ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 497 จากข้อมูลทั้งหมด 497 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนา (Covid -19) ของกระทรวงพลังงาน | พน | 03/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนา (Covid-19) เพิ่มเติม ของกระทรวงพลังงาน ประกอบด้วย (๑) การลดค่าครองชีพของประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ (๒) การส่งเสริมการลงทุนและส่งเสริมอาชีพด้านพลังงาน (๓) การจัดหาแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนทั้งประเทศผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) การจำหน่ายแอลกอฮอล์ทำความสะอาด ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
482 | มาตรการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการและให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤต [รองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)] | นร12 | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการและให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤต [รองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)] รวม ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการเพื่อการปรับเปลี่ยนการให้บริการงานอนุมัติ อนุญาต รับรอง จดแจ้ง หรือจดทะเบียนตามกฎหมาย (๒) มาตรการเพิ่มเติมอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของหน่วยงานของรัฐและลดผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 และ (๓) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามการพัฒนาระบบใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Authentication) หรือระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งอาจใช้เวลาในการพัฒนาระบบนาน เพื่อให้ระบบได้รับการพัฒนาขึ้นใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมและรองรับสภาวะวิกฤตอื่นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งความเห็นเกี่ยวกับกรณีปรับเปลี่ยนข้อความอัตโนมัติของสายด่วน ๑๑๑๑ ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน ที่ให้มีการจัดทำเมนูลัดเพื่อรับฟังข้อมูลอัตโนมัติเกี่ยวกับโรคโควิด 19 โดยให้พิจารณาเกี่ยวกับระยะเวลาในการรับฟังข้อมูลอัตโนมัติให้เหมาะสมตามแนวทางของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชนทางสายด่วน ๑๑๑๑ ในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการและให้บริการประชาชน ในสภาวะวิกฤต [รองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)] ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางรองรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวที่เป็นรูปธรรม รอบคอบ และรัดกุม เพื่อป้องกันปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวด้วย ๓. ให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจเกี่ยวกับการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น พลังงาน ประปา โทรคมนาคม และคมนาคมขนส่ง เร่งปรับเพิ่มแผนดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan-BCP) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะแผนการให้บริการอย่างต่อเนื่องในพื้นที่สำคัญ เช่น สถานพยาบาล และแผนการหมุนเวียนหรือทดแทนบุคลากรในระยะสั้น ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที เพื่อให้หน่วยงานมีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน รอบคอบ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
483 | ขอทบทวนอัตราตามร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] | รง | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนอัตราเงินสมทบที่จัดเก็บสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ตามร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ตามร่างข้อ ๒ จาก “...ให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละสองร้อยสิบเอ็ดบาท” เป็น “...ให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละแปดสิบหกบาท” ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะได้รับ รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคม ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่อง และเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
484 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด - 19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล) | กค | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-๑๙ สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่การนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] เพื่อบริจาคเป็นสาธารณกุศลบางกรณี และยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคสินค้าดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
485 | โครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด 19 โดยขยายเวลาตั๋วจำนำและลดดอกเบี้ยรับจำนำและการกู้เงิน Soft loan จำนวน 2,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน | พม | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการกู้เงิน Soft loan ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารออมสิน เพื่อเป็นการเตรียมเงินทุนหมุนเวียนรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชนสำหรับโครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด ๑๙ ส่วนการปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ให้ สธค. เสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้ สธค. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้ สธค. เร่งจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น Infographic VDO Clip เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน รวดเร็ว และทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
486 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] | สธ | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ยกเว้นหลักเกณฑ์ฯ ข้อ ๙) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับเป็นสำคัญ และการจัดให้มีระบบการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ เอกชน หรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุข ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] และดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยประกันวินาศภัยให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน ๓. เห็นชอบให้กองทุนของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการแก้ไขปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ๔. เห็นชอบให้สถานพยาบาลซึ่งดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐ สภากาชาดไทย ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
487 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) | วธ | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ประกอบด้วย (๑) การแต่งตั้งคณะทำงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรม (๒) การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อเป็นการติดตามเฝ้าระวังและให้ความช่วยเหลือประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และมาตรการที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (๓) การบูรณาการความร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร และภาคีเครือข่าย เพื่อป้องกันและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ (๔) การจัดทำองค์ความรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติตัว และมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
488 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2563 | นร04 | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เสนอ ๒. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เสนอว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนด้านสาธารณสุขเพื่อยับยั้งการระบาดของโรคภายในประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยกำหนดให้ประชาชนทุกคน ผู้ประกอบการ ผู้ร่วมกิจกรรม หรือผู้ใช้บริการ เว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย ๒ เมตร นั้น อาจไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในบางสถานการณ์ เช่น การใช้บริการขนส่งสาธารณะ ดังนั้น จึงเห็นควรแก้ไขระยะห่าง จากที่กำหนดไว้เดิม อย่างน้อย ๒ เมตร เป็น ไม่น้อยกว่า ๑ เมตร ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ ได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับมาตรการรองรับผู้โดยสารที่ต้องการใช้ประเทศไทยเป็นช่องทาง Transit เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศปลายทาง โดยจะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยและให้มีสถานที่รองรับภายในสนามบินที่เพียงพอ ไม่แออัด และไม่อนุญาตผู้โดยสารประเภท Transit เดินทางออกนอกสนามบินโดยเด็ดขาด นั้น กระทรวงการต่างประเทศได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม แล้ว เห็นว่าในส่วนของผู้เดินทางชาวต่างประเทศประเภท Transit จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศซึ่งมีใบรับรองแพทย์ (fit-to-fly certificate) ประกอบการเดินทาง และให้อยู่ในบริเวณหรือพื้นที่ที่จัดให้เท่านั้น และกระทรวงการต่างประเทศจะได้ประสานกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
489 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] | รง | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโรคโควิด ๑๙ [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้นายจ้างส่งเงินสมทบในอัตราร้อยละสี่ และผู้ประกันตนส่งเงินสมทบในอัตราร้อยละหนึ่ง ของค่าจ้างของผู้ประกันตน และให้ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละสองร้อยสิบเอ็ดบาท ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะได้รับ รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่อง และเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคตไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
490 | มาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยากรณีได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แพร่ระบาด | กค | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยากรณีได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิค-๑๙) แพร่ระบาด ของกรมธนารักษ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. มาตรการการยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าของกรมธนารักษ์ เป็นระยะเวลา ๑ ปี (๑๒ เดือน) สำหรับผู้เช่าเพื่ออยู่อาศัยและผู้เช่าเพื่อการเกษตร ๒. มาตรการช่วยเหลือผู้เช่ารายใหญ่และผู้เช่าที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยผู้เช่าดังกล่าวสามารถเลื่อนกำหนดการชำระค่าเช่าและค่าตอบแทนของเดือนมีนาคม ๒๕๖๓-สิงหาคม ๒๕๖๓ (รวมระยะเวลา ๖ เดือน) ได้ถึงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๓ โดยให้ยกเว้นเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระตามสัญญาที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
491 | ข้อสรุปมาตรการและข้อสั่งการเกี่ยวกับโควิด - 19 | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสรุปมาตรการและข้อสั่งการเกี่ยวกับเกี่ยวกับโควิด-19 ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สรุปได้ว่า ขณะนี้ไทยยังไม่ได้ปิดประเทศ แต่เข้าประเทศจะยากขึ้น/อยู่ในระยะ ๒ โดยชะลอระยะ ๒ ให้นานที่สุด ใช้มาตรการควบคุม ป้องกัน รักษา และสื่อสาร โดยถือว่า COVID-19 เป็นปัญหาอันดับ ๑ ผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นอันดับรองของประเทศและของโลก เพราะถ้าสถานการณ์โรคบรรเทาลงแล้วยังฟื้นฟูได้/ประเมินสถานการณ์ COVID และปัญหาเศรษฐกิจรายวัน แต่เตรียมพร้อมรับมือและพร้อมจะปรับเปลี่ยนโดยยก-ลดระดับทุกวัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
492 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค - 19) ครั้งที่ 1/2563 และมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้่อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค - 19) ของกระทรวงสาธารณสุข | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เสนอ ๒. เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการป้องกันและสกัดกั้นการนำเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เข้าสู่ประเทศไทย และมาตรการยับยั้งการระบาดภายในประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งเร่งดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยด่วน รวมทั้งขอความร่วมมือจากภาคเอกชนให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
493 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Defence Ministers’ Meeting Retreat : ADMM Retreat) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุม ADMM Retreat ซึ่งที่ประชุมฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงของภูมิภาคในประเด็นการก่อการร้าย แนวคิดนิยมความรุนแรง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความมั่นคงทางทะเล และการแข่งขันของประเทศมหาอำนาจ รวมทั้งโรคระบาด เป็นความท้าทายที่สำคัญที่อาเซียนจะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยที่ประชุมฯ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโรคระบาดเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการแพทย์ทหาร และประสานความร่วมมือระหว่างสาขาความร่วมมือของอาเซียน โดยพิจารณาให้มีการจัดการฝึกภายใต้กรอบของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนในโอกาสแรก ในการเตรียมพร้อมในการรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด ๒๐๑๙ (COVID-19) นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN-Australia Defence Ministers’ Informal Meeting) เพื่อรับทราบวิสัยทัศน์ ปี ๒๐๒๐ ของเครือรัฐออสเตรเลีย ว่าด้วยการปฏิสัมพันธ์ด้านการป้องกันประเทศกับอาเซียน (Australia’s 2020 Vision for Defence Engagement with ASEAN) และได้หารือทวิภาคีกับคณะผู้แทนกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน จำนวน ๓ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
494 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-19) | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-๑๙) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-๑๙ ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความพยายามในการประสานงานและความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อการตอบสนองต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลเพื่อเอื้อให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป แม้ในกรณีมีการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว โดยเฉพาะความร่วมมือในการเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงกันในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยในประเทศสมาชิก สามารถปรับตัวและเข้าถึงช่องทางตลาดรูปแบบใหม่ ตลอดจนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตและการค้าในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
495 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2563 | นร11 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ และพิจารณาหลักการของมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ รวมทั้งข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เกี่ยวกับสายการบินและการเดินทางทางอากาศ ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงภารกิจ ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจนอย่างครอบคลุมและเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างเหมาะสม รวมถึงภาระทางการคลังหรือการสูญเสียรายได้ที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและการรายงานผลการดำเนินงานและผลการใช้จ่ายให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ในโอกาสแรก เพื่อให้การดำเนินมาตรการดูแลเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ บรรลุวัตถุประสงค์และสามารถผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้อย่างมีประสิทธิภาพทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
496 | มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ 1 | กค | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้นและสามารถสื่อสารกับสาธารณชนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย จึงเห็นควรปรับเปลี่ยนชื่อมาตรการ จากเดิม “มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑” เป็น “มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๑” และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอปรับถ้อยคำของมาตรการบรรเทาภาระจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ภายใต้มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ จากเดิม “คืนค่าประกันมิเตอร์” เป็น “คืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า” ๒. รับทราบและเห็นชอบมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๑ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโควิด ๑๙ เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโควิด ๑๙ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง] ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒ มาตรการด้านภาษี ๒.๒.๑ เห็นชอบในหลักการมาตรการด้านภาษี จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ (๒) มาตรการภาษีเพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ (๓) มาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และ (๔) มาตรการเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๒.๒ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ จำนวน ๑ ฉบับ (มาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ (มาตรการภาษีเพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ และมาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19) รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.๓ มาตรการด้านการเงิน ๒.๓.๑ เห็นชอบมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้แก่สถาบันการเงินและสำนักงานธนานุเคราะห์ โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี และให้สถาบันการเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลา ๒ ปี วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายไม่เกิน ๒๐ ล้านบาท และรัฐบาลชดเชยต้นเงินทุนแก่ธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ ๒.๕ ต่อปี ภายในกรอบวงเงินงบประมาณรวม ๗,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และปีต่อ ๆ ไป ตามผลการดำเนินงานจริง โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔) และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของธนาคารออมสินด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๓.๒ รับทราบมาตรการด้านการเงิน จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานของสำนักงานประกันสังคม (๒) มาตรการพักต้นเงินลดดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาชำระหนี้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ (๓) มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๒.๓ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคตไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๔ มาตรการบรรเทาค่าครองชีพแก่ประชาชนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ถอนมาตรการดังกล่าวออกไปก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๕ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน ๒.๕.๑ เห็นชอบในหลักการมาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน โดยให้ประชาชนทั่วไปสามารถหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund หรือ SSF) ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๕ ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value หรือ NAV) ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยแยกต่างหากจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนรวมของเงินสะสม เงินสมทบหรือค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนเพื่อการเกษียณอายุทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนตามมาตรการนี้จะต้องซื้อหน่วยลงทุนใน SSF ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ๒.๕.๒ ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) เร่งรัดการจัดทำร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒.๖ มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ รับทราบมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ได้แก่ (๑) มาตรการบรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนในการให้บริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (๒) มาตรการบรรเทาภาระการจ่ายค่าน้ำค่าไฟ (๓) มาตรการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้างและลูกจ้าง และ (๔) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นว่า มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ควรพิจารณาออกกฎกระทรวงการคลังเพื่อกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุในวงเงินไม่เกินสองล้านบาท ให้กระทำได้โดยวิธีคัดเลือกตามมาตรา ๕๖ (๑) (ซ) หรือวิธีเฉพาะเจาะจง ตามมาตรา ๕๖ (๒) (ซ) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในห้วงเวลานับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามมาตรการดังกล่าวที่ระบุให้หน่วยงานเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนปีเดียวที่เป็นการจัดหาพัสดุที่มีวงเงินต่อรายการไม่เกินสองล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.๗ การจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวงการคลัง รับทราบการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ และความเห็นของกระทรวงคมนาคมและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควร (๑) สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (๒) วางแผนและประเมินผลกระทบภายใต้สถานการณ์จำลองต่าง ๆ (Scenario Planning) โดยเฉพาะกรณีที่มีการระบาดในระยะที่ ๓ เพื่อให้มีมาตรการเชิงรุกและงบประมาณในการรับมืออย่างเพียงพอ และออกมาตรการชุดต่าง ๆ โดยพิจารณาถึงประสิทธิผลและความคุ้มค่าของงบประมาณ รวมถึงมีกระบวนการในการดำเนินงาน และประเมินผลของมาตรการอย่างชัดเจน และ (๓) ให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นต่อแนวทางการรับมือกับ COVID-19 ว่าจะมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องและ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
497 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ทั้งปี 2562 และแนวโน้มปี 2563 | นร11 | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ทั้งปี ๒๕๖๒ และแนวโน้มปี ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวร้อยละ ๑.๖ ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YOY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๒ ร้อยละ ๐.๒ (%QoQ SA) รวมทั้งปี ๒๕๖๒ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๔ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๔.๒ ในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสนี้มีปัจจัยสำคัญจากการขยายตัวในเกณฑ์ที่ต่ำของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนของทิศทางมาตรการกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณ ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และปัจจัยชั่วคราวในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมบางรายการ ๒. เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๖๒ ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๔.๒ ในปี ๒๕๖๑ โดยในด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๔.๕ และร้อยละ ๒.๘ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๔.๖ และร้อยละ ๔.๑ ในปี ๒๕๖๑ ตามลำดับ ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาล และการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑.๔ และร้อยละ ๐.๒ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๒.๙ ในปี ๒๕๖๑ ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ ๓.๒ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๗.๕ ในปี ๒๕๖๑ ในด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมยานยนต์ และจักรยานยนต์ และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ร้อยละ ๕.๕ ร้อยละ ๕.๗ และร้อยละ ๓.๔ ชะลอตัวลงจาการขยายตัวร้อยละ ๕.๕ ร้อยละ ๗.๖ ร้อยละ ๖.๖ และร้อยละ ๔.๔ ในปี ๒๕๖๑ ตามลำดับ ขณะที่การผลิตสาขาอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๐.๗ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ในปี ๒๕๖๑ รวมทั้งปี ๒๕๖๒ ผลิตภัณฑ์รวมมวลในประเทศ (GDP) อยู่ที่ ๑๖,๘๗๙.๐ พันล้านบาท (๕๔๓.๗ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๓ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๕-๒.๕ ชะลอตัวลงจากปี ๒๕๖๒ ตามข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ปัญหาภัยแล้ง และความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายรัฐบาล มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๔ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๕ และร้อยละ ๓.๖ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๔-๑.๔ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๕.๓ ของ GDP
|
.....