ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 497 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | แนวทางการดำเนินงานส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2565 (Visit Thailand Year 2022) | กก. | 16/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย ๒๕๖๕ (Visit Thailand Year 2022)
เพื่อเป็นแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-19) ที่ได้ส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ
รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจในการนำรายได้เข้าประเทศเพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภาพรวมและสังคมของประเทศ
เพื่อประกาศความพร้อมของประเทศในการพลิกโฉม เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในปี ๒๕๖๕
สร้างจุดขายที่แตกต่างให้กับประเทศไทย พร้อมยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในฐานะ
Quality Destination สู่การเป็น Preferred
Destination และดึงดูด
เชิญชวนและกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายให้เกิดความสนใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
182 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 | นร.11 สศช | 09/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) อนุมัติโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด ๑๙) (ด้านไฟฟ้าและด้านน้ำประปา) จำนวน ๔ โครงการ ของการไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค กรอบวงเงินรวม ๑๒,๗๗๑.๑๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่
๒ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (๒) มอบหมายให้การไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการจัดทำข้อเสนอโครงการ
เสนอให้คณะกรรมการพิจารณาเป็นการล่วงหน้า เพื่อให้หน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินกู้ได้ตามแผนงานและวัตถุประสงค์
ควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการทั้งในช่วงระหว่างการดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
183 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 6 | กษ. | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ที่ประชุมได้รับรอง ๑)
แถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ซึ่งมีสาระสำคัญ เช่น การรับทราบผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-๑๙ ในด้านความมั่นคงอาหาร และ๒) แผนงานความมั่นคงอาหารเอเปคมุ่งสู่ปี
ค.ศ. ๒๐๒๓ ซึ่งมีการผลักดันประเด็นความมั่นคงอาหาร เช่น
การมุ่งให้เอเปคเป็นผู้นำระดับโลกในการนำนวัตกรรมมาใช้ในระบบอาหาร
และความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน (๒)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแถลงการณ์ฯ และแผนงานความมั่นคงอาหารฯ แล้ว เห็นว่า ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือมีนัยสำคัญที่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย (๓)
ถ้อยแถลงเกี่ยวกับนโยบายของไทย เช่น
ไทยให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิมมาเป็นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้นและการจัดตั้งศูนย์เกษตรแห่งชาติ
และ (๔) ถ้อยแถลงสมาชิกเอเปค จาก ๘ ประเทศ เช่น การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเกษตรและการจัดทำยุทธศาสตร์ระบบอาหารสีเขียว
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
184 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2564 | กษ. | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๔ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบโครงการสำคัญ ได้แก่
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๓ และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) เพื่อรับซื้อยางจากเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง รวมทั้งเห็นชอบการดำเนินการที่สำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง
เช่น การขอรับเงินอุดหนุนและส่งเสริมสนับสนุนการปลูกแทนเพิ่มเติม
โครงการควบคุมปริมาณการผลิต
การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ราคายางพาราตกต่ำอันเนื่องมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) และการเพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
รวมทั้งรับทราบผลการระบายยางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
185 | ร่างบันทึกการประชุมและร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ลาว ครั้งที่ 22 | กต. | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกการประชุมและร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement)
ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๒ ณ กรุงเทพฯ
ระหว่างวันที่ ๓-๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เพื่อให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างบันทึกการประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
สปป. ลาว ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และกระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่แถลงข่าวร่วมฯ
ต่อสาธารณชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม โดยร่างบันทึกการประชุมและร่างแถลงข่าวร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่จะส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้านทั้งในกรอบทวิภาคและพหุภาคีเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในฐานะ
“หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ให้มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม
และประเด็นที่สำคัญที่จะผลักดันความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
เช่น การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว
การส่งเสริมความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและด้านมาตรฐานและกฎระเบียบต่าง ๆ
การส่งเสริมการค้าขายชายแดนและการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมและร่างแถลงข่าวร่วมของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ลาว
ครั้งที่ ๒๒ จำนวน ๒ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการจัดการประชุมดังกล่าว
ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจเร่งด่วนตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านการต่างประเทศ
และค่าใช้จ่ายในการเจรจาและการจัดประชุมนานาชาติ
ที่ได้ตั้งบประมาณรองรับไว้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
186 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 17/2564 | นร.04 | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
(ศบค.) ครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๔ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๔ สรุปได้ดังนี้ ๑)
รายงานสถานการณ์และคาดการณ์แนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ๒) รายงานการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19
ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๓) การจัดงานเทศกาลลอยกระทง ประจำปี ๒๕๖๔
ภายใต้มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ๔)
ความก้าวหน้าแผนรองรับการเปิดประเทศและการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ๕) แผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19
๖) การปรับพื้นที่สถานการณ์และปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการในพื้นที่ ๗)
การปรับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่
๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และ ๘) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
187 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร 05 | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑.
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๗) ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์ขึ้นใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและกำหนดมาตรการควบคุมแบบบูรณาการจำแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์
(พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม
พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว)
และห้ามออกนอกเคหสถานในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็นต้น ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๑๙/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวัง ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม
๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น ๗ จังหวัด (จังหวัดจันทบุรี
จังหวัดตาก จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา)
พื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมทั้งสิ้น ๓๘ จังหวัด พื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น ๒๓ จังหวัด
และพื้นที่เฝ้าระวังสูง รวมทั้งสิ้น ๕ จังหวัด ๓.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๐/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๘) ลงวันที่
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันโรคก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้
หรือหลักฐานการลงทะเบียนการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
188 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุม ครั้งที่ 12/2564 | นร.11 สศช | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมติของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๔ ในส่วนของโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด
๑๙ (Baiya) ๒.
อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑)
อนุมัติโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-๑๙
ChulaCov๑๙ mRNA เพื่อทำการทดสอบทางคลินิกระยะที่สาม
และการผลิต เพื่อขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กรอบวงเงินรวม ๒,๓๑๖.๘๐๐๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่
๑ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (๒) มอบหมายให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป (๓)
เห็นชอบในหลักการโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-๑๙ (Baiya)
ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม คณะเภสัชศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรอบวงเงิน ๑,๓๐๙.๐๐๐๐ ล้านบาท
โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๒ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
ควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เร่งจัดทำแผนบริหารวัคซีนทั้ง ๒ ชนิด ให้ครบถ้วนชัดเจนในทุกขั้นตอน ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบติดตามประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙ (Baiya) ให้เป็นไปตามข้อ ๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
189 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 13 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร.11 สศช | 25/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ
ครั้งที่ ๑๓ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) และเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับผู้นำประเทศแผนงาน IMT-GT ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๔ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินงานของแผนงาน
IMT-GT ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)
ในเจ็ดเสายุทธศาสตร์ และความคืบหน้าในการจัดทำรางแผนดำเนินงานระยะ ๕ ปี (พ.ศ.
๒๕๖๕-๒๕๖๙) รวมทั้งเน้นย้ำความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่จะร่วมมือกันฟื้นฟูและเสริมสร้างศักยภาพของอนุภูมิภาคในมิติต่าง
ๆ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-๑๙)
โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม
และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
190 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 25/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑. ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๖) ลงวันที่
๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญให้มีการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว (Sansbox) ตามคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) โดยพิจารณาถึงความเหมาะสม ความพร้อม
และบริบทของแต่ละพื้นที่ การกำหนดมาตรการควบคุมแบบบูรณาการในพื้นที่ดังกล่าว เช่น
การยกเลิกการห้ามออกเคหสถาน โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา ๒๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓๑ ตุลาคม
๒๕๖๔ การห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่าห้าร้อยคน
การเตรียมความพร้อมของสถานบริการหรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค
โดยยังคงปิดสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ และคาราโอเกะ เป็นต้น
ตลอดจนพิจารณาปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยภายในเขตพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวและการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมของแต่ละจังหวัด
รวมทั้งกำหนดผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๑๗/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๗)
ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล ได้แก่ มาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
เช่น
การอยู่ในประเทศ/พื้นที่ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ
อนุมัติไม่น้อยกว่า ๒๑ วัน ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
มีหนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้ (Certificate of Entry-COE) เป็นต้น มาตรการเมื่อเดินทางมาถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร เช่น
การเข้ารับการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR
จำนวน ๑ ครั้ง การตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (ATK) จำนวน ๑ ครั้ง เป็นต้น และมาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร
โดยการเข้ารับการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR กรณีประเทศ/พื้นที่ปลายทางกำหนด ๓. คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่ ๑๘/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม
๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้น ๑๗
จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น
เพื่อให้การบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ตามแนวทางการจัดเขตพื้นที่สถานการณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
191 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 16/2564 | นร.04 | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
(ศบค.) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๔ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๔ สรุปได้ดังนี้ ๑)
รายงานสถานการณ์และคาดการณ์แนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ๒) แผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19
๓) แผนการจัดหายาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ๔) การปรับพื้นที่สถานการณ์และปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการในพื้นที่
๕) ความก้าวหน้าแผนรองรับการเปิดประเทศ และ ๖) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
192 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2564 เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโควิด-19 ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน | สกพอ. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโควิด-19 ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน มติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๔ และมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกันดำเนินงานโดยเร็ว เพื่อให้บริการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ในฐานะหน่วยงานเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำกับดูแลและติดตามโครงการฯ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในสัญญาร่วมลงทุนที่มีความจำเป็นต้องมีการแก้ไขสัญญา ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ในกรณีที่คู่สัญญาเอกชนไม่สามารถปฏิบัติเงื่อนไขของสัญญาได้ เพื่อให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่องต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ในฐานะหน่วยงานเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
193 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2564 | นร.04 | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบัญชาของนายกรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) โดยให้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ณ จังหวัดกระบี่
และมีประเด็นการตรวจราชการสำคัญของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ (๑) การส่งเสริมและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย
(Smart Entry) ในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ
(๒) การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
194 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 27 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร.11 สศช | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๗ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand
Growth Triangle : IMT-GT) ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๔
และเห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๗ แผนงาน IMT-GT และผลการประชุมอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๗ แผนงาน IMT-GT ได้มีการพิจารณารายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส
ครั้งที่ ๒๘ รายงานของที่ประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๘ การประชุมระดับรัฐมนตรี
แผนงาน IMT-GT อย่างไม่เป็นทางการ
ครั้งที่ ๗ การเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างอุทยานธรณีโลกลังกาวี
(มาเลเซีย) อุทยานธรณีโลกสตูล (ไทย) และอุทยานธรณีโลกทะเลสาบโตบา (อินโดนีเซีย)
ข้อเสนอฝ่ายไทยในที่ประชุมฯ รัฐมนตรี แผนงาน IMT-GT ของไทยได้ผลักดันประเด็นต่าง ๆ เช่น
สร้างความร่วมมือเพื่อรับมือความท้าทายผลกระทบของโควิด-๑๙ รวมทั้งเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๗ โดยมีเนื้อหาและสาระสำคัญตามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่
๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
195 | ผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ | กต. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ
ประจำปี ๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔ โดยประเทศนิวซีแลนด์
เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล
ซึ่งนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมฯ
ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป โดยผลการประชุมฯ มีประเด็นที่สำคัญ เช่น
การรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
และการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การช่วยเหลือ MSMEs และการส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการดำเนินงานควรมีการวางแผนบูรณาการการทำงานร่วมกัน
การวางแผนการจัดการความเสี่ยงหรือวางแผนการลงทุนทางสังคม ควรมีการดำเนินการควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด
19 รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจระยะยาว
และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการประสาน ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรายงานผลสัมฤทธิ์ต่อยุทธศาสตร์ชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
196 | ร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 28 | กค. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๘ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๘ ในวันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
โดยมีประเด็นครอบคลุมการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
(โควิด-๑๙) และสนับสนุนให้เกิดความเข้มแข็ง ยั่งยืน ในทุกภาคส่วน
ควบคู่กับการดำเนินนโยบายทางการคลังและนโยบายอื่น ๆ
ตลอดจนการกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันในอนาคต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยปรับปรุงร่างคำแปลฯ ย่อหน้าที่ ๑๕ แก้ไขจาก
เราตระหนักถึงผลลัพธ์ของรัฐมนตรีการค้าเอเปค เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔
ที่มีการยกระดับวาระการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง
เป็น เรายินดีกับการรับรองการยกระดับวาระการปฏิรูปโครงสร้างเอเปคโดยรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง
และตระหนักถึงผลลัพธ์ของรัฐมนตรีการค้าเอเปค เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔...
เนื่องจาก การยกระดับวาระการปฏิรูปโครงสร้างเอเปคไม่ได้เป็นผลลัพธ์จากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค แต่ได้รับการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง
และย่อหน้าที่ ๒๓ แก้ไขจาก เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ เป็น
เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งเป็นชื่อภาษไทยของ Economic
Committee ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๘ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
197 | ผลการประชุมระดับสูงเอเชียและแปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือสายแถบและเส้นทาง (Asia and Pacific High-Level Conference on Belt and Road Cooperation) | กต. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับสูงเอเชียและแปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือสายแถบและเส้นทาง
(Asia and Pacific High-Level Conference on
Belt and Road Cooperation) เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ
และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่ เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ
โดยมีเรื่องที่สำคัญ เช่น การส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยวัคซีนโควิด-๑๙
การเคลื่อนย้ายวัคซีนข้ามพรมแดน การดำเนินความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสีเขียว
และการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
198 | การพิจารณาขยายเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราวในปี 2565 | กค. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาขยายเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราวในปี
๒๕๖๕ จากเดิมอัตราร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี
เป็นร้อยละ ๐.๒๓ ต่อปี จนถึงสิ้นปี ๒๕๖๕
เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงินของสถาบันการเงินและส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงดังกล่าวไปช่วยบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชน
เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ มีความยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินแล้ว ไม่ส่งผลกระทบต่อการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3 แต่อย่างใด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
199 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ 6) | สธ. | 12/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ ๖) เพื่อเป็นการเพิ่มรายการที่มีความจำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus
Disease 2019 (COVID-19)]
เพื่อการดูแลรักษาพยาบาลและช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ได้อย่างทันท่วงที ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กำกับ ติดตาม
และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข อัตราที่กำหนด
และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนพร้อมกับดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายของกระทรวงการคลังด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
200 | การพัฒนายกระดับคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย | ศธ. | 05/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการพัฒนายกระดับคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
ประจำเขตตรวจราชการ จำนวน ๖ แห่ง ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๙) ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๓,๒๗๕,๙๕๘,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
จำนวน ๔๔๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท
เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
พิจารณาจัดลำดับความสำคัญตามขั้นตอนและกิจกรรมการดำเนินงาน
การเตรียมความพร้อมของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยแห่งใหม่
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลใช้บังคับ
และหากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายนอกเหนือจากแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้
เห็นควรให้ สพฐ. ดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ในการปรับแผนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นตามขั้นตอนต่อไป
ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๙ จำนวน ๒,๘๓๒,๕๕๘,๐๐๐ บาท ให้ สพฐ.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น ประหยัด เหมาะสม
และสอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ
และผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ.
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น
ความสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูประบบการศึกษาในภาพรวม
การประเมินกรอบงบประมาณภายใต้การระบาดของโรคโควิด-๑๙
การเตรียมความพร้อมเพื่อให้การดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพสูงสุด
และประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|