ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 72 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 1421 - 1440 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1421 | การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ | ทส | 13/03/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอการแก้ไข
ปัญหาเร่งด่วนกรณีสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ โดยสังเขปดังนี้ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ระดมกำลังพนักงานดับไฟป่าจากพื้นที่อื่น ๆ ไปสนับสนุนการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด และจัดทำประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้งดเว้นการใช้ไฟในการทำกิจกรรมในพื้นที่ป่าโดยเด็ดขาด รวม ทั้งลดปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่า ให้กองทัพภาคที่ 3 สนธิกำลังในการดำเนินการ ลาดตระเวน ป้องปราม และเข้าดำเนินการดับไฟในพื้นที่นอกเขตป่าอนุรักษ์ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนิน การควบคุมการเผาในที่พื้นที่เกษตรกรรม ให้กระทรวงคมนาคมตั้งทีมเฉพาะกิจในการระงับไฟในเขตทางหลวงที่รับ ผิดชอบ ให้สาธารณสุขจังหวัดจัดเตรียมคลินิกพิเศษ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษหมอก ควัน และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในท้องที่ภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัด เป็นผู้มีอำนาจสั่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนิน การกำกับดูแล การบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ ดำเนินการตามประกาศเขตควบคุมไฟป่าอย่างเคร่งครัด เร่งรัดประชา สัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนในการงดการจุดไฟเผาป่า ระมัดระวังการใช้ไฟในพื้นที่ป่า ทำแนวกันไฟและควบ คุมการเผาเศษวัสดุ เพื่อป้องกันมิให้ไฟลุกลามเข้าป่า กับให้จังหวัดจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุร้องเรียนด้านการเผาในที่ โล่ง และพิจารณาใช้งบฉุกเฉินเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ จากหมอกควัน หากมีความจำเป็นให้จังหวัดพิจารณาขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ หาก การดำเนินมาตรการข้างต้นไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ อาจใช้อำนาจตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศเหตุฉุกเฉินหรือเหตุภยัน ตรายต่อสาธารณชนอันเนื่องจากภัยธรรมชาติ หรือภาวะมลพิษ เพื่อให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการกำหนด มาตรการป้องกันและจัดทำแผนฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ติดตามประเมินสถานการณ์ในช่วงเดือนเมษายน ถึง เดือนมิถุนายน 2550 เพื่อใช้ประกอบ การตัดสินใจในการประกาศเหตุฉุกเฉินตามมาตรา 9 ในราชกิจจานุเบกษา ต่อไป และเห็นชอบในหลักการตาม ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเพิ่มเติม ให้มีการเตรียมการป้องกัน และแก้ไข ปัญหาการเกิดสถานการณ์ดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ ความร่วมมือและประสานการดำเนินการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1422 | การประเมินพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2550 | ทส | 06/03/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการประเมินพื้นที่เสี่ยงและมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2550
ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยข้อมูลการประเมินพื้นที่เสี่ยง กรมทรัพยากรน้ำได้ทำการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาจังหวัดที่มีฝนน้อยกว่าฝนเฉลี่ย 30 ปี การพิจารณาฝนทิ้งช่วง จังหวัดที่มีน้ำท่าอยู่ในภาวะ วิกฤติ อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำวิกฤติ จังหวัดที่มีระบบประปาหมู่บ้านน้อย และศักยภาพของบ่อบาดาลในพื้นที่ขาด แคลนระบบประปา พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้งและประสบภัยแล้ง รวม 47 จังหวัด สำหรับมาตรการแก้ไข ปัญหา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการและดำเนินการ ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งได้แก่ การปฏิบัติการเตรียมรับสถานการณ์ก่อนเข้าสู่ฤดูแล้ง อาทิ การซ่อมแซมและก่อสร้างระบบ ประปาหมู่บ้าน การบูรณะและฟื้นฟูแหล่งน้ำ การก่อสร้างฝายต้นน้ำ การปรับปรุงบ่อน้ำตื้น เป็นต้น การสร้างการ มีส่วนร่วมของชุมชน โดยจัดประชุมคณะอนุกรรมการลุ่มน้ำ 29 คณะทั่วประเทศเพื่อประสานงานด้านข้อมูลปัญหาภัย แล้งจากพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบช่องทางการขอรับความช่วยเหลือ แจ้งเตือนชุมชนให้ประหยัดการ ใช้น้ำ โดยฝึกอบรมการผลิตและดูแลบำรุงรักษาระบบประปา เป็นต้น และการบูรณาการหน่วยงานเพื่อบรรเทาภัย แล้ง อาทิ การกำหนดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำในอ่าง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การ เตรียมการจัดทำฝนหลวงในพื้นที่วิกฤติ โดยสำนักฝนหลวง การก่อสร้างฝายต้นน้ำ โดยกรมทรัพยากรน้ำ กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช การขุดเจาะบ่อบาดดาลในพื้นที่วิกฤติ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์การบริหารส่วนตำบล และการฟื้นฟูอนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติ ซ่อมแซม และก่อสร้างระบบประปาหมู่บ้าน โดยกรมทรัพยากรน้ำ และองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1423 | ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... | ทส | 06/03/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอร่างพระราช
บัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยป่าชุมชน เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรได้มีส่วนร่วมกับรัฐ ในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู และพัฒนาสภาวะแวดล้อม โดยให้ราษฎรรวมตัวกันเพื่อจัดการดูแลรักษาและใช้ทรัพยา กรป่าด้วยตนเองอย่างยั่งยืน และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้เพิ่ม ผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ นโยบายป่าชุมชนตามร่างมาตรา 7 ด้วย แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งพิจารณา ก่อน เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1424 | การรับนักเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2550 | ศธ | 06/03/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับแนวทางการรับนักเรียนสังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2550 ดังนี้ ชั้นก่อนประถมศึกษา และชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 ให้รับเด็กที่อยู่ในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนเข้าเรียนโดยไม่มีการสอบ กรณีมีผู้สมัครเกินจำนวนที่รับได้ให้ ใช้วิธีจับฉลาก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้รับนักเรียนทุกคนที่มาสมัครเข้าเรียน กรณีมีผู้สมัครเกินจำนวนให้ใช้วิธีจับ ฉลาก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนที่เปิดสอนทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายให้รับนัก เรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนที่มีศักยภาพเหมาะสมเข้าเรียนและเปิดรับนักเรียนทั่วไป โดยโรงเรียน ที่เปิดเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้รับนักเรียนโดยการสอบคัดเลือกไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 โควตาไม่เกิน ร้อยละ 20 สำหรับโรงเรียนที่จัดการเรียนร่วม (จัดเด็กพิการเรียนร่วมกับเด็กทั่วไป) ให้รับเด็กพิการเรียนร่วมตาม ความพร้อมของโรงเรียน โรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการ ให้รับเด็กพิการที่ไม่สามารถเรียนร่วมกับเด็ก ปกติได้ตามประเภทความพิการ และความสามารถของแต่ละโรงเรียน โรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส ให้รับผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนปกติได้ และจำเป็นต้องได้รับการช่วย เหลือเป็นพิเศษเข้าเรียน และโรงเรียนที่จัดการศึกษาด้วยวัตถุประสงค์พิเศษ ให้รับนักเรียนตามวัตถุประสงค์ของ การจัดตั้งโรงเรียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1425 | สรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4/2549 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2550 | นร | 06/03/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4/2549 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี
พ.ศ. 2550 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ 4/2549 ขยายตัวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 4.2 จากที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 ใน ไตรมาสแรก ร้อยละ 5.0 ในไตรมาสสอง และร้อยละ 4.7 ในไตรมาสที่สามของปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากอุปสงค์ ภายในประเทศยังชะลอตัวต่อเนื่องทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาคของเอกชนและภาครัฐ ในขณะที่ปริมาณการ ส่งออกทั้งสินค้าและบริการขยายตัวในอัตราที่เร่งตัวมากขึ้นในไตรมาสสุดท้าย สำหรับการผลิตในไตรมาสที่สี่ปี พ.ศ. 2549 ภาคเกษตรขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9 ด้านการผลิตนอกภาคเกษตรขยายตัวร้อยละ 4.6 ในขณะที่ การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและบริการเกือบทุกสาขาขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างทรงตัว ยกเว้นสาขาก่อสร้าง ซึ่งมีการปรับตัวต่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงก่อนหน้า ประกอบกับราคาที่อยู่อาศัยที่ยังปรับสูงขึ้นตาม ต้นทุนการผลิต ราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งราคาที่ดินที่ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยชะลอลง นอก จากนี้ ภาคการเงินก็ชะลอตัวลงเช่นกันเนื่องจากการให้สินเชื่อขยายตัวช้าลงและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และ เงินฝากลดลง ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2550 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.0-5.0 และอัตราเงินเฟ้อ เท่ากับร้อยละ 2.5-3.0 โดยมีปัจจัยบวก อาทิ แรงกดดันด้านราคาและภาวการณ์เงินลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อ กำลังซื้อของประชาชน รวมถึงการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดีและแรงสนับสนุนจากงบประมาณรัฐบาล และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1426 | การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตร (มีการปรับแก้ไขมติฯ) | กษ | 20/02/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอหลักเกณฑ์และอัตราการ
ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่ด้านการเกษตร ตามมติที่ประชุมคณะทำงานให้ความช่วยเหลือเกษตรกร รายใหญ่ด้านการเกษตรที่ประสบอุทกภัยปี 2549 และคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2550 ดังนี้ ด้านพืช ให้ใช้เกณฑ์การช่วยเหลือในพื้นที่การเกษตรเสียหายรุนแรง โดยแยกกล้วยไม้สกุล หวาย กล้วยไม้แคทลียา ไม้ตัดใบและไม้ประดับ ผัก และเห็ด ออกจากพืชสวนและไม้ผลอื่น ๆ และให้คำนวณผล ตอบแทนสุทธิตามประเภทของพืชชนิดนั้น ๆ และช่วยเหลือร้อยละ 50 ของผลตอบแทนสุทธิ ด้านปศุสัตว์ ให้ช่วย เหลือร้อยละ 50 ของจำนวนสัตว์ที่ตายหรือสูญหายในอัตราตามหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2549 (เฉพาะจำนวนที่เกินจากกรอบการช่วย เหลือรายย่อยตามเกณฑ์พิจารณาขนาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ด้านการเกษตร) และด้านประมง ให้ช่วยเหลือ ร้อยละ 50 ของจำนวนพื้นที่ที่เสียหายจริง ในอัตราตามหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติปลีกย่อย ฯ (เฉพาะพื้นที่ที่เกิน จากกรอบการช่วยเหลือรายย่อยตามเกณฑ์พิจารณาขนาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ด้านการเกษตร) โดยเกณฑ์ และอัตราการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่ด้านการเกษตรดังกล่าว จะใช้เฉพาะการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2549 (วันที่ 1 สิงหาคม-30 พฤศจิกายน 2549) และในพื้นที่การเกษตรเสียหายรุนแรงนั้น สำหรับกรอบ วงเงินการช่วยเหลือจะใช้วงเงินช่วยเหลือภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 วงเงิน 6,305.75 ล้านบาท ซึ่งจากประมาณการผู้มาแจ้งความเสียหายที่อยู่ในเงื่อนไขพิจารณาให้ความช่วย เหลือ มีจำนวน 534 ราย เป็นเงิน 145,633,240 บาท ส่วนการช่วยเหลือนอกเหนือจากหลักเกณฑ์ดังกล่าว คณะ ทำงาน ฯ เป็นผู้พิจารณาภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการด้วยดังนี้ หลักเกณฑ์และอัตราการให้ ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่ด้านการเกษตรตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้ใช้เฉพาะกรณีปี พ.ศ. 2549 เพราะเป็นความเสียหายอันเนื่องมาจากการดำเนินมาตรการด้านอุทกวิทยาและชลประทานของภาค รัฐ มิใช่เกิดจากภาวะทางธรรมชาติ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จดทะเบียนเกษตรกรผู้อยู่ในเขตเสี่ยงภัย และให้ใช้หลักฐานการชำระภาษีเงินได้ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลประกอบการพิจารณาอนุมัติให้ ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1427 | สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2550 (เมื่อบริหารงานครบ 4 เดือน) | ทก | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับผล
การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2550 (เมื่อบริหารงานครบ 4 เดือน) ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ระหว่างวันที่ 25 - 28 มกราคม 2550 โดย สรุปผลการสำรวจความคิดเห็นได้ดังนี้ ความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ส่วนใหญ่มีความ พึงพอใจต่อการบริหารของรัฐบาล โดยนโยบายของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด ได้แก่ การปราบปรามการ ทุจริตคอรัปชัน 50.2% การแก้ปัญหาสาธารณสุข 34.8% การปราบปรามยาเสพติด 16.5% การส่งเสริมการท่อง เที่ยว/กีฬา 14.4% และการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ 12.4% ในส่วนของความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาวะทาง เศรษฐกิจในปัจจุบันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เห็นว่าสภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงเหมือนเดิม 51.3% เห็นว่า แย่ลง 33.1% และไม่แน่ใจ 4.5% รวมทั้งความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาวะทางสังคมในปัจจุบันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เห็นว่าเหมือนเดิม 51.7% แย่ลง 34.3% ที่เห็นว่าดีขึ้นมีเพียง 10.2% สำหรับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องการ ให้รัฐบาลแก้ไข คือ การรักษาคามสงบภายในประเทศ 35.2% รองลงมา คือ ปัญหาหนี้สิน/ความยากจน 24.9% ปัญหาค่าครองชีพ 22.9% และปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 19.3% เป็นต้น ส่วนข้อเสนอแนะในการบริหาร งานของรัฐบาล ได้แก่ รัฐบาลควรทำงานอย่างจริงจัง/โปร่งใสและเป็นธรรม แก้ปัญหาความยากจน/ส่งเสริมอาชีพ ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค สร้างความสามัคคี/สมานฉันท์ภายในประเทศ ปราบปรามการทุจริตคอรัปชัน และเร่งดำเนินการรักษาความสงบภายในประเทศ นอกจากนี้ จากผลการสำรวจความคิดเห็นในส่วนการพัฒนางาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ประชาชนต้องการให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การพัฒนาระบบ สัญญามือถือ พัฒนาคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้ทันสมัยเท่าเทียมกับต่างประเทศ พัฒนา/ปรับปรุงระบบเครือ ข่ายอินเทอร์เน็ต พัฒนา/ปรับปรุงระบบสัญญาณโทรทัศน์ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมไปถึงพัฒนา/ปรับปรุงระบบ สัญญาณสถานีวิทยุ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1428 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุข พ.ศ.... | สธ | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการ
สาธารณสุข พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการสาธารณสุข เพื่อกำหนดคุณภาพและ มาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุขให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับการปฏิบัติงาน จริง มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐาน ตลอดจนป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบอันจะก่อประโยชน์ ให้เกิดสุขภาวะของประชาชนผู้รับบริการ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดย ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่าการกำหนดให้วิชาชีพการสาธารณสุขเป็นวิชาชีพที่มีการ ควบคุมโดยผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตในการประกอบวิชาชีพ และต้องเป็นสมาชิกแห่งสภา วิชาชีพการสาธารณสุข ซึ่งตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของสมาชิกวิสามัญ ไว้ในระดับอนุปริญญา จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนคุณสมบัติเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของผู้ได้รับอนุญาตที่เป็น สมาชิกวิสามัญให้สอดคล้องกับวิชาชีพอื่นที่มีกฎหมายรองรับ รวมทั้งการรับรองวิทยฐานะของสถาบันที่ทำ การสอนหรือฝึกอบรมวิชาทางการสาธารณสุขควรกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน และคำนึงถึงสถาบันการศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่จัดการเรียนการสอน หรือฝึกอบรมวิชาทางการสาธารณสุขด้วย นอกจากนี้ คำว่า "เครือข่ายสถาบันการศึกษาสาธารณสุขศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง" [มาตรา 14 (1.3)] มีความ หมายไม่ชัดเจน ไปพิจารณาด้วย และเมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเสร็จแล้ว ให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1429 | การดำเนินการตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ 3 เพิ่มเติม | มท | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่มีมติเห็น
ชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ 3 เพิ่มเติม ของการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรเพิ่มเติมประมาณ 111,810 ครัวเรือน (ประมาณ 12,000 หมู่บ้าน) ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. (73 จังหวัด) ทั่วประเทศ โดยก่อสร้าง ระบบจำหน่ายแรงสูง 2,380 วงจร-กิโลเมตร ก่อสร้างระบบจำหน่ายแรงต่ำ 8,990 วงจร-กิโลเมตร ติดตั้งหม้อ แปลง 72,810 เควีเอ. และติดตั้งมิเตอร์ 111,810 ชุด วงเงินลงทุนรวม 2,323 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินลงทุน จากเงินกู้ภายในประเทศ จำนวน 1,742 ล้านบาท และเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 581 ล้าน บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นควรคงนโยบายการ อุดหนุนในลักษณะไขว้ (Cross Subsidy) เพื่อคงอัตราค่าไฟฟ้าระหว่างผู้ใช้ไฟในเขตเมืองและชนบทเป็นอัตราเดียว กัน โดย กฟภ. ควรพิจารณาลดภาระการอุดหนุนต่อไปด้วย รวมทั้งความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลังที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ส่วนใหญ่เป็นเงินบาทและมีผลตอบแทนสุทธิ (NPV) ของโครง การติดลบ จึงเห็นควรพิจารณาใช้เงินทุนที่มาจากรายได้ของตนเองเป็นลำดับแรก แต่หากประสงค์จะใช้เงินกู้ ควร พิจารณาใช้เงินกู้ในประเทศ โดย กฟภ. จะต้องใช้เงินลงทุนจากรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของวงเงินลงทุน ซึ่ง กระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตาม ความเหมาะสมและจำเป็นและสอดคล้องกับสภาวะตลาดการเงิน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1430 | รายงานผลการดำเนินงานเรื่องร้องเรียน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปี พ.ศ. 2549 | ทส | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานเรื่องร้องเรียน ของกระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปี พ.ศ. 2549 โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549-31 ธันวาคม 2549 ศูนย์ บริการประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนรวมทั้งสิ้น 2,461 เรื่อง ผ่านทาง 22 ช่องทาง ซึ่งช่องทางที่ประชาชนนิยมร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ สายด่วน Green Call 1310 จำนวน 1,669 เรื่อง ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC) จำนวน 353 เรื่อง และเว็ปไซด์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 173 เรื่อง สำหรับ ประเภทปัญหาที่ได้รับร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแหล่งกำเนิดมลพิษ (ฝุ่นละออง เถ้าถ่าน มลพิษอุตสาหกรรม ฯลฯ) จำนวน 1,483 เรื่อง รองลงมาเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพื่อทราบ จำนวน 637 เรื่อง และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ (รุกป่า ตัดไม้ รุกต้นน้ำ ฯลฯ) จำนวน 309 เรื่อง ส่วนพื้นที่ที่ประชา ชนแจ้งเรื่องร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ ภาคกลาง จำนวน 1,389 เรื่อง โดยจังหวัดกรุงเทพมหานครเป็นจังหวัด ที่ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนมากที่สุด รองลงมาคือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยปัญหาที่ร้อง เรียนในเขตเมืองส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวเนื่องกับเรื่องมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนปัญหาในเขตชนบทส่วน ใหญ่เกี่ยวข้องกับปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหาการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ที่ มีหน้าที่รับผิดชอบการพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่ศูนย์ บริการประชาชนได้รับทั้งหมด พบว่า หน่วยงานพิจารณาดำเนินการเรื่องร้องเรียนของประชาชนได้แล้วเสร็จ จำนวน 2,045 เรื่อง ส่วนเรื่องร้องเรียนที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ จำนวน 1,105 เรื่อง เป็นเรื่องที่หน่วย งานต้องเร่งรัดการแก้ไข จำนวน 784 เรื่อง และเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการแก้ไข จำนวน 321 เรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1431 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนธันวาคม 2549 | อก | 30/01/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนธันวาคม
2549 ของกระทรวงอุตสาหกรรม สรุปได้ดังนี้ อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตและการส่งออกขยายต่อเนื่องจาก ปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงส่งท้ายปีที่เทศกาลสำคัญ ส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป คาดว่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2550 แต่จะมีปัจจัยลบมากระทบ เช่น ปัญหาการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเอง จะส่งผลกระทบ ต่อผู้ส่งออก อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ในส่วนของการผลิตเหล็กทรงยาวมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็ก น้อย รวมทั้งเหล็กทรงแบนซึ่งการผลิตจะขยายตัวขึ้นตามอุตสาหกรรมต่อเนื่อง แต่ในส่วนของการส่งออกจะ ลดลงเนื่องจากความต้องการใช้ของตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มอิ่มตัว ประกอบกับตลาดในกลุ่มประเทศ EU เริ่มชะลอตัวลง อุตสาหกรรมยานยนต์ ขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2549 เนื่องจากอยู่ใน ช่วงฤดูกาลขาย ในด้านอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การผลิตและการจำหน่ายในประเทศจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็น ช่วงฤดูกาลก่อสร้าง และด้านการส่งออกคาดว่าจะมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ อเมริกา ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักยังไม่ขยายตัวเท่าที่ควร ส่วนภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอ นิกส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การส่ง ออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1432 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2549 (และปัญหาสิ่งแวดล้อมของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) | ทส | 30/01/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอดังนี้ รับทราบมติคณะกรรม
การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2549 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองใน การประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2550 (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2550 รวม 4 เรื่อง ได้แก่ เรื่อง (ร่าง) แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2550-2554 เรื่อง (ร่าง) กรอบทิศทางการสนับ สนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 23 (4) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่ง ชาติ พ.ศ. 2535 ในช่วงงบประมาณ พ.ศ. 2550-2551 เรื่อง การปรับปรุงมาตรฐานก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซไฮโดรคาร์บอนจากท่อไอเสียรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แก๊สโซลีน และเรื่อง การปรับปรุงค่ามาตรฐานก๊าซ คาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซไฮโดรคาร์บอนจากไอเสียรถจักรยานยนต์ใช้งานที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับที่ 6 และเห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2550-2554 สำหรับกลไกด้านภาษี ให้กระทรวงการ คลังรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมกรณีมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาผล กระทบสิ่งแวดล้อมจากเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัด ประชาเสวนาเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงาน ประสานในหน่วยงาน กลุ่มองค์กร ผู้นำชุมชน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องและที่สนใจอื่น ๆ เข้าร่วมการเสวนาเพื่อรับฟัง ข้อมูล ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่าง ๆ สำหรับใช้ในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเหมาะ สมต่อไป และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตรวจสอบปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นตามที่ ประชาชนร้องเรียน เช่น น้ำ อากาศ และขยะอุตสาหกรรม เป็นต้น ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องให้ความร่วมมือในการดำเนินการด้วย และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงาน อื่นที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในพื้นที่เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการ ดำเนินการของภาครัฐในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำซึ่งหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการทั้ง เพื่อการเกษตรและการอุตสาหกรรม และปัญหาการทำประมงชายฝั่ง เป็นต้น รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุข ตรวจสอบผลกระทบด้านการสาธารณสุขและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ และดำเนินการแก้ไขเยียวยา โดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1433 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม) ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของข้าราชการอัยการ) และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 23/01/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่มีมติอนุมัติ
หลักการรตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลปกครอง เสนอร่างพระราช บัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงิน ประจำตำแหน่งข้าราชการอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมและ ดะโต๊ะยุติธรรม ข้าราชการอัยการ และตุลาการศาลปกครอง โดยปรับเพิ่มร้อยละ 3 จากฐานเดิม และเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 5 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรม การกลั่นกรอง ฯ ที่มีความเห็นว่า เมื่อมีการปรับเงินเดือนของตุลาการศาลปกครองเพิ่มขึ้นแล้ว การแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ฯ ที่ให้ตุลาการศาลปกครอง อาจได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจ ในทำนองเดียวกับที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบ บริหารศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 จึงไม่มีความ จำเป็นและอาจไม่เป็นธรรมกับข้าราชการประเภทอื่น โดยให้พิจารณาแก้ไขกฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวให้สอด คล้องกันต่อไป ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนนำ เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป รวมทั้งประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่ให้สำนักงานศาล ยุติธรรมพิจารณาทบทวนว่า จะใช้โครงสร้างเงินเดือนในลักษณะที่เป็นระบบอัตราเดียว (Single Rate) ที่ใช้กับ ข้าราชการตุลาการในปัจจุบันต่อไปหรือไม่ หากเห็นสมควรปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่เพื่อให้เป็นระบบ เดียวกับข้าราชการประเภทอื่น ก็ให้เสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ปัจจุบันข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมและข้าราชการอัยการ ได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ในอัตรา 3% ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เพื่อแก้ไขปัญหาอัตราเงินเดือนที่เหลื่อมล้ำไปพลางก่อนแล้ว หากมี การปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม และข้าราชการอัยการ ตามที่สำนักงานศาลยุติ ธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ สมควรที่หน่วยงานทั้ง 2 จะรับไปดำเนินการมิให้การปรับอัตราเงินเดือน ที่จะได้รับเพิ่มตามที่เสนอซ้ำซ้อนกับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวที่ได้รับอยู่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้ กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาโครงสร้างอัตราเงินเดือนของข้า ราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐเพื่อให้การกำหนดค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเป็นไปอย่างเหมาะสมและ เป็นธรรมในทุกสายงานและสาขาวิชาชีพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1434 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม และปี 2549 | พณ | 16/01/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคา
ผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม และปี พ.ศ. 2549 ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคา ผู้บริโภคทั่วไปเดือนธันวาคม 2549 เท่ากับ 115.3 เปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2549 (115.4) ลด ลงร้อยละ 0.1 โดยดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 0.4 จากการลดลงของดัชนีราคาหมวดผัก สดและผลไม้ร้อยละ 2.2 และจากการลดลงของราคาเนื้อสุกรอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะ 5 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 0.1 จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาน้ำมัน เชื้อเพลิง ร้อยละ 1.4 และดัชนีราคาค่าโดยสารเครื่องบินในประเทศ สูงขึ้นร้อยละ 6.6 ส่วนบริการที่ปรับ อัตราลดลง ได้แก่ อัตราค่าโดยสารรถประจำทางปรับอากาศชั้น 1 และ 2 ของรัฐบาล ลดลงในอัตราร้อย ละ 15 และค่าโดยสารร่วม บขส. ของเอกชน ส่วนดัชนีเฉลี่ยทั้งปี 2549 สูงขึ้นร้อยละ 4.7 จากการสูงขึ้น ของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าโดยสารสาธารณะ ผักสดและผลไม้ซึ่งได้รับผลกระทบจาก ภาวะฝนแล้ง รวมทั้งราคาน้ำตาลทราย น้ำอัดลม และสินค้าบริการส่วนบุคคลอื่น ๆ บางรายการ สำหรับ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม 2549 เท่ากับ 105.0 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2549 โดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง เดือนธันวาคม 2548 สูงขึ้นร้อยละ 1.5 และดัชนีเฉลี่ยทั้งปี สูงขึ้นร้อยละ 2.3
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1435 | สรุปการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตร | กษ | 09/01/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสรุปการให้ความช่วยเหลือเกษตร
กรผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตร โดยในส่วนของพื้นที่การเกษตรเสียหายรุนแรงในพื้นที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน จะช่วยเหลือร้อยละ 50 ของรายได้เกษตรกรที่ควรจะได้รับ โดยจะต้องเป็นพื้นที่การเกษตรที่มีน้ำท่วมขังติดต่อกัน ไม่น้อยกว่า 30 วัน และเกษตรกรไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาพืชผลการเกษตรของตนเองได้เพราะต้องอพยพ และ/ หรือขนย้ายทรัพย์สินที่เสียหายจากอุทกภัย และ/หรือพืชผลการเกษตรเสียหายโดยสิ้นเชิงไม่สามารถเก็บเกี่ยวผล ผลิตได้ และไม่สามารถฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรของตนเองหลังเข้าสู่ภาวะปกติในระยะเวลาสั้น ๆ หรือ ระยะเวลาปกติ ได้ สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่ ให้พักชำระหนี้อันเกิดจากการประกอบการเกษตร เป็น เวลา 3 ปี ให้สิทธิในการกู้เงินลงทุนในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งให้ใช้หลักทรัพย์ที่ผู้ประกอบ การเกษตรดำเนินการเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ โดยให้สถาบันการเงินของรัฐและเอกชนเป็นผู้สนับสนุนเงินกู้ และผ่อนปรนเงื่อนไขในกรณีหลักทรัพย์นั้น ยังใช้ค้ำประกันหนี้เดิม นอกจากนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวา คม 2549 อนุมัติแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม และงบประมาณในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และบูรณะฟื้นฟู ความเสียหายในพื้นที่ 47 จังหวัด โดยในส่วนของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้รับอนุมัติกรอบ วงเงินงบประมาณ 6,737.71 ล้านบาท แบ่งเป็น การช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน วงเงิน 6,305.75 ล้าน บาท กำหนดเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ในวันที่ 5 มกราคม 2550 แล้วเสร็จวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2550 และการฟื้นฟูการเกษตรหลังน้ำลด วงเงิน 431.97 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างหน่วยงานขอ อนุมัติเงินงวดจากสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1436 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2549 (1 ตุลาคม 2548 - 30 กันยายน 2549) | สธ | 09/01/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกัน
สุขภาพแห่งชาติ รายงานสรุปผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2549 มีประชากรลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจำนวน 47.54 ล้านคน เป็นสิทธิประกันสุขภาพแบบเสียค่าธรรมเนียม จำนวน 22.57 ล้านคน และสิทธิประกันสุขภาพ แบบไม่เสียค่าธรรมเนียมจำนวน 24.97 ล้านคน หน่วยบริการคู่สัญญาในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามี จำนวนทั้งสิ้น 1,155 แห่ง เป็นกลุ่มโรงพยาบาล 959 แห่ง และคลินิก 196 แห่ง ด้านการใช้บริการทางการแพทย์ เฉพาะผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการใช้บริการผู้ป่วยนอกจำนวน 110.88 ล้านครั้ง (34.89 ล้านคน) และผู้ป่วยในมีจำนวน 4.32 ล้านคน ส่วนจำนวนหน่วยบริการที่มีการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐาน HA และมาตรฐาน ISO เพิ่มขึ้นเป็น 878 แห่ง ของหน่วยบริการทั้งสิ้น 961 แห่ง ด้านการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการ บริการสาธารณสุข (Health Practice Guidelines : HPG) ดำเนินการแล้วเสร็จ 10 สภาวะโรค ได้แก่ โรคอุจจาระ ร่วงเฉียบพลันในผู้ใหญ่ โรคหอบหืด ภาวะสมองเสื่อมในเวชปฏิบัติปฐมภูมิ โรคเบาหวาน โรคลมชัก ภาวะโลหิต จาง ภาวะเส้นเลือดในสมองแตก โรคต้อกระจก โรคหัวใจขาดเลือด และการดูแลผู้ใหญ่และวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ และแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ผ่านการพิจารณารับรองจากองค์กรวิชาชีพ ได้แก่ มะเร็งรัง ไข่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งเม็ดเลือดขาวและต่อมน้ำเหลืองในผู้ใหญ่ และมะเร็งเม็ดเลือดขาวและต่อมน้ำเหลืองใน เด็ก นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้จัดทำโครงการพัฒนาศูนย์ บริการหลักประกันสุขภาพเพื่อให้บริการด้านข้อมูลสิทธิประโยชน์ แนะนำการใช้บริการ รับเรื่องร้องเรียน การ แก้ปัญหาและคุ้มครองสิทธิของผู้รับบริการและหน่วยบริการให้มีมาตรฐาน รวมทั้งให้การช่วยเหลือเบื้องต้นกรณี ผู้รับบริการได้รับความเสียหายที่เกิดจากการใช้บริการรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ พัฒนาระบบบริหารจัดการผู้ป่วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงและโรคเรื้อรังต่าง ๆ ให้ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ เป็น ต้น สำหรับปัญหาอุปสรรคและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสำเร็จของการดำเนินงานเช่น ผู้รับบริการยังไม่ทราบ หรือไม่แน่ใจเรื่องสิทธิประโยชน์ กฎ ระเบียบ แนวทางปฏิบัติบางด้าน หรือหน่วยบริการไม่ปฏิบัติ หรือให้บริการ ตามนโยบายที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดหรือความไม่พอเพียงของงบประมาณในการบริการ จัดการในการจัดตั้งสำนักสาขาเขตสำหรับการบริหารระบบหลักประกันสุขภาพในระดับพื้นที่ ทำให้เกิดข้อจำกัด ในการพัฒนาระบบและกลไกต่าง ๆ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1437 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2548 | พม | 26/12/2549 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) รายงานสถานการณ์ผู้สูง
อายุไทย พ.ศ. 2548 โดยในปี พ.ศ. 2548 มีประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 6.4 ล้านคน คิดเป็นร้อย ละ 10.2 ของประชากรทั้งประเทศ อายุคาดหมายเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดของเพศชาย 68 ปี และอายุคาดหมาย เฉลี่ยเมื่อแรกเกิดของเพศหญิง 75 ปี ด้านภาวะสุขภาพ พบว่ากลุ่มประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 50 มีปัญหาเรื่อง โรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัว โดยโรคที่เป็นมากอันดับ 1 คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด รองลงมาคือ โรคต่อม ไร้ท่อ ระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคระบบทางเดินหายใจ ตาม ลำดับ ด้านครอบครัวและชุมชน โดยรวมมีผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวร้อยละ 7.1 ด้านการทำงานกับรายได้ ในปี พ.ศ. 2548 ผู้สูงอายุที่ทำงานอยู่ที่ร้อยละ 37.1 และมีรายได้เฉลี่ย 4,919 บาทต่อเดือน ด้านการศึกษาและ การเรียนรู้ ประมาณสามในสี่ของผู้สูงอายุไทยอ่านออกเขียนได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1438 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลาและอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พ.ศ. .... | รง | 19/12/2549 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์
วิธีการ ระยะเวลาและอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุง หลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำนาญชราภาพตามมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 เพื่อให้ผู้ประกันตนที่มีอายุครบห้า สิบห้าปีบริบูรณ์ ที่ได้ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเดือน มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเพิ่ม ขึ้นให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนิน การต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
1439 | รายงานภาวะสังคมไตรมาสสาม ปี 2549 | นร | 19/12/2549 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติเกี่ยวกับรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2549 ซึ่งมีจุดเด่นหลายประการคือ การมีงานทำของ ประชาชนสูงถึง 36.7 ล้านคน และอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.36 ส่วนการเจ็บป่วยด้วยโรค เฝ้าระวังลดลงเหลือเพียงร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ การใช้จ่ายครัวเรือน ในเรื่องบุหรี่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสี่ ปี 2548 เป็นต้นมา และคุณภาพอากาศโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ มาตรฐาน สำหรับประเด็นที่จะต้องให้ความสนใจ ได้แก่ คุณภาพการให้บริการด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน การ ดูแลและป้องกันเด็กและเยาวชนอายุ 11-14 ปีที่นิยมสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น รวมทั้งการที่ผู้ผลิตและ บริการที่ยังเอาเปรียบผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1440 | รายงานผลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 28/11/2549 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงพาณิชย์
โดยในส่วนของการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ได้จัดทำถุงยังชีพซึ่งประกอบด้วย อาหารกระป๋อง น้ำตาล ทราย ยารักษาโรค น้ำดื่ม ฯลฯ ไปมอบให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย และมอบข้าวสารบรรจุถุง โดย ผ่านให้กับจังหวัดที่ประสบอุทกภัยเพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัด รวมทั้งได้ติดตามตรวจ สอบราคาสินค้าในพื้นที่น้ำท่วม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้า สำหรับการช่วยเหลือ ภายหลังน้ำลด กระทรวงพาณิชย์มีแผนเข้าฟื้นฟูภาวะความเป็นอยู่ของประชาชน โดยจัด Mobile Unit ออกให้ บริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยจะเริ่มดำเนินการร่วมกับจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งครั้ง แรก ณ จังหวัดอ่างทอง ส่วนการช่วยเหลือด้านภัยหนาว ได้กำหนดแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว โดยจัดหา ผ้าห่มและเสื้อกันหนาวเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงเดือน ธันวาคม 2549-มกราคม 2550 โดยจะประสานงานกับจังหวัดในพื้นที่ประสบภัยหนาวต่อไป
|
.....