ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 200 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3981 - 4000 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3981 | กระทู้ถามที่ 460 เรื่อง ปัญหาการบริหารงบประมาณในกระทรวงสาธารณสุข | สผ | 30/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 460 เรื่อง ปัญหาการ
บริหารงบประมาณในกระทรวงสาธารณสุข ของนายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัย ภูมิ และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยสาระสำคัญ ของคำตอบสรุปได้ว่า จากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค นั้น ปัจจัย ในการดำเนินงานให้เกิดผลต่อประชาชนให้มีสุขภาพดีถ้วนหน้ามีหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านงบประมาณซึ่งมี หลายประเด็นจำเป็นต้องดำเนินการปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการตามโครงการ ฯ สำหรับ การจัดสรรงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว ขณะนี้ยังรวมงบประมาณในเรื่องของเงินเดือนอยู่ แต่ได้มีการศึกษาข้อ มูลเพื่อปรับสัดส่วนของงบประมาณเงินเดือนให้ลดลงตามภาระงานตามโครงการ และจะดำเนินการประสานกับ สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อ จัดจ้าง ก่อสร้าง อาคาร อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้มีการจัดสรรงบประมาณด้านครุภัณฑ์และสิ่ง ก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ได้จัดสรรเป็นงบลงทุนเพื่อการทดแทนและได้มีการรวบรวมข้อมูลด้านครุ ภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขจากหน่วยบริการเพื่อของบประมาณในการลงทุนเพื่อการ พัฒนาในปี พ.ศ. 2548 จากสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 3982 | การปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุเพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมีและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี | กษ | 30/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเรื่อง การปรับปรุงดินด้วยอินทรีย
วัตถุเพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมีและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี โดยการนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาใช้เพื่อทด แทนอินทรียวัตถุในดินและธาตุอาหารบางส่วนที่สูญเสียไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับกรมพัฒนาที่ดิน ได้ดำเนินการผลิตสารเร่งประเภทจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อการเกษตร ได้แก่ สารเร่ง พด.1 สำหรับทำปุ๋ย หมัก สารเร่ง พด.2 สำหรับทำปุ๋ยอินทรีย์น้ำ สารเร่ง พด.3 สำหรับผลิตเชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืช สารเร่ง พด.5 สำหรับผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำเพื่อกำจัดวัชพืช สารเร่ง พด.6 สำหรับผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากเศษอาหาร เหลือทิ้งและบำบัดน้ำเสีย และสารเร่ง พด.7 สำหรับผลิตสารป้องกันแมลงศัตรูพืชจากสมุนไพร ดังนั้น กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ จึงได้ดำเนินการเน้นส่งเสริมปุ๋ยอินทรีย์ และอินทรียวัตถุให้เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ ปลูกพืชและการใช้ธาตุอาหารพืชในดิน โดยวิธีต่าง ๆ เช่น ส่งเสริมการปลูกพืชฤดูแล้งที่เป็นพืชตระกูลถั่วหรือพืช ไร่ชนิดอื่นสลับหมุนเวียนกับการทำนา เพื่อไถกลบซากพืชเหล่านั้นหลังการเก็บเกี่ยวให้กลับคืนสู่ดิน แนะนำ ส่ง เสริมการไถกลบตอซังข้าวหลังเก็บเกี่ยวแทนการเผาตอซัง รวมทั้งส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้นเพื่อนำมูลสัตว์ มาเป็นปุ๋ยบำรุงดินให้กับสภาพการปลูกพืชที่เหมาะสม เช่น พืชผัก ผลไม้ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ และส่งเสริม แนะนำการใช้สารเร่งที่กรมพัฒนาที่ดินผลิตขึ้นโดยใช้เกษตรกรที่อาสาสมัครเรียกว่าหมอดิน และการบูรณาการ ทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในท้องที่ภาคสนาม ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการ รณรงค์ ส่งเสริม และแนะนำให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และสามารถนำไปใช้ ประโยชน์อย่างจริงจังเพื่อการพัฒนาคุณภาพดินและลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี และให้กระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีให้ความสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างเต็มที่ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3983 | รายงานผลการเจรจาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 โครงการ | กค | 30/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอการให้ความช่วยเหลือ
ทางการเงินแก่ สปป.ลาว ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างร่องระบายน้ำและ ปรับปรุงถนน T2 ในนครหลวงเวียงจันทน์ โครงการปรับปรุงสนามบินระหว่างประเทศวัดไต และโครงการปรับ ปรุงสนามบินปากเซ วงเงินรวม 800 ล้านบาท โดยให้ใช้ร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือในโครงการห้วยโก๋น /เมืองเงิน-ปากแบ่ง เป็นแบบอย่างในการจัดทำสัญญาการให้ความช่วยเหลือทั้งสามโครงการ และให้กระทรวง การคลังรับการจัดสรรงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ของประเทศ ปี 2547 จำนวน 240 ล้านบาท และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังมอบอำนาจ เป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินดังกล่าว และให้ ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อ ให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการปรับปรุงโครง สร้างพื้นฐานทั้ง 3 โครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินโครงการปรับปรุงสนาม บินระหว่างประเทศวัดไตก่อนเป็นลำดับแรก และให้กระทรวงการคลังสามารถปรับปรุงร่างสัญญาการให้ความ ช่วยเหลือในโครงการดังกล่าวในส่วนที่มิได้เป็นสาระสำคัญโดยประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ สปป. ลาว มีความคล่องตัวในการคัดเลือกผู้ประกอบการไทยได้เอง แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
| 3984 | ร่างพระราชกฤษฎีกาข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ..ศ. .... | นร | 30/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกฎหมาย)ที่มีมติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำประเด็นปัญหาข้อขัดแย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ในเรื่องการบังคับใช้กับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเร็ว รวมทั้งอนุมัติหลักการตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราช บัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..)พ.ศ. ... ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายก รัฐมนตรี สำนักนายกไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นการล่วงหน้าโดยให้รอผลการพิจารณาของศาล รัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 พร้อมความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณา ด้วย โดยในส่วนของประเด็นอภิปราย คกก.7 เห็นว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ของทางราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานกรรมการควรเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและจำนวนของคณะกรรมการควรมีความเหมาะสมกะทัดรัดมีผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องข้อมูลข่าวสารทางราชการในหลายด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกฎหมายและเทคโนโลยี นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ควรมีการปรับปรุงรูปแบบให้เหมาะสมและสอด คล้องกับภารกิจที่มี โดยกำหนดให้สำนักงาน ฯ เป็นหน่วยงานที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินการเพื่อให้เป็นที่ ยอมรับจากทุกฝ่าย แต่ปัจจุบันปริมาณงานในหน้าที่ยังมีไม่มากที่จะจัดตั้งเป็นหน่วยงานระดับกรม ประกอบกับ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงระบบราชการใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มว่า กรมจะไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ดังนั้น รูปแบบใหม่ของสำนักงาน ฯ อาจจะไม่มีฐานะเป็นกรม ในทำนองเดียวกับสำนักงาน ก.พ.ร. ก็เป็นอีกแนวทาง หนึ่ง อย่างไรก็ดีควรรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน หากวินิจฉัยว่าหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ต้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ก็จะเป็นการเพิ่มอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีความสำคัญ ซึ่งจะ เป็นเหตุผลให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สมควรเป็นส่วนราชการระดับกรมได้ แล้วส่ง ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดย ในการส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้แจ้งด้วยว่า เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จำเป็นต่อการบริหารราชการแผ่น ดิน ตามมาตรา 173 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และอนุมัติหลักการตามที่สำนักงานปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรีเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อ ร่างพระราชบัญญัติข้างต้นประกาศใช้บังคับแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
| 3985 | กระทู้ถามที่ 1299 ร. เรื่อง การปรับปรุงถนนลาดยางจังหวัดเลย | สผ | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1299 ร. เรื่อง การ
ปรับปรุงถนนลาดยางจังหวัดเลย ของนายสุวิชญ์ โยทองยศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลย และให้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ถนนสายทางแยกห้วยเดื่อ ตำบล น้ำทูน ถึง บ้านน้ำมี ตำบลน้ำทูน อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย เป็นถนนที่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้าดำเนินการก่อ สร้างมาก่อน ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลน้ำทูน ดังนั้น กระทรวงคมนาคม จึงไม่มีนโยบายในการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงถนนสายดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
| 3986 | กระทู้ถามที่ 455 เรื่อง การก่อสร้างถนนลาดยางในความดูแลของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง | สผ | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 455 เรื่อง การ
ก่อสร้างถนนลาดยางในความดูแลของกรมทางหลวงและทางหลวงชนบทในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง ของนาย สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรัง และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กรมทางหลวงมีโครงการลาดยางทางหลวงจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ แยกทางหลวงหมายเลข 403 (บ้าน ห้วยนาง)-บรรจบทางหลวงหมายเลข 4236 (บ้านซา) ระยะทาง 2.600 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 10 ล้าน บาท แยกทางหลวงหมายเลข 4225 (บ้านหนองชุมแสง)-บรรจบทางหลวงหมายเลข 4 (บ้านควนกุน) ระยะทาง 2.000 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 7 ล้านบาท และแยกทางหลวงหมายเลข 403 (ห้วยนาง)-บรร จบทางหลวงหมายเลข 4151 (หนองบัว) ระยะทาง 1.750 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 7 ล้านบาท รวมทั้งยัง มีโครงการปรับปรุงทางหลวงผ่านย่านชุมชนบ้านควนโคกหล่อ บนทางหลวงหมายเลข 4045 ตอนต่อเขต เทศบาลนครตรัง (บางรัก)-บรรจบทางหลวงหมายเลข 4 (บ้านควนขัน) ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร และโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ โครงการทางเลี่ยงเมืองตรังด้านใต้ ระยะทาง 7.7 กิโลเมตร โครงการทางเลี่ยงเมืองตรังด้านตะวันออก ระยะทาง 16.8 กิโลเมตร โดยระยะเวลาดำเนินการของโครง การก่อสร้างลาดยาง ถ้าเป็นโครงการขนาดเล็กช่วงสั้น ๆ จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ นั้น ๆ ส่วนโครงการใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี นอกจากนี้ กรมทางหลวงชนบทได้ตรวจสอบถนนที่ อยู่ในความรับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดตรัง ปรากฏว่า ขณะนี้ได้ขึ้นบัญชีโครงข่ายทางหลวงชนบทของจังหวัด ไว้จำนวน 28 สายทาง รวมระยะทาง 395.041 กิโลเมตร ก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว 338.005 กิโล เมตร เป็นถนนลูกรัง 57.036 กิโลเมตร และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ได้รับงบประมาณเพื่อดำเนิน การก่อสร้างเป็นถนนลาดยาง จำนวน 2 สายทาง ได้แก่ แยกทางหลวงหมายเลข 4046 (กม.ที่ 37.120) -บ้านโคกพลา และแยกทางหลวงหมายเลข 4269 (กม.ที่ 4.475)-บ้านวังน้ำเย็น รวมระยะทาง 8.000 กิโลเมตร คงเหลือที่เป็นถนนลูกรังเพียง 49.036 กิโลเมตร ซึ่งพิจารณาขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จากรัฐบาลเพื่อมาดำเนินการก่อสร้างเป็นถนนลาดยางในปีต่อ ๆ ไป ตามกรอบงบประมาณที่ได้รับ แต่ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ตามบัญชีโครงข่ายทางหลวงชนบทของจังหวัดตรัง คงเหลือระยะทางที่ยังไม่ได้ดำเนิน การก่อสร้างเป็นถนนลาดยางเพียง 49.036 กิโลเมตร เป็นเงินราว 142 ล้านบาท ซึ่งกรมทางหลวง ชนบทจะได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อมาดำเนินการก่อสร้างเป็นถนนลาดยางในส่วนที่เหลือต่อไป ตามกรอบงบประมาณที่จะได้รับจากรัฐบาล |
||||||||||||||||||||||||
| 3987 | การปรับปรุงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบริเวณที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย | นร | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม
ของพื้นที่ในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รฟท. ควรพิจารณาปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และจัด ระเบียบการใช้พื้นที่และสิ่งก่อสร้างบริเวณสถานีรถไฟต่าง ๆ ตลอดจนพื้นที่ที่เป็นบ้านพักอาศัยของพนักงาน รฟท. ที่อยู่ในแหล่งชุมชนต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและชานเมืองให้เรียบร้อยสวยงามตามความเหมาะสม เช่น บริเวณบ้านพักรถไฟ บริเวณนิคมรถไฟมักกะสัน และบริเวณราชตฤณามัยสมาคม เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
| 3988 | การเปิดเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างไทย-ลาว | คค | 16/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้บริษัท ขนส่ง จำกัด และรัฐวิสาหกิจรถเมล์
นครหลวงเวียงจันทน์ลงนามในสัญญาเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างไทย-ลาว ร่วมกัน ในระหว่างการประชุม คณะรัฐมนตรีไทย-ลาว อย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ 20-22 มีนาคม 2547 โดยมีนายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นสักขีพยาน ทั้งนี้ ก่อนการลงนามให้กระทรวงคมนาคม (บริษัท ขนส่ง จำกัด) รับไปประสานกับสำนัก งานอัยการสูงสุดเพื่อปรับปรุงสัญญาเดินรถโดยสารประจำทาง ฯ โดยให้นำความในข้อ 5. จำนวนรถโดยสารที่ จะใช้ประกอบการขนส่งไปจัดทำเป็นบันทึกแนบท้ายสัญญา ฯ แทน เพื่อให้เกิดความสะดวกและมีความยืดหยุ่น ในการดำเนินการปรับปรุงจำนวนรถโดยสารที่อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3989 | การปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณทางหลวง | นร | 16/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาจัดระเบียบการปลูกต้นไม้ตามแนวเส้นทางจราจรสายต่าง ๆ ปัจจุบัน ทางหลวงต่าง ๆ หลายแห่ง โดยเฉพาะบริเวณใกล้ชุมชนยังขาดความสวยงามและความเป็นระเบียบ จึงขอให้ กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำหนดมาตรการในการดูแล โดยอาจเริ่มจากเส้น ทางหลักๆ เป็นการนำร่องซึ่งอาจขอความร่วมมือจากกระทรวงกลาโหมในการใช้ฝีมือและแรงงานของทหาร ในการปรับปรุง แล้วมอบให้ท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่รับไปดูแลรักษาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 3990 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม) และยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ด้านความมั่นคง) (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่'ชาติ) (วาระสำคัญของรัฐบาล) | นร | 16/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เสนอยุทธ
ศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และด้านความมั่นคง) โดยอนุมัติ กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการ/แผนงาน ภายใต้ยุทธศาสตร์ ฯ ดังนี้ ด้านพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม วงเงินสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 6,000 ล้านบาท และปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 3,000 ล้านบาท ด้านความมั่นคง วงเงินสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 2,000 ล้านบาท และปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 1,000 ล้านบาท และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีรองนายก รัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี (นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา) รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็น กรรมการเพื่อพิจารณากลั่นกรอง และจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการตาม ยุทธศาสตร์ดังกล่าวที่เหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อน และสมควรจะดำเนินการภายในกรอบวงเงินที่จัดสรร แล้วเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน ทั้งนี้ ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ ฯ ให้คณะกรรมการคำนึง ถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนของแผนงาน/โครงการ ในการแก้ไขปัญหา หรือการปรับปรุงพัฒนาที่ สามารถตอบสนอง และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และเห็นผลเป็นรูป ธรรม แต่หากคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า มีแผนงาน/โครงการใดจำเป็นต้องดำเนินการเพิ่มเติมนอกเหนือ จากกรอบวงเงินดังกล่าว ก็ให้เสนอมาเพื่อพิจารณาด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า แผน งาน/โครงการที่เกี่ยวกับการขอเพิ่มอัตรากำลังหรือการจ้างบุคลากรเพิ่มเติม ซึ่งจะมีผลผูกพันและเป็นภาระงบ ประมาณในระยะยาว เช่น โครงการของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ให้ถือเป็นหลักปฏิบัติ โดยกรณีส่วนราช การได้รับอนุมัติอัตรากำลังและงบประมาณไว้แล้ว ให้ดำเนินการต่อไปได้ หากส่วนราชการได้รับอนุมัติอัตรา กำลังไว้แล้วแต่ยังมิได้รับอนุมัติงบประมาณสำหรับเป็นเงินเดือน/ค่าจ้าง ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในครั้ง นี้ สำหรับกรณีการขออนุมัติอัตรากำลังนอกเหนือจากที่กล่าว ให้ส่วนราชการรอผลการพิจารณาการเกลี่ย อัตรากำลังของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ซึ่งพิจารณาเกลี่ยอัตรา กำลังจากการเกษียณอายุราชการและจากผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการเปลี่ยนแปลง พัฒนาและบริหาร กำลังคน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงคืนให้กับส่วนราชการที่จำเป็นจะต้องมีบุคลากรปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ส่วนราชการนั้น ๆ เสนอขออนุมัติเพิ่มเติมในภายหลัง และ อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการของกระทรวงสาธารณสุข ในส่วนของการจัดหารถพยาบาลสำหรับการ ส่งต่อผู้ป่วย เนื่องจากเป็นเรื่องจำเป็นและเกี่ยวข้องกับการรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3991 | การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และการขนส่งทางบก | นร | 16/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการประชุมร่วมกับผู้ประกอบการอุตสาห
กรรมรถยนต์ได้รับข้อเสนอแนะว่า กฎหมายต่าง ๆ ที่ว่าด้วยรถยนต์และการขนส่งทางบกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีบท บัญญัติที่ขาดความเชื่อมโยงระหว่างกัน และขาดความยืดหยุ่นในทางปฏิบัติ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการประดิษฐ์ คิดค้น ปรับปรุง พัฒนา รวมทั้งริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ของนักประดิษฐ์ไทย จึงขอให้กระทรวง คมนาคมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อ ปรับปรุงข้อกฎหมายในกรอบอำนาจหน้าที่ให้เหมาะสมสอดคล้อง และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน ของรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3992 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีไทย-พม่า-อินเดีย เรื่องการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม ครั้งที่ 2 | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการ
นายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรับทราบรายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-พม่า-อินเดีย เรื่อง การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม ครั้งที่ 2 ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 โดยที่ประชุมได้พิจารณา เรื่องต่าง ๆ ดังนี้ 1. แนวเส้นทางถนนไทย-พม่า-อินเดีย ซึ่งไทยและอินเดียเห็นด้วยกับข้อเสนอแนวเส้นทาง จากการสำรวจของคณะทำงานด้านเทคนิคไทย-พม่า-อินเดีย แต่ฝ่ายพม่ายังประสงค์จะให้ใช้เส้นทางที่ทางการ พม่าได้เคยเสนอ โดยเฉพาะในช่วงกลางระหว่าง Oktwin-Bagan ซึ่งเป็นแนวเส้นทางที่ต้องก่อสร้างขึ้นใหม่แทน การปรับปรุงเส้นทางเดิม ด้วยเหตุผลทางด้านการเมืองภายในของพม่า 2. การระดมทุนสำหรับการก่อสร้าง ถนนสายไทย-พม่า-อินเดีย ฝ่ายไทยจะให้ความช่วยเหลือแนวเส้นทางช่วงล่างเชื่อมโยง Myawaddy-Kawkareik -Hpa-an-Thaton ระยะทางรวมประมาณ 198 กิโลเมตร โดยจะให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในการสร้าง 18 กิโลเมตรแรกและให้เงินกู้ผ่อนปรนสำหรับการปรับปรุงเส้นทางในช่วงที่เหลือระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร ฝ่ายอินเดียจะให้ความช่วยเหลือแบบเงินกู้สำหรับการก่อสร้างและปรับปรุงเส้นทางช่วงบนเชื่อมโยง Chaungma -Yinmabin-Pale-Kyadet-Lingadaw-Pakoku ระยะทางรวมประมาณ 128 กิโลเมตร และรับที่จะพิจารณาให้ ความช่วยเหลือแบบเงินกู้ผ่อนปรนเส้นทางในช่วง Bagan-Meiktila อีกเป็นระยะทางประมาณ 132 กิโลเมตร ส่วนฝ่ายพม่ารับไปพิจารณาการก่อสร้างถนนช่วงกลางเชื่อมโยง Pakoku-Bagan ระยะทางประมาณ 41 กิโล เมตร รวมถึงซ่อมแซมและปรับปรุงสะพานที่ชำรุดและเสื่อมโทรมด้วย 3. โครงการท่าเรือน้ำลึกทวายและเส้น ทางเชื่อมโยงสายกาญจนบุรี-ทวาย ที่ประชุมยืนยันเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมความร่วมมือในโครงการท่าเรือน้ำ ลึกทวายและเส้นทางเชื่อมโยงสายกาญจนบุรี-ทวาย ตามที่เคยหารือในการประชุมครั้งที่ 1 โดยมอบให้เจ้า หน้าที่อาวุโสพิจารณาเรื่องนี้ในการประชุมครั้งต่อไป 4. กลไกการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงาน ที่ ประชุมมีมติให้คงคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อดำเนินโครงการ ซึ่งรวมถึงการจัดทำ Detailed Project Reports (DPRs) และข้อเสนอเกี่ยวกับการรักษาบำรุงเส้นทาง ทั้งนี้ ไทยและอินเดียเสนอให้ความช่วยเหลือด้านการฝึก อบรมบุคลากรเกี่ยวกับการบำรุงรักษาถนนแก่พม่าด้วย สำหรับการประชุมในครั้งต่อไป ที่ประชุมมีมติให้จัด ประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศครั้งที่ 3 ที่เมืองมัณฑะเลย์ พม่า ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2547 เพื่อเร่งรัด และติดตามการดำเนินการโครงการถนนไทย-พม่า-อินเดีย และจากผลการประชุมดังกล่าว เพื่อให้โครงการ ถนนสายไทย-พม่า-อินเดีย บังเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (กรม ทางหลวง) พิจารณาดำเนินการในส่วนของกระบวนการศึกษาก่อสร้างและปรับปรุงเส้นทาง และมอบหมาย ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) พิจารณาดำเนินการในส่วนของกระบวนการเพื่อให้เงินกู้ กับฝ่ายพม่าต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 3993 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ครั้ง ที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 เรื่องการปรับบทบาทและภารกิจของ กนภ. และเกณฑ์พื้นฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย โดยในส่วนของการปรับบทบาทและภารกิจของคณะกรรมการ กนภ. ที่ ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับบทบาท และภารกิจของคณะกรรมการ กนภ. โดยเน้นการกำหนดนโยบายหรือ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนระยะยาว และให้คณะกรรมการ กนภ. มีบทบาทและภารกิจในการ กำหนดนโยบายขั้นพื้นฐานในการแก้ปัญหาความยากจน กำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา ความยากจนในระยะยาว และการสร้างองค์ความรู้และการติดตามประเมินผล กับเห็นชอบการปรับปรุงกลไก การบริหารจัดการของ กนภ. โดยให้ยุบองค์กรหรือกลไกปฏิบัติในระดับพื้นที่และคงไว้ของกลไกการบริหารจัด การในส่วนกลาง คือ คณะอนุกรรมการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค (กจภ.) คณะอนุกรรมการประสาน การวางแผนพัฒนาจังหวัด (อผจ.) และคณะอนุกรรมการบูรณาการแผนชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของชุมชนและ เอาชนะความยากจน พร้อมทั้งให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ ดำเนินการปรับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้สอดคล้อง กับบทบาทใหม่และการปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการของคณะกรรมการ กนภ. ต่อไป สำหรับเกณฑ์พื้น ฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขอบเขต/นิยาม และตัวชี้วัดของเกณฑ์พื้น ฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย ประกอบด้วย หลักคิด 1 ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ได้แก่ เกณฑ์พื้นฐาน 3 เกณฑ์ คือ (1) ทุกคนได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียน รู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ และวิชาชีพที่จำเป็นในการดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุข ภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอในการยังชีพ ได้รับหลักประกันความมั่น คงในการดำรงชีวิต หลักคิด 2 ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ประกอบด้วย เกณฑ์พื้นฐาน 5 เกณฑ์ คือ (4) ทุกคนได้รับอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5) ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง (6) ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่มอย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัว เรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และหลักคิด 3 ความมั่น คงในชีวิต ประกอบด้วย เกณฑ์พื้นฐาน 2 เกณฑ์ คือ (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและแหล่งทุนในการ ประกอบอาชีพ (10) ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและปลอดจากยาเสพติด ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีทุก ท่านนำเอาหลักเกณฑ์พื้นฐาน 10 ประการ ดังกล่าว ไปเป็นกรอบและแนวทางในการพิจารณาดำเนินการ ตามภารกิจที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 3994 | ร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการคณะพยาบาลศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงชื่อภาควิชาในคณะเภสัชศาสตร์) | ศธ | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มีมติ
อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการฉบับนี้เป็นการกำหนดให้ยุบรวม 7 ภาควิชาในคณะพยาบาลศาสตร์ ได้แก่ (1) สำนักงานคณบดี (2) ภาควิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม (3) ภาค วิชาพิษวิทยา (4) ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก (5) ภาควิชาเภสัชศาสตร์สังคมและการบริหาร (6) ภาควิชา เภสัชเคมี และ (7) ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์และเภสัชวินิจฉัย โดยยุบรวมเป็น "สายวิชาพยาบาลศาสตร์" และเปลี่ยนชื่อภาควิชาในคณะเภสัชศาสตร์จาก "เภสัชกรรมชุมชน" เป็น "เภสัชศาสตร์สังคมและการบริหาร"
|
||||||||||||||||||||||||
| 3995 | การปรับปรุงโครงสร้างระบบการวิจัยของประเทศ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และเรื่องแผนงบประมาณการวิจัยเชิงบูรณาการของประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | วช | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) เสนอ
เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างระบบการวิจัยของประเทศ เรื่อง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธ ศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และเรื่อง แผนงบประมาณการวิจัยเชิงบูรณาการของประเทศ ปี งบประมาณ พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ เพื่อให้งานด้านการวิจัยของประเทศมีความเป็นเอกภาพ และเป็นระบบ การกำหนดยุทธศาสตร์ และทิศทางของการดำเนินการวิจัยต้องสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้อง การของประเทศ โดยหน่วยงานที่จะปฏิบัติการวิจัย (research agencies) ควรแยกออกจากหน่วยงาน ที่จะทำหน้าที่สนับสนุนการวิจัย (funding agencies) และการนำผลการวิจัยไปเผยแพร่และใช้ให้เกิด ประโยชน์ จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับเรื่องดังกล่าว ไปพิจารณาทบทวนในเชิง บูรณาการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราช การ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงาน อื่นที่เกี่ยวข้องจนแล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของส่วน ราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ ฯ ตามร่างที่เสนอ นั้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาจัดสรรงบ ประมาณการวิจัยของประเทศ ควรปรับปรุงถ้อยคำให้เหมาะสม ชัดเจน และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงด้วย เนื่องจากงบประมาณด้านการวิจัยในทางปฏิบัติหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันอุดมศึกษา ของรัฐมีงบประมาณด้านการวิจัย ซึ่งใช้เงินรายได้ของตนเอง หรือเงินที่ได้รับความสนับสนุนจากหน่วย งานภายนอกด้วย รวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมการวิจัยควรให้ความสำคัญทั้งในด้านการวิจัยประยุกต์ ที่สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้ และการวิจัยพื้นฐาน ซึ่งก่อให้เกิดองค์ความรู้ใน ด้านต่าง ๆ ทางสังคม นอกจากนี้ ควรให้ความสนใจกับการส่งเสริมให้เกิดความต้องการ (demand) ใน งานวิจัย และนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ โดยอาจมีมาตรการจูงใจต่าง ๆ เช่น มาตรการทางด้านภาษีอากร เป็นต้น และโดยที่ประเทศไทยได้มีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อเผย แพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยของนักวิชาการในเรื่องต่าง ๆ อยู่โดยตลอด และมีผลงานวิจัยที่ตี พิมพ์อยู่ในเอกสารการสัมมนา (proceedings) เป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน บริหารและพัฒนาองค์ความรู้ เป็นต้น ควรจะได้รวบรวมผลงานวิจัยดังกล่าวให้เป็นหมวดหมู่และสรุปย่อ แล้วเผยแพร่ทางเว็บไซต์ต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3996 | การปรับปรุงโครงสร้างระบบการวิจัยของประเทศ เรื่อง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธศาสตร์วิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และเรื่อง แผนงบประมาณการวิจัยเชิงบูรณาการของประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | วช | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) เสนอเรื่อง
การปรับปรุงโครงสร้างระบบการวิจัยของประเทศ เรื่อง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธศาสตร์วิจัย แห่งชาติ พ.ศ. 2547 และเรื่อง แผนงบประมาณการวิจัยเชิงบูรณาการของประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ เพื่อให้งานด้านการวิจัยของประเทศมีความเป็นเอกภาพ และเป็นระบบการกำหนดยุทธศาสตร์และทิศ ทางของการดำเนินการวิจัยต้องสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ โดยหน่วยงานที่จะ ปฏิบัติการวิจัย (research agencies) ควรจะแยกออกจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่สนับสนุนการวิจัย (funding agencies) และการนำผลการวิจัยไปเผยแพร่และใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนในเชิงบูรณาการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครือ งาม) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจนแล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ ฯ ตามร่างที่เสนอนั้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การพิจารณาจัดสรรงบประมาณการวิจัยของประเทศ ควรปรับปรุงถ้อยคำให้เหมาะสม ชัดเจนและสอดคล้อง กับข้อเท็จจริงด้วย เนื่องจากงบประมาณด้านการวิจัย ในทางปฏิบัติหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอุดมศึกษาของรัฐมีงบประมาณด้านการวิจัยซึ่งใช้เงินรายได้ของตนเองหรือเงินที่ได้รับความสนับสนุน จากหน่วยงานภายนอกด้วย รวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมการวิจัย ควรให้ความสำคัญทั้งในด้านการวิจัย ประยุกต์ ที่สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้ และการวิจัยพื้นฐาน ซึ่งก่อให้เกิดองค์ความรู้ ในด้านต่าง ๆ ทางสังคม นอกจาก นี้ ควรให้ความสนใจกับการส่งเสริมให้เกิดความต้องการ (demand) ใน งานวิจัย และนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ โดยอาจมีมาตรการจูงใจต่าง เช่น มาตรการทางด้านภาษีอากร เป็นต้น และโดยที่ประเทศไทยได้มีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อเผยแพร่ผล งานทางวิชาการและผลงานวิจัยของนักวิชาการในเรื่องต่าง ๆ อยู่โดยตลอด และมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์อยู่ใน เอกสารสัมมนา (proceedings) เป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ ความรู้ เป็นต้น ควรจะได้รับรวบรวมผลงานวิจัยดังกล่าวให้เป็นหมวดหมู่และสรุปย่อแล้วเผยแพร่ทางเว็บไซต์ ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3997 | แผนงบประมาณการวิจัยเชิงบูรณาการของประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | วช | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) เสนอเรื่อง
การปรับปรุงโครงสร้างระบบการวิจัยของประเทศ เรื่อง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธศาสตร์วิจัย แห่งชาติ พ.ศ. 2547 และเรื่อง แผนงบประมาณการวิจัยเชิงบูรณาการของประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ เพื่อให้งานด้านการวิจัยของประเทศมีความเป็นเอกภาพ และเป็นระบบการกำหนดยุทธศาสตร์และทิศ ทางของการดำเนินการวิจัยต้องสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ โดยหน่วยงานที่จะ ปฏิบัติการวิจัย (research agencies) ควรจะแยกออกจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่สนับสนุนการวิจัย (funding agencies) และการนำผลการวิจัยไปเผยแพร่และใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนในเชิงบูรณาการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครือ งาม) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจนแล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ ฯ ตามร่างที่เสนอนั้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การพิจารณาจัดสรรงบประมาณการวิจัยของประเทศ ควรปรับปรุงถ้อยคำให้เหมาะสม ชัดเจนและสอดคล้อง กับข้อเท็จจริงด้วย เนื่องจากงบประมาณด้านการวิจัย ในทางปฏิบัติหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอุดมศึกษาของรัฐมีงบประมาณด้านการวิจัยซึ่งใช้เงินรายได้ของตนเองหรือเงินที่ได้รับความสนับสนุน จากหน่วยงานภายนอกด้วย รวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมการวิจัย ควรให้ความสำคัญทั้งในด้านการวิจัย ประยุกต์ ที่สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้ และการวิจัยพื้นฐาน ซึ่งก่อให้เกิดองค์ความรู้ ในด้านต่าง ๆ ทางสังคม นอกจาก นี้ ควรให้ความสนใจกับการส่งเสริมให้เกิดความต้องการ (demand) ใน งานวิจัย และนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ โดยอาจมีมาตรการจูงใจต่าง เช่น มาตรการทางด้านภาษีอากร เป็นต้น และโดยที่ประเทศไทยได้มีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อเผยแพร่ผล งานทางวิชาการและผลงานวิจัยของนักวิชาการในเรื่องต่าง ๆ อยู่โดยตลอด และมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์อยู่ใน เอกสารสัมมนา (proceedings) เป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ ความรู้ เป็นต้น ควรจะได้รับรวบรวมผลงานวิจัยดังกล่าวให้เป็นหมวดหมู่และสรุปย่อแล้วเผยแพร่ทางเว็บไซต์ ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3998 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีไทย-พม่า-อินเดีย เรื่องการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม ครั้งที่ 2 | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการ
นายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรับทราบรายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-พม่า-อินเดีย เรื่อง การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม ครั้งที่ 2 ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 โดยที่ประชุมได้พิจารณา เรื่องต่าง ๆ ดังนี้ 1. แนวเส้นทางถนนไทย-พม่า-อินเดีย ซึ่งไทยและอินเดียเห็นด้วยกับข้อเสนอแนวเส้นทาง จากการสำรวจของคณะทำงานด้านเทคนิคไทย-พม่า-อินเดีย แต่ฝ่ายพม่ายังประสงค์จะให้ใช้เส้นทางที่ทางการ พม่าได้เคยเสนอ โดยเฉพาะในช่วงกลางระหว่าง Oktwin-Bagan ซึ่งเป็นแนวเส้นทางที่ต้องก่อสร้างขึ้นใหม่แทน การปรับปรุงเส้นทางเดิม ด้วยเหตุผลทางด้านการเมืองภายในของพม่า 2. การระดมทุนสำหรับการก่อสร้าง ถนนสายไทย-พม่า-อินเดีย ฝ่ายไทยจะให้ความช่วยเหลือแนวเส้นทางช่วงล่างเชื่อมโยง Myawaddy-Kawkareik -Hpa-an-Thaton ระยะทางรวมประมาณ 198 กิโลเมตร โดยจะให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในการสร้าง 18 กิโลเมตรแรกและให้เงินกู้ผ่อนปรนสำหรับการปรับปรุงเส้นทางในช่วงที่เหลือระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร ฝ่ายอินเดียจะให้ความช่วยเหลือแบบเงินกู้สำหรับการก่อสร้างและปรับปรุงเส้นทางช่วงบนเชื่อมโยง Chaungma -Yinmabin-Pale-Kyadet-Lingadaw-Pakoku ระยะทางรวมประมาณ 128 กิโลเมตร และรับที่จะพิจารณาให้ ความช่วยเหลือแบบเงินกู้ผ่อนปรนเส้นทางในช่วง Bagan-Meiktila อีกเป็นระยะทางประมาณ 132 กิโลเมตร ส่วนฝ่ายพม่ารับไปพิจารณาการก่อสร้างถนนช่วงกลางเชื่อมโยง Pakoku-Bagan ระยะทางประมาณ 41 กิโล เมตร รวมถึงซ่อมแซมและปรับปรุงสะพานที่ชำรุดและเสื่อมโทรมด้วย 3. โครงการท่าเรือน้ำลึกทวายและเส้น ทางเชื่อมโยงสายกาญจนบุรี-ทวาย ที่ประชุมยืนยันเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมความร่วมมือในโครงการท่าเรือน้ำ ลึกทวายและเส้นทางเชื่อมโยงสายกาญจนบุรี-ทวาย ตามที่เคยหารือในการประชุมครั้งที่ 1 โดยมอบให้เจ้า หน้าที่อาวุโสพิจารณาเรื่องนี้ในการประชุมครั้งต่อไป 4. กลไกการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงาน ที่ ประชุมมีมติให้คงคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อดำเนินโครงการ ซึ่งรวมถึงการจัดทำ Detailed Project Reports (DPRs) และข้อเสนอเกี่ยวกับการรักษาบำรุงเส้นทาง ทั้งนี้ ไทยและอินเดียเสนอให้ความช่วยเหลือด้านการฝึก อบรมบุคลากรเกี่ยวกับการบำรุงรักษาถนนแก่พม่าด้วย สำหรับการประชุมในครั้งต่อไป ที่ประชุมมีมติให้จัด ประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศครั้งที่ 3 ที่เมืองมัณฑะเลย์ พม่า ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2547 เพื่อเร่งรัด และติดตามการดำเนินการโครงการถนนไทย-พม่า-อินเดีย และจากผลการประชุมดังกล่าว เพื่อให้โครงการ ถนนสายไทย-พม่า-อินเดีย บังเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (กรม ทางหลวง) พิจารณาดำเนินการในส่วนของกระบวนการศึกษาก่อสร้างและปรับปรุงเส้นทาง และมอบหมาย ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) พิจารณาดำเนินการในส่วนของกระบวนการเพื่อให้เงินกู้ กับฝ่ายพม่าต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 3999 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ครั้ง ที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 เรื่องการปรับบทบาทและภารกิจของ กนภ. และเกณฑ์พื้นฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย โดยในส่วนของการปรับบทบาทและภารกิจของคณะกรรมการ กนภ. ที่ ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับบทบาท และภารกิจของคณะกรรมการ กนภ. โดยเน้นการกำหนดนโยบายหรือ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนระยะยาว และให้คณะกรรมการ กนภ. มีบทบาทและภารกิจในการ กำหนดนโยบายขั้นพื้นฐานในการแก้ปัญหาความยากจน กำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา ความยากจนในระยะยาว และการสร้างองค์ความรู้และการติดตามประเมินผล กับเห็นชอบการปรับปรุงกลไก การบริหารจัดการของ กนภ. โดยให้ยุบองค์กรหรือกลไกปฏิบัติในระดับพื้นที่และคงไว้ของกลไกการบริหารจัด การในส่วนกลาง คือ คณะอนุกรรมการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค (กจภ.) คณะอนุกรรมการประสาน การวางแผนพัฒนาจังหวัด (อผจ.) และคณะอนุกรรมการบูรณาการแผนชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของชุมชนและ เอาชนะความยากจน พร้อมทั้งให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ ดำเนินการปรับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้สอดคล้อง กับบทบาทใหม่และการปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการของคณะกรรมการ กนภ. ต่อไป สำหรับเกณฑ์พื้น ฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขอบเขต/นิยาม และตัวชี้วัดของเกณฑ์พื้น ฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย ประกอบด้วย หลักคิด 1 ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ได้แก่ เกณฑ์พื้นฐาน 3 เกณฑ์ คือ (1) ทุกคนได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียน รู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ และวิชาชีพที่จำเป็นในการดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุข ภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอในการยังชีพ ได้รับหลักประกันความมั่น คงในการดำรงชีวิต หลักคิด 2 ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ประกอบด้วย เกณฑ์พื้นฐาน 5 เกณฑ์ คือ (4) ทุกคนได้รับอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5) ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง (6) ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่มอย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัว เรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และหลักคิด 3 ความมั่น คงในชีวิต ประกอบด้วย เกณฑ์พื้นฐาน 2 เกณฑ์ คือ (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและแหล่งทุนในการ ประกอบอาชีพ (10) ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและปลอดจากยาเสพติด ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีทุก ท่านนำเอาหลักเกณฑ์พื้นฐาน 10 ประการ ดังกล่าว ไปเป็นกรอบและแนวทางในการพิจารณาดำเนินการ ตามภารกิจที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 4000 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ถาม | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีที่
เกี่ยวข้องกับกระทู้ถาม โดยรวมเป็นมติคณะรัฐมนตรีเดียว ดังนี้ เมื่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาหรือสำนักงาน เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รับกระทู้ถามจากสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว สำนักงาน เลขาธิการ ฯ จะส่งกระทู้ถามดังกล่าวไปยังกระทรวงเจ้าของเรื่องและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อเตรียม ตอบในราชกิจจานุเบกษาหรือในที่ประชุมสภาแห่งนั้น ๆ แล้วแต่กรณี และแจ้งให้กระทรวงเจ้าของเรื่องทราบ อีกครั้งหนึ่งเพื่อจัดเตรียมคำตอบ โดยแจ้งให้ทราบด้วยว่า หากไม่สามารถตอบได้ภายในกำหนดเวลาตามข้อ บังคับการประชุมวุฒิสภา หรือการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ก็ให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาหรือสำนัก งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทราบด้วย และเมื่อกระทรวงเจ้าของเรื่อง ได้รับกระทู้ถามแล้ว ให้เร่งรัดจัดทำคำตอบและส่งคำตอบกระทู้ถามไปให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อ นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์ นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้ ใช้แบบและคำขึ้นต้นกระทู้ถามแบบเดิมตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เคยจัดทำไว้ และเมื่อสำนักเลขา ธิการนายกรัฐมนตรีได้รับคำตอบเรียบร้อยแล้ว ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายก รัฐมนตรีมอบหมาย เพื่อสั่งการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนตอบในราชกิจจานุเบกษา หรือในที่ประชุมสภา แล้วแต่กรณี และเมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับเรื่องที่นายกรัฐมนตรีหรือที่รองนายกรัฐมนตรีสั่งการ แล้ว จากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีให้นำรายชื่อกระทู้ถามและหน่วยงานผู้ตอบเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ และเมื่อคณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว หากกรณีเป็นกระทู้ถามที่ตอบในราชกิจจานุเบกษา สำนักเลขาธิการคณะ รัฐมนตรีจะนำคำตอบกระทู้ถามประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วแจ้งให้กระทรวงเจ้าของเรื่อง สำนักเลขาธิ การนายกรัฐมนตรี และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาหรือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้วแต่กรณี ทราบต่อไป หากกรณีเป็นกระทู้ถามที่ต้องตอบในที่ประชุมสภา ฯ จะแจ้งไปยังสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา หรือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า รัฐมนตรีพร้อมจะตอบกระทู้ถามนั้น ๆ แล้ว พร้อมกับแจ้งให้ รัฐมนตรีเจ้าของเรื่องเตรียมตอบกระทู้ถาม และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป โดยกระทู้ถามที่ ต้องตอบในที่ประชุมสภา ฯ และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาหรือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่กรณี ได้จัดเข้าในระเบียบวาระการประชุมโดยที่ยังไม่ได้รับแจ้งว่ารัฐมนตรีพร้อมจะตอบ ให้รัฐมนตรีเจ้าของ เรื่องรีบนำคำตอบเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนตอบกระทู้ถามต่อไป แต่ถ้ารัฐมนตรีไม่พร้อมจะตอบให้รีบแจ้งไป ยังสภา ฯ โดยตรง ทั้งนี้ หากกระทู้ถามมีผลกระทบกับข้อกฎหมายหรือทางคดีมีผลกระทบต่อนโยบายของ รัฐบาล และยังไม่สมควรเปิดเผยตามมาตรา 183 ของรัฐธรรมนูญ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อน ดำเนินการต่อไป ส่วนคำตอบกระทู้ถามเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษาเรื่องใดที่เสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว หาก มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมใหม่ให้รัฐมนตรีเจ้าของเรื่องรับไปปรับปรุงกระทู้ถามดังกล่าวแล้วจึงส่งมาลงพิมพ์ใน ราชกิจจานุเบกษาได้ สำหรับกรณีกระทู้ถามด่วน หรือกระทู้ถามสดด้วยวาจา สมควรประสานงานกับเจ้าหน้า ที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาล่วงหน้าก่อนเริ่ม การประชุมสภา ฯ ในวันนั้นด้วย กับให้ดำเนินการกระทู้ถามใหม่และกำหนดเวลาที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2546 ดังนี้ กระทู้ถามรัฐมนตรีที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับไว้และ อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไปตามเดิม รวมไปถึงกระทู้ถามนายก รัฐมนตรีที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไว้และได้ส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินการแล้ว ให้ ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2547 เป็นต้นไป นอก จากนี้ เมื่อได้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2531 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติมเสร็จเรียบร้อย โดยกำหนดให้กระทู้ถามไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกต่อไปแล้ว ให้สำนัก เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบการดำเนินการกระทู้ถามทั้งหมด ไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกต่อไป โดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบการดำเนินการกระทู้ถามเต็มรูปแบบ แต่สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรียังคงรับผิดชอบในส่วนการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
|
||||||||||||||||||||||||
.....
