ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 198 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3941 - 3960 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3941 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | มท | 08/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ
ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านความมั่นคง โดยจำแนกตามยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ ดังนี้ (1) ยุทธศาสตร์เสริมสร้างความสงบสุขในพื้นที่ ประกอบด้วย โครงการจัดตั้งสำนักงานประจำตำบล (ศูนย์ปฏิบัติการประจำตำบล) ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 250 แห่ง เพื่อเป็นศูนย์กลางการ ปฏิบัติงานของฝ่ายปกครองและตำรวจ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงสถานที่ และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดตั้งสำนักงานประจำตำบล โครงการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ประจำศูนย์ ปฏิบัติการประจำตำบล (สำนักงานประจำตำบล) อยู่ระหว่างจัดซื้อรถจักรยานยนต์สนับสนุนการปฏิบัติงาน ของศูนย์ ฯ จำนวน 250 คัน โครงการจัดซื้อวิทยุสื่อสารสนับสนุนงานปลัดอำเภอประจำตำบล อยู่ระหว่าง การจัดซื้อวิทยุสื่อสาร พร้อมอุปกรณ์ ประกอบด้วย เครื่องรับ-ส่งวิทยุระบบ VHF/FM กำลังส่ง 10 วัตต์ พร้อม อุปกรณ์ จำนวน 250 ชุด และเครื่องรับ-ส่งวิทยุระบบ VHF/FM ชนิดมือถือ กำลังส่ง 5 วัตต์ พร้อมอุปกรณ์ จำนวน 250 ชุด โครงการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดในเขตชุมชนเมือง เพื่อสังเกตการณ์และติดตามความเคลื่อน ไหวของกลุ่มก่อการร้าย กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ และกลุ่มอาชญากรรม อยู่ระหว่างการจัดซื้อ/จัดจ้างติดตั้งโทร ทัศน์วงจรปิดในเขตชุมชนเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางส่วนของจังหวัดสงขลาและสตูล โดย มีเป้าหมาย จำนวน 206 จุด โครงการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนตาดีกา 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ โดยได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนค่าตอบแทนครูผู้สอนโรงเรียนตาดีกา จำนวน 1,654 แห่ง และ งบประมาณการบริหารจัดการให้แก่มัสยิดที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนตาดีกา จำนวน 1,654 แห่ง โครงการพิทักษ์ ประชาชน อยู่ระหว่างจัดซื้อเสื้อเกราะป้องกันกระสุนให้แก่สมาชิก อส. จำนวน 620 ตัว (2) ยุทธศาสตร์เสริม สร้างความมั่นคงบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย โครงการสัมมนาเยาวชนเสริมสร้างสันติ สุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้นำเยาวชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เดินทางไปทัศนศึกษาในภูมิภาคอื่น จำนวน 2 รุ่น คือ รุ่นที่ 1 ในระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2547 และรุ่นที่ 2 ในระหว่างวันที่ 30 พฤษภา คม-3 มิถุนายน 2547 โครงการฝึกอบรมวิทยากรปฏิบัติการประสานสัมพันธ์มวลชนชายแดนภาคใต้ ได้ ดำเนินการฝึกอบรมชุดวิทยากรไปแล้ว 195 คน แบ่งเป็นระดับจังหวัดๆ ละ 10 คน รวม 30 คน ระดับอำเภอ 33 แห่ง ๆ ละ 5 คน รวม 165 คน โครงการ "พลังมวลชน-พลังแผ่นดินก่อสานฐานถิ่นสันติสุข" ได้ดำเนิน การฝึกอบรมข้าราชการและวิทยากรประจำตำบลเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมกับภาคราชการในการแก้ไขปัญหาและ พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (3) ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพของคน ชุมชน และสังคม ประกอบด้วย โครง การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันตนเองของประชาชนในหมู่บ้าน ได้มี การฝึกอบรมและจัดตั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 344หมู่บ้าน โครงการฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร) ได้กำหนดฝึกอบรมอาสาสมัคร ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงเดือนกรกฎาคม 2547 ส่วนโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ของชุมชนอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาศักยภาพและเชื่อมโยงการทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนในระดับ ตำบล/อำเภอ/จังหวัด และโครงการเสริมสร้างศักยภาพและบทบาทของสตรีในกระบวนการเสริมสร้างความ เข้มแข็งของชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ระหว่างการจัดทำประชาคมระดมความคิดเห็นจากประชา ชน และ (4) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ ประกอบด้วย การเพิ่มอัตรากำลังปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่ปก ครอง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก.พ. ได้อนุมัติให้มีปลัดอำเภอประจำตำบลทุกตำบล จำนวน 250 ตำบล และเจ้าหน้าที่ปกครองเพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือปลัดอำเภอประจำตำบล จำนวน 250 ตำแหน่ง โครงการฝึก อบรมปลัดอำเภอประจำตำบลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ดำเนินการฝึกอบรมปลัดอำเภอเพื่อเสริมสร้าง ความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติที่ถูกต้องในการปฏิบัติงานในพื้นที่ โครงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ปกครองผู้ ปฏิบัติงานประจำตำบลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดำเนินการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้า ใจ และทัศนคติที่ถูกต้องในการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้กับเจ้าหน้าที่ปกครอง จำนวน 253 คน โครงการเสริม สร้างประสิทธิภาพข้าราชการที่ปฏิบัติงานพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กำหนดจัดการฝึกอบรมข้าราช การที่บรรจุใหม่หรือย้ายมาปฏิบัติงานให้มีความรู้ ความเข้าใจในวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมและสถานการณ์ ความมั่นคงในพื้นที่ จำนวน 2,600 คน โครงการติดตั้งระบบสารสนเทศ และการสื่อสารในข่ายสำนักงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย สำหรับศูนย์สื่อสารในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ระหว่างเตรียมการจัดซื้อ และโครง การวิจัยความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในการพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ระหว่างการพิจารณา ข้อเสนอโครงการ (Proposal) |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3942 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขออนุญาตประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศสำหรับอากาศยานปีกแข็งแบบประจำมีกำหนด | คค | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขอ
อนุญาตประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศแบบประจำมีกำหนด สำหรับอากาศยานปีกแข็ง โดยต้องมีทุน จดทะเบียนที่ชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท วงเงินประกันภัยสำหรับความเสียหายอันเกิดแก่ร่างกาย ชีวิต ตลอดจนทรัพย์สินของบุคคลที่สาม วงเงินประกันภัยไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท/ครั้ง ผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท/คน/ครั้ง และต้องต่ออายุกรมธรรม์ก่อนวันสิ้นสุดไม่น้อยกว่า 30 วัน ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้แจ้งให้ผู้ ได้รับอนุญาตให้ประกอบการและผู้ประสงค์จะขอประกอบการได้ทราบเพื่อถือปฏิบัติด้วยแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3943 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การฝากเงินของกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์การและบริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล | คค | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือกรมสารบรรณคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหารเกี่ยวกับการฝากเงินของกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์การและบริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล รวม 9 ฉบับ เนื่องจากมีระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่ง คลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 ระเบียบว่าด้วยการบัญชีและการเงินของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2520 ข้อบังคับว่า ด้วยวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการเงินขององค์การ พ.ศ. 2495 และข้อบังคับว่าด้วยการฝากเงินและถอนคืนเงินต่อ กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2495 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเห็นชอบหลักเกณฑ์การฝากเงินของรัฐ วิสาหกิจ องค์การ บริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้โรงงานหรือองค์การของรัฐบาลส่งรายได้ทุกประเภทต่อกระทรวงการคลังโดยเคร่งครัด หากมีความ จำเป็นที่จะสงวนไว้เป็นทุนหมุนเวียน และหรือการลงทุนขยายงาน ก็ให้ฝากไว้กับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบให้เป็นไปโดยเคร่งครัดด้วย กับให้รัฐวิสาหกิจที่นำเงินกองทุน สงเคราะห์ไปแสวงหาประโยชน์ไม่ว่ารัฐวิสาหกิจจะกำหนดข้อบังคับหรือระเบียบไว้ประการใด ให้กระทำได้แต่ โดยการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลหรือฝากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ห้ามมิให้นำเงินกองทุน ฯ ไปให้ นิติบุคคลที่เป็นเอกชนหรือบุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเด็ดขาด สำหรับรัฐวิสาหกิจใดที่ได้กระทำไปก่อนแล้ว เมื่อ ถึงกำหนดตามสัญญาให้เรียกเงินคืนให้เป็นการเสร็จสิ้นไป อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องนำเงินกองทุน ฯ ให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ กู้ยืม ผ่อนผันให้กระทำได้ แต่การให้กู้ยืมจะต้องมีหลักทรัพย์และหรือบุคคล ค้ำประกัน ทั้งนี้ แล้วแต่จะจำกัดวงเงินที่เห็นสมควร และจะต้องคิดดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่าย ดอกเบี้ยเงินสะสม (หรือเงินทุนประเภท 1) ให้แก่พนักงาน นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินมาฝากกับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ยกเว้นกรณีที่ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาห กิจไม่สามารถรับดำเนินการให้บริการได้ หรือไม่มีธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจในพื้นที่ ให้เสนอกระทรวงการ คลังพิจารณาผ่อนผันให้ใช้บริการของธนาคารพาณิชย์อื่นได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3944 | การปรับปรุงแนวทางและลดขั้นตอนการพิจารณาแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ และหน่วยงานที่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการปรับปรุงแนวทางและลดขั้นตอนการพิจารณา
แผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี โดยควรพิจารณาปรับปรุงระเบียบข้อ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ส่วนราชการ/หน่วยงานเจ้าของเรื่อง หรือที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้อย่างรวด เร็ว บางเรื่องเป็นเรื่องที่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตามกฎหมาย หรือคณะกรรมการที่คณะรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้น ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน รวมทั้งมีรัฐมนตรี หรือผู้แทน ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้แทนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการอยู่แล้ว และได้นำมติของคณะ กรรมการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติหรือเห็นชอบแล้ว เมื่อจะดำเนินการหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องนำ เรื่องดังกล่าวมาเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ/อนุมัติอีกครั้งจึงจะดำเนินการได้ สมควรพิจารณา ปรับปรุงและลดขั้นตอนกระบวนการพิจารณาเรื่องเหล่านี้ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเห็นชอบ ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติมว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพรับเรื่องดังกล่าวไป จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติ แล้วจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3945 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... | สธ | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (คกก.5) ที่
มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... โดยร่างพระราช บัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยเครื่องมือแพทย์ โดยให้มีบทบัญญัติในเรื่องความรับผิด ในผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงมาตรการให้ความคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้ใช้เครื่องมือแพทย์ โดยขยายการใช้ระบบ คุณภาพและคุณภาพมาตรฐานของเครื่องมือแพทย์ได้ทุกระดับ หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการศึกษาวิจัยทางคลินิก หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการบริโภคและรับบริจาคเครื่องมือแพทย์ การขยายขอบเขตรายงานผลอันไม่พึงประสงค์ จากการใช้เครื่องมือแพทย์การจดทะเบียนผู้ป่วย การปรับปรุงการควบคุมเครื่องมือแพทย์อย่างเหมาะสม การให้ บทบาทแก่ภาครัฐและเอกชนอื่นๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการคุ้มครองผู้บริโภค และปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม บทลงโทษ ให้เหมาะสมและสอดคล้องยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของ คกก.5 เกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียมใบ อนุญาตผลิต นำเข้า ขายใบแทนใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2531ที่บังคับใช้อยู่ใน ปัจจุบันกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมไปถึงอัตราค่าธรรมเนียมที่ขอแก้ไขใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงเกินไป กระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณาทบทวน ส่วนในหมวด 6 การควบคุมเครื่องมือแพทย์ ตามมาตรา 38 ห้ามมิ ให้ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือขายเครื่องมือแพทย์ปลอม ผิดมาตรฐาน เสื่อมคุณภาพและเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอด ภัยในการใช้ นั้น การกำหนดบทลงโทษควรมีการสร้างมาตรฐานการลงโทษทบทวนให้มีความเหมาะสม และ ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ โดยอิงความปลอดภัยของชีวิตคนและวัตถุประสงค์ ของผู้ทำการนั้น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่ง ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3946 | กรอบแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรของส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ 3 หน่วยงาน | นร | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการบริหารสิน เชื่อเกษตรกรแห่งชาติเสนอ ดังนี้ เห็นชอบกรอบแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการส่งเสริมหรือ สงเคราะห์ของรัฐ โดยให้ส่วนราชการระดับกระทรวงสำรวจ ประเมินผล และจำแนกข้อมูลภาระหนี้สินของเกษตร กรตามโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐที่ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจรับผิดชอบ โดยดำเนินการตามกรอบ แนวทางที่เสนอ ทั้งนี้ ถ้ามีกรณีที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการปรับปรุงหนี้หรือจำหน่ายหนี้สูญ ให้ส่วนราชการระดับ กระทรวงนำเสนอคณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติพิจารณาทั้งหมดในคราวเดียวกัน กับอนุมัติมาตร การแก้ไขปัญหาหนี้สินของกรมส่งเสริมสหกรณ์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ จำนวน 32.39 ล้านบาท เพื่อชดเชยแก่ ธ.ก.ส. แทนเกษตรกร จากการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งอนุมัติหลักการในการปรับปรุงหนี้ให้กับสมาชิกนิคม 17 แห่ง ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการขยายเวลาชำระหนี้เดิมออกไปไม่เกิน 10 ปี พร้อมกับงดคิดดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3947 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ พ.ศ. .... | กค | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรอง
ราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนิน การต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างระเบียบกระทรวงการคลังฉบับนี้เป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการ คลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ พ.ศ. 2541 เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศนำ เงินทดรองราชการไปทดรองจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3948 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2547 | ทส | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2547 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองเรียบร้อยแล้ว รวม 13 เรื่อง เป็น เรื่องที่ประธาน ฯ แจ้งต่อที่ประชุม เรื่องรายงานการประชุม ฯ ครั้งที่ 2/2547 เรื่องสืบเนื่องเพื่อพิจารณา 1 เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการขยายท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เรื่องเพื่อพิจารณา 5 เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการบ้านเอื้ออาทรบางโฉลง ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 และโครงการบ้านเอื้ออาทรหัวหมาก โครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการไดออกซิน การปรับปรุงองค์ประกอบ คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างของกรมควบคุมมลพิษ กรอบมาตรการจัดการปัญหามลพิษ ทางอากาศและเสียงจากท่าอากาศยาน การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในพื้นที่หน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี เรื่อง เพื่อทราบ 4 เรื่อง ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานคุณภาพดิน การขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อ การออกประทานบัตรเหมืองแร่ใหม่ซ้ำในพื้นที่ประทานบัตรเดิมที่จะสิ้นสุดอายุประทานบัตร ของบริษัท ปูนซิ เมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด : แผนการทำเหมืองแร่ในภาพรวม จำนวน 21 แปลง ผลการศึกษาโครงการศึกษา แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ตั้งแต่ปากแม่น้ำเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ถึงปากแม่น้ำ ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผลการตรวจสอบและประเมินผลการปนเปื้อนของสารแคดเมียม ในพื้นที่ ลุ่มน้ำแม่ตาว อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะ กรรมการผู้ชำนาญการ/คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมคณะกรรม การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2547 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3949 | นายประสาน ยุวานนท์ ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ในลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ซึ่งซ้อนทับพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม เพื่อทำเหมืองแร่ ท้องที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา | อก | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติผ่อนผันให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ (ซ้อนทับพื้นที่ป่า เพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม) เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 9/2545 ของนายประสาน ยุวานนท์ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้นายประสาน ฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไขมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2547 วันที่ 8 มกราคม 2547 อย่างเคร่งครัด ดังนี้ กำหนดให้พื้นที่บริเวณ ด้านทิศเหนือของคำขอประทานบัตรซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้เปิดการทำเหมือง เนื้อที่ 36 ไร่ ให้เป็นพื้นที่เว้นการ ทำเหมือง (Buffer Zone) เพื่อป้องกันผลกระทบทางด้านทัศนียภาพจากแนวทางหลวงหมายเลข 2 (ถนน มิตรภาพ) และให้ผู้ประกอบการเร่งดำเนินการปรับปรุงเส้นทางขนส่งแร่ จากพื้นที่คำขอประทานบัตรไปยัง โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของ บริษัท สามัคคีซีเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องทันทีหลังจากได้รับการ อนุญาตประทานบัตร เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละออง รวมทั้งให้คณะทำงานเฉพาะกิจ ฯ ซึ่งแต่งตั้งภาย ใต้คณะอนุกรรมการพิจารณารายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อการทำเหมืองแร่ ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตาม มาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการประเมินศักยภาพ ฯ และตามข้อคิด เห็นของคณะทำงาน ฯ โดยรายงานผลให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทราบทุก 2 ปี ส่วนมาตรการ ฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแร่แล้ว โดยวิธีการปลูกป่าให้ปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่น และเมื่อสิ้นสุดการทำเหมือง แร่ ให้ผู้ประกอบการพัฒนาพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรความจุมากกว่า หรือเท่ากับปริมาณน้ำชั้นหินกัก เก็บได้ นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับข้อสังเกต ตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ควรมีแนวปฏิบัติในการพิจารณาผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ให้มีความชัดเจนว่า ต้องมีลักษณะ พิเศษอย่างไรเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาผ่อนผันพื้นที่แปลงอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกันต่อไป และ ให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับทางเศรษฐกิจด้วย ส่วนการปฏิบัติตามเงื่อนไขของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่ง ชาติ ขอให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองและพื้นที่การทำเหมืองแร่ ถ้าหากพื้นที่ใดสามารถปลูกป่าได้ให้ดำเนินการทันที
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3950 | ความคืบหน้าในการหาเชื้อเพลิงทางเลือกในภาวะน้ำมันแพง | พน | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานความคืบหน้าการหาเชื้อเพลิงทางเลือกใน
ภาวะน้ำมันแพง ดังนี้ การพัฒนาและส่งเสริมก๊าซโซฮอล์ (Gasohol) กระทรวงพลังงานร่วมกับส่วนราชการและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการผลิต และจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ โครงการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการส่งเสริม การใช้ก๊าซธรรมชาติในยานยนต์ (NGV) โดยมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการปรับปรุงรถเก่าและรถใหม่ โดย เฉพาะรถยนต์สาธารณะและรถยนต์ที่มีการใช้เชื้อเพลิงต่อวันในปริมาณมากให้มาใช้ NGV มากขึ้น รวมถึงการ ขยายสถานีบริการ NGV อย่างทั่วถึง และได้ประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเพิ่ม แรงจูงใจให้ผู้ผลิตและประกอบรถยนต์และอุปกรณ์ใช้ก๊าซ NGV ด้านการส่งเสริมการลงทุน และการให้สิทธิ ประโยชน์ทางภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเงินทุนในการติดตั้งอุปกรณ์การใช้ก๊าซ NGV และการซื้อรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV การพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล (Biodiesel) กระทรวงพลังงานได้จัดตั้ง คณะกรรมการเพื่อกำหนดเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซล ร้อยละ 3 ของการใช้น้ำมันดีเซลในปี พ.ศ. 2554 หรือ ประมาณวันละ 2.4 ล้านลิตร และกำหนดแผนการผลิตวัตถุดิบให้เพียงพอกับการนำมาผลิตไบโอดีเซล และ กำหนด Road Map การพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 บังคับใช้เฉพาะพื้นที่เป้า หมายภายในปี พ.ศ. 2549-2553 และระยะที่ 2 บังคับใช้ทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 โดยได้ดำเนินโครง การนำร่อง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสาธิตการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์รับจ้าง สองแถวในจังหวัดเชียงใหม่ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 8 เดือน กำหนดเปิดตัวโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่และ กรุงเทพมหานครในเดือนมิถุนายน 2547 และแผนขยายการนำระบบการผลิตไบโอดีเซล (Biodiesel plant) ระดับชุมชนสาธิตในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ และความร่วมมือจากองค์กรท้องถิ่นในภาคใต้ และภาค ตะวันออก และไบโอดีเซลผสมก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการทำวิจัยเพื่อศึกษาทางเทคนิคเศรษฐกิจและผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมของการใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกับไบโอดีเซลในเครื่องยนต์ดีเซล |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3951 | การแก้ไขปัญหาป่าไม้ถูกทำลายและการบุกรุกที่ดิน | นร | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินมีหลาย
ประเภท และแต่ละประเภทกำหนดสิทธิของผู้ถือไว้แตกต่างกัน ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนและยากต่อการเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราษฎรทั่วไปซึ่งมักไม่ทราบหรือคุ้นเคยกับระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ เอกสารแสดงสิทธิที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ ควรพิจารณาปรับปรุงระบบเอกสารสิทธิ ในที่ดินทั้งหมด โดยออกเอกสารสิทธิเป็น 2 ประเภท คือ เอกสารสิทธิในที่ดินของรัฐ และเอกสารสิทธิในที่ ดินของบุคคล สำหรับเอกสารสิทธิในที่ดินของบุคคล ควรปรับปรุงให้เหลือเพียงประเภทเดียว เช่น เป็นโฉนด ทั้งหมด แต่ให้มีเงื่อนไขแห่งสิทธิ (string attached) จำแนกตามลักษณะที่แตกต่างกันตามข้อเท็จจริงของพื้น ที่การครอบครอง และการทำประโยชน์ ซึ่งจะช่วยในการแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดิน และการประพฤติมิชอบใน การออกเอกสารสิทธิประเภทต่าง ๆ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยรับเรื่องนี้ไปหารือถึงความเป็นไปได้ในการ ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว รวมทั้งการปรับปรุงข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วรายงานผลให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายจัดหาที่ดิน ของรัฐ ด้านอุปทาน (Supply Side) และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3952 | การปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ [ถูกยกเลิกโดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 02/07/56 (ว107/56)] | กค | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1.2 (ฝ่าย ความมั่นคง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรม การรัฐวิสาหกิจใหม่ โดยแบ่งรัฐวิสาหกิจออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ (1) รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่ มีนโยบายในการ แปลงสภาพ เป็นหน่วยงานให้บริการพื้นฐาน มีพื้นที่ในการให้บริการทั่วประเทศ และมีการแข่งขันกับภาคเอก ชนในระดับหนึ่ง อัตราเบี้ยกรรมการไม่เกิน 10,000 บาท/เดือน (2) รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดปานกลาง ส่วน ใหญ่มีการดำเนินงานในเชิงพาณิชย์ที่ต้องแข่งขันกับภาคเอกชน และมีลักษณะการดำเนินงานไม่ครอบคลุมทั่ว ประเทศ อัตราเบี้ยกรรมการไม่เกิน 8,000 บาท/เดือน (3) รัฐวิสาหกิจขนาดเล็ก มีกิจกรรมไม่สลับซับซ้อน มี การแข่งขันน้อย โดยบางแห่งเป็นประเภทส่งเสริม อัตราเบี้ยกรรมการไม่เกิน 6,000 บาท/เดือน (4) รัฐวิสาห กิจประเภทสถาบันการเงินเฉพาะกิจ อัตราเบี้ยกรรมการไม่เกิน 10,000 บาท/เดือน และ (5) รัฐวิสาหกิจที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ อัตราเบี้ยกรรมการตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3953 | รายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม วงรอบ มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2547 | กห | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม
วงรอบ มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2547 ในส่วนของการทูตทางทหาร การจัดระเบียบชายแดน การเตรียมความ พร้อมรบ การปรับปรุงโครงสร้างกองทัพ และการปฏิบัติการทางทหารที่มิใช่สงคราม |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3954 | การปรับปรุงหอสมุดแห่งชาติ | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการปรับปรุงการบริหารจัดการหอสมุดแห่ง
ชาติ ทั้งในส่วนของระบบการจัดเก็บหนังสือและเอกสารข้อมูลต่าง ๆ โดยอาจนำเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล สมัยใหม่ เช่น จัดเก็บในรูปหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) มาใช้เพื่อลดพื้นที่ในการจัดเก็บ และระบบการ ให้บริการซึ่งควรให้ประชาชนผู้สนใจ ตลอดจนนักเรียน นักศึกษาทั้งหลายสามารถค้นคว้าข้อมูล หรือขอยืม /ส่งคืน หนังสือต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลของหอ สมุดแห่งชาติกับห้องสมุดอื่นๆ ด้วย เช่น ห้องสมุดของส่วนราชการและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เป็นต้น และ โดยที่ขณะนี้ได้มีการจัดตั้งสำนักบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ขึ้น สมควรที่หอสมุดแห่ง ชาติจะได้ประสานและร่วมกับหน่วยงานดังกล่าว ในการให้บริการและเผยแพร่ข้อมูลความรู้จากหนังสือและ เอกสารต่าง ๆ ให้ถึงประชาชนให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ความรู้ใหม่ ๆ หรือหนังสือที่มีราคาแพง ซึ่งประชาชนจะจัดซื้อเป็นของส่วนตัวได้ยาก จึงขอให้กระทรวงวัฒนธรรมรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3955 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. .... | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.1
(ฝ่ายการศึกษา) ที่มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ร่างพระราชบัญญัติมหา วิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. .... ซึ่งผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว โดยร่างพระราช บัญญัติฉบับนี้มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อประโยชน์ในการ บริหารจัดการที่เป็นอิสระและมีความคล่องตัวสามารถจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ เกี่ยวกับคำนิยามว่า "ข้าราชการมหาวิทยาลัย ...." และสิทธิประโยชน์ ต่าง ๆ ตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ในคราว ประชุม ครั้งที่ 19/2546 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2546 ซึ่งมีมติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาให้ความเห็นชอบกรณีการเรียกชื่อบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่ได้ปรับสถานภาพเป็นมหาวิทยา ลัยในกำกับของรัฐว่า "ข้าราชการมหาวิทยาลัย ...." โดยกำหนดนิยาม รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้ ชัดเจนก่อน แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ ความเห็นชอบ และส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทน ราษฎรพิจารณาต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) รับไป ดำเนินการตามประเด็นอภิปรายดังกล่าวต่อไป เพื่อให้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยของรัฐที่ปรับเปลี่ยน เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐต่าง ๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3956 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมธุรกิจหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมธุรกิจหนึ่งตำบลหนึ่งผลิต
ภัณฑ์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายก รัฐมนตรีได้เสนอไว้ โดยเห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีหลักการในการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมธุรกิจ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ขึ้นเป็นองค์การมหาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานการดำเนินการของหน่วยงาน ของรัฐ เอกชน และชุมชนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินการในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การ จัดหาวัตถุดิบให้กับผู้ผลิต การพัฒนากระบวนการผลิต คุณภาพ และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ หรือเป็นศูนย์ กลางรับคำขอซื้อ จัดหาสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการตามภารกิจของสำนัก งาน ฯ ตามที่กำหนดไว้ในร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ ปัจจุบันมีคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ พ.ศ. 2544 เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการอยู่แล้ว นอกจากนี้ ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ได้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่งแล้ว ประกอบกับการจัดตั้งองค์การ มหาชนดังกล่าวยังเป็นภาระด้านงบประมาณแผ่นดิน จึงเห็นว่ายังไม่ควรจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมธุรกิจหนึ่ง ตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์เป็นองค์การมหาชน แต่โดยที่การดำเนินการเพื่อสร้างตราสัญลักษณ์ (Brand image) งานทางด้านการตลาด การจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการในบางระดับ ตลอดจนการประสานงานระหว่าง หน่วยงานต่าง ๆ และการปรับปรุงและพัฒนาสินค้าไปสู่ตลาดต่างประเทศ จำเป็นต้องมีองค์กรอีกระดับ หนึ่งมาดำเนินการ จึงให้ดำเนินการโดยใช้คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ เป็นองค์กรหลักและให้มีอนุกรรมการหรือคณะทำงานเฉพาะด้าน และหากมีความจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือในการปฏิบัติงานก็ให้จัดจ้างเป็นพนักงานราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย พนักงานราชการ พ.ศ. 2547 ทั้งนี้ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3957 | ผลการประชุม Inception Meeting สำหรับคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และการลงนามภาคผนวกพิธีสารแนบท้ายความตกลงฯ ระยะที่ 1 และหนังสือแก้ไขข้อ 17 แห่งความตกลงฯ | คค | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอผลการประชุม Inception Meeting สำหรับ
คณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่ น้ำโขง และการลงนามภาคผนวกพิธีสารแนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่ม แม่น้ำโขง ระยะที่ 1 และหนังสือแก้ไขข้อ 17 (หนังสืออนุญาตขับรถ) แห่งความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้าม พรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2547 โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายนิกร จำนง) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม สำหรับสาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้การรับรองขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ร่วม (Joint Committee) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และคณะ อนุกรรมการ (Sub-Committee) 4 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการขนส่ง คณะอนุกรรมการด้าน ศุลกากร คณะอนุกรรมการด้านสาธารณสุข และคณะอนุกรรมการด้านการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งจะเป็นคณะ กรรมการประจำ ทำหน้าที่กำกับดูแลและประเมินผลการบังคับใช้ความตกลง ฯ ภาคผนวกและพิธีสาร การ ระงับข้อพิพาท การให้คำแนะนำแก่ภาคีคู่สัญญา และจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขความตกลง ฯ ภาคผนวกและ พิธีสาร สำหรับการลงนามภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุ ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระยะที่ 1 และหนังสือแก้ไขข้อ 17 แห่งความตกลง ฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง คมนาคม (นายนิกร จำนง) และรัฐมนตรีช่วยว่าการด้านการขนส่งของประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำ โขงทั้ง 6 ประเทศ ได้ร่วมลงนามในภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงดังกล่าวแล้ว และในระหว่าง การประชุม นายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือ กัมพูชาของรัฐบาลไทยในการปรับปรุงเส้นทางในกัมพูชา 2 เส้นทาง คือ เส้นทางหลวงหมายเลข 48 เกาะ กง-สะแรอัมเปิล และเส้นทางหลวงหมายเลข 67 ช่องสะงำ-อัลลองเวง-เสียมราฐ และการจัดตั้งด่านชาย แดนที่ปอยเปต ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อเจรจากับฝ่าย กัมพูชา เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของแนวเส้นทางในการปรับปรุงเส้นทางหลวงหมายเลข 67 ช่องสะงำ-อัลลองเวง-เสียมราฐ ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนเหมาะสม และไม่เป็นภาระด้านงบประมาณแก่ทั้งสอง ฝ่ายมากจนเกินไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3958 | การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับเรื่องการปรับปรุงกฎ
หมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นไปพิจารณา เนื่องจากปัจจุบันรัฐธรรมนูญกำหนดให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารงานบุคคลซึ่งส่งผลให้การบริหารงานบุคคลในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่จัดการโดยรัฐ เป็นการบริหารงานบุคคลโดยองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น และกำหนดให้การบริหารงานบุคคลในเรื่องการโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และ การลงโทษ ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ดังนั้น การเสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงาน บุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... จะต้องมีบทบัญญัติที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และโดยที่ร่างพระ ราชบัญญัติที่สำนักนายกรัฐมนตรี ฯ เสนอ ยังมีบทบัญญัติในบางมาตราที่จะส่งผลกระทบต่อระบบราชการ เช่น ร่างมาตรา 22 กำหนดให้ประธานคณะอนุกรรมการพนักงานส่วนท้องถิ่นจังหวัด มาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จะทำให้ขาดการเชื่อมโยงโดยตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญที่ต้องการให้มี ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ (CEO) เป็นต้น ประกอบกับขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตั้งคณะกรรม การพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงกฎหมายว่าด้วย ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นด้วย เพื่อให้การบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบที่เชื่อมโยงต่อกฎหมายหลาย ๆ ฉบับ ทั้งนี้ ให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา ภายในระยะเวลา3 เดือน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ หมายฯ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการพิจารณา โดยเชิญรองนายก รัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เข้าร่วมพิจารณาทั้งระบบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3959 | การปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ | มท | 04/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพ วิธีการ
เข้าสู่ตำแหน่ง และวาระการดำรงตำแหน่ง รวมทั้งการประเมินผลการทำงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยวิธีการ เข้าสู่ตำแหน่งของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ควรมาจากการเลือกของประชาชน ส่วนวาระการดำรงตำแหน่งควรมีความ ต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ให้ดำรงตำแหน่งคราวละ 10 ปี และให้มีการประเมินผลการทำงานทุก ๆ 5 ปี หาก ผ่านเกณฑ์ประเมิน ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกไม่เกิน 5 ปี รวมระยะเวลาอยู่ในตำแหน่งคราวละไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันเข้าสู่ตำแหน่ง หากไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน ให้พ้นจากตำแหน่งและสามารถสมัครเข้ารับเลือกใหม่ได้ โดย ผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการ ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้พิจารณาด้วยว่า การปรับ ลดจำนวนแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ภายในระยะเวลา 5 ปี ตามหนังสือกระทรวง มหาดไทย ด่วนมาก ที่ มท 0310.2/1275 ลงวันที่ 30 มกราคม 2547 หากจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระ ราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ก็ให้ดำเนินการไปได้ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่ายความสงบเรียบร้อยและแรงงาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวัน มูหะมัดนอร์ มะทา) เป็นประธานกรรมการพิจารณา โดยเชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เข้า ร่วมพิจารณาด้วย และให้ปรับเพิ่มอัตราเงินค่าตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สาร วัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ โดยให้ปรับเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2547 เป็นต้นไป ดังนี้ กำนัน 4,000 บาทต่อเดือน ผู้ใหญ่บ้าน 3,000 บาทต่อเดือน แพทย์ประจำ ตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2,000 บาทต่อเดือน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการ พัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ทั้งนี้ ให้ปรับลดจำนวนแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ภายในระยะเวลา 5 ปี (1 มีนาคม 2547-30 กันยายน 2552) อย่างเข้มงวดและจริงจัง โดยจะต้องไม่กำหนด ตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นมาทดแทนการลดจำนวน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถลดงบประมาณในด้านนี้ได้อย่างแท้ จริง นอกจากนี้ โดยที่มีการร้องเรียนอยู่เสมอว่า ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ได้รับค่า ตอบแทนในอัตราที่ไม่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นดังกล่าว จึงมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาแนวทางการเพิ่มค่าตอบแทนในลักษณะอื่นแทนการ ปรับเพิ่มค่าตอบแทนเป็นรายเดือน อาทิเช่น เงินรางวัล (bonus) จากการบริหารจัดการขององค์กรอย่างมี ประสิทธิภาพ และแนวทางการเสนอขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับความดีความชอบที่ได้ ปฏิบัติงานเป็นประโยชน์แก่ราชการว่าจะมีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด โดยให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประกอบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3960 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ไตรมาสที่ 2 | กค | 04/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รายงาน
ผลการดำเนินงานโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ไตรมาสที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยผลการดำเนินงานตั้งแต่งวดวันที่ 1 สิงหาคม 2546 มียอดจำหน่ายเฉลี่ยประมาณ 1,405 ล้านบาทต่องวด ยอดเงินรางวัลเฉลี่ย 52% ยอดค่าใช้จ่าย 20% ยอดรายได้สุทธิ 25% และการนำเงินราย ได้กลับคืนสู่สังคม เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 736,190,000 บาท สำหรับผลการดำเนินงานเครื่องจำหน่ายอิเลค ทรอนิกส์ (Online) สำนักงาน ฯ ได้ดำเนินการประกวดราคาจัดจ้างบริการระบบจำหน่ายสลากพิเศษ ฯ แต่ ได้ยกเลิกการประกวดราคา เนื่องจากเอกสารการประกวดราคาจ้างมีประเด็นปัญหาที่ไม่ชัดเจน ขณะนี้อยู่ ระหว่างขั้นตอนการประกวดราคาใหม่ ส่วนปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงาน ได้แก่ ระบบการจำหน่ายมี ความยุ่งยากต่อผู้แทนจำหน่ายและประชาชน มีผลทำให้ยอดจำหน่ายลดลง และระบบไม่มีการจำกัดวงเงิน การซื้อตัวเลขทำให้มีความเสี่ยงในด้านการจ่ายเงินรางวัลที่มีมูลค่าสูงเกินกว่าเงินประกันและกองทุนเงินราง วัล ในการนี้ สำนักงาน ฯ ได้กำหนดแนวทางการปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนการจำหน่ายสลากพิเศษ ฯ โดยในงวดวันที่ 16 เมษายน 2547 เป็นต้นไป คาดว่าจะมีผลทำให้ประชาชนให้ความสนใจมากขึ้น และจะมี ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 และเนื่องจากระบบจำหน่ายสลากพิเศษ ฯ ที่เป็นสลากใบอาจมีผู้ดัดแปลงการ ดำเนินงานผ่านช่องทางอื่น ซึ่งจะทำให้รัฐไม่สามารถกำกับดูแลควบคุม และให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งช่องทางดังกล่าวยังสามารถแอบแฝงจำหน่ายสลากนอกระบบได้ และปัญหาเรื่องความ เสี่ยงในด้านการจ่ายเงินรางวัลเกินกว่ากองทุนที่มีอยู่ จึงเห็นสมควรเร่งดำเนินการโครงการจำหน่ายสลาก อิเลคทรอนิกส์ (Online) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
