ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1101 | มาตรการและแนวทางเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 | นร | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมาตรการและแนวทางเร่งรัดติด
ตามการใช้จ่ายงบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ดังนี้ กำหนดแผนงานและวิธีการการประสานงานระหว่างหน่วย งานที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายระบบสาธารณูปโภค และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ส่วนโครง การที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อรับฟังความคิดเห็นก่อนที่ จะดำเนินโครงการ และการจัดหาผู้รับจ้าง ให้พิจารณาถึงความพร้อมของผู้รับจ้างทุกด้านเพื่อมิให้เกิดปัญหาในการ ดำเนินการในภายหลัง รวมทั้งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดทำรายละเอียดเงินอุดหนุนที่ได้รับ การจัดสรรจากรัฐบาลว่ามีรายการใดบ้าง และนำไปใช้จ่ายเพื่อโครงการ/กิจกรรมใดเพื่อสะดวกแก่การตรวจสอบและ ติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่จัดสรรให้ อปท. ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควร เร่งจัดสรรงบประมาณให้เร็วขึ้นเพื่อ อปท. จะได้นำไปใช้จ่ายได้ทันในปีงบประมาณ และจัดฝึกอบรมให้คำแนะนำเกี่ยว กับวิธีปฏิบัติทางการเงิน การคลังและงบประมาณ ตลอดจนซักซ้อมความเข้าใจให้กับบุคลากรของ อปท. เป็นระยะ ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1102 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2550) | มท | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์อุทกภัย ของกระทรวงมหาดไทย สรุปได้ดังนี้ สถาน
การณ์อุทกภัยจากหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ ระหว่างวันที่ 7-12 พฤศจิกายน 2550 มีพื้นที่ประสบภัย 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ใน 11 อำเภอ 50 ตำบล 343 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความ เดือดร้อน 42,659 คน 2,335 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม 3,747 ไร่ ถนนได้รับความเสียหาย 432 สาย สะพาน 3 แห่ง ฯลฯ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 15,110,000 บาท โดยสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชสถานการณ์อุทกภัยได้คลี่คลายแล้ว โดยปัจจุบันยังคง มีน้ำท่วมขังเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย บริเวณพรุเฉวง ตำบลบ่อผุด และตลาดดาว ตำบลแม่ น้ำ ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 ม. สำหรับการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการ เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อติดตาม สถานการณ์และประสานการช่วยเหลือ รวมทั้งบริจาคเครื่องกันหนาวเพื่อสนับสนุนให้แก่จังหวัดที่ประสบภัย และให้ จังหวัดจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 ณ สำนักงานป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยจังหวัด และให้อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ได้จัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ให้สำนักงานป้องกันและบรร เทาสาธารณภัยจังหวัด จำนวน 46 จังหวัด ในวงเงินจังหวัดละ 350,000 บาท เพื่อจัดหาเครื่องช่วยกันหนาวเพื่อช่วย เหลือประชาชนผู้ประสบภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1103 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมการ
ฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดมาตรฐานควบคุมกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการ ฆ่าสัตว์เพื่อจำหน่าย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากเนื้อสัตว์ที่ใช้บริโภค และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทยที่เห็น ว่ามาตรา 283 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจที่เกี่ยวข้อง กับการจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์ ตั้งแต่การตั้งโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าสัตว์ จนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการ ฆ่าสัตว์ จึงควรแก้ไขร่างพระราชบัญญัติ ฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถแต่งตั้ง "พนักงานตรวจโรคสัตว์" ได้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริการ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันต่อเหตุการณ์ ส่วนกรณีการอนุญาตตั้ง โรงฆ่าสัตว์ และโรงพักสัตว์ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรกำหนดให้ผ่านการพิจารณา ชั้นต้นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ดูแลการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมก่อน นอกจากนี้ ค่าอากร และค่าธรรมเนียมตามท้ายร่างพระราชบัญญัติ ฯ รวมทั้งค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นในส่วนที่พนักงานท้องถิ่นจัด เก็บและเปรียบเทียบปรับ ควรกำหนดให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำรายได้ไปใช้แก้ปัญหาสิ่ง แวดล้อมที่เกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1104 | ขอความเห็นชอบหลักการและการนำไปสู่การปฏิบัติให้ "โครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน" เป็นวาระแห่งชาติ : สร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน รวมพลังทุกหน่วยงานส่งเสริมวัฒนธรรมสายใยชุมชนสู่ชุมชน เพื่อสังคมอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน | วธ | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอให้ "โครงการวัฒนธรรมไทยสายใย
ชุมชน" เป็นวาระแห่งชาติ : สร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน รวมพลังทุกหน่วยงานส่งเสริมวัฒนธรรมสายใย ชุมชนสู่ชุมชน เพื่อสังคมอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน โดยมีหลักการพื้นฐานมุ่งให้ประชาชนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยึด หลักพึ่งตนเอง พัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เน้นการมีส่วนร่วมในการคิด การลงมือทำ และการร่วมรับ ประโยชน์ การนำความหลากหลายทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อตามหลักศาสนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปรัชญาทาง เศรษฐกิจพอเพียงมาสร้างคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้บังเกิดผลอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ให้ปรับถ้อยคำจากเดิม "... เป็น วาระแห่งชาติ ..." เป็น "... เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ ..." ด้วย และให้กระทรวง กรมที่เกี่ยวข้องและจังหวัดรับไปดำเนิน การตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานเพื่อขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การส่งเสริมสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการ ฯ และสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็น และให้กระทรวง วัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานต่าง ๆ นำแผนงาน โครงการ กิจ กรรมที่สอดคล้องกับโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนมาพิจารณาเพื่อบูรณาการหรือเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ในระดับพื้นที่ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทในการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาวัฒนธรรม ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทใน การสนับสนุนการสร้างกระบวนการเรียนรู้ และเชื่อมโยงกับภารกิจของงานบริหารท้องถิ่น และความเห็นของสำนัก งบประมาณที่ให้กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการโดยเชื่อมโยงแนวทางการดำเนินงานในกรอบภารกิจของหน่วยงาน กำหนดเป้าหมาย และจัดทำแผนการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1105 | โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) | มท | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการ
ก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) โดยก่อสร้างเชื่อมโยงระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้ต้ำระบบ 33 เควี จากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง ในวงเงินลงทุน 338 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 โดยให้ กฟภ. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของ ประเทศ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ให้ กฟภ. ศึกษาและจัดทำแผนปฏิบัติการ สำรวจทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญในพื้นที่บริเวณแนววางสายเคเบิลใต้น้ำให้ชัดเจน โดยให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่จะวาง สายเคเบิลเข้าใกล้ปะการังในรัศมีที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อปะการัง รวมทั้งกำกับ ดูแล และติดตามตรวจสอบการ ปฏิบัติงานของบริษัทที่รับหน้าที่ในการวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ดำเนินการกำหนดมาตรการป้องกันความเสียหายอัน เกิดจากปริมาณสารแขวนลอยและอัตราการตกตะกอนไม่ให้เพิ่มจากเดิมเกินร้อยละ 10 และให้ปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อแนวปะการัง หญ้าทะเล ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ พร้อมทั้งดำเนินการติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และภายพลังการดำเนินการวางสายเคเบิลใต้น้ำอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ให้ กฟภ. สนับสนุนงบประมาณให้องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะลิบง และเกาะสุกร อุทยานแห่งชาติเจ้าไหม เพื่อ ใช้ในการจัดทำโครงการเพื่อลดผลกระทบ ตามแผนปฏิบัติการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินกิจกรรมของโครงการด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานและติดตามให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จัดทำโครงการ/กิจกรรมเพื่อลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครง การอย่างจริงจังด้วย ตามความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1106 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. .... | สว | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย บูรพา พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญ ฯ เห็นสมควรปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องคำนึงถึงความเป็นอิสระ ความ เป็นเลิศทางวิชาการ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และร่างพระราช บัญญัติมหาวิทยาลัย สำหรับค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงการศึกษาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่กำหนดในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และกระบวนการพิจารณากำหนดอัตราที่เรียกเก็บเงิน โดยเปิดโอกาสให้ ตัวแทนนิสิต และสภาคณาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นต่อสภามหาวิทยาลัยด้วย ส่วนการสรรหา กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิอาจจะพิจารณาคัดเลือกจากผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ด้วยก็ได้ โดยผู้ได้รับการสรรหาจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่เข้ามาเป็น กรรมการดังกล่าว ซึ่งมิใช่เป็นการแต่งตั้งโดยพิจารณาจากตำแหน่งบริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเป็นหลัก และเห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ แก้ไขเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อ่ไป ทั้งนี้ มอบให้กระทรวง ศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการไปพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1107 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ....
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำร่างพระราชบัญญัติ ฯ ไปพิจารณาศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจ เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป โดยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีที่ให้พิจารณากำหนดเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับ ร่างพระราชบัญญัติการเลี้ยงสัตว์และการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างประเทศ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและเป็นผลเสียแก่ ประเทศ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ถูกยกเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า และมีผลกระทบต่อการส่งสินค้าเนื้อสัตว์ไปสู่ ตลาดโลกหรือไม่ เพียงใด รวมทั้งควรกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานในคณะกรรมการป้องกันการทารุณ กรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ประจำจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นรองประธาน และควรให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและสนับสนุนงานตามวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฯ นอกจาก นี้ ร่างมาตรา 25 ซึ่งกำหนดให้การกระทำตามที่กำหนดเป็นการทารุณกรรมสัตว์อาจมีส่วนใดส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับ พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ในการให้สัตว์ต่อสู่หรือแข่งกัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา แข่งม้า เป็น ต้น ซึ่งมีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรักษาการตามกฎหมาย จึงควรให้กระทรวงมหาดไทยดูแลรับผิดชอบงาน ด้านนี้ตามเดิม ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1108 | แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต | นร | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแผน
แม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ในการบริหารจัดการลด คัดแยก และการนำขยะมูล ฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการขยะมูลฝอย การปรับปรุงแก้ไขระเบียบให้เอื้อต่อ การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้ประกอบการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีแผนงาน/โครงการที่สำคัญ 2 แผนงาน 19 โครงการ งบประมาณรวม 1,232.1 ล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของส่วนราชการ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการเร่งด่วนจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการลดและต้องแยกขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิด วงเงิน 6.4 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงบ่อฝังกลบขยะมูล ฝอยบ่อที่ 4 และฟื้นฟูบ่อฝังกลบบ่อที่ 5 วงเงิน 55 ล้านบาท และจะต้องมีการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะ สมโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 วงเงิน 12 ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงมหาดไท ย (จังหวัดภูเก็ต) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วยว่า ในการรณรงค์ ปลูกจิตสำนึกเยาวชนและชุมชนทั้งในระดับครัวเรือน สถานประกอบการ และอุตสาหกรรม ในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมใน การดูแลรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ควรดำเนินการในลักษณะของการประสานความร่วมมือในทุก ภาคส่วนให้มีความตระหนักและรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการขยะมูลฝอยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนด้านเทค นิควิชาการ และแนวทางการลดขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือให้อาสาสมัคร สาธารณสุขหมู่บ้าน และอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านเป็นแกนนำในการดำเนินการ ด้วย และให้จังหวัดภูเก็ต (องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต) เร่งรัดการดำเนินการเก็บภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีอากร ที่เก็บจากสถานบริการและโรงแรมในท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้มีเงินรายได้รองรับการดำเนินการบริหารจัดการขยะ มูลฝอยได้อย่างเพียงพอ ส่วนการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างระบบ กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาตินำผลการวิจัยที่ได้มีศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องไว้แล้วมาพิจารณาใช้ประโยชน์และประกอบการดำเนินการ เพื่อ ลดความซ้ำซ้อนและประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1109 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... | พม | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอร่าง
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและประชาชนได้มีการ รวมตัวในรูปแบบสภาองค์กรชุมชนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วน ร่วมในการพัฒนาทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ร่างระเบียบฉบับนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ และการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น และแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ จึงสมควรรับฟังความเห็นของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็น ในบางประเด็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน ตามร่างระเบียบ ฯ จะก่อให้เกิดความสับสนและความขัดแย้งในพื้นที่เนื่องจากไม่กำหนดองค์ประกอบขององค์กรชุมชน ที่ยื่นคำขอจดแจ้งการจัดตั้ง และในการจัดทำข้อบังคับการดำเนินงานก็ให้เป็นไปตามความต้องการขององค์กรชุมชน แต่ละแห่งโดยไม่มีกรอบแนวทางปฏิบัติและมาตรการกำกับดูแลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันแต่อย่างใด ส่วนอำนาจหน้า ที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน ที่กำหนดให้ประสานงานและบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหนุนเสริมการพัฒนา ของสภาชุมชน รวมทั้งการติดตามผล นั้น อาจขัดต่อแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่น ดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป โดยได้กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐมีอำนาจ หน้าที่ในการบริหารงานในพื้นที่ไว้แล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1110 | ขอความเห็นชอบสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) | กก | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการ
แข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) และหากกรุงเทพมหานครได้รับการยืนยันจาก คณะกรรมการโอลิมปิคสากล (IOC) ให้เป็นเมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรุงเทพมหานคร จัดทำรายละเอียด กรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ในการจัดการแข่งขันเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กรุงเทพ มหานครรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรศึกษาวิเคราะห์ ถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการเป็นเจ้าภาพ พร้อมทั้งจัดทำแผนการดำเนินการที่ชัดเจนเป็นระบบครอบคลุมตั้งแต่ ขั้นการเตรียมการ ขั้นการดำเนินการแข่งขัน รวมทั้งมีการพิจารณาการจัดสรรผลประโยชน์ และการดำเนินการภาย หลังการแข่งขันแล้วเสร็จ และกำหนดบทบาทความรับผิดชอบในการดำเนินการเป็นเจ้าภาพภายใต้ความร่วมมือของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรุงเทพมหานคร และการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักและร่วมรับ ภาระค่าใช้จ่าย โดยเตรียมการจัดทำรายละเอียดแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนและเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเอก ชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการด้วย และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้กรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมใน การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขัน โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนงบประมาณกับกรุงเทพมหานครในสัด ส่วนไม่เกินร้อยละ 60 ของวงเงินค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการ โดยให้กรุงเทพมหานครขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ตามความจำเป็นเป็นปี ๆ ไป ในสัดส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่จัดสรรให้กรุงเทพมหานคร ตามมติคณะกรรมการ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1111 | การปรับเพิ่มราคากลางการจำหน่ายนมพร้อมดื่มในโครงการอาหารเสริม (นม) | กษ | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการปรับเพิ่มราคากลางการจำหน่าย
นมพร้อมดื่มในโครงการอาหารเสริม (นม) ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2/2550 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เพิ่มขึ้น สำหรับ นมพาสเจอร์ไรส์ถุงละ 45 สตางค์ และนมยู. เอช. ที. กล่อง/ซองละ 58 สตางค์ ดังนี้ นมพาสเจอร์ไรส์ ชนิดถุง จาก เดิมถุงละ 4.69 บาท ปรับเพิ่มเป็นราคาถุงละ 5.14 บาท นมยู.เอช.ที. ชนิดกล่อง จากเดิมกล่องละ 5.94 บาท ปรับ เพิ่มเป็นราคากล่องละ 6.52 บาท และ นมยู.เอช.ที. ชนิดซองกระดาษหรือพลาสติก จากเดิมซองละ 5.84 บาท ปรับ เพิ่มเป็นราคาซองละ 6.42 บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ บริหารโครงการอาหารเสริม (นมโรงเรียน) ในคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคนมและผลิตภัณฑ์ ให้แล้วเสร็จโดย เร็ว เพื่อจะได้เกิดความชัดเจนในการบริหารจัดการอาหารเสริม (นม) อย่างเป็นระบบและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิด ขึ้น และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับไปประสานขอความร่วมมือองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นให้การสนับสนุนการจัดซื้อนมพร้อมดื่มให้ได้ครบตามเป้าหมายของโครงการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1112 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา | ศธ | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการ
ศึกษา ประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ พระภิกษุซึ่ง เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ผู้แทนคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น และกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิ จำนวนทั้งสิ้น 41 คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 ตุลาคม 2550) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1113 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ของรองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ณ จังหวัดพิษณุโลก | นร | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) รายงานผลการเดินทาง
ไปกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 2 ณ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2550 โดยผลการติดตามการบูรณาการแผนงาน/โครงการ งบประมาณระหว่างกระทรวงและจังหวัด พบว่า จังหวัดพิษณุโลก ได้มีการบูรณาการแผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ในเบื้องต้นไปแล้ว โดยใช้ตำบลเป็นหน่วยงานหลักในการ บูรณาการร่วมกันระหว่างส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน และได้เตรียมการบูรณาการ แผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. 2552 ด้วย ส่วนผลการติดตามการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรณีฝนตก หนักช่วงวันที่ 4-5 ตุลาคม 2550 พบว่า จังหวัดพิษณุโลกมีระบบการแจ้งเตือนที่มีความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างชุมชน และผู้นำในท้องถิ่นสามารถแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบล่วงหน้าอย่างทั่วถึง ส่งผลให้ประชาชนมีเวลาในการเตรียม ตัว ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการบูรณาการงบประมาณใน ปี พ.ศ. 2551 โดยให้จังหวัดเตรียมความพร้อม โดยเน้นการผสมผสานเชื่อมโยงการทำงานระหว่างส่วนราชการในภูมิ ภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้ดำเนินการในลักษณะคู่ขนานไปกับการดำเนินการของราชการส่วนกลางเพื่อให้มิติเวลามีความสัมพันธ์สอด คล้องกัน สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบให้ชุมชนและผู้นำท้องถิ่นร่วมมือกันพัฒนาระบบเตือนภัย และ เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1114 | รายงานการตรวจสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 4 และ 5 | นร | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรัง
สรรค์) รายงานผลการตรวจสถานการณ์อุทกภัยในเขตตรวจราชการที่ 4 (นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 และเขตตรวจราชการที่ 5 (ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี และสระบุรี) เมื่อวัน ที่ 19 ตุลาคม 2550 โดยภาพรวมผลการตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 4 และ 5 ได้มีการเตรียมรับสถานการณ์ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยระดับจังหวัด และ ศูนย์เตือนภัยทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งจัดเตรียมกระสอบทราย ติดตั้งเครื่อง สูบน้ำพร้อมให้การช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนหากเกิดอุทกภัย เป็นต้น และจากการตรวจติดตามสถานการณ์ อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว สถานการณ์น้ำไม่รุนแรงเหมือนปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากปริมาณน้ำทางเหนือมีแนว โน้มลดลง พร้อมกันนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะโดยสรุปดังนี้ การแก้ไขปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาว ให้จังหวัดสำรวจแหล่ง น้ำที่ตื้นเขิน เพื่อขุดลอก กำจัดสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำเพื่อเร่งระบายไปยังที่รับน้ำได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการช่วย เหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้จังหวัด เร่งสำรวจความเสียหาย และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็ว สำหรับ การแก้ไขปัญหาระยะยาว หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรมีการบูรณาการแผนการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบโดยมีข้อมูลเป็นปริมาณน้ำสูงสุดในปีที่ผ่าน ๆ มา ความจุของ เขื่อนต่าง ๆ ที่สามารถรองรับน้ำได้ และสำรวจพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเพื่อพัฒนาเป็นแก้มลิง หรือก้างปลาไว้รองรับ น้ำเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1115 | โครงการก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย | มท | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รับเรื่อง โครง
การก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย ไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิด ความชัดเจนถูกต้องและเหมาะสมตามความจำเป็น และประหยัด รวมไปถึงประเด็นความซ้ำซ้อนและการใช้ประโยชน์ วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีอยู่เดิมให้เต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและ บรรเทาสาธารณภัยขึ้นใหม่ และประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์และการดำเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นที่ต้องรับการถ่ายโอนภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่ เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และใช้เงินงบ ประมาณจำนวนมาก และยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับแผนปฏิบัติงาน แผนการใช้จ่ายเงินและการจัดทำรูปแบบการ บริหารจัดการโครงการ รวมทั้งขาดการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดีการจัดตั้งสถาบันดังกล่าว ยังมีความจำเป็นต่อประโยชน์ในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงเห็นควรลดขนาดของโครงการพร้อมทั้ง จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความพร้อมของ ปภ. และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ พิจารณาต่อไป และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้การ สนับสนุนโครงการดังกล่าวตามขอบข่าย (TOR) ที่ได้ปรับปรุงใหม่ของกระทรวงมหาดไทย แต่โดยที่ภารกิจด้านการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นภารกิจที่ต้องถ่ายโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกรูปแบบตาม พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ควรคำนึง ถึงการส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการฝึกอบรม การเตรียมความพร้อม และ การจัดองค์ความรู้ เพื่อรองรับการถ่ายโอนภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการจัดการภัยพิบัติ ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาทบทวน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1116 | สรุปผลการดำเนินภารกิจตามนโยบายทางสังคม | พม | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการดำเนินภารกิจตามนโยบายทางสังคมของกระทรวงการ
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งจัดให้มีคณะทำงานติดตามความก้าวหน้าภารกิจของนโยบาย โดยมีนักวิชา การในพื้นที่เข้ามาร่วมติดตามความก้าวหน้า สรุปได้ดังนี้ นโยบายส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ความสมานฉันท์ ของคนในชาติ อาทิ ให้มีการขับเคลื่อนเวทีประชาธิปไตยโดยชุมชนทั่วประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหา คม 2550 โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและวิทยากรกระบวนการภาคประชาชน ช่วยทำให้ประชาชนมี ความเข้าใจความหมายของคำว่าประชาธิปไตย เป็นต้น นโยบายสร้างความเข้มแข็งของทุกชุมชน ท้องถิ่นและประชา สังคม อาทิ จัดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวนกว่า 4 พันแห่ง มีการจัดเก็บข้อมูลผู้ยากลำบากอย่าง ทั่วถึง ถูกต้อง และเป็นระบบมากขึ้น พร้อมทั้งนำข้อมูลดังกล่าวมาดำเนินการช่วยเหลือผู้ยากลำบาก เป็นต้น และ นโยบายการจัดทำแผนปฏิรูปสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน อาทิ จัดให้มีการพัฒนาระบบสวัสดิการท้องถิ่น ซึ่งทำให้ ผู้บริหาร อปท. และทีมงานมีความรู้ความเข้าใจการจัดสวัสดิการสังคมแก่ผู้ขาดโอกาส และทำให้ อปท. มีรูปแบบและ วิธีการช่วยเหลือประชาชนที่หลากหลายและมีความเหมาะสมกับพื้นที่มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1117 | การแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง | พณ | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง โดย
กระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ร้องเรียนทุกกลุ่ม และประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวง มหาดไทย และจังหวัดที่มีการร้องเรียนเพื่อบรรเทาปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร้านค้าปลีกดั้งเดิม พร้อมทั้งเร่ง รัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกการค้าส่ง พ.ศ. .... นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงมหาดไทย กับกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งไทย ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันให้มีคณะทำงานเพื่อตรวจ สอบการก่อสร้างและการอนุญาตก่อสร้างอาคารประกอบกิจการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ หากตรวจพบว่า ไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมาย ก็จะสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง รวมทั้งได้ดำเนินการส่งเสริม และสนับสนุนในการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เพื่อเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และมีแนวทางที่จะร่วมมือกับ เอกชนในการจัดตั้งองค์กรที่เป็นแกนกลางเพื่อเร่งส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงหรือข่ายโชวห่วยในพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1118 | สรุปเหตุการณ์นักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่ถ้ำน้ำทะลุอุทยานแห่งชาติเขาสก อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสรุปเหตุการณ์นักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่ถ้ำน้ำทะลุ อุทยานแห่งชาติ
เขาสก อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือ ของกระทรวงมหาดไทย สรุปได้ดังนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทน์เสนะ) และคณะได้เดินทางตรวจพื้นที่เกิดเหตุ ณ อุทยาน แห่งชาติเขาสก และอำนวยการประสานการให้ความช่วยเหลือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้มอบเงินค่าจัดการศพให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นคนไทย รายละ 15,000 บาท และเดินทาง ไปเยี่ยมนักท่องเที่ยวผู้รอดชีวิต ส่วนกระทรวงมหาดไทยได้วางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากน้ำป่าไหล หลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม อาทิ ให้จังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวดำเนินการสำรวจตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงภัยจาก น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม ในบริเวณที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และจัดให้มีการฝึกซ้อมแผนการแจ้ง เตือนภัยและอพยพหนีภัย สำหรับในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ฯ หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่ใดมีความเสี่ยงภัยสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ให้จังหวัดจัดประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อพิจารณา กำหนดห้วงเวลาปิดสถานที่ดังกล่าว เป็นการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประสาน กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ติดตั้งระบบเฝ้าระวังและเตือนภัย เพื่อ สามารถแจ้งเตือนภัยได้ทันต่อเหตุการณ์ และจัดทำคู่มือความปลอดภัยและคำเตือนถึงอันตรายจากการท่องเที่ยวใน พื้นที่ที่อาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับเพลัน และดินถล่ม ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นข้อมูลความ ปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยว รวมทั้งรับทราบสถานการณ์สาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1119 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการตรวจติดตามการให้ความช่วยเหลือของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลตำรวจโท ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ) | มท | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสรุปสถานการณ์อุทกภัยและการตรวจติดตามการให้ความช่วย
เหลือของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลตำรวจโท ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ) สรุปได้ดังนี้ สถานการณ์อุทก ภัย ช่วงระหว่างวันที่ 4-15 ตุลาคม 2550 มีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 25 จังหวัด 102 อำเภอ 356 ตำบล 1,953 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 254,907 คน 69,355 ครัวเรือน ในส่วนของความเสียหาย อาทิ บ้านเรือนราษฎรได้รับ ความเสียหาย 498 หลัง พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม 620,231 ไร่ และถนนได้รับความเสียหาย 1,534 สาย เป็น ต้น มูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการสำรวจ โดยสถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน คลี่คลายแล้ว 14 จังหวัด คงเหลือ จังหวัดที่ยังมีสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร ขอนแก่น อุบลราชธานี กาฬ สินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ นครราชสีมา นครสวรรค์ และอุทัยธานี สำหรับการตรวจติดตามสถานการณ์ อุทกภัยของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลตำรวจโท ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ) พร้อมคณะ ได้เดินทางตรวจ ติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และขอนแก่น เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2550 โดยมอบนโยบายและข้อสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนิน การดังนี้ ให้จังหวัดและอำเภอเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ระดับน้ำอย่างใกล้ชิด โดยมีการบูรณาการหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีเอกภาพ รวมทั้งติดตามผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบ สนองความต้องการของประชาชนผู้ประสบภัยได้อย่างแท้จริง และให้จังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจความเสีย หายภายหลังน้ำลด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1120 | การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ 2550 | ยธ | 09/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้อำนวยการศูนย์อำนวย
การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปี พ.ศ. 2550 เป็นกรณีพิเศษให้ แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่น ไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยา เสพติดทั้งหมดจำนวน 895,388 คน และการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปี พ.ศ. 2550 เป็นกรณีพิเศษให้ แก่เจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่น ไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวน เจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดทั้งหมดจำนวน 33,597 คน โดยกรณีของผู้ที่ เงินเดือนเต็มขั้น ซึ่งหากได้รับค่าตอบแทนพิเศษในกรอบการพิจารณาใดไม่เกินร้อยละ 4 ให้ได้รับเงินเดือนค่าตอบ แทนพิเศษเป็นร้อยละ 4 โดยเบิกจ่ายมีระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการนี้ ให้ส่วนราชการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของส่วนราชการต้นสังกัด ในโอกาสแรกก่อน หากไม่สามารถปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้ ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อน ขั้นเลื่อนอันดับ เงินเดือน และเงินปรับวุฒิข้าราชการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเห็นควรให้ส่วนราชการดำเนินการโดยยึดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติตามแนวทางมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 และในการพิจารณาค่าตอบแทนพิเศษให้แก่ผู้ที่เงินเดือนเต็มขั้น ให้พิจารณา ตามหลักการของระเบียบกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....