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19758 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ (Political Declaration of the High-level Meeting of the General Assembly on Antimicrobial Resistance) | สธ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ (Political Declaration of the High-level Meeting of the General Assembly on Antimicrobial Resistance) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการจัดการกับปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ [United Nations General Assembly (UNGA) High-level Meeting on Antimicrobial Resistance] ในวันพุธที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ณ สำนักงานสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๑.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างปฏิญญาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19759 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 812.5108 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ของกรมทางหลวง | คค | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๑๒.๕๑๐๘ ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ของกรมทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19760 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 เรื่อง การจัดให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เช่าที่ราชพัสดุบริเวณสนามกอล์ฟบางพระ ต่อไปเมื่อครบกำหนดสัญญาร่วมทุนกับเอกชน | กค | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ (เรื่อง การโอนหุ้นบริษัท บางพระกอล์ฟ อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด ให้กระทรวงการคลัง) โดยให้ยกเลิกเฉพาะที่อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระต่อไป เมื่อครบกำหนดสัญญาร่วมทุนกับบริษัท เจแปน กอล์ฟ โปรโมชั่นอินส์ หรือ J.G.P.J ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโอนบรรดาทรัพย์สินอาคารและรายการสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ซึ่งปลูกสร้างบนที่ราชพัสดุบริเวณสนามกอล์ฟบางพระในระหว่างสัญญาร่วมทุนและเป็นกรรมสิทธิ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตามเงื่อนไขสัญญาร่วมทุน ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลังนับถัดจากวันที่สัญญาร่วมทุนสิ้นสุดลง และให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการสนามกอล์ฟบางพระตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด และในการดำเนินการดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังกำหนดให้การส่งเสริมและสนับสนุนภารกิจด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมให้แก่นักกีฬาสมัครเล่นและเยาวชนเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนด้วย ตามความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. เห็นชอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระเป็นการชั่วคราวไปพลางก่อนในระหว่างดำเนินการหาเอกชนร่วมทุนในกิจการสนามกอล์ฟดังกล่าว แต่ต้องไม่เกิน ๑ ปี นับแต่วันสิ้นสุดสัญญาร่วมทุนกับบริษัท J.G.P.I โดยให้กระทรวงการคลังทำความตกลงกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระและการแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนให้แล้วเสร็จก่อนวันสิ้นสุดสัญญาดังกล่าว โดยให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
|
.....