ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 497 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565-2566 | นร.11 สศช | 22/11/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๕
และแนวโน้มปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๕ (%YoY) เร่งขึ้นจากร้อยละ ๒.๓ และร้อยละ
๒.๕ ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๖๕ ตามลำดับ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๕ ขยายตัวร้อยละ ๑.๒ จากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๖๕
(%QoQ)_SA) รวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๕ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ
๓.๑ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๕ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๒
เร่งขึ้นจากร้อยละ ๑.๕ ในปี ๒๕๖๔ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๖.๓
และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๓.๖ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐-๔.๐
โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจาก (๑) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (๒)
การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ (๓)
การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และ (๔)
การขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคเกษตร ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายร้อยละ
๓.๐ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๒.๔
ตามลำดับ และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ ๑.๐
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๑.๑ ของ GDP
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ณ เดือนตุลาคม 2565 | นร.11 สศช | 15/11/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ณ เดือนตุลาคม ๒๕๖๕
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การบริหารกรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ โดยกรอบวงเงินกู้แผนงานด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-๑๙
ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่แผนงานด้านการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-๑๙
สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
และแผนงานด้านการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ ๒.
ภาพรวมการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ โดยพระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ วงเงินกู้
๑,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว ๙๕๐,๑๙๓.๗๒๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๗๓
และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ วงเงินกู้ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว
๔๒๗,๑๒๒.๙๗๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๔๓ ๓.
ผลการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการ ได้แก่ ด้านการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-๑๙
เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มีผลการเบิกจ่าย ๖,๒๒๒.๑๓๙๕ ล้านบาท
ด้านการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชน เช่น การบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
(ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา) มีผลการเบิกจ่าย ๗๕๓,๖๐๓.๗๐๑๙ ล้านบาท
และด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เช่น การสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต
มีผลการเบิกจ่าย ๒๓,๓๕๖.๘๘๓๖ ล้านบาท ๔.
ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น ความล่าช้าในการดำเนินโครงการ ๕. ผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศโดยรวม เช่น การรักษากำลังซื้อของประเทศ และการพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กก. | 15/11/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน
ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๕ ณ
ราชอาณาจักรกัมพูชา ในรูปแบบผสมผสาน (One-site และ Online)
โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) การรับรองปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยการพลิกโฉมการท่องเที่ยวอาเซียนซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนต่อการส่งเสริมการฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวจะต้องนำเสนอต่อผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
ครั้งที่ ๔๐ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ กัมพูชา (๒)
การรับรองแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสามเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและมุมมองต่อมาตรการในการบรรเทาผลกระทบที่ดำเนินการโดยประเทศสมาชิกฯ
และหารือถึงแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับภูมิภาคเพื่อการเปิดภาคการท่องเที่ยวใหม่อีกครั้ง
(๓) การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕
และยินดีต่อการกำหนดให้ปี ๒๕๖๕ เป็นปีแห่งความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย
ในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๙ และ (๔)
การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-รัสเซีย ปี ๒๕๖๕-๒๕๖๗
และยินดีต่อการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-รัสเซีย
เป็นระดับรัฐมนตรีในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-รัสเซีย
ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา รายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง ติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (ห้วงเวลาการดำเนินการ 1 กรกฎาคม 2563 - 31 ธันวาคม 2564) ของคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา | สว. | 15/11/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
รายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง ติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (ห้วงเวลาการดำเนินการ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔)
ของคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว สรุปได้ว่า (๑)
โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก
หนอง นา โมเดล” กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน มีการกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการคัดเลือกพื้นที่เป้าหมายและผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ
(๒) โครงการ “๑ ตำบล ๑ กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่”
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ผลักดันโครงการดังกล่าวให้เป็นโครงการสำคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
(๓) โครงการ “ยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่ และเชื่อมโยงตลาด”
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ปรับปรุงกลุ่มเป้าหมายและวงเงินของโครงการอันเกิดจากอุปสรรคในพื้นที่ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนงานสำหรับการส่งเสริมคุณภาพสินค้าเพื่อยกระดับมาตรฐานให้กับกลุ่มเกษตรกร
(๔) โครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙ และโครงการรถ Mobile พาณิชย์...ลดราคา! ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงพาณิชย์ได้ขอปรับแก้ไขรายละเอียดในโครงการดังกล่าวให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง
โดยโครงการดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศรวม ๙๓.๑๓ ล้านบาท (๕)
โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และ (๖) โครงการกำลังใจ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิดตามโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่มีการกระทำการทุจริตฉ้อโกงที่เกิดขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยวในภาคต่าง
ๆ ทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2565) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 01/11/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๕) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๕ ขยายตัวที่ร้อยละ ๒.๔
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศโดยรวมปรับดีขึ้น
และเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี และ (๒) ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการดำเนินการ
เช่น การดำเนินนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ย
โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๐.๕๐ ต่อปี
เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การประเมินผลนโยบายสถาบันการเงินและกำกับดูแลสถาบันการเงินในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ซึ่งมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพิ่มเติม
โดยการต่ออายุมาตรการสินเชื่อรายย่อยและปรับเงื่อนไขสินเชื่อเพื่อรองรับผู้ประกอบธุรกิจ
และการประเมินนโยบายการชำระเงิน พบว่า แนวโน้มการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและมูลค่า
ส่วนการให้บริการผ่าน Mobile Banking/Internet
Banking ขยายตัวสูงสุดร้อยละ ๕๐.๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 28/2565 | นร.11 สศช | 25/10/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๘/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๕
ที่มีมติเกี่ยวกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ กรณีโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโรคโควิด ๑๙
และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับเตรียมความพร้อมในการรับมือและป้องกันโรคโควิด ๑๙
ของหน่วยบริการสุขภาพ
โดยเห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขขยายระยะเวลาโครงการ
จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๕ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๕
โดยในการจัดหายาในระยะเวลาที่เหลือของโครงการให้คำนึงถึงความสามารถในการบริหารระบบจัดการยาทั้งในส่วนของยาที่มีอยู่เดิมและที่จะจัดหาเพิ่มเติม
เพื่อไม่ให้หมดอายุก่อนหรือเสื่อมสภาพก่อน
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน
เป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | การรับรองเอกสารสำคัญ 2 ฉบับ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 40 และ 41 | กก. | 25/10/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อผลการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อตกลงยอมรับร่วมกันในคุณสมบัติของบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวอาเซียน
และร่างกรอบการดำเนินงานของอาเซียนด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) มีสาระสำคัญกล่าวถึงวิสัยทัศน์ระยะยาว
และการระบุเป้าหมายการดำเนินงานที่ครอบคลุม
รวมถึงเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
เพื่อส่งเสริมให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและมีคุณภาพส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
สวัสดิภาพ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้การรองรับผลการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวอาเซียนและร่างกรอบการดำเนินงานของอาเซียนด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) โดยการแจ้งเวียน (ad-referendum) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบการดำเนินงานของอาเซียนด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | การรับรองเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา หัวข้อ “การส่งเสริมบทบาทด้านวัฒนธรรมและศิลปะอาเซียนในยุคหลังการระบาดของโควิด-19 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ผ่านระบบการประชุมทางไกล | วธ. | 25/10/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ
ครั้งที่ ๑๐ (Draft Joint Media Statement of the 10th
AMCA) มีสาระสำคัญเป็นการแถลงผลการประชุม AMCA ครั้งที่ ๑๐ เกี่ยวกับการส่งเสริมบทบาทของวัฒนธรรมและศิลปะของอาเซียน
และการเสริมสร้างความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศคู่เจรจาอาเซียนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
และร่างถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรม (Joint
Ministerial Statement on Cultural Property Protection) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความมุ่งมั่นของรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะในการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอันเป็นมรดกร่วมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ทั้ง ๒ ฉบับ ในการประชุม AMCA ครั้งที่ ๑๐
และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๕
ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมฯ
และร่างถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | ขอความเห็นชอบการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ศธ. | 11/10/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน
(ASEAN Education Ministers Meeting-ASED) ครั้งที่ ๑๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างเอกสารแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน
ครั้งที่ ๑๒ (Joint Statement of the Twelveth ASEAN Education Ministers
Meeting) (๒)
ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียนกับประเทศบวกสาม ครั้งที่ ๖
(Joint Statement of the Sixth ASEAN Plus Three Education Ministers
Meeting) และ (๓) ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกด้านการศึกษา
ครั้งที่ ๖ (Joint Statement of the Sixth East Asia Summit Education
Ministers Meeting) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนให้ความเห็นชอบ
และรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง ๓ ฉบับ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง ๓ ฉบับ
เป็นความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนในการจัดการวิกฤตด้านการเรียนรู้ด้วยแนวทางที่ครอบคลุม
เพื่อพัฒนาการศึกษาของภูมิภาคให้มีความเข้มแข็งและยืดหยุ่น
โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการและนวัตกรรมระหว่างประเทศสมาชิก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของประเด็นด้านการศึกษาที่ควรผลักดันเพื่อเร่งฟื้นฟูระบบการศึกษาและส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนและนักศึกษาในภูมิภาคหลังวิกฤตการณ์โควิด
๑๙
รวมถึงออกแบบการศึกษาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกและการคาดการณ์ทิศทางการจัดการศึกษาในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง
๓ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SME ที่ทำการค้าระหว่างประเทศ | นร.53 | 27/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SME ที่ทำการค้าระหว่างประเทศ
โดยมีผลการดำเนินการ ระยะที่ ๑ เช่น การเข้ารับการอบรมของผู้ประกอบการ SMEจำนวน ๑,๒๘๖ ราย (เป้าหมาย ๒,๐๐๐
ราย) การสนับสนุนค่าธรรมเนียม FX Options และค่าธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศ
จำนวน ๓๙.๙๗ ล้านบาท (เป้าหมาย ๒๐๐ ล้านบาท)
และการสนับสนุนการประชาสัมพันธ์โครงการฯ จำนวน ๙.๘๒ ล้านบาท (เป้าหมาย ๒๕ ล้านบาท)
ซึ่งโครงการดังกล่าวมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น สถานการณ์โควิด-๑๙
ส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกและนำเข้าลดลง ทำให้ SME ไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ผู้ประกอบการบางส่วนไม่เข้าใจเกี่ยวกับบริการ FX Options
และการประชาสัมพันธ์ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจึงยกเลิกการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่
๒ (วงเงินส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๒๕ ล้านบาท) ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ
และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
ที่ควรคำนึงถึงเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นด้วย เช่น
การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบอื่น เช่น สินเชื่อเพื่อการส่งออก และการประกันการส่งออก
เป็นต้น และควรดำเนินการหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางการส่งเสริมด้านบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้ผู้ประกอบการ
SME
โดยนำปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานที่ผ่านมา นำมาปรับปรุงแผนการดำเนินโครงการดังกล่าว
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเป้าหมายที่กำหนดรวมถึงสร้างความตระหนักความสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการ
ตามข้อสั่งการของประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๕
และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | รายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 รอบ 6 เดือน ครั้งที่่ 1 | กค. | 27/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ รอบ ๖ เดือน
ครั้งที่ ๑ สรุปได้ ดังนี้ (๑) การจัดทำรายงานการประเมินผลฯ มีโครงการทั้งสิ้น ๑,๑๐๘ โครงการ ๓ แผนงาน ประกอบด้วย ๑)
เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ๒)
เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ภาคประชาชน เกษตรกร
และผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ และ ๓)
เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙
โดยคัดเลือกโครงการที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญที่แล้วเสร็จ จำนวน ๑๙ โครงการ (๒)
คณะกรรมการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ได้จัดทำรายงานการประเมินผลฯ ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๕ จำนวน ๑๙ โครงการ
ตามกรอบวงเงิน รวม ๘๐๕,๑๐๖.๕๕ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย รวม
๗๙๕,๗๗๘.๗๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๘๔ ของกรอบวงเงิน
โดยทั้ง ๑๙ โครงการ มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก
และสามารถสร้างมูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จำนวน ๒,๖๕๔,๙๕๔.๗๕ ล้านบาท มีรายได้กลับคืนภาครัฐ จำนวน ๕๑๒,๔๐๖.๒๖
ล้านบาท โดยมีผลการประเมินระดับแผนงาน เช่น แผนงานที่ ๑
แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-๑๙
แผนงานที่ ๒ แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร
และผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ และแผนงานที่ ๓
แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต [กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ 2) | สธ. | 27/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) ครั้งที่ 12/2565 | นร.04 | 27/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ | มท. | 20/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการขยายระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว
ซึ่งจะเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้แก้ไขร่างประกาศฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากนักท่องเที่ยวอาจใช้ช่องทางนี้ในการเดินทางเข้าประเทศเพื่อจุดประสงค์อื่น
เพื่อหลีกเลี่ยงขั้นตอนและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมวีซ่าหรือค่าธรรมเนียมการต่อวีซ่า
และการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย
ตลอดจนบูรณาการการทำงานในการกำหนดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวควบบคู่กับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวกับความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชนในประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | การพิจารณายกเลิกการกำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 (4) หรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 (ร่างกฎกระทรวงกำหนดโรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร หรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | มท. | 20/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2565 | นร.11 สศช | 13/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง
ปี ๒๕๖๕ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสอง ปี ๒๕๖๕
เช่น สถานการณ์แรงงานมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและอัตราการว่างงานลดลงต่ำสุดตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๕ มีมูลค่า ๑๔.๖๕
ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๓.๖ ซึ่งลดลงจากไตรมาสก่อน ส่วนด้านความสามารถในการชำระหนี้ทรงตัว
และการเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจากโรคที่มาจากฤดูฝน
นอกจากนี้ควรติดตามและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงอย่างใกล้ชิดและกำชับประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลป้องกันตนเองจากโควิด-๑๙
(๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑) รู้จักรู้ทันผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
๒) พฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่ในตลาด Cryptocurrency
และ ๓) การทำงานของผู้สูงอายุตอนต้น กลุ่มที่ต้องการให้ความสำคัญ
และประเด็นที่ต้องการคำนึงถึง และ (๓) บทความเรื่อง “วิกฤติความมั่นคงทางด้านอาหาร
: มาตรการและแนวทางยกระดับให้ไทยมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน”
มีประเด็นที่ไทยต้องให้ความสำคัญ เช่น การมีอาหารเพียงพอ การเข้าถึงอาหาร
การใช้ประโยชน์จากอาหาร ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | เอกสาร “การสนับสนุนร่วมเพื่อการฟื้นฟูภาคการบินพลเรือน” | คค. | 13/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเอกสาร
“การสนับสนุนร่วมเพื่อการฟื้นฟูภาคการบินพลเรือน”
และให้กระทรวงคมนาคมแจ้งการรับรองให้กระทรวงคมนาคมของสาธารณรัฐสิงคโปร์เพื่อทราบการรับรองเอกสารดังกล่าวของประเทศไทย
โดย เอกสาร “การสนับสนุนร่วมเพื่อการฟื้นฟูภาคการบินพลเรือน” มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในฟื้นฟูภาคการบินพลเรือนในภูมิภาคอาเซียน
โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูและอำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประเทศในมิติต่าง ๆ เช่น
การสนับสนุนการพัฒนาตลาดการบินเดียวอาเซียน
การส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ปฏิบัติงานด้านการบินพลเรือน
ซึ่งรวมถึงการยอมรับใบรับรองการฉีดวัคซีนโรคโควิด-๑๙ ของประเทศสมาชิกอาเซียน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 | ตช. | 06/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน
๑๔๑.๔๒ ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม
ระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการอย่างสุจริต โปร่งใส มีประสิทธิภาพ
ตรวจสอบได้
รวมทั้งให้พิจารณาจัดอัตรากำลังพลในการปฏิบัติภารกิจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมให้มีความเหมาะสม
ประหยัด และสอดคล้องกับสถานการณ์การชุมนุมสาธารณะที่มีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการ
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่เห็นว่าหากมีการพิจารณาตรวจสอบรายการ
กลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด จะทำให้การสนับสนุนงบประมาณเกิดประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องอยู่บนพื้นฐานการกระทำที่ได้สัดส่วนและการกระทำเท่าที่จำเป็น
โดยคำนึงถึงความสมดุลในการรักษาความมั่นคงของประเทศควบคู่กับการรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้เหมาะสมตามหลักนิติรัฐ
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2565 (Ministers Responsible for Trade Meeting 2022) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 06/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๕ (Ministers
Responsible for Trade Meeting 2022) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่
๑๙-๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน
และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความเห็นและดำเนินการในประเด็นสำคัญ เช่น (๑)
การหารือภาครัฐ-ภาคเอกชนระหว่างรัฐมนตรีการค้าเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC
Business Advisory Council : ABAC) เกี่ยวกับการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก
(Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องในประเด็นต่าง ๆ เช่น การใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
(Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) และความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership : CPTPP)
เป็นแนวทางในการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free
Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) และ (๒)
วาระการอยู่ร่วมกับโควิด-๑๙ และอนาคต
โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นสำคัญที่จะเป็นแนวนโยบาย/มาตรการเพื่อส่งเสริมให้เขตเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวจากโควิด-๑๙
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาปรับแก้ถ้อยคำภาษาไทยของแถลงการณ์ประธานรัฐมนตรีการค้าเอเปคในบางถ้อยคำ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับประเด็นการขจัดการอุดหนุนน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ไม่มีประสิทธิภาพในปี
๒๕๖๕ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2564 | สสส. | 23/08/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ประจำปี ๒๕๖๔ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา มีผลการดำเนินการที่สำคัญ
ประกอบด้วย (๑) ผลงานเด่นในปี ๒๕๖๔ เช่น การทำงานสร้างเสริมสุขภาวะในสถานการณ์
“โควิด-๑๙” และการพัฒนาเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลงสุขภาวะ” (๒)
ผลการดำเนินงานตามเป้าประสงค์ ๖ ประการ เช่น เป้าประสงค์ที่ ๑ ลดปัจจัยเสี่ยงหลัก
โดยพัฒนาคู่มือ สำหรับผู้ปฏิบัติงานควบคุมยาสูบตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป้าประสงค์ที่ ๒ พัฒนากลไกที่จำเป็นเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพอื่น ๆ
โดยพัฒนาองค์ความรู้เพื่อขับเคลื่อนกลไกงานคุ้มครองผู้บริโภคในช่วงการระบาดของโควิด-๑๙
และช่วยสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้แก่ประชาชน และ (๓) การตรวจสอบ
ติดตามและประเมินผลการทำงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำหรับปีสิ้นสุด
ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ
|