ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 103 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2041 - 2060 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2041 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | มท | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 1.2 ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 1.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม 5 ฉบับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ 2.1 ร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.2 ร่างพระราชบัญญัติรายได้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.4 ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างประมวล กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.5 ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 3. ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง 8 ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่าง พระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 7 ฉบับ ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2548 ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดย รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในการกำหนดแนวทางการพัฒนา การบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นเพื่อรองรับการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการในด้านการจัดและพัฒนาโครงสร้างส่วนราชการ และระบบบริหารจัดการขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการเชื่อมโยงระบบบุคลากรของท้องถิ่นให้สอดคล้องกับระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ ในภาพรวม นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและสอดรับกับการบูรณาการความสัมพันธ์ในการบริหารราช การระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ส่วนการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการมาตรฐานการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น มีจำนวนผู้แทนของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจำนวน 6 คน ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 5 คน และผู้แทนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นจำนวน 5 คน ซึ่งมี ผลทำให้จำนวนผู้แทนแต่ละฝ่ายไม่เท่ากัน จึงเห็นควรแก้ไขให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทยที่กำหนดให้มีจำนวนผู้แทนของแต่ละฝ่ายเท่ากัน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับการยกเลิก ตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ให้ใช้ในกรณีท้องถิ่นใดที่ยกฐานะเป็นเทศบาลนคร ส่วนท้องถิ่นใดที่ยกฐานะเป็น เทศบาลเมือง การยกเลิกตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ให้อยู่ในดุลพินิจของกระทรวงมหาดไทยที่จะประกาศยก เลิกตำแหน่งดังกล่าว ทั้งนี้ การปรับปรุงกฎหมายในเรื่องนี้ไม่ให้มีผลย้อนหลัง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2042 | การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | นร | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 1.2 ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 1.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม 5 ฉบับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ 2.1 ร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.2 ร่างพระราชบัญญัติรายได้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... 2.4 ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างประมวล กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.5 ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 3. ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง 8 ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่าง พระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 7 ฉบับ ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2548 ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดย รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในการกำหนดแนวทางการพัฒนา การบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นเพื่อรองรับการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการในด้านการจัดและพัฒนาโครงสร้างส่วนราชการ และระบบบริหารจัดการขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการเชื่อมโยงระบบบุคลากรของท้องถิ่นให้สอดคล้องกับระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ ในภาพรวม นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและสอดรับกับการบูรณาการความสัมพันธ์ในการบริหารราช การระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ส่วนการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการมาตรฐานการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น มีจำนวนผู้แทนของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจำนวน 6 คน ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 5 คน และผู้แทนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นจำนวน 5 คน ซึ่งมี ผลทำให้จำนวนผู้แทนแต่ละฝ่ายไม่เท่ากัน จึงเห็นควรแก้ไขให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทยที่กำหนดให้มีจำนวนผู้แทนของแต่ละฝ่ายเท่ากัน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับการยกเลิก ตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ให้ใช้ในกรณีท้องถิ่นใดที่ยกฐานะเป็นเทศบาลนคร ส่วนท้องถิ่นใดที่ยกฐานะเป็น เทศบาลเมือง การยกเลิกตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ให้อยู่ในดุลพินิจของกระทรวงมหาดไทยที่จะประกาศยก เลิกตำแหน่งดังกล่าว ทั้งนี้ การปรับปรุงกฎหมายในเรื่องนี้ไม่ให้มีผลย้อนหลัง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2043 | แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 15 | นร | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ 1.1 แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนต รี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 15 ซึ่งที่ประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 15 จะได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 19 มิถุนายน 2552 1.2 ให้ สศช. สามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวได้ ในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง สาระสำคัญในการประชุมคณะทำงานเพื่อปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีครั้งสุดท้าย ในวันที่ 16-17 มิถุนายน 2552 2. ให้ สศช. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรส่งเสริมความร่วมมือในการใช้ประโยชน์ จากโครงข่ายเส้นทางคมนาคมใน GMS ที่ได้รับการพัฒนาไปมากแล้ว เพื่อขยายการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และควรมีข้อความที่กล่าวถึงวิกฤติการเงินเศรษฐกิจของโลกและศักยภาพ รวมทั้งบทบาทของประเทศ GMS ในการดำเนินการเพื่อรับมือและฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาค และควรเพิ่มข้อความ ที่กล่าวถึงบทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำท้องถิ่นของประเทศ GMS ในการดำเนินความร่วมมือเพื่อส่งเสริม การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว แ ละการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในกรอบความร่วมมือ GMS นอก จากนี้ ควรเพิ่มข้อความที่เน้นเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในลักษณะหุ้นส่วน (public -private partnership) เพื่อขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศ GMS และความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรเพิ่มหัวข้อ เรื่องการบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2044 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในสังคมไทย | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในสังคมไทย สรุป ได้ดังนี้ 1.1 ด้านกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ รัฐอาจตรากฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคน พิการขึ้นโดยตรง หรืออาจปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ให้มีบทลงโทษ มีกลไกรักษาหรือบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิ ภาพ โดยอาจคุ้มครองคนพิการโดยเฉพาะหรืออาจครอบคลุมกลุ่มผู้ด้อยโอกาสโดยรวม 1.2 ด้านการให้การศึกษาแก่สาธารณชน รัฐต้องให้การศึกษาเพื่อให้สาธารณชน โดยเฉพาะพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลบุคคลในครอบครัวและผู้ให้บริการคนพิการมีจิตสำนึกและรู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง รวมทั้งใช้ประโยชน์ จากสื่อโดยเฉพาะช่องทีวีไทย (ทีวีสาธารณะ) ในการให้การศึกษาแก่ประชาชน และจัดให้มีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อลดการเลือกปฏิบัติกับคนพิการ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของ องค์กรภาคเอกชนที่ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กและคนพิการทั้งในรูปแบบการจัดการศึกษา หรือ อื่น ๆ 1.3 ด้านการเสริมสร้างบทบาทของครอบครัว รัฐต้องให้ความสำคัญกับการค้นหาและการสร้างกล ไก และวิธีการที่ทำให้ครอบครัวแสดงบทบาทอย่างถูกต้องต่อบุตรหลานคนพิการ จัดทำทะเบียนครอบครัวที่มีเด็ก พิการเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนสามารถเข้าช่วยเหลือ และส่งเสริมเยาวชนให้ได้รับการอบรมตั้งแต่เด็กใน การให้ความช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อแก่คนพิการ 1.4 ด้านการสร้างโอกาสทางอาชีพ รัฐควรสร้างโอกาสพิเศษทางอาชีพให้แก่คนพิการเพื่อสร้างผล ผลิตและมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และคำนึงถึงการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานราชการ สถานประกอบ การ และหน่วยงานภาคเอกชนให้มากขึ้น 1.5 ด้านการพัฒนาองค์กรคุ้มครองสิทธิ รัฐต้องกำหนดนโยบายในการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับ องค์กรด้านคนพิการเพื่อให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ จัดตั้งองค์กรด้านคนพิการที่ทำหน้า ที่พิทักษ์สิทธิให้กับคนพิการในรูปแบบขององค์กรพัฒนาเอกชนที่มีผู้ปฏิบัติงานที่เป็นคนพิการ ตลอดจนส่งเสริม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจ มีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรด้านคนพิการ รวมทั้งสนับสนุนเรื่อง งบประมาณให้องค์กรคนพิการในท้องถิ่นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข อัยการสูงสุด สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิ การ สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศ ไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2045 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทย" | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทย" สรุปได้ดังนี้ 1.1 ส่งเสริมการประกอบกิจการเหมืองแร่ที่ดีโดยการยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการเหมือง แร่และกิจการต่อเนื่อง ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นทั้งด้านการผลิตและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยให้ทุกเหมืองแร่มี แผนการควบคุม ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในท้องถิ่น 1.2 ให้มีหน่วยงานติดตามเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารเคมีอันเกิดจากการทำเหมืองแร่ รวมทั้งมี ระบบการตรวจวัดการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำ ดิน และอากาศ และมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในภาวะ ที่เกิดการรั่วไหลของสารเคมีจากการทำเหมืองแร่ 1.3 ให้มีหน่วยงานกำหนดมาตรการกำกับและติดตามตรวจสอบให้เจ้าของเหมืองแร่ต้องจัดทำแผน การฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ร้างและดำเนินการตามแผนดังกล่าวเพื่อคืนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์และทรัพยากร ธรรมชาติ 1.4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโครงการทำเหมืองแร่ มีส่วนร่วมใน การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และร่วมในกระบวนการประชาพิจารณ์ภายใต้การรับ รู้ข้อมูลข่าวสารที่สมบูรณ์และเท่าเทียม 1.5 แก้ไขปรับปรุงอัตราค่าภาคหลวงแร่ให้สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะการปรับอัตราค่าภาคหลวงแร่ทอง คำให้คุ้มค่ากับการให้ประทานบัตรแร่เพื่อเป็นรายได้ของประเทศ 1.6 สร้างกลไกควบคุมการผลิต การใช้ทรัพยากรแร่ที่สำคัญ โดยการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการดำเนิน โครงการ เช่น ก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม แร่ที่ใช้สำหรับทำปุ๋ย เป็นต้น เพื่อให้การเก็บค่าภาคหลวงแร่เข้าสู่ภาครัฐ ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการจัดสรรเงินรายได้ดังกล่าวเป็นกองทุนสำหรับการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ของชุมชนต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากโครงการทำเหมืองแร่ 1.7 ให้มีแผนแม่บทหลักการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศในระยะยาว โดยการกำหนดนโยบาย ทรัพยากรแร่เป็นวาระแห่งชาติเพื่อส่งเสริมให้มีการนำทรัพยากรแร่ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 1.8 ให้มีมาตรการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการการทำเหมืองแร่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อ ให้เจ้าของได้ปฏิบัติตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด 1.9 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตแร่ที่ทันสมัย และพัฒนาอุตสาหกรรมต่อ เนื่องจากแร่แบบครบวงจรในประเทศแทนการส่งสินแร่หรือแร่ดิบออกนอกประเทศ 1.10 มีการศึกษาประเมินยุทธศาสตร์ในการพัฒนาแหล่งทรัพยากรธรณี รวมถึงแหล่งแร่ที่สำคัญ 1.11 ให้มีการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assess ment : SEA) ก่อนกำหนดให้มีโครงการทำเหมืองแร่ และก่อนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวด ล้อม (EIA) เพื่อให้ทราบทิศทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และไม่ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2046 | โครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 1) (นัดพิเศษ) | กค | 15/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) วงเงิน 2,459 ล้านบาท และโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่นในส่วนของการก่อสร้างอาคารเรียนศูนย์เด็ก เล็ก (กระทรวงมหาดไทย) วงเงิน 1,950 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 4,409 ล้านบาท โดยให้บรรจุในแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 2. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ด้วย และในกรณีที่โครงการใดที่เข้าข่ายจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ ระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยว ข้องโดยเคร่งครัดต่อไป และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ก็ให้ดำเนินการได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2047 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | มท | 09/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดสรรเป็นค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชาย แดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ส่วนที่เพิ่มขึ้น 1,500 บาทต่อคนต่อเดือน ระยะเวลา 12 เดือน (1 ตุลาคม 2551-30 กันยายน 2552) ให้แก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 14,115 คน เป็น เงิน 254,070,000 บาท โดยให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ 2. สำหรับค่าตอบแทนพิเศษ ฯ ที่เบิกจ่ายตามอัตราเดิม 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นเงินจำนวน 169,380,000 บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2048 | ข้อเสนอของสภานักเรียน ประจำปี 2552 | ศธ | 09/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอของสภานักเรียน ประจำปี 2552 ซึ่งได้นำเสนอประเด็นปัญหาและ
แนวทางแก้ไข จำนวน 6 ประเด็น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การสนับ สนุนตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ดังนี้ 1. ประเด็นที่ 1 เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการทิ้งและเผาทำลายขยะอันเป็นสาเหตุของการเกิด มลภาวะที่เป็นพิษ มีแนวคิดที่จะดำเนินโครงการ "นักสืบสิ่งแวดล้อม" เพื่อช่วยกันดูแล ฟื้นฟู อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตัวเอง 2. ประเด็นที่ 2 เรื่องวัฒนธรรม ได้วางแนวทางการงานด้านวัฒนธรรมไทยโดยเน้นวัฒนธรรมที่ดีงามที่ วัยรุ่นสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แต่งกายด้วยชุดประจำท้องถิ่น 1 วันต่อสัปดาห์ จูงมือน้องเข้าวัดใน วันสำคัญของประเพณีไทย การจัดการเรียนรู้ในเรื่องภาษาถิ่น และการจัดลานวัฒนธรรม เป็นต้น 3. ประเด็นที่ 3 เรื่องพฤติกรรมเด็กและเยาวชน มีแนวทางหลักในการสร้างแกนนำนักเรียนในแต่ละพื้น ที่ให้ทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มเสี่ยงทั้งในรูปแบบโครงการหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ และการดำเนิน ชีวิตประจำวันร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาเพื่อนำไปขยายผลสู่เพื่อนนักเรียนในกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ โดย เสนอเป็นโครงการ "ห้องเรียนชีวิต" 4. ประเด็นที่ 4 เรื่องปัญหาการติดเกมของเยาวชน ขอให้รัฐบาลส่งเสริมการจัดกิจกรรมที่เด็กสามารถ แสดงออกอย่างถูกต้องเหมาะสมกระจายทุกพื้นที่ ส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายเด็กและเยาวชนเพื่อแก้ไข ปัญหาการติดเกม รวมทั้งขอให้มีมาตรฐานกำจัดร้านเกมที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมและติดตามปัญหาเรื่องนี้อย่างจริง จังต่อเนื่อง 5. ประเด็นที่ 5 ปัญหาของนักเรียนที่มีความต้องการเป็นพิเศษ (เด็กพิการ) โดยขอให้เพิ่มงบประมาณ เพื่อการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับเด็กพิการให้เพียงพอ และเปิดโอกาสให้จัดการศึกษาแบบเรียน ร่วมให้มากกว่าเดิม จากอัตรา 1 : 8 เป็น 1 : 4 6. ประเด็นที่ 6 ปัญหาผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีผลต่อคุณ ภาพการเรียนของนักเรียนโดยเฉพาะนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยให้มีการจัด ส่งบุคลากรทางด้านการศึกษาที่มีความรู้ความสามารถตรงกับปัญหาความขาดแคลนบุคลากรตามสาขาวิชาหลัก ที่จะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ของผู้เรียนลงไปในพื้นที่มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2049 | การสนับสนุนงบประมาณแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 09/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณแก่องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ติดตามตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงกรณี ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดประสบปัญหาเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อการดำเนินการในภารกิจสำคัญและจำเป็นเร่ง ด่วนของท้องถิ่น ให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2050 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของ World Water Forum ครั้งที่ 5 | ทส | 03/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศแบบองค์รวม มีการบูรณา การหน่วยงานและกิจกรรมในระบบลุ่มน้ำ รวมทั้งกำหนดนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ทั้งนี้ ให้พิจารณาน้ำ อาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อมให้เกี่ยวโยงกันอย่างเป็นระบบ ตลอดจนมีการ เฝ้าระวังเตือนภัยจากน้ำ โดยการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล 1.2 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันการก่อสร้างและปรับปรุงซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน และระบบ สุขาภิบาลทุกหมู่บ้านให้บรรลุ Millennium Development Goals ของสหประชาชาติ เพื่อสนองตอบความต้องการ น้ำอุปโภค-บริโภค และระบบสุขาภิบาล 1.3 ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณการดำเนินการภายใต้แผนการลงทุนพัฒนาและบริหาร จัดการน้ำและการชลประทาน ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 เพื่อดำเนินการเป็นรูป ธรรมในการปฏิบัติต่อไป 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการจัดการทรัพยา กรน้ำทั้งระดับชาติและระดับลุ่มน้ำ ควรคำนึงถึงปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องและภาคประชาชนเพื่อให้การจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบและยั่งยืน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน ด้านการป้องกันและลดผลกระทบตามมาตรการด้านโครงสร้างและไม่ใช้โครงสร้าง เนื่องจากการลงทุนเพื่อป้องกันมี ความคุ้มค่ามากกว่าการลงทุนเพื่อบรรเทาปัญหาจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น และให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากร น้ำภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่จะมีผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อมิติเศรษฐกิจ สังคมและ สิ่งแวดล้อม โดยใช้คนเป็นศูนย์กลางในการจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการ ด้วย 3. ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติรวบรวมข้อมูลรายละเอียด ปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการบริหาร จัดการน้ำในภาพรวม รวมทั้งในส่วนที่ได้มีการโอนกิจการบางอย่างให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปดำเนินการ ด้วย เช่น กิจการประปาที่มีปัญหาเกี่ยวกับการซ่อมแซมท่อประปาที่ชำรุด พร้อมทั้งจัดทำแนวทางแก้ไขปัญหาแล้วให้ นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2051 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 (การกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง) | อก | 03/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดย ร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรง งาน พ.ศ. 2535 และปรับปรุงการกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงาน เป็นดังนี้ 1.1 ลดความเข้มงวดในการกำกับดูแลกว่าเดิมโดยปรับปรุงประเภทโรงงานจำนวน 19 ประเภท โรงงาน 1.2 เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลกว่าเดิมโดยปรับปรุงประเภทโรงงานจำนวน 3 ประเภท โรงงาน 1.3 เปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติมข้อความให้ชัดเจนกว่าเดิมโดยปรับปรุงประเภทโรงงาน จำนวน 39 ประเภทโรงงาน 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปรับปรุงประเภท โรงงานจากจำพวกที่ 3 เป็นจำพวกที่ 2 และจากจำพวกที่ 2 เป็นจำพวกที่ 1 อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อมและประชาชนเนื่องจากปัจจุบันมีการประกอบกิจการขนาดเล็กหรืออุตสาหกรรมชุมชนที่ไม่ถือว่าเป็น "โรง งาน" ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นจำนวนมากแล้วซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมควรเตรียมความ พร้อมให้กับหน่วยงานอื่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามารับหน้าที่ในการควบคุมดูแลการประกอบกิจ การนั้น ๆ ด้วย ส่วนโรงงานผลิตก๊าซหรือแยกก๊าซ ควรเพิ่มคำว่า "ที่ไม่ใช้ก๊าซธรรมชาติ" เพื่อมิให้ซ้ำซ้อนกับ โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และโรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2052 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ | สสป | 03/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สรุปได้ดังนี้ 1.1 แนวนโยบายหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้แก่ 1.1.1 การเพิ่มคุณภาพและศักยภาพ "คน" ทางร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา 1.1.2 การพัฒนา เสริมสร้างภูมิปัญญาของชุมชน 1.1.3 การขยายโอกาสและการยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยอาศัยหลัก "พอประมาณ" และ "มีเหตุผล" 1.1.4 การสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพ และคุณภาพสิ่ง แวดล้อมเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ 1.1.5 การเสริมสร้างระบบและวัฒนธรรม ธรรมาภิบาล และประชาธิปไตยในสังคมไทย 1.1.6 ให้ความสำคัญและสนับสนุนให้ประเทศมีการจัดระบบสวัสดิการให้แก่ประชาชนอย่าง ทั่วถึงและกว้างขวางในหลายรูปแบบ 1.2 การพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับกลุ่มคนที่มีลักษณะเฉพาะ 10 กลุ่มซึ่งมีปัญหาร่วมด้านทัศนคติ ของสังคม การเข้าไม่ถึงหรือไม่ได้รับสวัสดิการของสังคม และการขาดการสนับสนุนส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการ แก้ไขปัญหาของตนเอง ควรมีนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังต่อไปนี้ 1.2.1 ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมของสังคมทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาเพื่อให้สังคมเข้าใจ และเคารพความแตกต่าง พร้อมที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของคนร่วมสังคมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือก ปฏิบัติที่มีต่อเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน 1.2.2 พัฒนาและส่งเสริมให้สังคมไทยในทุกระดับจัดระบบสวัสดิการสำหรับผู้ด้อยโอกาสทั้งใน ส่วนที่รัฐจัดให้ และระบบสวัสดิการที่ชุมชน หรือกลุ่มอาชีพร่วมกันดำเนินการเพื่อให้บรรลุการมีหลักประกันด้าน ปัจจัย 4 แก่ทุกคน 1.2.3 องค์กรของรัฐจะต้องมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรต้นแบบที่มีการดำเนินงานโดยปราศจากการ เลือกปฏิบัติ โดยยึดหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่า เทียม 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับสภาที่ปรึกษา ฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวง ศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2053 | ข้อเสนอทางนโยบายเรื่อง ผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง | สช | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอทางนโยบายเรื่อง ผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่ มาบตาพุดและจังหวัดระยอง ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 4/2551 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ตามที่สำนักงาน คสช. เสนอ ไปพิจารณาดำเนินการดังนี้ 1.1 ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทางสุขภาพจากอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ในพื้นที่มาบตาพุดและอำเภอบ้านฉาง รวมถึงเผยแพร่วิธีป้องกันผลกระทบและวิธีการสร้างเสริมสุขภาพในภาวะ มลพิษให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงโดยเร็วและต่อเนื่อง และให้จัดทำแผนและกฎการปฏิบัติการสำหรับป้องกัน และบรรเทาอุบัติภัยจากอุตสาหกรรมและการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยสารเคมีระดับจังหวัดโดยให้ ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรและประชาชนในพื้นที่ 1.2 ให้ คสช. สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพกลไกกลางในการดำเนินงานและความเข้มแข็งของภาค ประชาชน ได้แก่ การศึกษาแนวทางในการจัดตั้งกลไกผู้ตรวจการสำหรับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสุข ภาพ การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของภาคประชาชน และการสนับสนุนภาคประชาสังคมจังหวัด ระยองติดตามความเคลื่อนไหวทางนโยบายโดยใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ 2. ส่วนข้อเสนอที่สำนักงาน คสช. เสนอคือ 2.1 ให้รัฐบาลทบทวนและปรับแนวทางการพัฒนาจังหวัดระยอง โดยจัดตั้งคณะกรรมการจากทุก ภาคส่วน วางและจัดทำผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยองฉบับใหม่ ปรับปรุงระบบและ มาตรการทางการคลัง และจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดระยอง จัดให้มีระบบและกลไกการป้องกันและ แก้ไขปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะปัญหาเด็กและเยาวชน และจัดให้มีบริการทางสังคมซึ่งเป็นความสำคัญขั้นพื้น ฐานอย่างเพียงพอ โดยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ในทุกขั้นตอน 2.2 ให้รัฐบาลชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่มาบตาพุดและบ้านฉาง ในระหว่างการทบทวนและปรับแนวทางการพัฒนาจังหวัดระยอง โดยให้มีการกำหนดแนวทางและกระบวนการ ตัดสินใจในการให้อนุมัติ/อนุญาต/ให้ความเห็นชอบการขยายโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ให้เป็นไปตามมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น ให้คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งมีรอง นายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นประธาน รับไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมตามอำนาจหน้าที่ และความสอดคล้องของกฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2054 | การปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และการดูงาน | นร | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติว่า
1. รับทราบผลการปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุม สัมมนา และดูงานในต่างประเทศ ของส่วน ราชการต่าง ๆ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ 2. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ในส่วนการฝึกอบรม จัดประชุม สัมมนา และดูงานต่างประเทศ 3. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอความร่วมมือให้ ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการฝึกอบรม จัดประชุม สัมมนา และดูงานในต่างประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2055 | ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานราชการสำรวจและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการเข้าถึงได้ | พม | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ดังนี้ 1. กำหนดให้น่วยงานราชการดังต่อไปนี้ดำเนินการสำรวจและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกเนื่องจากมี คนพิการใช้บริการมาก ตามลำดับ คือ 1.1 โรงพยาบาล จัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎกระทรวง พ.ศ. 2548 ซึ่ง กำหนดให้มีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคารสำหรับคนพิการหรือทุพพลภาพและคนชรา 1.2 หน่วยงานราชการ ได้แก่ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ/สำนักงานเขต ที่ทำการขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด/ส่วนตำบล/สำนักงานเทศบาลนคร/เมือง/ตำบลและเมือง พัทยา) สถาบันการศึกษา และสถานีตำรวจ จัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่ จอดรถ ป้ายและสัญญลักษณ์ และบริการข้อมูล ภายในปี พ.ศ. 2554 2. ให้หน่วยงานราชการดังกล่าวสามารถขอตั้งงบประมาณหรือเจียดจ่ายหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ในการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ โดยให้เป็นอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้ว่าราชการ จังหวัดอนุมัติ 3. ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับความจำเป็นต้องจัดให้มีสิ่ง อำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ให้ใช้จากเงินรายได้หรือเงินเหลือจ่าย หรือปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รายจ่ายประจำปีของหน่วยงาน หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสมและความจำเป็น โดยพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2056 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 | สช | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอมติสมัชชาสุขภาพแห่ง
ชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 รวม 14 ประเด็น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยว ข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินการพร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคเพื่อแจ้งต่อคณะ กรรมการสุขภาพแห่งชาติด้วย โดยมติสมัชชาสุภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย มติ 1.1 ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ มติ 1.2 การเข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทย มติ 1.3 นโยบายแห่งชาติเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ มติ 1.4 การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายการเจรจาการค้าเสรี มติ 1.5 เกษตรและอาหารในยุควิกฤต มติ 1.6 ยุทธศาสตร์ในการจัดการปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มติ 1.7 บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการจัดการสุขภาพและทรัพยากรธรรมชาติ สิ่ง แวดล้อม มติ 1.8 ความเสมอภาคในการเข้าถึงและได้รับบริการสาธารณสุขที่จำเป็น มติ 1.9 ผลกระทบจากสื่อต่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว มติ 1.10 สุขภาวะทางเพศ : ความรุนแรงทางเพศ การตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม และเรื่องเพศกับเอดส์ /โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มติ 1.11 ระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพในสังคมไทย มติ 1.12 นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะของแรงงานนอกระบบ มติ 1.13 การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์ มติ 1.14 วิกฤตเศรษฐกิจและการปกป้องสุขภาวะคนไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2057 | ของบประมาณเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทุกคนรับประทานอาหารกลางวัน | มท | 13/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้เด็กนักเรียนทุกคน ตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กนักเรียนชั้นอนุบาล-ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับ การสนับสนุนงบประมาณอาหารกลางวันเต็ม 100% และปรับอัตราค่าอาหารกลางวัน จากอัตราคนละ 10 บาท ต่อวัน เป็นอัตราคนละ 13 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้มีส่วนร่วมสมทบดำเนินการและประสานความร่วมมือทั้ง จากภาคเอกชน และชุมชนในท้องถิ่น มาร่วมสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทุกคนได้รับประทานอาหารกลางวัน อันจะ ช่วยให้มีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้นส่งผลต่อสุขภาพและการเรียนรู้ รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควร ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงิน อุดหนุน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะ ทุพโภชนาการ ยากจนและขาดแคลนให้ได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกายตามมาตรฐานของ กระทรวงสาธารณสุข ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2058 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ : กรณีศึกษากว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา | สสป | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น และข้อเสนอแนะ ของสภา ฯ เรื่อง แนวทางการพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ : กรณีศึกษากว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา สรุปได้ดังนี้ 1.1 จัดทำแผนแม่บทพัฒนากว๊านพะเยาโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น หน่วยราชการในจังหวัดพะเยา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง 1.2 เร่งดำเนินการขอขึ้นทะเบียนกว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ram sar Site) ตามอนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ (Ramsar Convention) ที่ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเมื่อ วันที่ 13 กันยายน 2541 เป็นการยกระดับกว๊านพะเยาที่ได้ขึ้นบัญชีไว้ให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติแล้ว ให้ เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพิ่มขึ้น 1.3 สนับสนุนให้มีการจัดตั้งองค์กรใหม่ระดับจังหวัดทำหน้าที่ดูแล รักษา และพัฒนากว๊านพะเยา 1.4 กำหนดกระบวนการในการดำเนินโครงการกู้วัดติโลกอาราม ในกว๊านพะเยา โดยให้ปฏิบัติตาม ขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 อย่างเคร่งครัด และดำเนินการต่อผู้ที่กระทำความผิดตามกฎหมาย 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ 3. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับโครงการกู้วัดติโลกอารามไปศึกษาผลกระทบด้านต่าง ๆ ร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวเนื่อง จากสภาพวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมีอายุนับร้อยปีและจมอยู่ในน้ำเป็นเวลานานมีสภาพอิ่มน้ำไม่สามารถคงรูปเดิม ไว้ได้ รวมทั้งส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยา และการดำเนินงานจะต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวน มาก นอกจากนี้ เมื่อดำเนินการแล้วจะทำให้ทัศนียภาพกว๊านพะเยาขาดความงดงามตามธรรมชาติ ไปประกอบ การพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2059 | แผนปฏิบัติการแม่บทการเตรียมความพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ พ.ศ. 2552 | สธ | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการแม่บทการเตรียมความพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ของโรคไข้ หวัดใหญ่ พ.ศ. 2552 ที่คณะอนุกรรมการดำเนินการเตรียมความพร้อมและการซ้อมแผนสำหรับการระบาดใหญ่ โรคไข้หวัดใหญ่ในระดับประเทศ ได้จัดทำขึ้นเพื่อกรอบดำเนินการสำหรับให้หน่วยงานทุกภาคส่วนนำไปเป็นแนว ทางการดำเนินงาน และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามแผน ปฏิบัติการแม่บท ฯ ต่อไปด้วย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทค โนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ซึ่งมีประเด็นความเห็นที่สำคัญโดยสรุปคือ การบริหารจัดการในการประสาน สั่งการด้านมาตรการหลักในขั้นระยะการเตือนภัย (Pandemic alert period) ระยะการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัด ใหญ่ (Pandemic period) รวมถึงการประกาศเขตภัยพิบัติ และระยะหลังการระบาด (Post-pandemic period) มอบให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยหลักภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัยแห่งชาติ โดยมีกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นศูนย์อำนวยการและควบคุมแต่ละ ขั้นตอนของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเห็นควรจัดตั้ง "ศูนย์ข้อมูลร่วม" เพื่อมุ่งเน้นการประสานข้อ มูลข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐ เอกชน และองค์กรทั้งในและต่างประเทศ และการคัดกรอง (วิเคราะห์ข้อมูลข่าว สาร) การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารในเชิงรุกทั้งช่วงระยะก่อนการระบาดใหญ่ ระยะ เตือนภัยการระบาดใหญ่ และระยะการระบาดใหญ่ให้เป็นไปอย่างทันท่วงที รวมทั้งให้มีการเตรียมความพร้อม เพื่อป้องกันบรรเทาฟื้นฟูในการบริหารจัดการกับสาธารณภัยประเภทต่าง ๆ ในระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด โดยให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัด) ให้ความสำคัญกำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัดเกี่ยวกับการจัดการ สาธารณภัยที่มีความสอดคล้องกับการวิเคราะห์ประเภทภัยและความเสี่ยงของภัยที่เกิดขึ้นในจังหวัด/กลุ่มจังหวัด นั้น ๆ ในแผนพัฒนาจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด ไป พิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2060 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน | มท | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
ในส่วนของกรอบวงเงินชดเชยค่าใช้น้ำประปา ของระบบประปาเทศบาลที่ดำเนินการในลักษณะเทศพาณิชย์ และ ระบบประปาหมู่บ้านที่ดำเนินการในลักษณะพาณิชย์ดำเนินการจำนวน 540 ล้านบาท และจำนวน 2,445.725 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อให้ประชาชนในชนบทที่อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับความช่วย เหลือด้านน้ำประปาเท่าเทียมกับประชาชนในเขตนครหลวงและภูมิภาค ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้ กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น) รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการปรับ ปรุงข้อมูลที่ใช้ในการประมาณการเงินชดเชยไปดำเนินการ และให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นประสาน รายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวม ทั้งให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
