ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 497 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2568 ครั้งที่ 1 | กค. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๑ โดยในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๓
มกราคม ๒๕๖๘ โดยการปรับปรุงแผนฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑)
การปรับเพิ่มวงเงินกู้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ
จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทยส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างได้เพิ่มขึ้น
(๒) การปรับลดวงเงินกู้โครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร (ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕
และปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖) จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท
เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้รับเงินงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินต้นแล้ว
และ (๓) การปรับเพิ่มวงเงินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่จะครบกำหนด ในปีงบประมาณ
๒๕๖๙ - ๒๕๗๒ จำนวน ๗๗,๘๙๐.๐๒ ล้านบาท เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด
เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าการบริหารจัดการหนี้สาธารณะในระยะต่อไป
จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังมีแนวโน้มของความผันผวนอยู่ในเกณฑ์สูง
รวมทั้งแรงกดดันทางการคลังที่เพิ่มขึ้นตามภาระหนี้รัฐบาลจากการดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
และผลจากการกู้เงินเพื่อดูแลแก้ไขผลกระทบจากวิกฤติโควิด-๑๙
ซึ่งจะต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมิให้กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
ตลอดจนเป็นข้อจำกัดต่อกรอบงบประมาณสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2566 | นร.11 สศช | 06/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำปี ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑. การประมินผลในภาพรวมทั้ง ๖ มิติ โดยภาพรวมปรับตัวดีขึ้น
เช่น ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
เนื่องจากไทยสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙
ได้ดีขึ้น และความเท่าเทียมและความเสมอภาคของสังคมในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น โดยความก้าวหน้าทางสังคมในปี
๒๕๖๖ ไทยจัดอยู่ในอันดับที่ ๕๘ จาก ๑๗๐ ประเทศ ดีขึ้นจากอันดับที่ ๗๑
ของปีที่ผ่านมา ๒. การประเมินผลรายยุทธศาสตร์ชาติทั้ง ๖ ด้าน
โดยส่วนใหญ่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น ขีดความสามารถในการแข่งขัน
การพัฒนาเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ของไทยมีการพัฒนาที่ดีขึ้น
โดยอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในอันดับที่ ๓๐ ดีขึ้นจากอันดับที่
๓๓ จากปีที่ผ่านมา และการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
สถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำของไทยดีขึ้นจากการพัฒนาในระยะที่ผ่านมามีความก้าวหน้าในการลดสัดส่วนความยากจน ๓ ประเด็นท้าทายที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย เช่น
หน่วยงานของรัฐอาจยังไม่ได้นำผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล อาทิ รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
รายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนระดับที่ ๓ ไปใช้ประกอบการปรับปรุงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน
ทำให้ในกระบวนการจัดสรรงบประมาณ อาจยังไม่สอดคล้องกับช่องว่างในการพัฒนาประเทศ ๔. ข้อเสนอแนะเพื่อการดำเนินการในระยะต่อไป เช่น ทุกหน่วยงานของรัฐต้องให้ความสำคัญในการนำเข้าทุกข้อมูลของแผนระดับที่
๓ ในระบบ eMENSCR ให้ครบถ้วน พร้อมทั้งการรายงานผลสัมฤทธิ์
ผลการดำเนินงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้หน่วยงานและภาคีการพัฒนาที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลที่ครอบคลุมทุกการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติของหน่วยงานของรัฐไปใช้ประกอบการวิเคราะห์การดำเนินงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ 3 และการรับตำแหน่งประธานร่วมของหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ในปี 2568 | กต. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อร่างยุทธศาสตร์กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง
- ญี่ปุ่น ค.ศ. ๒๐๒๔ และร่างแผนดำเนินการหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๖
เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่
๑๕ และของการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๓ ตามลำดับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างเอกสาร
ในการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๕
และที่ประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๓ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายแจ้งที่ประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ
ครั้งที่ ๓ ว่าราชอาณาจักรไทยเห็นพ้องที่จะรับตำแหน่งประธานร่วมของ MUSP ร่วมกับสหรัฐอเมริกาต่อจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปี
๒๕๖๘ โดยร่างยุทธศาสตร์ฯ เป็นเอกสารกำหนดแนวทางความร่วมมือในระยะ ๕ ปี ภายใต้ ๓
สาขาหลัก ได้แก่ ๑) การเป็นสังคมที่มีความยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันในโลก
หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ๒) การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และ ๓)
การตอบสนองเชิงรุกต่อประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ และร่างแผนดำเนินการฯ
เป็นการกำหนดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ จะดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯในระยะะเวลา
๓ ปีข้างหน้า ภายได้ ๔ สาขา ได้แก่ ๑) ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ๒)
การใช้และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
และการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๓) ความมั่นคงรูปแบบใหม่ และ ๔)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างยุทธศาสตร์กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น
ค.ศ. ๒๐๒๔ และร่างแผนดำเนินการหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง - สหรัฐฯ ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๖
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรยกระดับความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวให้เป็นหนึ่งในหัวข้อความร่วมมือหลักภายใต้ร่างยุทธศาสตร์กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่นฯ
เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและครอบคลุมประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งนี้
กระทรวงการต่างประเทศควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ประเทศไทยพึงจะได้รับจากการดำเนินงานภายใต้ร่างเอกสารทั้ง
๒ ฉบับ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จำนวน 2 ฉบับ | รง. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑
ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง
มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจในเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดให้ลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจมีวันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีและการกำหนดเพิ่มจำนวนวันลาเพื่อคลอดบุตร ๑.๒ ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าร่างประกาศดังกล่าวเป็นการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นใดของพนักงานรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ควรคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงแนวทางดังกล่าว เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | รายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รอบ 6 เดือน ครั้งที่ 2 | กค. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ รอบ ๖
เดือน ครั้งที่ ๒ ตามข้อ ๕ (๓) แห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้ฯ
โควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔) สรุปได้ ดังนี้ (๑) การติดตามประเมินผลโครงการ/แผนงานภายใต้พระราชกำหนดฯ
กู้เงินโควิด-๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ใช้วิธีการประเมินผลจากการสุ่มตัวอย่างโครงการ/แผนงาน จำนวน ๒๕๐ โครงการ จากโครงการทั้งสิ้น
๒,๓๗๐
โครงการ โดยคัดเลือกโครงการที่มีขนาดใหญ่ มีวงเงินกู้สูง หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญที่ดำเนินการแล้วเสร็จ
มีกรอบวงเงินตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ๔๙๕,๖๙๐.๗๖ ล้านบาท
มีผลการเบิกจ่าย ๔๗๐,๑๕๑.๒๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๔.๘๕
ของกรอบวงเงิน (๒) คณะกรรมการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลฯ
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๖ โดยมีผลการประเมินระดับแผนงาน ดังนี้ ๑) แผนงานที่ ๑ แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด-๑๙
มีผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก ๒) แผนงานที่ ๒ แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ
เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ
ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙ มีผลการประเมินระดับดีมาก และ ๓)
แผนงานที่ ๓
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙
มีผลการประเมินระดับดี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ | กค. | 19/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ
จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการช่วยเหลือพักหนี้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (๒) มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบ และ (๓) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด
๑๙ ตามโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระ อนุมัติวงเงินงบประมาณ
จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๒ มาตรการ รวมทั้งสิ้น ๔,๙๐๐
ล้านบาท และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และรับทราบมาตรการแก้ไขหนี้ในระบบ มาตรการแก้ไขหนี้นอกระบบ และการปรับโครงสร้างระบบการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๔,๙๐๐ ล้านบาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินมาตรการเชิงป้องกัน
โดยการให้ความรู้ทางการเงิน ควรให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเป็นธรรมและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย
เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาจงใจผิดนัดชำระหนี้ การออกแบบมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ดังกล่าวควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับเป็นหลัก
รวมถึงควรมีการประเมินประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของโครงการให้เป็นไปตามคำสั่งอื่น เจตนารมณ์
และควรเร่งส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศที่ช่วยสร้างวัฒนธรรมบ่มเพาะให้เกิดวินัยในการบริหารเงินและหนี้อย่างรับผิดชอบ
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนประสบความสำเร็จและมีผลยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 18 | กต. | 18/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาบาห์เรน
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย
ครั้งที่ ๑๘ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองระดับรัฐมนตรีประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือเอเชียในการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างครอบคลุมและยั่งยืน
โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติ
อีกทั้งเน้นย้ำความสำคัญของการใช้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (one health
approach) ในการบรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข
ตลอดจนส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการค้า การขนส่งและความเชื่อมโยง ดิจิทัล
การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งการสนับสนุนภาคธุรกิจและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพื่อให้ประเทศสมาชิกและภูมิภาคเอเชียเกิดการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน
และเสริมสร้างการเติบโตร่วมกันจนนำไปสู่การเป็นประชาคมเอเชีย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2565 | กค. | 23/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ
รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๕
ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.)
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทยรอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๕
ขยายตัวร้อยละ ๐.๗๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและคาดการณ์ว่าในปี ๒๕๖๖
ธุรกิจประกันภัยจะมีอัตราการเติบโตร้อยละ-๐.๑๓ ถึง ๑.๘๗ (๒)
การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ สำนักงาน คปภ. ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖)
และตามนโยบายของรัฐบาล เช่น
พัฒนาเครื่องมือและเพิ่มมิติการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย
ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านการประกันภัย ส่งเสริมและสนับสนุนให้ไทยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการประกันภัย
และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้บริษัทมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ และพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพและสมรรถนะ (๓)
มาตรการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากโควิด-๑๙ ต่อผู้เอาประกันภัย
ประชาชน ภาคธุรกิจประกันภัย และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เช่น การอนุโลมจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายวันให้แก่ผู้เอาประกันภัยที่รักษาตัวในศูนย์แยกกักตัวในชุมชนหรือสถานที่กักตัวในโรงแรมและมาตรการบรรเทาผลกระทบสำหรับบริษัทประกันวินาศภัยที่มีค่าสินไหมทดแทนโควิด-๑๙
(๔) การประเมินผลการดำเนินงานปี ๒๕๖๕ มีค่าคะแนนถ่วงน้ำหนักรวมอยู่ที่ ๔.๖๑
จากคะแนนเต็ม ๕ คะแนน และ (๕) ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้รับบริการปี ๒๕๖๕
มีระดับความพึงพอใจมากที่สุดร้อยละ ๙๓.๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 8 และกิจกรรมคู่ขนาน | กต. | 15/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย
ครั้งที่ ๘ และกิจกรรมคู่ขนาน
และพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน
ปรมัตถ์วินัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาภูมิภาคตะวันออกไกลและอาร์กติก
สหพันธรัฐรัสเซีย (นายอะเล็กเซย์ เซคุนคอฟ) เป็นประธานร่วมการประชุมฯ ณ
กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผลการประชุมฯ เช่น การเพิ่มมูลค่าการค้า
ให้เท่ากับระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น
การเพิ่มการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังรัสเซีย และสินค้าปศุสัตว์ของรัสเซียมาไทย
โดยคำนึงถึงมาตรฐานและความปลอดภัย และความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น ให้แก้ไขถ้อยคำในตารางติดตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ
ครั้งที่ ๘ ด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ในส่วนของความร่วมมือด้านศุลกากร
เพื่อให้มีความสอดคล้องตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๘ จากข้อความเดิม
“การร่วมรับรองโครงการ Authorized Economic Operator (AFO) ของกรมศุลกากรและศุลกากรรัสเซีย”
เป็น “การริเริ่มจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition
Arrangement : MRA) สำหรับโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized
Economic Operator : AEO) ระหว่างศุลกากรไทยและรัสเซีย” ให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ให้กระทรวงการต่างประเทศวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานตามผลการประชุมดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับต่อไป
และปรับแก้ถ้อยคำในเอกสารภาคผนวก ๔ ในประเด็นความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จาก
“ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงมหาดไทยแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย”
เป็น “บันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทย
แห่งสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและความร่วมมือด้านกิจการตำรวจ
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 56 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน + 3 ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่
๕๖ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ สาธารณรัฐเกาหลี
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมประชุม
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) การประชุม AFMGM+3 ครั้งที่ ๒๖
มีสาระสำคัญ เช่น IMF คาดการณ์ว่าในปี ๒๕๖๖ เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ
๒.๘ และเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวที่ร้อยละ ๔.๖
โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน
การพัฒนากลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแบบเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินได้มากขึ้น
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ได้เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม
AFMGM+3 ในรูปแบบแถลงการณ์ร่วมฯ โดยมีการปรับปรุงถ้อยคำเพื่อให้มีความเหมาะสมและสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
แต่ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ (๒) การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ
ADB ครั้งที่ ๕๖ ผู้ว่าการของแต่ละประเทศสมาชิกใน ADB
ได้เรียกร้องให้ ADB
ให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-๑๙
ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และภาวะเงินเฟ้อ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการของไทยใน ADB ได้เสนอแนะให้ ADB ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
(๓) การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน-ญี่ปุ่น
ในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอให้อาเซียน-ญี่ปุ่นขยายบทบาทและยกระดับความร่วมมือทางการเงินระหว่างกันให้ครอบคลุมประเด็นการใช้เทคโนโลยีทางการเงินและการเงินที่ยั่งยืน
และ (๔) งานเปิดตัวรายงาน เรื่อง “แนวทางการจัดหาเงินทุนใหม่ ๆ
เพื่อเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นในอาเซียน+๓” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการจัดทำนโยบายและมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของไทย
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | รายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน | สกพอ. | 27/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
ประกอบด้วย หลักการแก้ปัญหาการชำระค่าสิทธิ ARL เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
และหลักการแก้ปัญหาเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
และสำนักงานอัยการสูงสุด รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เช่น ควรเร่งดำเนินการเพื่อให้โครงการฯ
สามารถดำเนินการได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ
ก็จะต้องดำเนินการตามลำดับขั้นตอนแห่งประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ
เงื่อนไขและกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐
ข้อ ๒๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 - 2570 ประจำปี 2565 | กค. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน
พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๒๕๗๐ ประจำปี ๒๕๖๕
และโครงการตามแผนปฏิบัติการ ปี ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑)
ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ประจำปี ๒๕๖๕
เป็นการวางรากฐานและเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยมีกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการเพื่อสร้างระบบนิเวศด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ยั่งยืน
ประกอบด้วย ๓ เป้าหมาย ได้แก่
คนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงินและเข้าถึงข้อมูลการเงิน
คนไทยมีความรู้และทักษะทางการเงินเพียงพอที่จะนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม และประเทศไทยมีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการและยั่งยืน
ซึ่งมีแผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ๗ แผนงาน เช่น การรณรงค์ระดับชาติ
เพื่อสร้างความตระหนักรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชน แผนงานที่เป็นไปตามแผน ๑๑ แผนงาน
เช่น การผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในหลักสูตรการเรียนในระดับการศึกษาชั้นต่าง
ๆ รวมถึงบุคลากรภาครัฐ และแผนงานที่เป็นไปตามแผน ๑ แผนงาน คือ
กำหนดให้การพัฒนาทักษะทางการเงินเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ
เนื่องจากอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - ๑๙
จึงต้องเร่งแก้ไขหนี้สินครัวเรือนก่อน (๒)
คณะกรรมการการพัฒนาทักษะทางการเงินเพื่อขับเคลื่อน กำกับ ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ มีข้อเสนอแนะว่า
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญในการให้ความรู้การเงินดิจิทัล ภัย
และกลโกงทางการเงินเพิ่มขึ้น และ (๓) หน่วยงานต่าง ๆ
ได้เสนอโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ๑๘ โครงการ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลและองค์ความรู้ด้านการเงินการผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในระบบการศึกษา
และการให้ความรู้ด้านการเงินแก่กลุ่มเป้าหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ตผ. | 23/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
เช่น การตรวจเงินแผ่นดิน การดำเนินการด้านความผิดวินัยการเงินการคลังของรัฐ
การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-๑๙
และการส่งเสริมให้ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานของหน่วยรับตรวจ ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา | สว. | 23/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา โดยมีข้อเสนอแนะ ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑)
ข้อเสนอแนะเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา เช่น
รัฐควรออกนโยบายของการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตแบบไม่มีค่าใช้จ่าย สนับสนุนและจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อุดมศึกษาต้องปรับการทำงานในด้านการบริการเชิงวิชาการให้สอดคล้องกับแรงงานไร้ฝีมือ
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของแรงงาน เป็นต้น (๒)
ข้อเสนอแนะเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจในระยะสั้น ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคบริการขนาดเล็กและขนาดย่อมและกลุ่มเปราะบาง
จัดสรรงบประมาณที่ผ่อนคลายเงื่อนไขการเข้าถึงแหล่งเงิน
เพื่อให้สามารถกลับมารองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิดผ่อนคลาย
และในระยะยาว ภาครัฐควรมีมาตรการทางภาษี มาตรการช่วยเหลือครัวเรือนเปราะบาง
ครัวเรือนยากจนแบบทั่วถึง ปรับปรุงระบบความคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมครัวเรือนเปราะบางและครัวเรือนยากจน
รวมทั้งมีการบังคับใช้กฎหมายภาษีอย่างเข้มข้น (๓)
ข้อเสนอแนะเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านสาธารณสุข เช่น
รัฐควรสนับสนุนด้านงบประมาณในการบริหารจัดการระบบสุขภาพ
กำหนดนโยบายหรือแนวทางในการบริหารกองทุนระบบสุขภาพ
ที่สามารถให้ประชาชนทุกคนที่สามารถเข้าถึงและได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานเท่ากัน
รวมถึงควรดำเนินการแก้ไขระบบบริการสาธารณสุขเพื่อให้คนไทยทุกคนได้บริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน
โดยไม่ต้องคำนึงถึงเศรษฐานะของบุคคล เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | สวช. | 16/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) สรุปผลการดำเนินงานฯ
ประจำปี ๒๕๖๕ ตามยุทธศาสตร์ชาติ เช่น
การให้บริการวัคซีนพื้นฐานกับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย (เด็กแรกเกิด-๑๒ ปี) การจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ
การวางแผนพัฒนาและปรับปรุงระบบข้อมูลและบริหารจัดการวัคซีน
รวมทั้งพัฒนาระบบเฝ้าระวังสอบสวนอาการภายหลังได้รับการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
การดำเนินการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้ซิกา รวมถึงการรักษามาตรฐานในการผลิตสัตว์ทดลองที่มีคุณภาพเพื่อบริการให้แก่นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์
และ (๒) ปัญหา/อุปสรรค
ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและข้อเสนอแนะในการดำเนินงานด้านวัคซีน ได้แก่
ปัจจัยภายนอก โดยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริการวัคซีนที่ล่าช้าในบางพื้นที่
เนื่องจากบุคลากรและสถานที่ที่ปฏิบัติการมีจำกัด และปัจจัยภายใน เช่น
การได้รับงบประมาณล่าช้า การมีบุคลากรที่ไม่เพียงพอ
และเจ้าหน้าที่ขาดทักษะในการสื่อสาร
เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจและยอมรับการได้รับวัคซีน ตามที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | รายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รอบ 6 เดือน ครั้งที่ 1 | กค. | 09/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ รอบ ๖ เดือน
ครั้งที่ ๑ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
การติดตามประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดฯ มีโครงการทั้งสิ้น ๒,๔๗๔ โครงการ
ประกอบด้วย ๓ แผนงาน ได้แก่ (๑) เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) (๒) เพื่อช่วยเหลือ
เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ และ (๓)
เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ ๒. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกลุ่มที่ปรึกษาภายใต้โครงการและแผนงานภายใต้พระราชกำหนดฯ
ได้จัดทำรายงานผลฯ ซึ่งคณะกรรมการประเมินผลการใช้จ่ายเงินตามพระราชกำหนดฯ
ได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
โดยคัดเลือกโครงการที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมที่แล้วเสร็จ จำนวน ๑๐ โครงการ
มีกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ๑๘๔,๔๑๐.๔๔ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายรวม ๑๘๓,๔๙๑.๓๐
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๕๐ ของกรอบวงเงิน โดยทั้ง ๑๐ โครงการ
มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก ช่วยให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
จำนวน ๔๒,๓๒๒.๒๒ ล้านบาท
และมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่คาดว่ารัฐจะได้กลับคืนสูงสุดภายใน ๓ ปี จำนวน ๘,๑๖๘.๒๓ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | รายงานการประเมินผลโครงการในภาพรวม รอบ 6 เดือน ครั้งที่ 3 และรายงานการประเมินผลลัพธ์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | กค. | 09/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลโครงการในภาพรวม รอบ ๖ เดือน
ครั้งที่ ๓ และรายงานการประเมินผลลัพธ์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) รายงานประเมินผลโครงการในภาพรวม รอบ ๖
เดือน ครั้งที่ ๓ โดยผลการประเมินในภาพรวมฯ พบว่า
เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ๓,๑๘๔,๓๘๕.๓๔ ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ๗๙๖,๘๔๙.๕๓ ล้านบาท และสามารถรักษาการจ้างงาน ๒๐.๕๑ ล้านอัตรา
อีกทั้งผลการประเมินในด้านความสอดคล้องและความเชื่อมโยง ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
ผลกระทบและความยั่งยืน มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก
และผลการประเมินในระดับแผนงานมีผลการดำเนินอยู่ในระดับดีมาก ได้แก่
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-๑๙
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน
เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ เช่น โครงการ “โคก หนอง นาโมเดล” (๒)
รายงานการประเมินผลลัพธ์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ
โดยใช้ ๓ แบบจำลอง ได้แก่ แบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค ใช้ประเมินผล เช่น ผลกระทบต่อ
GDP เพิ่มขึ้น ๐.๘๐ ล้านล้านบาท แบบจำลองดุลยภาพทั่วไปเชิงพลวัติ
ใช้ประเมินผล เช่น มูลค่า Real GDP เพิ่มสูงขึ้น ๑๗๑,๗๔๑.๕๓ ล้านบาท และแบบจำลองปัจจัยการผลิต ใช้ประเมินผล เช่น
เงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ๓,๑๘๔,๓๕๘.๓๔
ล้านบาท สร้างมูลค่า GDP ๗๙๖,๘๔๙.๕๓
ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 9 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 02/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ
เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม สรุปได้ ดังนี้ (๑)
การประชุมรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอาเซียน (AFMM) ครั้งที่ ๒๗ ที่ประชุมฯ
ได้ติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือทางการเงินอาเซียน โดยมีประเด็นหารือที่สำคัญ
เช่น การปรับทิศทางการดำเนินงานไปสู่การลงทุนในโครงการสีเขียวเพิ่มขึ้น
และการพิจารณาการเพิ่มทุนมูลค่า ๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ของกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (๒) การประชุม AFMGM ครั้งที่ ๙
มีการหารือเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคและเศรษฐกิจโลกกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
และรับทราบประเด็นที่สำคัญที่อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนต้องการผลักดันให้สำเร็จภายในปี
๒๕๖๖ ได้แก่ ด้านการฟื้นฟูและการสร้างใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล และความยั่งยืน (๓)
การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ มีการหารือใน ๓
ประเด็น ได้แก่ ความท้าทายของนโยบายการคลังภายหลังสถานการณ์โควิด-๑๙
ความมั่นคงทางพลังงาน และความมั่นคงทางอาหาร (๔)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีการหารือทวิภาคีกับคู่เจรจาต่าง ๆ เช่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอให้อินโดนีเซียสนับสนุนให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน World
Expo 2028 ณ จังหวัดภูเก็ต และสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน
โดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังกล่าวถึงการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน
โดยไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนา BCG Economy และ (๕)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ
“การเปลี่ยนผ่านสู่การเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน”
ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย
และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสิงคโปร์ มีสาระสำคัญ เช่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เห็นควรผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และการแก้ไขปัญหาเรื่องพลังงานของไทย เช่น การผลักดันนโยบาย ๓๐@๓๐ ตามแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนตลาดแรงงานไทยเพื่อก้าวผ่านยุคโควิด-19 : การปรับตัวของแรงงานทุกกลุ่มทุกช่วงวัย เพื่อความก้าวหน้า มั่นคงและยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา | สว. | 02/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
แนวทางการขับเคลื่อนตลาดแรงงานไทยเพื่อก้าวผ่านยุคโควิด-19 : การปรับตัวของแรงงานทุกกลุ่มทุกช่วงวัย
เพื่อความก้าวหน้า มั่นคงและยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการแรงงาน วุฒิสภา
ซึ่งกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาร่วมกัน
โดยสรุปผลการพิจารณาได้ว่า
หน่วยงานที่เกี่ยข้องเห็นด้วยกับรายงานดังกล่าวและได้มีการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ในประเด็นต่าง ๆ เช่น กำหนดมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจ
ดำเนินมาตรการสนับสนุนให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อมเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมากขึ้น
พัฒนาช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ลูกจ้างเข้าถึงสิทธิตามกฎหมายได้อย่างครบถ้วน
มีแนวทางบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างเป็นระบบ
ดำเนินมาตรการส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถให้กับแรงงาน เป็นต้น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | รายงานผลการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564–31 ธันวาคม 2564) | รง. | 25/04/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง
พ.ศ. ๒๕๖๒ (ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔-๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๔) สรุปได้ ดังนี้ (๑) ด้านนโยบาย (Policy) เช่น
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และแต่งตั้งคณะทำงานกำกับและติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคประมง
(๒) ด้านการป้องกัน (Prevention) เช่น มาตรการห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว
และห้ามนำเข้าแรงงานต่างด้าวในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ (๓)
ด้านการบังคับใช้กฎหมาย
(Prosecution) เช่น ตรวจสอบสภาพการจ้าง สภาพการทำงานของแรงงาน ณ
ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า-ออก ในพื้นที่ ๒๒ จังหวัดชายทะเล (๔)
ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ (Protection) เช่น
ดำเนินการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้กับแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล
โดยกองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน และ (๕) ด้านการมีส่วนร่วม (Partnership) เช่น ดำเนินโครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่ง (Ship to Shoer Rights
Project) ร่วมกับ EU และ ILO ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|