ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 497 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 11/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๔๑) ลงวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์และการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม
โดยขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรคภายใต้มาตรการข้อกำหนดฯ
(ฉบับที่ ๓๗) ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป รวมทั้งดำเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งหน่วยงานหรือสถานประกอบการ
(Work From Home) ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้น ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๑/๒๕๖๕ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุม
และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๘ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๖๕
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ ยกเลิกพื้นที่เฝ้าระวังสูง และกำหนดพื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น ๖๙ จังหวัด
และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้น ๒๖ จังหวัด (พื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว
ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดชลบุรี
จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต) ๓.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒/๒๕๖๕ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๑)
ลงวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕ มีสาระสำคัญเป็นการระงับการลงทะเบียนการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
ยกเว้นกรณีการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
และรับการลงทะเบียนการเดินทางเข้าราชอาณาจักรในพื้นที่จังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (เฉพาะเกาะเต่า เกะพะงัน และเกาะสมุย)
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้นไป
โดยให้มีหลักฐานการชำระค่าที่พักหรือสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนดอย่างน้อย ๗
วัน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 1/2565 | นร.04 | 11/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๕ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ
ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒) ความก้าวหน้าการเปิดประเทศ
และการดำเนินการสำหรับพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว (Sandbox) (๓) การปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ และมาตรการป้องกันควบคุมโรค (๔) การปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร
(๕) แผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 และแผนการจัดหายารักษาโรคโควิด-19 (ยาต้านไวรัส
Paxlovid) (๖) แนวทางการยกระดับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ (๗) การจัดกิจกรรมการสอบของหน่วยงานภาครัฐ และ (๘) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (Covid-19)] (ฉบับที่ 7) | สธ. | 11/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด
19 [Coronavirus Disease 2019 (Covid-19)] (ฉบับที่ ๗) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขรายการซ้ำซ้อน
การแก้ไขลำดับ/รหัส/หน่วยของรายการ รวมถึงการปรับแก้อัตราค่าบริการบางรายการ
โดยเฉพาะค่าตรวจ Covid-19 Real
time และค่าห้องพัก (กรณี Hospitel)
ให้ลดลงจากเดิม เพื่อให้เป็นราคาเดียวกันกับค่าใช้จ่ายกรณี Hospitel Isolation
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสม
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำกับ ติดตาม
ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพตามหลักเกณฑ์ฯ
และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
พร้อมกับดำเนินการใหเป็นไปตามหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายของกระทรวงการคลังด้วย และการปรับลดหลักเกณฑ์ดังกล่าวควรคำนึงถึงคุณภาพ
การให้บริการเป็นสำคัญ
เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริการและการให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลของประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-๑๙
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2564 | นร.11 สศช | 04/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๒๐/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๔
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย จำนวน ๑๐,๔๖๘,๑๐๐ โดส (AstraZeneca) ของกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงิน ๑,๔๑๖.๕๔๓๒ ล้านบาท
โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการ กลุ่มที่ ๑ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้สามารถจัดหาวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป ๒. มอบหมายให้กรมควบคุมโรค
ดำเนินการปรับแผนการใช้จ่ายเงินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไป และจัดทำแผนบริหารจัดการและแผนการใช้วัคซีนในแต่ละประเภทสำหรับแต่ละกลุ่มประชากร
เพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนที่จัดหามาเกิดประโยชน์สูงสุด
รวมทั้งเร่งดำเนินการคืนเงินกู้เหลือจ่ายและจัดทำรายงานการประเมินผลการดำเนินโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม
จำนวน ๓๕ ล้านโดส ตามขั้นตอนข้อ ๑๙ และ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๓. อนุมัติให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ของกระทรวงศึกษาธิการ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการฯ
โดยขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จาก เดือนสิงหาคม - ธันวาคม ๒๕๖๔ เป็น เดือนสิงหาคม
๒๕๖๔ - กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ เร่งดำเนินการเบิกจ่ายและแก้ไขข้อมูลโครงการฯ
ในระบบ eMENSCR โดยเร็วต่อไป และให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมควบคุมโรค)
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีประสิทธิภาพ
คุ้มค่า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์อัตราค่าใช้จ่าย
และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายและให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผล
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เห็นควรมอบหมายให้กรมควบคุมโรค
และหน่วยงานรับผิดชอบภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ของกระทรวงศึกษาธิการ เร่งดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการฯ
โดยเคร่งครัดตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | การดำเนินโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 | กค. | 04/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดสร้างสวนป่า
“เบญจกิติ” ระยะที่ ๒-๓ สรุปได้ ดังนี้ (๑) คณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า
“เบญจกิติ” ในคราวประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๔
ได้มีมติเห็นชอบการปรับแผนงานการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ ๒-๓ โดยขยายระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จสมบูรณ์จากเดิมภายในเดือนกุมภาพันธ์
๒๕๖๕ เป็นภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
โดยจะมีพิธีเปิดโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ ๒-๓ ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (๒) ผลการก่อสร้างสวนป่า“เบญจกิติ” ระยะที่ ๒-๓ มีผลการดำเนินงานในภาพรวมร้อยละ ๖๓.๗๑
ของปริมาณงานตามแผนงานล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๓.๕๐ ณ วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 04/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานประจำเดือนกรกฎาคม-กันยายน
๒๕๖๔ โดยมีผลการดำเนินงานของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น (๑) กระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา
จิตอาสาภัยพิบัติและจิตอาสาเฉพาะกิจ (๒) กระทรวงการคลัง
จัดกิจกรรมจิตอาสาร่วมบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทย และกิจกรรมสร้างงานสร้างอาชีพภายใต้แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของชุมชนสำคัญ
(๓) กระทรวงพาณิชย์ จัดกิจกรรมมอบของจำเป็นภายใต้โครงการ “DNT ร่วมใจ สู้ภัย โควิด”
และกิจกรรมพาณิชย์ร่วมใจ ห่วงใยสิ่งแวดล้อม บริจาคสิ่งของใช้แล้ว (๔)
กระทรวงมหาดไทย
จัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
และจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย
และ (๕) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จัดตั้งศูนย์พักคอยและสถานที่กักตัวในชุมชน
และการเร่งตรวจเชิงรุกให้แก่ประชาชน
และเตรียมการวางแผนปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยา ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนกรกฎาคม - ตุลาคม 2564 | นร.02 | 04/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง
โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี
และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์
ประจำเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม ๒๕๖๔ และมอบให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี
แถลงข่าวและชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์
ซึ่งกรมประชาสัมพันธ์ได้มีการประชาสัมพันธ์และชี้แจงในประเด็นการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)
และมาตรการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-๑๙
ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2564 | นร.11 สศช | 28/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๔ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑)
ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๔ เช่น ผู้มีงานทำลดลงร้อยละ ๐.๖
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และหนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า ๑๔.๒๗ ล้านล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๐ จากร้อยละ ๔.๗ ในไตรมาสก่อนหรือคิดเป็นร้อยละ ๘๙.๓ ต่อ GDP (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๓
เรื่อง ได้แก่ ๑) มรดกทางวัฒนธรรม โอกาสของ Soft Power กับการยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย
๒) Blockchain กับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ
และ ๓) จัดการปัญหาน้ำท่วมในต่างประเทศ : บทเรียน สำหรับประเทศไทย และ (๓)
บทความเรื่อง “โควิด-๑๙ ภัยต่อสุขภาพ กับความยากจนและความเหลื่อมล้ำ”
ซึ่งพบว่าความยากจนไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเหมือนที่คาดการณ์ไว้
ส่วนความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
โดยเป็นผลจากมาตรการช่วยเหลือเยียวของรัฐบาลที่ทำให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถรักษาระดับค่าครองชีพได้ชั่วคราว
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ที่ 25/2564 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) | นร.05 | 28/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด–19) ที่
๒๕/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๐) ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด–19
ส่งมาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
ประเภทผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล
และประเภทผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวหรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
กลายพันธุ์สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ได้แก่
ระงับการลงทะเบียนการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร (Thailand Pass) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๑๔ วัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๒
ธันวาคม ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๕
ยกเว้นกรณีการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
และปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรที่ได้ลงทะเบียนและได้รับอนุมัติให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
ให้มีหลักฐานการชำระค่าที่พักหรือสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนดอย่างน้อย ๗ วัน
และค่าตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT-PCR จำนวน ๑ ครั้ง
และให้เข้ารับการตรวจเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR
ครั้งที่ ๒ เป็นต้น ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๒
ธันวาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | การทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 | กค. | 28/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๔
คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้พิจารณาพื้นที่ทางการคลัง ณ
เพดานหนี้สาธารณะปัจจุบัน พบว่า การกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP
ณ เพดานปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ ๖๐ นั้น
จะไม่สามารถรองรับการกู้เพิ่มเติมในอนาคตได้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-๑๙
ส่งผลให้เงื่อนไขและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความแตกต่างจากเมื่อครั้งที่มีการกำหนดสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น
คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐจึงมีมติเห็นชอบการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะต่อ
GDP จากเดิมที่กำหนดไว้ ต้องไม่เกินร้อยละ ๖๐ เป็น ต้องไม่เกินร้อยละ
๗๐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 19/2564 | นร.11 สศช | 28/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เสนอเพิ่มเติมว่า
โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ๑๙
ในปัจจุบันมีแนวโน้มลดลงอัตราครองเตียงในสถานพยาบาลภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าจะสมควรให้การให้สิทธิ
UCEP กลับเข้าสู่ระบบปกติ หรือไม่
และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ)
ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องนี้ไปพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและกรอบเวลาในการให้การใช้สิทธิ
UCEP กลับเข้าสู่ระบบปกติ
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๙/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้มีการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
รวมทั้งการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ
เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เร่งดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย และในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
เห็นควรให้เร่งเสนอยกเลิกโครงการต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณา
เพื่อให้การบริหารเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้
ในส่วนของการให้การใช้สิทธิ UCEP กลับเข้าสู่ระบบปกตินั้น
ให้เป็นไปตามข้อ ๑ ๓.
ให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 21/2564 | นร.04 | 28/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๔ เมื่อวันอังคารที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒) การปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับสถานการณ์การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน เช่น การปรับมาตรการสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร การปรับมาตรการสำหรับคนในประเทศ และมาตรการอื่น ๆ ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | แผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พุทธศักราช 2564 ให้แก่ประชาชน | กห. | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พุทธศักราช ๒๕๖๕ ให้แก่ประชาชน ตามโครงการ “เติมความสุขให้คนไทย
ตามแนวทางวิถีชีวิตใหม่ จากใจทหาร”
ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่ดำเนินการในห้วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม
๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๕ และกิจกรรมที่จะดำเนินการตลอดห้วงปีพุทธศักราช ๒๕๖๕
โดยนำศักยภาพของหน่วยทหารในแต่ละพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน อาทิ
การสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
การสนับสนุนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไสรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด 19)
การจัดตั้งจุดบริการช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว
การให้บริการและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่
การเปิดแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ในเขตทหารทั่วประเทศ
การจัดตั้งจุดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19
การเปิดพื้นที่หน่วยทหารจำหน่ายสินค้าราคาถูกและรองรับผลผลิตของเกษตรกร
การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง
จะมีการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายตามแนวชายแดน
ตลอดจนรณรงค์มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 28 | กค. | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๘ และถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ ๒๘
เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนิวซีแลนด์ (นาย Grant Robertson) เป็นประธาน
พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกเอเปคทั้ง
๒๑ เขตเศรษฐกิจ ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมการประชุม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ผลการประชุมฯ ครั้งที่ ๒๘ มีการหารือที่สำคัญ เช่น
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การรับมือกับโควิด-๑๙
เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนและครอบคลุม ที่ประชุมสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายการเงิน
การคลัง เพื่อรับมือกับผลกระทบของโควิด-๑๙
การใช้นโยบายการคลังและการบริหารงบประมาณเพื่อรับมือกับความท้าทาย
ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการดำเนินนโยบายการคลังและการบริหารงบประมาณในการรับมือกับโควิด-๑๙
ที่ประชุมได้รับรองแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเซบูฉบับใหม่
ซึ่งได้นำวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. ๒๐๔๐ และมาตรการรองรับสถานการณ์ของโควิด-๑๙ มาเป็นปัจจัยในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเซบูฉบับใหม่ และ (๒) ถ้อยแถลงร่วมฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ของการประชุมฯ ครั้งที่ ๒๘ โดยมีการปรับปรุงถ้อยคำ
เพื่อให้มีความเหมาะสมและสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น โดยไม่กระทบสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๔๐) ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์และการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเป็นไปตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล
โดยขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรคจำแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์
(พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว) ต่อเนื่องไปอีกเป็นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕
และปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการทั่วราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่
ซึ่งกำหนดให้ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มสามารถเปิดบริการเพื่อการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ตามเวลาเปิดทำการปกติในวันที่
๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ จนถึงเวลา ๐๑.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕
และปรับปรุงมาตรการกำหนดประเภทของผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๓/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง
และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๖๔
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ ยกเลิกพื้นที่ควบคุมสูงสุด และกำหนดพื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง
รวมทั้งสิ้น ๓๐ จังหวัด และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้น ๒๖ จังหวัด
(เพิ่มจังหวัดชลบุรีทั้งจังหวัด) ๓.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๔/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๙) ลงวันที่
๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันโรคและหลักเกณฑ์การดำเนินการในสถานที่กักกันซึ่งทางราชการกำหนดให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19
ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ๖ ประเภท ได้แก่ ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล
เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2564 | นร.11 สศช | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาข้อเสนอแนวทางการดำเนินการตามมาตรา
๖ แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (ครั้งที่ ๒)
และการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
รวมทั้งการพิจารณาข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๑)
แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๒) จำนวน ๖๐,๐๐๐
ล้านบาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ๑.๒ อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๓๐,๐๐๒,๓๑๐ โดส (Pfizer) ปี พ.ศ.
๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๖,๒๙๗,๗๐๐,๖๐๐ บาท และโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca)
ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๘,๗๖๒.๕๑๖๐ ล้านบาท ของกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และมอบหมายให้กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้
พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ อนุมัติโครงการเยียวยาผู้ประกันตนในกิจการสถานบันเทิงและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐของสำนักงานประกันสังคม
กระทรวงแรงงาน กรอบวงเงิน ๖๐๗.๑๕๕๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่
๒ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง
ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเคร่งครัด นอกจากนี้ มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของคณะกรรมการฯ
ไปประกอบการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ อนุมัติโครงการ
Thailand Festival Experience ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรอบวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการ
กลุ่มที่ ๓ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้
เห็นควรให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด
-๑๙ อย่างเคร่งครัดและดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ฯ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ มอบหมายให้กรมการจัดหางานดำเนินโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ
SMEs ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับธุรกิจ SMEs สมัครเข้าร่วมโครงการฯ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ของประเทศเปลี่ยนแปลงไปจากในปัจจุบัน จนทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องประกาศมาตรการควบคุมไม่ให้สถานบันเทิงเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่
๑๖ มกราคม ๒๕๖๕
เห็นควรมอบหมายให้กรมการจัดหางานพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ
เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๖ อนุมัติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด
๑๙ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยการเพิ่มจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
จํานวน cn Comm จำนวน ๖,๒๑๘ คน กรอบวงเงิน
๑๒.๔๓๖๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินของโครงการในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม และวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ และขยายระยะเวลาโครงการในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
เป็นสิ้นสุดในเดือนมกราคม ๒๕๖๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อให้ภาครัฐสามารถให้ความช่วยเหลือนักเรียนและผู้ปกครองได้อย่างครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
ทั้งนี้
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการฯ
แล้ว เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในระบบ
eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการต่อไป ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า
๑) ขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้กฎหมายข้อบังคับและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
๒) เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้
ขอให้กระทรวงต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
และติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการและกรอบวงเงินกู้
และมีมติให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการแล้ว ขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำและปรับปรุงแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้รายเดือนให้เป็นปัจจุบันเพื่อให้กระทรวงการคลังบริหารเงินกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้จ่ายจริง
และบริหารหนี้สาธารณะให้มีต้นทุนที่เหมาะสมต่อไป และ ๓) เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัด สำหรับโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีกหากมีเงินเหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบและส่งคืนเงินเหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลังโดยเร็ว ๒.๒ สำนักงบประมาณเห็นว่า
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีประสิทธิภาพคุ้มค่าและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์อัตราค่าใช้จ่าย
และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ
ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายและให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน ๒.๓ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๓.๑ เร่งดำเนินการโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยใช้แหล่งเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นลำดับแรกก่อน เพื่อมิให้เสียโอกาสในการพิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ให้กับโครงการอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๒.๓.๒ ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการโดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณจัดสรรเหลือจ่าย
การโอนเงินจัดสรร และหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ให้หน่วยงานรับผิดชอบรายงานการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ทราบภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่มีการโอนเงินจัดสรรและหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถบริหารเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการฯ
ตามข้อ ๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔)
ต่อไป ๒.๓.๓ ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้หรือดำเนินโครงการแล้วเสร็จให้เร่งเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
พิจารณาตามขั้นตอนของข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | รายงานผลการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | นร.12 | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (มาตรการฯ) พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการฯ
เพื่อให้หน่วยงานพิจารณาดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายใต้กรอบของกฎหมายของแต่ละหน่วยงานในกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ยังไม่คลี่คลาย ดังนี้ อำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตหรือขอรับบริการ
ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในกรณีการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตหรือขอรับบริการ
เช่น ขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาต ขยายอายุใบอนุญาต
ขยายระยะเวลาการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต
พัฒนาการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปแบบ งดหรือยกเว้นหรือลดค่าปรับ
เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ค่าบริการหรือค่าธรรมเนียม เป็นต้น ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.
เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานของรัฐควรพิจารณาดำเนินการตามมาตรการฯ ให้สอดคล้องกับการรักษาประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐและประชาชนในการขอรับบริการจากหน่วยงานของรัฐควบคู่ไปด้วย
การดำเนินมาตรการต่าง ๆ ตามมาตรการฯ ต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมายของหน่วยงาน
และพิจารณาเสนอกฎหมายกลางเพื่อให้ส่วนราชการมีอำนาจขยายระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดได้
และส่งเสริมการแก้ไขกฎหมายที่เป็นข้อจำกัดในการพัฒนาและการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการให้บริการประชาชนเพื่อมุ่งสู่การยกระดับงานบริการรองรับการเป็นรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้มาตรการฯ
ในระดับพื้นที่และภูมิภาคให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
และมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุญาตที่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในกฎหมาย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2563 | พม. | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและเห็นชอบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๖๓
โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ผู้สูงอายุ การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในไทย
ผลกระทบของโควิด-๑๙ และมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐต่อผู้สูงอายุในไทย
สถานการณ์เด่นในรอบปี ๒๕๖๓ งานวิจัยเพื่อสังคมผู้สูงอายุ
รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขภาพ
ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านที่อยู่อาศัย ด้านบริการทางสังคมทั่วไป
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายต่อไป
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน
และกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นผลกระทบจากโควิด-๑๙
ต่อผู้สูงอายุไทย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวใน ๓ ประเด็น ได้แก่
การถดถอยลงของทักษะแรงงาน การกลายเป็นแรงงานนอกระบบ และปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ควรพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
ควรพิจารณาเร่งสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจให้ผู้สูงอายุและครอบครัว
และพัฒนาระบบบำนาญแห่งชาติ ควรนำผลการศึกษาโครงการวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งข้อมูลการดำเนินงานของหน่วยงานประกอบเป็นข้อมูลการจัดทำรายงานในครั้งต่อไป
และควรมีการบูรณาการข้อมูลชองผู้สูงอายุระหว่างหน่วยงานที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสถิติให้มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | มาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 (มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565) | กค. | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและรับทราบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี ๒๕๖๕
(มาตรการของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๔ ร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. .... )
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ๒.๕ ร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. .... )
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ รวม ๕ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์หรือที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน
สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓.๔ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. การจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยและมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า กรณีจะให้มีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมาตรการดังกล่าว
ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไปนั้น ตามวินัยการคลังภาครัฐ และวิธีการงบประมาณ
การจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยรับงบประมาณต่าง ๆ
ต้องมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เกิดผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
และต้องคำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะกรณีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเป็นไปเพื่อสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลและจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่
โดยคำนึงถึงความสามารถในการจัดหารายได้
ซึ่งรายได้ที่จะได้มานั้นรัฐต้องดำเนินการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ของตนเองผ่านระบบภาษีหรือการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสม
รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาการหารายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เพียงพอกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า
ภาระการคลังและงบประมาณ
รวมทั้งความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่การคลังของรัฐอย่างยั่งยืนและรอบคอบ
การสูญเสียรายได้และภาระทางการคลังในอนาคตจะต้องเป็นไปเท่าที่จำเป็น
โดยระบบภาษีหรือการจัดเก็บภาษีจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
สอดคล้องกับสถานการณ์และภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปีงบประมาณด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ ๕.๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ๕.๑.๑ เห็นควรให้ความเห็นชอบมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา
ยาสูบและไพ่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐
เพื่อช่วยเหลือและลดภาระในการดำเนินกิจการให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ของภาครัฐ ๕.๑.๒ เห็นควรให้ความเห็นชอบมาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น
เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการสายการบิน
และช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมสายการบินในประเทศ
อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้ผู้ประกอบการสายการบินสามารถรักษาสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและรักษาระดับการจ้างงานไว้ได้
ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-๑๙
เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ๕.๑.๓ เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการช้อปดีมีคืน
ปี ๒๕๖๕ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ตลอดจนเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีและผู้ประกอบกิจการการผลิตสินค้าท้องถิ่น
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังควรมีการประเมินผลการดำเนินมาตรการ
"ชิมช้อปใช้" ทั้งในด้านจำนวนผู้ที่ใช้สิทธิ์ ความคุ้มค่า
และการเพิ่มขึ้นของตัวทวีคูณ (Multiplier Effect ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจากการดำเนินมาตรการ
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการจัดทำมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับรูปแบบกิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา
นอกจากนั้น สำนักงานฯ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายในประเทศในปี ๒๕๖๕ ยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙
สายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) ในขณะที่ฐานะการคลังเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น
ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนระยะเวลาดำเนินการ
เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขความเสี่ยงจากการระบาดของโรคและมีความยืดหยุ่นต่อการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-๑๙ ๕.๑.๔ เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย
เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่เหมาะสมกับศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
พร้อมทั้งส่งเสริมการซื้อขายที่อยู่อาศัยทั้งที่อยู่อาศัยใหม่สร้างเสร็จพร้อมขายและที่อยู่อาศัยเก่ามือสอง
รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสาขาก่อสร้างโดยเฉพาะหมวดการก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ซึ่งจะสนับสนุนการจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง. ๕.๑.๕ เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือลูกหนี้ตามศักยภาพของลูกหนี้แต่ละรายและช่วยให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
รวมทั้งสนับสนุนขีดความสามารถในการให้สินเชื่อของเจ้าหนี้และสถาบันการเงินอย่างไรก็ดี
สำนักงานฯ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า เห็นควรกำหนดระยะเวลาในการดำเนินมาตรการเป็นคราวละ
๑ ปี และให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
เพื่อให้การดำเนินมาตรการมีความยืดหยุ่น
สามารถรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ได้ ๕.๑.๖ เห็นควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรงบประมาณจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อันเนื่องมาจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา ยาสูบและไพ่
การดำเนินการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามความเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ สำนักงานๆ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า
เพื่อลดข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีและการดำเนินมาตรการด้านการคลังในระยะถัดไปในภาพรวม
อันเนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่ลดลงจากการดำเนินมาตรการทางการคลัง
เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเมินผลของการดำเนินมาตรการทางภาษีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อนำมาทบทวน/ปรับปรุง /หรือยกเลิกมาตรการทางภาษีที่หมดความจำเป็น
เพื่อให้การดำเนินมาตรการมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
และเพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ทางการคลังสำหรับการดำเนินมาตรการที่มีความจำเป็นต่อไป ๕.๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า
โครงการของขวัญปีใหม่ปี ๒๕๖๕ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ
จะสามารถช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของลูกหนี้
สร้างโอกาสให้ลูกหนี้ได้รับสินเชื่อใหม่เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจ ตลอดจนจูงใจให้ลูกหนี้ได้รับประโยชน์จากการมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี โครงการดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระยะสั้น
สถาบันการเงินเฉพาะกิจควรพิจารณาการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้โดยเฉพาะเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
ทั้งนี้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาจัดเตรียมมาตรการเพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้น
ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
รวมทั้งควรจัดเก็บข้อมูลเพื่อติดตามประสิทธิภาพในการดำเนินมาตรการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | ของขวัญปีใหม่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำหรับประชาชน ปี พ.ศ. 2565 | พม. | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำแผนงาน/โครงการ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำหรับประชาชน ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้แก่ (๑) การสร้างอาชีพใหม่หลังโควิด เช่น
พี่สอนน้องคล่องธุรกิจ พิชิตฝัน การประกอบอาชีพเป็นเชฟ การขายของออนไลน์ (๒) “Big Smile เพื่อรอยยิ้ม” เป็นกิจกรรมเพื่อสร้างและส่งมอบความสุขให้เด็กกลุ่มเปราะบาง
และเด็กกำพร้า และ (๓) เพิ่มช่องทางรับแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย แจ้งปัญหาสังคม
และการขอรับบริการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผ่านเว็บไซต์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม
Line OA พม. Facebook และลิงค์จาก Application ทางรัฐ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|