ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 102 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2021 - 2040 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2021 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การรับมือสิ่งท้าทายอุบัติใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในอนาคต | สสป | 28/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การรับมือสิ่งท้าทายอุบัติใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในอนาคต โดยจะต้องดำเนินการใน ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างคนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์การสร้างฐานข้อมูลและระบบเตือนภัยที่เชื่อถือได้ มีความเป็นเอกภาพและรวดเร็วทันเหตุการณ์ และจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ซึ่งที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นต่อข้อเสนอแนะดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ควรมีหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์ วางแผน และประสานงานกับภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และมีการจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนงานทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อให้ยุทธศาสตร์การรับมือกับสิ่งท้าทายอุบัติใหม่ที่จัดทำขึ้นสามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ๑.๒ ควรส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นนโยบายเร่งด่วน ดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการบูรณาการร่วมกัน โดยมีการศึกษาวิเคราะห์และจัดลำดับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๓ การพัฒนาด้านความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน ควรจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ที่มีแผนปฏิบัติการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม การศึกษาวิจัยและเก็บข้อมูลในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องต้องมีความสอดคล้องกับความเป็นจริงและสามารถรับมือสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางนโยบายพันธุวิศวกรรมและความปลอดภัยทางชีวภาพของประเทศควรอยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ของประเทศไทย และบูรณาการองค์ความรู้ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพอย่างจริงจัง และเตรียมความพร้อมทางด้านกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อเข้าเป็นภาคี Cartagena Protocol นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์และแนวทางการรับมือด้านการเกษตรควรคำนึงถึงแรงงานในวัยทำงาน ของภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลง การจัดหาสวัสดิการทางสังคมแก่เกษตรกร ๑.๔ ให้มีหน่วยงานคลังสมอง (Think Tank) ของประเทศที่ปฏิบัติหน้าที่รองรับความท้าทาย โดยเน้นในเรื่องของการค้าและการส่งออกสินค้า นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญ ซอฟต์แวร์ และการพัฒนาโครงการต่าง ๆ รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาในประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ๑.๕ การมีส่วนร่วมขององค์กรระดับท้องถิ่นและภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ตลอดจนแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในการรับมือกับสิ่งท้ายทายอุบัติใหม่ให้ดำเนินไปได้อย่างสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม โดยจะต้องสร้างความเข้าใจ ความตระหนักรู้ถึงปัญหา และเร่งส่งเสริมให้เกิดการประสานความร่วมมือภายในชุมชนในพื้นที่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๑.๖ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรับมือกับสิ่งท้าทายอุบัติใหม่ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในการเรียนรู้และการคิดเชิงวิเคราะห์ การปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะ และการสร้างเครือข่ายทางสังคมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนในทุกระดับในการรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและกระแสโลกาภิวัฒน์ที่กำลังเกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ๒. ให้สภาที่ปรึกษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอและความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำหน้าที่หน่วยงานประสานการดำเนินงานและติดตามความก้าวหน้า |
||||||||||||||||||||||||
| 2022 | การควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ขนิดเอ (เอช1 เอ็น1) | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการควบ
คุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ในทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการ จังหวัดเป็นประธาน หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมเป็นคณะกรรมการ ดำเนินการติด ตาม วิเคราะห์สถานการณ์ของโรค วางแผนปฏิบัติการควบคุมป้องกันการระบาดของโรค และมีกลไกในการติดตาม กำกับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดจากส่วนกลาง และที่กำหนดขึ้นในพื้นที่ และรายงาน สถานการณ์และผลการปฏิบัติงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งติดตามผู้ป่วยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ทุกราย และให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอความร่วม มือในการผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าเพื่อความประหยัดและลดปริมาณขยะจากหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วซึ่งทำ จากกระดาษ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2023 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | มท | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ
จัดตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานครขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อให้มีการศึกษา ส่งเสริมวิชาการ การวิจัย และวิชาชีพชั้นสูง พัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเน้นทางด้านเวชศาสตร์เขตเมือง และพัฒนา องค์ความรู้ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่นและพัฒนามหานคร ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทน ราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2024 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2551 | นร | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2551 โดยสาระใน รายงาน ฯ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ภาพรวมของระบบราชการ ส่วนที่ 2 ความก้าวหน้าของการพัฒนา ระบบราชการไทย และส่วนที่ 3 ผลการดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประจำปี พ.ศ. 2551 และให้เสนอสภาผู้ แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป 2. เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารและกำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือนมีหลาก หลายรูปแบบและประเภท รวมทั้งหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการตามมาตรการจำกัดขนาดกำลังคนภาครัฐ และได้ มีการถ่ายโอนภารกิจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาระยะหนึ่งแล้ว สมควรที่จะได้มีการพิจารณาทบทวนการจัด ประเภทและขนาดของกำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน โดยให้พิจารณาภารกิจของรัฐในฝ่ายบริหารเป็นหลัก และให้ นำข้อสังเกต ตลอดจนข้อร้องเรียนจากหลายฝ่ายมาพิจารณาประกอบ เช่น ข้อสังเกตที่ว่า ส่วนราชการต่าง ๆ มัก ไม่บรรจุข้าราชการพลเรือนในระดับปฏิบัติการเพราะต้องการเก็บอัตราไว้ยุบรวมเพื่อกำหนดตำแหน่งให้สูงขึ้นทำให้ โครงสร้างบุคลากรเบี่ยงเบนไป โดยจะมีตำแหน่งระดับสูงมากขึ้น ขณะที่ระดับปฏิบัติการลดลงเรื่อย ๆ มีการจ้าง งานรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในภารกิจของรัฐที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อทดแทนอัตรากำลังที่ถูกยุบรวม หรือยก เลิก ทั้ง ๆ ที่การจ้างงานในบางลักษณะเหมาะสมเฉพาะภารกิจที่มีระยะเวลาการปฏิบัติอย่างชัดเจน การจ้างงาน อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาข้อเรียกร้องและขวัญกำลังใจในด้านความมั่นคง ความเหลื่อมล้ำของสิทธิประโยชน์และ ค่าตอบแทน เกิดปัญหาข้อเรียกร้องถึงการขาดแคลนกำลังคนในส่วนราชการหลายแห่ง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขทั้งในด้านจำนวนและสาขาวิชา จึงมอบให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาในภาพรวมร่วม กับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) และ ก.พ.ร. ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2025 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน | กค | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อ ไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐจะสนับสนุนให้แก่หน่วย งานที่รับผิดชอบดำเนินการ คือ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 11,117 ล้านบาท ให้หน่วยงานดังกล่าวเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระ ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อไป ส่วนการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ให้เจียดจ่ายจากงบประมาณที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดค่าน้ำให้แก่ประชาชนใน ท้องถิ่นของตน 2. เห็นชอบในหลักการให้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยการดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตร การ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ให้รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิด ขึ้นจริงในระยะที่ผ่านมา ประกอบด้วย การประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 235.471 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง จำนวน 57.953 ล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน 94.740 ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 64.370 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงินจำนวน 452.534 ล้านบาท และให้ครอบคลุมถึงภาระค่าเบี้ยปรับซึ่ง เกิดจากการชำระค่าซื้อไฟฟ้าเกินระยะเวลาที่กำหนดจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิ ภาคจะต้องชำระให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 90.49 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
| 2026 | แนวทางดำเนินการโครงการประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2552/53 | พณ | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2552/53 ตามมติ
คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้ 1. ประกาศราคาประกันขั้นต่ำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ดความชื้นไม่เกิน 14.5% ณ จุดรับซื้อที่เข้าร่วม โครงการ ฯ โดยใช้เกณฑ์ต้นทุนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% เฉลี่ยทั้งประเทศ เท่ากับกิโลกรัม ละ 5.43 บาท ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รวมค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรจากไร่นาไปยังจุดรับซื้อ เฉลี่ยกิโล กรัมละ 0.25 บาท และค่าตอบแทนให้เกษตรกรร้อยละ 25 คิดเป็นราคาประกันขั้นต่ำกิโลกรัมละ 7.10 บาท 2. จัดทำสัญญาประกันราคา ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2552 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำสัญญา ฯ กับเกษตรกรที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ ฯ ในพื้นที่เป้าหมายจังหวัด แหล่งผลิต โดยเกษตรกรต้องมีหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกให้ 3. และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาประกัน หากราคาขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในตลาดต่ำกว่าราคาประกันที่ ตกลงไว้ตามสัญญา เกษตรกรจะได้รับเงินส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาตลาดอ้างอิง หากราคาตลาดสูง กว่าราคาประกันขั้นต่ำ เกษตรกรสามารถขายข้าวโพดในตลาดท้องถิ่นได้ตามปกติ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2027 | ขอความเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่จังหวัดตราด | คค | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการและอนุมัติให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีดำเนินโครงการก่อสร้างท่า เทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด ในวงเงินงบประมาณ 1,295.67 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน (ปี พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2555) (ปี พ.ศ. 2553 จำนวน 259.134 ล้านบาท ปี พ.ศ. 2554 จำนวน 431.890 ล้านบาท และปี พ.ศ. 2555 จำนวน 604.646 ล้านบาท) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี รับความเห็นของกระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรจัดทำข้อมูลรายละเอียดโครงการ ฯ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเสนอต่อ คณะอนุกรรมการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อพิจารณาให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการจัดการพื้นที่ป่าชาย เลนและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งบริเวณใกล้เคียงโครงการ ฯ และกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการท่า เรือเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน และพัฒนาระบบให้เชื่อมโยงกับการขนส่งทางบกภายในประเทศ รวมทั้ง พิจารณาแนวทางและรูปแบบผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการท่าเรือ ทั้งการเพิ่มบทบาทขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นหรือภาคเอกชนให้เกิดความชัดเจนเพื่อให้การให้บริการของท่าเทียบเรือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตาม มาตรฐานสากลทั้งในด้านการจัดหาเครื่องจักร อุปกรณ์ การกำหนดอัตราค่าภาระท่าเรือ การจัดหาสิ่งอำนวย ความสะดวกในการเดินเรือ ตลอดจนการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างการขนส่งรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2028 | ของบประมาณเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โครงการสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ และโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล | มท | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โครงการสร้าง
หลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ และโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ตาม นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จำนวน 2,283,251,400 บาท โดยใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุก เฉินหรือจำเป็นงบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ให้แก่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาด ไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตามโครงการ ฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้มีการติดตาม ประเมินผลการเบิกจ่าย ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ รวมทั้งมีการประมวลข้อมูลรายงานให้คณะรัฐมนตรี ทราบ เพื่อนำข้อมูลแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2553 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 2029 | ยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ | พณ | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่มีวิสัยทัศน์ให้เศรษฐกิจไทยอยู่บนพื้นฐาน การสร้างสรรค์ (creative economy) สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันได้ในเวทีโลกภายในปี พ.ศ. 2555 ประกอบ ด้วยยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ ยุทธศาสตร์การคุ้ม ครองทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ การปลูกจิตสำนึกและการศึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา และยุทธศาสตร์ด้านการเงิน และมอบหมายให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์ สินทางปัญญา ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นาย อลงกรณ์ พลบุตร) รองประธานคณะกรรมการ ฯ เสนอ 2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยที่เห็นควรปรับเพิ่มรายชื่อหน่วยงานใน ประเด็นยุทธศาสตร์ ฯ โดยเพิ่มกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการต่างประเทศในรายชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา กลยุทธข้อ 1.3 พัฒนาฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาทั้งของ ไทยและต่างประเทศ รวมทั้งฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรทางชีวภาพเพื่อให้นักวิจัย นักประดิษฐ์ ทั้ง ของรัฐและเอกชนเข้าถึงได้ และบรรจุกระทรวงการต่างประเทศในรายชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับยุทธศาสตร์ สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา กลยุทธข้อ 1.4 ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศในการพัฒนาและผลิตสินค้า และบริการที่ไทยมีศักยภาพบนพื้นฐานการสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ควรมีกลยุทธ์การสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ ผู้สร้างผลงานอย่างชัดเจนโดยกำหนดว่าผู้สร้างผลงานภายใต้หน่วยงานราชการหรือองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาห กิจต้องมีสิทธิที่จะได้รับการจัดสรรผลประโยชน์อันพึงได้ และรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความตระหนัก ในเรื่องดังกล่าว และควรกำหนดแผนการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่ชัดเจนสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจ และการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแผนงบประมาณและแผนการบริหารกำลังคน โดย การเตรียมความพร้อมในด้านกำลังคน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญให้กับ บุคลากรด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์กรต่าง ๆ ให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง และ ในยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา ควรเพิ่มบทบาทของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการสนับสนุนให้มี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งวิชาการใหญ่ที่สุดที่มีโอกาสสร้างและใช้ ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณาต่อไป 3. สำหรับการปรับปรุงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาโดยตรงเกี่ยวกับการกำหนดความรับผิดของผู้ครอบครองและเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้เช่าพื้นที่ เพื่อ ให้การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรม ยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||
| 2030 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "การพัฒนาการท่องเที่ยวแนวใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย" | สสป | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนาการท่องเที่ยวแนวใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย" สรุปได้ ดังนี้ 1.1 ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนต้องสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวแบบสร้างเสริม ประสบการณ์ตามวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นในลักษณะที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพหรือประกอบกิจ กรรมจริงของชุมชน โดยให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจกรรมจริงช่วงระยะเวลาหนึ่ง และให้ความสำคัญ กับการศึกษาทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยว แนวโน้มทางการตลาดท่องเที่ยว กระแส การท่องเที่ยวโลก และความคาดหวังของนักท่องเที่ยว เพื่อนำมาปรับและพัฒนาตัวสินค้า การบริการ และวิธี การทำการตลาดให้สอดรับซึ่งกันและกัน รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าการท่องเที่ยวใหม่ ๆ 1.2 มาตรการสนับสนุนคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติควรเร่งดำเนินงานในส่วน ที่เกี่ยวข้อง อาทิ 1.2.1 การกำหนด "จุดขายหลัก" ทางการท่องเที่ยวของไทยเพียงหนึ่งเดียว 1.2.2 การนำจุดเด่นของเหตุการณ์ สถานที่ กิจกรรม พฤติกรรมคนไทย รวมทั้งวัฒนธรรม ของประชากรภายในประเทศ ความเชียวชาญด้านคุณภาพการบริการ และความหลากหลายของกิจกรรมการ ท่องเที่ยวมาเป็นข้อมูลในการเสนอขายการท่องเที่ยว 1.2.3 กำหนดแนวทางในการทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ ในแต่ละปี 1.2.4 เร่งสร้างจิตสำนึกและค่านิยมในความเป็นไทย 1.2.5 จัดหลักสูตรอบรมด้านการท่องเที่ยวให้กับผู้บริหารท้องถิ่น 1.2.6 การดำเนินการด้านกลยุทธ์การท่องเที่ยว โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา และความคุ้มค่า ของเงินเป็นตัวนำสำหรับแก้ปัญหาด้านวิกฤตเศรษฐกิจ 1.2.7 เร่งรัดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวง วัฒนธรรม สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจาก หน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมการพัฒนา ชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||
| 2031 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ" | สสป | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ" โดยมีความเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับธรรมาภิบาลด้านการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย ธรรมาภิบาลด้านการกระจาย อำนาจสู่ท้องถิ่น ธรรมาภิบาลด้านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ธรรมาภิบาลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และธรรมาภิบาลด้านกฎหมายและการบริหารบ้านเมืองที่ดี สรุปได้ดังนี้ 1.1 ควรยึดกรอบการบริหารบ้านเมืองที่ดีตามแนวทางรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีฐาน คิดธรรมาภิบาลชุมชน โดยเน้นการปรับโครงสร้างทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ปฏิรูปกฎหมาย เพื่อคุ้มครอง ส่งเสริมสิทธิประชาชนและชุมชนในการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ 1.2 สร้างธรรมาภิบาลจากความร่วมมือของภาคต่าง ๆ ในสังคม 1.3 มุ่งเน้นประสิทธิผลของการบริหารบ้านเมืองที่ดี เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน การสร้างวัฒนธรรม ประชาธิปไตยทั้งแบบมีส่วนร่วมและแบบทางตรงให้มากยิ่งขึ้น 1.4 แก้ไขกฎหมายตามรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดความ อิสระและสามารถดำเนินการตามเจตจำนงของชุมชนท้องถิ่น 1.5 แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดให้กระจาย สู่ท้องถิ่นและรองรับสิทธิมนุษยชนต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างแท้จริง 1.6 ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดทำแผนพัฒนา ชุมชนทั้งระบบหมู่บ้าน ตำบล และระหว่างตำบลอย่างบูรณาการ และเป็นอิสระสอดคล้องกับสภาพปัญหา เจต จำนง และต้นทุนทางสังคมของท้องถิ่นนั้น ๆ 1.7 พัฒนากลไกขององค์กรที่รองรับบทบัญญัติ เรื่อง สิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการบังคับให้ต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบ ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ก่อนการดำเนินโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง 1.8 พัฒนากลไกขององค์กรที่จะรองรับในแนวนโยบายแห่งรัฐด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนตาม มาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ระบุว่ารัฐต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนด นโยบาย การวางแผน การตัดสินใจทางการเมือง การทำบริการสาธารณะ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และ การจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมสาธารณะของชุม ชนและกลุ่มประชาชน 1.9 ยกเลิกประกาศและพื้นที่เป้าหมายที่จะประกาศหมู่เกาะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเป็นพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อ.พ.ท.) ให้ กลับไปดำเนินการบริหารจัดการที่ดินบนหมู่เกาะท่องเที่ยวตามกระบวนการที่มีประชาชนมีส่วนร่วม 1.10 ให้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำมีทิศทางในการสร้างความสมดุลระหว่างทุนทางเศรษฐกิจ ทุน ทางสังคมและทุนทางสิ่งแวดล้อม โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันระหว่างภาครัฐ ภารธุรกิจ เอกชน และภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่การจัดสรรน้ำที่เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน 1.11 แก้ไขกฎหมายป่าไม้ทั้งหมดเพื่อรองรับสิทธิชุมชนในการจัดการป่าอย่างยั่งยืน ตามแนวทางรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 66 และมาตรา 67 1.12 นำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มาใช้ ให้เกิดการปฏิบัติจริงในองค์กร และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงการกำหนดการบริหารบ้านเมืองที่ดีจากความร่วมมือ ระหว่างรัฐกับภาคีสังคมต่าง ๆ และส่งเสริมสิทธิชุมชนต่อการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุก ระดับ 1.13 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เป็นรูปธรรม โดยเน้นการมีกฎหมายที่สนับสนุนและรับ รองให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ รวมทั้งมีศักยภาพในการรวมกลุ่มเป็นองค์กรประชาชนที่มีความชอบธรรมในการ พัฒนานโยบายสาธารณะและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อนโยบายและโครงการใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น และประเทศชาติ 1.14 ต้องมีมาตรการผลักดันและจูงใจ รวมถึงบทกำหนดโทษเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน ของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบในระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีและสังคมแบบมีส่วน ร่วม 1.15 เร่งรัดการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ เช่น องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ เพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงตามเจตนา รมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราช การที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 2032 | ผลการดำเนินงานตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในรายการผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 (Annual Inspection Report) | นร | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอผลการดำเนินงานตามข้อสังเกตและข้อ
เสนอแนะในรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐ บาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 (Annual Inspection Report) ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้แจ้ง กระทรวงและส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. การดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.1 ภารกิจด้านคุณภาพชีวิตของส่วนราชการที่ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 1.2 กลุ่มโครงการด้านการให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน 1.3 กลุ่มโครงการเพื่อการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 2. การดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวง ประกอบด้วย 2.1 กลุ่มโครงการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 2.2 กลุ่มโครงการเพื่อการขับเคลื่อนปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง 2.3 กลุ่มโครงการด้านการดูแลคุณภาพชีวิตผู้ด้อยโอกาส 2.4 กลุ่มโครงการเพื่อการป้องกัน ปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 2.5 กลุ่มโครงการเพื่อการป้องกันและควบคุมโรค
|
||||||||||||||||||||||||
| 2033 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนพุทธมณฑลสาย 1 พ.ศ. .... | มท | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อ
สร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนพุทธมณฑลสาย 1 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ มีสาระ สำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนพุทธมณฑลสาย 1 ในท้องที่แขวงฉิมพลี แขวงบางระมาด แขวงบางพรม แขวงบางเชือกหนัง เขตตลิ่งชัน แขวงคลองขวาง แขวงบาง ด้วน แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ และแขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 2034 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยม : กรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น | สสป | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยม : กรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น สรุปได้ดังนี้ 1.1 การบริหารจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำยมทั้งระบบ 1.1.1 การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อาทิ พัฒนาระบบประปาหมู่บ้านในลุ่มน้ำยม ให้มีน้ำสะอาดเพื่อ การอุปโภคอย่างเพียงพอและทั่วถึง พัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและระบบชลประทานเพิ่มเติมโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อการใช้น้ำในพื้นที่ตอนล่าง ทบทวนโครงการผันน้ำจากลุ่มน้ำยมไปสู่ลุ่มน้ำน่านที่จะเกิดขึ้นใหม่โดยมีการศึกษา ผลกระทบต่อการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำยมตอนล่างและต่อระบบนิเวศน์พื้นที่ชุ่มน้ำในลุ่มน้ำยม เป็นต้น 1.1.2 การป้องกันอุทกภัย อาทิ ส่งเสริมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยชุมชนในแต่ ละพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันน้ำท่วมด้วยตนเอง และพัฒนาการไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชน ในการป้องกันภัยธรรมชาติ ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำการสำรวจพื้นที่รับน้ำตามธรรม ชาติหรือแก้มลิง ขุดคูคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำยมกับแก้มลิง และพัฒนาพื้นที่แก้มลิงให้สามารถรองรับน้ำได้อย่าง เต็มที่ รวมทั้งดำเนินการปรับปรุงโดยขุดลอกลำน้ำเดิมที่ถูกพัฒนาจนเปลี่ยนสภาพไป เป็นต้น 1.1.3 การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำและคุณภาพน้ำ โดยให้มีมาตรการรักษา ป่าธรรมชาติเพื่อให้คงสภาพสมบูรณ์ และฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในเขตต้นน้ำยมและลุ่มน้ำสาขาให้กลับคืนเป็นแหล่ง น้ำต้นน้ำตามธรรมชาติดังเดิม ตลอดจนส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ ทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนเพื่อรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำตามจารีตประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น และดำเนินการเพื่อหา มาตรการลดการชะล้างและการพังทลายของดินในบริเวณต้นน้ำยมและลำน้ำสาขา โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการ กำหนดมาตรการดังกล่าว 1.1.4 การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยม โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ ทั้งใน ด้านอุปโภคและบริโภคและระบบชลประทาน และปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพ ปรับปรุงแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยมในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ และบรรเทา ภัยแล้ง ด้านบรรเทาน้ำท่วม ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง 1.2 โครงการสาธารณะที่เกี่ยวกับการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำหรือทางน้ำไหลที่มีผลกระทบต่อประชา ชน อาทิ 1.2.1 มีหลักประกันให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนด้วยการจัดหาพื้นที่รองรับ การย้ายถิ่นฐานของชุมชน มีการพัฒนาที่ดินพัฒนาอาชีพ มีระบบโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค-สาธารณูป การ การสาธารณสุข การศึกษาอย่างต่อเนื่องเป็นธรรมและมีส่วนร่วมของประชาชน 1.2.2 การจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินที่เหมาะสมและคุ้มค่าแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ให้คิดมูลค่าที่ดินตามราคาที่ดินที่ประมาณการว่าจะสูงขึ้นเมื่อสร้างเขื่อนเสร็จแล้ว 1.2.3 จัดทำแผนมวลชนสัมพันธ์ เพื่อประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้ รับผลกระทบ 1.3 การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 1.3.1 ลดความสูงของระดับสันเขื่อนและระดับกักเก็บในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลกระทบ ต่อประชาชน ระบบนิเวศน์ และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่น้อยที่สุด 1.3.2 พิจารณาก่อสร้างเขื่อนขนาดเล็ก หรือฝายกั้นลำน้ำยมเพิ่มขึ้นให้มีระยะห่างจากจุดที่วาง แผนสร้างเขื่อนไว้เดิมอย่างเหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่เพื่อช่วยรองรับน้ำจากการลดความสูงระดับสันเขื่อน แก่งเสือเต้นลง 1.3.3 จัดหาพื้นที่สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อให้มีปริมาณมากพอที่จะรองรับ ปริมาณน้ำท่า และน้ำต้นทุนของแต่ละลุ่มน้ำสาขาท้ายเขื่อน 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 2035 | ผลการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการบ้านเอื้ออาทร | มท | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการปรับลดหน่วยก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ปรับ ลดหน่วยก่อสร้างโครงการ ฯ จาก 300,504 หน่วย เป็น 281,556 หน่วย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาด ไทย ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการบ้านเอื้ออาทรเสนอ (ประกอบ ด้วยหน่วยก่อสร้างที่ กคช. แจ้งว่า จำหน่ายได้แล้วจำนวนประมาณ 210,000 หน่วย และหน่วยที่ยังจำหน่ายไม่ได้ จำนวนประมาณ 70,000 หน่วย) 2. เห็นชอบในหลักการมาตรการการเงินที่เห็นควรจัดสรรงบประมาณชดเชยภาระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่ กคช. จำนวนรวม 4,792 ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจ ฯ (ประกอบด้วยเงินชดเชยภาระดอกเบี้ยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 3,587 ล้านบาท และเงินชดเชยกรณีไม่ สามารถแยกทรัพย์สินเอื้ออาทรออกจากบัญชี กคช. ได้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2553 จำนวน 1,205 ล้านบาท) โดยใน ส่วนของเงินชดเชยภาระดอกเบี้ยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 3,587 ล้านบาท นั้น อนุมัติให้ กคช. เบิกจ่าย ได้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทางการเงิน โดยให้ กคช. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ 3. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้ง กคช. รับความเห็นเกี่ยวกับมาตรการ ต่าง ๆ ของคณะกรรมการเฉพาะกิจ ฯ เช่น ขายโครงการในลักษณะยกอาคารหรือขายทั้งโครงการให้แก่หน่วยงาน ภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ การปรับราคาขายบ้านเอื้ออาทรตามทำเลและศักยภาพของโครงการ รวมถึงการปรับราคาขายที่มีความแตกต่างกันภายในโครงการเดียวกันให้เหมาะสมกับโอกาสทางการตลาด และให้ สิทธิผู้ซื้อแต่ละรายสามารถซื้อได้ไม่เกิน 2 หน่วย/ครัวเรือน (ราย) เพื่อรองรับการขยายครอบครัวของผู้ซื้อได้อย่าง เหมาะสมโดยยังคงได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ จำนวน 80,000 บาทต่อหน่วย เป็นต้น และความเห็นของกระทรวงการ คลังที่เห็นว่า ในการจัดหาเงินกู้ให้ กคช. จะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามสภาวะตลาดการเงินในขณะนั้น ๆ และเงินกู้ของ กคช. ส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินแบบ Term Loan จากสถาบันการเงินเพื่อความคล่องตัวในการบริหารหนี้ ซึ่งหากภาวะ ตลาดการเงินเอื้ออำนวยก็จะพิจารณาดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้อยู่แล้ว โดย กคช. ต้องขออนุมัติต่อคณะ รัฐมนตรีเพื่อขอกู้เงินใหม่เพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม (Refinance) ไปพิจารณาแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ในราย ละเอียดอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาสถานะทางการเงินของ กคช. ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในส่วนของหน่วยก่อสร้างของโครงการ ฯ ที่ยังจำหน่ายไม่ได้ นั้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์พิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในทางธุรกิจที่ผ่อนปรนเพื่อให้สามารถจำหน่าย หน่วยก่อสร้างดังกล่าวได้โดยเร็วในราคาที่เป็นธรรมซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะทางการเงินของ กคช. และลดภาระ ค่าใช้จ่ายของรัฐลงได้ รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมของการยกเลิกโดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าและภาระของ กคช. แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2036 | รายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 | นร | 23/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของ กขร. อาทิ การปรับปรุงแก้ไข พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ มีผลในทางปฏิบัติมากขึ้น การเยียวยารักษาสิทธิให้ประชาชน โดยให้ความสำคัญต่อการดำเนินการเพื่อลดขั้นตอน การดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน เรื่องอุทธรณ์ และการตอบข้อหารือตามกฎหมาย รวมทั้งการเผยแพร่ความ รู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งในด้านการปฏิบัติหน้าที่ และการใช้ สิทธิตามกฎหมาย เป็นต้น 2. รับทราบเป้าหมายการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โดย กขร. ได้กำหนดแนวทางในการ ดำเนินการในเรื่องสำคัญ คือ การติดตามเร่งรัดการตรากฎหมาย 2 ฉบับ การแนะนำและติดตามผลการปฏิบัติ งานของศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐ การสร้างหน่วยงานตัวอย่าง และการขยายผลการกำหนดให้การ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ฯ เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพหน่วยงานในราชการบริหารส่วนท้องถิ่น 3. เห็นชอบแนวทางดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติ ดังนี้ 3.1 ให้หน่วยงานของรัฐในทุกระดับถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะต้องดูแลและกำชับในการปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ฯ ของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะการปฏิบัติตามตัวชี้วัด "ระดับความสำเร็จในการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสาร" ให้มีการปฏิบัติได้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดโดยเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น 3.2 ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐฟ้องคดีปกครองเพื่อเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่มีคำวินิจฉัยให้หน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ผู้อุทธรณ์ และต้องดำเนินการตาม คำวินิจฉัยภายใน 7 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2542 โดยเคร่งครัด หากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ ปฏิบัติตามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการพิจารณาลงโทษทางวินัยทุกกรณี
|
||||||||||||||||||||||||
| 2037 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2552 (1 ตุลาคม 2551 - 31 มีนาคม 2552) | สช | 23/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอรายงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพ
แห่งชาติ (สปสช.) เรื่อง ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 (1 ตุลาคม 2551-31 มีนาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. ความครอบคลุมสิทธิหลักประกันสุขภาพ ณ เดือนมีนาคม 2552 มีประชาชนคนไทยมีหลักประกัน สุขภาพ 62.10 ล้านคน ความครอบคลุมคิดเป็นร้อยละ 98.97 ของประชากรผู้มีสิทธิทั้งประเทศ 62.75 ล้านคน) เป็นประชากรลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 47.24 ล้านคน (ร้อยละ 75.29) โดยลงทะเบียนสิทธิ กับหน่วยบริการของรัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 1.95 ล้านคน (ร้อยละ 4.12) และหน่วยบริการสังกัดเอก ชน 2.78 ล้านคน (ร้อยละ 5.88) ส่วนการใช้บริการทางการแพทย์เฉพาะผู้ที่มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้ามีการใช้บริการของผู้ป่วยนอก 58.65 ล้านครั้งต่อ 18.84 ล้านคน อัตราการใช้บริการ (ต่อประชากรผู้มี สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) เท่ากับ 2.48 ครั้งต่อคนต่อปี และผู้ป่วยใน 2.40 ล้านคนต่อ 9.95 ล้านวัน โดยมีอัตราการใช้บริการเท่ากับ 0.10 ครั้งต่อคนต่อปี 2. การควบคุมคุณภาพและกำกับมาตรฐานบริการ ได้กำหนดการประเมินคะแนนการพัฒนาคุณภาพใน กลุ่มเป้าหมาย 961 แห่ง และการประเมินรับรองคุณภาพโรงพยาบาล 25 แห่ง ซึ่งทางสถาบันพัฒนาและรับรอง คุณภาพโรงพยาบาลได้ดำเนินการลงเยี่ยมประเมินคะแนนคุณภาพในโรงพยาบาลสามารถรายงานผลการดำเนิน งานได้ในเดือนมิถุนายน 2552 ส่วนการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพระบบยาในโรงพยาบาลปี พ.ศ. 2552 ด้าน การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการสาธารณสุข หน่วยบริการถูกร้องเรียนมากที่สุดคือ เอกชน รอง ลงมาเป็นภาครัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตามลำดับ 3. การคุ้มครองสิทธิและการช่วยเหลือเบื้องต้น โดยในส่วนของการให้บริการประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้มี สิทธิ และผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ณ เดือนมีนาคม 2552 ได้ให้บริการทั้งสิ้น 382,041 เรื่อง ส่วนใหญ่เรื่องสอบถาม 373,212 เรื่อง จำแนกเป็นประชาชนสอบถาม 351,891 เรื่อง และผู้ให้บริการสอบ ถาม 21,321 เรื่อง สำหรับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการกรณีได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการ รักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการ 333 ราย เป็น เงินทั้งสิ้น 35.97 ล้านบาท รวมทั้งช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณ สุขในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 198 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 3.61 ล้านบาท 4. การส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนรวมของภาคี เครือข่ายองค์กรประชาชน 9 ด้าน ได้กำหนดแนว ทางการบูรณาการงานกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)/เทศบาล ระหว่างเครือข่าย องค์กรประชาชน และ อบต./เทศบาล สำหรับพื้นที่นำร่อง 21 แห่ง ด้านการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นได้ดำเนินการโอนเงินสมทบประมาณ 3,640 พื้นที่ ครอบคลุมประชากร 26.37 ล้านคน ส่วนองค์กรวิชา ชีพ โดยเครือข่ายชมรมผู้บริหารการพยาบาล ได้จัดทำความร่วมมือในการจัดตั้งและพัฒนาศูนย์ส่งเสริมมิตรภาพ บำบัดในหน่วยบริการทุกระดับ ระยะที่ 1 จำนวนหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการ 134 แห่ง 5. การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช. ได้มีการเบิกจ่ายงบกองทุน ฯ ณ วันที่ 20 เมษายน 2552 จำนวน 43,188.22 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.58 (ของงบกองทุน ฯ ที่ได้รับ 80,597.69 ล้าน บาท)
|
||||||||||||||||||||||||
| 2038 | รัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย | กต | 16/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการในการดำเนินความร่วมมือตามข้อเสนอของรัฐบาลจีนต่อรัฐบาลไทยในการสร้าง บ่อผลิตก๊าซชีวภาพให้แก่ครัวเรือนในชนบทของไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งข้อพิจารณาของฝ่ายไทย ผ่านช่องทางทางการทูตต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 2. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียดความเหมาะสมในเรื่องพื้นที่ ดำเนินการโดยคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความเห็นของประชาชนในพื้นที่ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่ประชาชนในพื้นที่และประเทศโดยรวมอย่างแท้จริง 3. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าพื้น ที่สาธิตโครงการก่อสร้างบ่อผลิตก๊าซชีวภาพ ควรเป็นพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสัตว์หนาแน่น สามารถเป็นตัวอย่างและถ่าย ทอดความรู้ให้กับเกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจอื่น ๆ และในพื้นที่สาธิตต้องมีกิจกรรมการเลี้ยงปศุสัตว์ อาทิ โคเนื้อ โคนม กระบือ และสุกร โดยมีขนาดเหมาะสมสามารถผลิตมูลสัตว์เพื่อนำมาใช้ในการผลิตก๊าซได้อย่าง เพียงพอและมีความยั่งยืนในระบบการผลิต และในการดำเนินการสร้างบ่อก๊าซชีวภาพควรดำเนินการในองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีระบบจัดการขยะมูลฝอยที่ถูกหลักสุขาภิบาลแล้ว รวมทั้งมีการศึกษาความเหมาะสมของสถาน ที่ แบบรายละเอียดของเทคโนโลยี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ความคุ้มทุน และรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะ สมสำหรับประเทศไทย นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงเทคโนโลยี และระบบที่นำมาใช้ในการผลิตก๊าซชีวภาพที่รักษา ระบบการบำบัดของเสียได้ง่ายและสะดวก รวมถึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนิน การด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2039 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 16/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการการจัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อดำเนินโครง การส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลของกลุ่มเกษตรกร ตามมติของคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในการ ประชุมครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2552 โดยการสนับสนุนเงินกองทุน ฯ ให้แก่กรมส่งเสริมสหกรณ์เป็น เงินยืมปลอดดอกเบี้ย จำนวน 1,000 ล้านบาท กำหนดชำระคืนเงินภายใน 7 ปี ระยะปลอดการชำระหนี้ 2 ปีแรก และเงินจ่ายขาดตามที่จ่ายจริงไม่เกินร้อยละ 3 ของวงเงินยืม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะ แรกให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเงินจากกองทุน ฯ ไปดำเนินการนำร่องใน 76 จังหวัด จังหวัดละ 1 กลุ่ม ในวงเงิน กลุ่มละไม่เกิน 2.5 ล้านบาท โดยมีการประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ สงเคราะห์เกษตรกร (สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) เพื่อวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของโครงการ และราย งานผลการดำเนินงานโครงการต่อคณะกรรมการ ฯ ทราบทุกปีอย่างต่อเนื่อง และควรให้ความสำคัญกับการถ่าย ทอดและขยายองค์ความรู้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตที่สามารถเชื่อมโยงกับประโยชน์ ที่เกษตรกรจะได้รับจากการใช้เครื่องจักรกลแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และทรัพยากรในท้องถิ่น และ ดูแลไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายในการถ่ายทอดเทคโนโลยีในลักษณะเดียวกันของโครงการ ต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่จะมีเพิ่มขึ้นทั้งจากแผนงานปกติและแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำแผนดำเนินงาน ตลอดจนกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินโครงการ และแผนการใช้คืน เงินกองทุน ฯ ให้ชัดเจนรัดกุมและติดตามประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2040 | ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | มท | 16/06/2552 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 1.2 ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 1.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม 5 ฉบับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ 2.1 ร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.2 ร่างพระราชบัญญัติรายได้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.4 ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างประมวล กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.5 ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 3. ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง 8 ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่าง พระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 7 ฉบับ ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2548 ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดย รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในการกำหนดแนวทางการพัฒนา การบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นเพื่อรองรับการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการในด้านการจัดและพัฒนาโครงสร้างส่วนราชการ และระบบบริหารจัดการขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการเชื่อมโยงระบบบุคลากรของท้องถิ่นให้สอดคล้องกับระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ ในภาพรวม นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและสอดรับกับการบูรณาการความสัมพันธ์ในการบริหารราช การระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ส่วนการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการมาตรฐานการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น มีจำนวนผู้แทนของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจำนวน 6 คน ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 5 คน และผู้แทนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นจำนวน 5 คน ซึ่งมี ผลทำให้จำนวนผู้แทนแต่ละฝ่ายไม่เท่ากัน จึงเห็นควรแก้ไขให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทยที่กำหนดให้มีจำนวนผู้แทนของแต่ละฝ่ายเท่ากัน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับการยกเลิก ตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ให้ใช้ในกรณีท้องถิ่นใดที่ยกฐานะเป็นเทศบาลนคร ส่วนท้องถิ่นใดที่ยกฐานะเป็น เทศบาลเมือง การยกเลิกตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ให้อยู่ในดุลพินิจของกระทรวงมหาดไทยที่จะประกาศยก เลิกตำแหน่งดังกล่าว ทั้งนี้ การปรับปรุงกฎหมายในเรื่องนี้ไม่ให้มีผลย้อนหลัง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
.....
