ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 190 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3781 - 3800 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3781 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดพื้นที่และกำหนดมาตรการควบคุมการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดิน | ทส | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติดังนี้ เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมเสนอ ข้อกำหนดโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดินในภาคตะวันออกเฉียง เหนือ (TOR) โดยจะทำการคาดคะเนผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดินในภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี สกลนคร นครราชสีมา หนองคาย และมหาสารคาม เพื่อ กำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยกำหนดพื้นที่และลักษณะการดำเนินงานออกเป็น 4 ส่วน คือ (1) พื้นที่วิกฤต (2) พื้นที่ทั่วไป (3) ศึกษาเพื่อพัฒนาเทคนิคและกรรมวิธีการผลิตเกลือจากน้ำเกลือใต้ดิน และ (4) การสำรวจและประเมินความเสี่ยงจากการเกิดหลุมยุบ ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ พ.ศ. 2548- 2549 ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อรับข้อสังเกตตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ โดยในส่วนของคณะ กรรมการกลั่นกรอง ฯ มีข้อสังเกตว่า ควรให้มีการกำหนดรายละเอียดในข้อกำหนดโครงการศึกษา ฯ โดยศึกษา ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นให้ชัดเจน โดยเฉพาะการแพร่กระจายของดินเค็มสู่พื้นที่เกษตรกรรมซึ่งควร กำหนดเขตรัศมีที่จะศึกษาให้เหมาะสม รวมถึงการเกิดปัญหาดินถล่มเนื่องจากโพรงเกลือใต้ดินหรืออาจเกิดจาก ภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ โดยให้คำนึงถึง ว่าวัตถุประสงค์หลักของโครงการ ฯ ควรต้องเป็นไปเพื่อการรักษาทรัพยากรของประเทศมากกว่าประโยชน์ทาง ธุรกิจ และเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาค ม 2534 เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่ และการกำหนดมาตรการควบคุมการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดิน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดเขตพื้นที่ที่อนุญาตและพื้นที่วิกฤตที่ห้าม สูบน้ำหรือนำน้ำเกลือจากใต้ดิน โดยใช้แผนที่แทนการระบุชื่อหน่วยการปกครอง โดยมีหลักการไม่ขยายพื้นที่ จากที่อนุญาตไว้เดิม และไม่อนุญาตให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ สำหรับงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตาม ความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้ จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้าง ศักยภาพการแข่งขัน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 38.50 ล้านบาท และเสนอขอตั้งงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3782 | รายงานผลการปฏิบัติงานศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหวัดพังงา ครั้งที่ 4 | นร | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการปฏิบัติ
งานศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหวัดพังงา ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 17-24 มกราคม 2548 โดยผลการ ค้นหาและเก็บศพผู้เสียชีวิตในพื้นที่บ้านคอเขาถึงบ้านเขาหลัก สามารถเก็บกู้ศพได้เพิ่ม จำนวน 9 ศพ และได้ ดำเนินการเก็บซากสิ่งปรักหักพังโดยแบ่งออกเป็น 4 โซน ซึ่งการดำเนินการแล้วเสร็จ 1 โซน บริเวณบ้านน้ำเค็ม -หน้าโรงเรียนบ้านบางสัก และคงเหลืออีก 3 โซน สำหรับการช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค จังหวัดพังงา โดย สำนักงานไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพังงา ได้ปรับปรุงระบบไฟฟ้า ดำเนินการซ่อมระบบจำหน่ายหลักแล้วเสร็จ กระแส ไฟฟ้าสามารถพร้อมจ่ายทุกหลัง ระบบประปาดำเนินการในภาพรวมได้ร้อยละ 95 และระบบโทรศัพท์พร้อมเปิด ให้ผู้ใช้บริการแจ้งความประสงค์ขอเปิดใช้บริการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ โดยกรมทรัพยากรน้ำ และกรม ทรัพยากรน้ำบาดาล ยังดำเนินการแจกจ่ายน้ำสะอาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนการดำเนินการช่วยเหลือด้านที่พัก อาศัย ได้ดำเนินการสร้างที่พักชั่วคราว จำนวน 18 แห่ง 2,448 หลัง เพื่อรองรับผู้ประสบภัยที่ไม่มีที่อยู่อาศัย โดยมีหลายหน่วยงานเข้าร่วมดำเนินการ ส่วนบ้านพักถาวร อยู่ระหว่างการปรับพื้นที่และเริ่มดำเนินการก่อสร้าง โดยมีชาวบ้านขอรับเงินเพื่อสร้างบ้านใหม่เองทั้งหลัง จำนวน 14 ราย ดำเนินการซ่อมแซมบ้าน จำนวน 59 หลัง สำหรับการฟื้นฟูด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และคณะทำงาน ฟื้นฟูพื้นที่ ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพแหล่งน้ำดิบ โดยการบำบัดน้ำและฆ่าเชื้อบริเวณแหล่งน้ำต่าง ๆ และทำ การตรวจหาเชื้อ E.Coli, Entercoccl, และ Parasit ในบ่อน้ำตื้นที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชน ฟื้นฟูแหล่งท่อง เที่ยวที่เป็นอุทยานแห่งชาติในพื้นที่จังหวัดพังงา รวมทั้งตรวจสอบพื้นที่เกาะระ-เกาะพระทอง พบว่ามีการทับถม ของตะกอนที่พัดพามาจากทะเล ได้ดำเนินการนำตัวอย่างตะกอนไปวิเคราะห์หาปริมาณเกลือที่แน่นอนเพื่อหา ทางแก้ไขต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3783 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศของบริษัทการบิน เรื่อง การควบคุมจำนวนนักบินต่างชาติ | คค | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบ
กิจการค้าขายในการเดินอากาศของบริษัทการบิน เรื่อง การควบคุมจำนวนนักบินต่างชาติ เพื่อเป็นการคุ้ม ครองและส่งเสริมนักบินของไทยให้มีทักษะความรู้ความชำนาญในการทำหน้าที่นักบิน โดยกรมการขนส่งทาง อากาศ ได้พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว ดังนี้ ให้ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการ ฯ จะต้องใช้นักบินซึ่งมี สัญชาติไทยอย่างน้อยร้อยละ 20 ของจำนวนนักบินทั้งหมดภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบ การ และจะต้องเพิ่มจำนวนนักบินไทยขึ้นอีกร้อยละ 10 ต่อปี ทั้งนี้ ทางราชการจะไม่มีการพิจารณาการขอ อนุญาตดำเนินบริการเส้นทางบินเพิ่มเติม หากไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้สถาบันการบินพลเรือนเพิ่มศักย ภาพในการผลิตนักบินเพิ่มขึ้น รวมทั้งพิจารณาอนุญาตให้ภาคเอกชนจัดตั้งหน่วยฝึกอบรมนักบินในระดับนัก บินพาณิชย์เพื่อช่วยให้การผลิตจำนวนนักบินไทยให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3784 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2547 | ทส | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 7/2547 วันที่ 3 ธันวาคม 2547 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้มีมติรวม 23 เรื่อง ประกอบด้วย เรื่องที่ประธาน ฯ แจ้งต่อที่ประชุม เรื่อง รายงานการประชุม ฯ ครั้งที่ 6/2547 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2547 เรื่องเพื่อพิจารณา 13 เรื่อง ได้แก่ แผนปฎิบัติการตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบ คุมการเผาในที่โล่ง (สืบเนื่อง), การขยายเวลาการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในพื้นที่เหนือเขื่อนทดน้ำบางปะกง, ความ เห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ (สืบเนื่อง), ความ เห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สถานีเรดาร์และสถานีโทรคมนาคม ของโครงการ RTADS PHASE II บริเวณยอดเขาใหญ่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ของกองทัพอากาศ, ความเห็นต่อรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซี เมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) ที่ตำบลพุกร่างและขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัด สระบุรี, ความเห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการบ้านเอื้ออาทรบางโฉลง ระยะที่ 3/ 1 และ 3/2 โครงการบ้านเอื้ออาทร จังหวัดภูเก็ต และโครงการบ้านเอื้ออาทร 3/1 และระยะที่ 2 จังหวัดฉะ เชิงเทรา ของการเคหะแห่งชาติ, การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดการกากของเสีย, การแต่งตั้งประธานกรรม การผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน 3 คณะ, การปรับปรุงคณะอนุ กรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม, การยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการสิ่ง แวดล้อม จำนวน 3 คณะ, การปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาว นาน และเรื่องเพื่อทราบ 7 เรื่อง ได้แก่ รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวด ล้อมแห่งชาติเรื่อง การออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับประเภทและขนาด ของโครงการ หรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, การติดตามตรวจสอบการ ดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม โครงการโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ ของบริษัท ฟินิคซ พัลฟ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน), รายงานสถานภาพการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของโครงการที่ ได้รับอนุญาต และผ่านความเห็นชอบต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, รายงานความก้าวหน้า การดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กรณีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ บ้านเอื้ออาทรประชานิเวศน์, การดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2547 (มกรา คม-มิถุนายน 2547), รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2546, รายงานสถานการณ์มลพิษของ ประเทศไทย พ.ศ. 2546 และเรื่องอื่น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3785 | สรุปผลการช่วยเหลือผู้ประสบภัย การฟื้นฟูและการพัฒนาพื้นที่อันเกิดจากธรณีพิบัติใน 6 จังหวัดภาคใต้ชายฝั่งทะเลอันดามัน | ทส | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย การฟื้นฟูและการพัฒนาพื้นที่อันเกิดจากธรณีพิบัติภัยใน 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอัน ดามัน (จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล) สรุปได้ดังนี้ การค้นหาผู้รอดชีวิตและผู้เสียชีวิตใน ช่วงระหว่างวันที่ 26-28 ธันวาคม 2547 ได้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจำนวน 2,034 คน ที่มาเที่ยวอุทยานแห่ง ชาติซึ่งอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน และร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหวัดพังงา ค้นหา ผู้รอดชีวิตและผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยชีวิตสัตว์น้ำ เช่น โลมา และพะยูน ในพื้นที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า และอำเภอท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ในส่วนของการช่วยเหลือและให้ความสงเคราะห์ผู้ประสบ ภัย ได้ดำเนินการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การแจกจ่ายน้ำสะอาด ติดตั้งชุดประปาสนาม ซ่อมแซมระบบประปา ติดตั้งระบบประปาบาดาล สูบล้างบ่อน้ำตื้น และเป่าล้างบ่อบาดาล รวมทั้งได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อเฝ้า ระวังและเตือนภัยแผ่นดินไหว และร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและประเมินผล ความเสียหาย สำหรับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำมาตรการการจัดการฟื้นฟูและ พัฒนาพื้นที่ประสบภัย และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและออกแบบ การปรับปรุงผังเมืองสภาพภูมิทัศน์ และการป้องกันคลื่นยักษ์เบื้องต้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัด พังงา และภูเก็ต และทำความสะอาดบริเวณชายหาดและพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงบริเวณ ใต้ทะเล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3786 | ขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและการปรับปรุงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี | กก | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายการต่าง
ประเทศ วัฒนธรรม ท่องเที่ยวและกีฬา) ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมี สาระสำคัญคือ การกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป และเห็นชอบร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ .. /.... เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวพำนักระยะยาวแห่งชาติ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า จากการปฏิรูประบบราชการทำให้มีการเปลี่ยน หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยว จากเดิมสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬา จึงเห็นควรสนับสนุนองค์ประกอบให้สอดคล้องด้วย ดังนี้ เพิ่มปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นกรรมการ ยก เลิกเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จากเป็นกรรมการ ยกเลิกรองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากเป็นกรรม การและเลขานุการ เปลี่ยนแปลงปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากเป็นกรรมการ ให้เป็น กรรมการและ เลขานุการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3787 | ร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (ฝ่าย
การพาณิชย์ ฯ) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษ ฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็น ว่า ควรแก้ไขถ้อยคำในมาตรา 4 (5) จาก "องค์การของรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ" เป็น "องค์กรของรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ" เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกัน สังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 4 (2) ซึ่งใช้คำว่า "ลูกจ้างของรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ" เป็นต้น และความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่าบทบัญญัติในมาตรา 28/1 เกี่ยวกับอสังหาริม ทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่มีผู้ยกให้หรือได้มาโดยการซื้อหรือแลกเปลี่ยนจากเงินกองทุนทดแทน และทรัพย์สินซึ่งมี ผู้อุทิศให้นั้น ไม่ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงาน ควรให้เป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 เช่นเดิม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3788 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | ตผ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2546 ซึ่งผลการตรวจสอบในภาพรวม พบความเสียหายสามารถคำนวณเป็นตัวเงินรวมทั้งสิ้น 3,937.46 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณที่เรียกคืนหรือรายได้ที่จัดเก็บเพิ่ม จำนวน 2,043.36 ล้าน บาท และมูลค่าความเสียหายที่รัฐสูญเสียเงินงบประมาณโดยไม่ประหยัดหรือสูญเสียรายได้และช่วยประหยัด งบประมาณจำนวน 1,894.10 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าที่เสียหายที่ตรวจพบสูงกว่างบประมาณประจำปีที่สำนักงาน การตรวจเงินแผ่นดินได้รับการจัดสรร (งบประมาณประจำปี 2546 ได้รับจำนวน 815.21 ล้านบาท) นอก จากนี้ ยังมีผลงานตรวจสอบซึ่งไม่สามารถคำนวณมูลค่าความเสียหายเป็นต้วเงินได้ เน้นผลลัพธ์เชิงป้องปราม หรือยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นแก่ทางราชการ และเน้นการปราบปรามลงโทษผู้กระทำ ความผิดและรักษาประโยชน์ของรัฐและประชาชนโดยความเสียหายที่พบจากการตรวจสอบมีทั้งความเสียหาย ด้านงบประมาณ ด้านรายได้ และด้านทรัพย์สิน สาเหตุของการเกิดความเสียหายดังกล่าวมาจากหน่วยรับ ตรวจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนการปฏิบัติราชการ ระบบการ ควบคุมภายในไม่รัดกุม ขาดหลักการบริหารจัดการที่ดี ความไม่ซื่อสัตย์สุจริตของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และกรณีมีผลประโยชน์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวมกับส่วนตัว หรือพวกพ้อง อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะจากผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ทำให้ หน่วยรับตรวจมีการปรับปรุงงานให้ดีขึ้น มีความระมัดระวังการปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน การดูแลป้องกัน เงินและทรัพย์สินของแผ่นดิน ส่งผลให้สามารถประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินโดยรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3789 | มาตรการช่วยเหลือกิจการอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือภายในประเทศ | อก | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (ฝ่ายการ พาณิชย์ อุตสาหกรรมและแรงงาน) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมาตรการช่วยเหลือกิจ การอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือภายในประเทศ โดยให้ยกเว้นอากรนำเข้าสำหรับเครื่องจักร วัสดุ และ อุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ และการให้สิทธิประโยชน์พิเศษด้านการส่งเสริมการลงทุน โดยไม่จำกัดเขต จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอู่เรือที่ได้ศึกษาไว้แล้ว และจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมอื่นในการตั้งอู่ เรือ โดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม ต่อเรือและซ่อมเรือร่วมกับภาครัฐและเอกชน โดยกำหนดกรอบยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริม สนับสนุนกิจการอุตสาหกรรมต่อเรือและ ซ่อมเรือ ด้านการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบ และด้านการบริหารและการจัดการ และให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการสนับสนุนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3790 | การปรับปรุงโครงสร้างและขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ | นร | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหากรณีการเกิด
ภัยธรรมชาติของประเทศ ควรมีหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบอย่างชัดเจน มีการจัดโครงสร้างของหน่วยงาน และเครื่องมืออุปกรณ์อย่างเหมาะสม เพื่อรองรับภารกิจในขั้นตอนต่าง ๆ นับตั้งแต่การติดตามเฝ้าระวังการ เกิดเหตุ การเตือนภัย การดำเนินการเพื่อรับมือและแก้ไขเมื่อเกิดเหตุการณ์เพื่อลดการสูญเสียและบรรเทา ความเสียหายในด้านต่าง ๆ ซึ่งอาจต้องปรับปรุงพัฒนากลไกและหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ให้เหมาะสมมากยิ่ง เช่น การปรับปรุงโครงสร้าง ขั้นตอนการดำเนินงาน และถ่ายโอนภารกิจของกรมอุตุนิยมวิทยา และศูนย์ แผ่นดินไหว เป็นต้น จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณาในคณะกรรมการ ก.พ.ร. ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ แล้วดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3791 | กรอบยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะ 4 ปี (2548 - 2551) (Agenda based) | นร | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
ดังนี้ รับทราบสถานภาพโครงสร้างและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทย และเห็นชอบ กรอบการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ระยะ 4 ปีข้างหน้า (2548-2551) และมอบหมาย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของกรอบแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วยแผนงานมาตรการและเป้า หมายในระยะ 4 ปีข้างหน้า ให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2548 โดยให้ สศช. ศึกษาวิเคราะห์และบูรณา การแผนการลงทุนภาครัฐ รวมทั้งปรับภารกิจและโครงสร้างองค์กรของ สศช. ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยให้ใช้งบประมาณเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 380 ล้านบาทที่ได้จัดสรรไว้แล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพื่อใช้ในการจัดทำยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างของ ประเทศ และการปรับภารกิจและโครสร้างองค์กรของ สศช. และจัดสรรงบประมาณด้านการปรับโครงสร้าง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้กับ สศช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ต่อไป และให้ สศช. ดำเนินการต่อ ไปในกรอบของราชการประจำ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป ทั้งนี้ ให้ สศช. รับความเห็นของคณะ รัฐมนตรี ไปดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ให้ สศช. รับไปดำเนินการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมถึงแนวทาง โอกาส ปัญหา และอุปสรรค อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ในประเด็นของเทคโนโลยี การ เคลื่อนย้ายของแรงงาน การเปิดเสรีการค้าสินค้าและบริการ การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและ อายุ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อ การปรับปรุงพัฒนาประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้และเหมาะสมสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุค โลกาภิวัตน์ รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ และการพัฒนาบุคลากรวัยแรงงานให้สอดคล้องกับ ความต้องการกับภาคการผลิต รวมทั้งให้ไปศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลของสินค้าที่นำเข้าและส่งออกไปยังตลาด สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญของไทย เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงพัฒนาการผลิตสินค้าของ ประเทศให้มีการใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งมีการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และ สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นประโยชน์ในการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐอเมริกาต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3792 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง นโยบายการบินสำหรับสายการบินภายในประเทศ | คค | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง นโยบาย
การบินสำหรับสายการบินภายในประเทศ โดยยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ 14 ธันวาคม 2544 และกำหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบกิจการค้าภายในการเดินอากาศ โดยสรุปดังนี้ ผู้ประกอบการที่ เสนอขอให้บริการในเส้นทางบินสายหลัก และ/หรือสายรอง จะต้องจัดสรรการให้บริการในเส้นทางย่อยด้วย โดยกำหนดให้เส้นทางสายหลัก คือ เส้นทางที่มีจำนวนผู้โดยสารรวมเกินกว่า 400,000 คนต่อปี เส้นทางสาย รอง คือ เส้นทางที่มีจำนวนผู้โดยสารรวม 50,000-400,000 คนต่อปี และเส้นทางสายย่อย คือ เส้นทางที่มี จำนวนผู้โดยสารรวมต่ำกว่า 50,000 คนต่อปี หรือเป็นเส้นทางบินใหม่ที่ยังไม่เคยมีการการบินมาก่อน ทั้งนี้ ทางราชการจะประกาศเส้นทางดังกล่าวให้สาธารณชนทราบอย่างชัดเจน และจะมีการปรับปรุงประกาศดัง กล่าวทุก ๆ 3 ปี และจะให้ความคุ้มครองผู้ประกอบการในเส้นทางสายย่อย เส้นทางบินใหม่และเส้นทางบิน เชื่อมภูมิภาค เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่อนุญาตเส้นทาง ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขว่าทางราชการจะติดตาม วิเคราะห์ผลการใช้บริการทุก ๆ ระยะหนึ่งปี หากผู้ประกอบการไม่พัฒนากิจการบินให้เพียงพอต่อความต้อง การของสาธารณชน กระทรวงคมนาคมจะยกเลิกการคุ้มครองดังกล่าว กรณีผู้ประกอบการที่เปิดให้บริการ เฉพาะเส้นทางสายหลัก และ/หรือเส้นทางสายรอง โดยไม่เปิดให้บริการในเส้นทางสายย่อย ทางราชการจะ ไม่พิจารณาการเสนอขออนุญาตในเส้นทางสายหลัก และ/หรือเส้นทางสายรองเพิ่มเติม จนกว่าจะเปิดให้ บริการในเส้นทางสายย่อยที่ได้รับอนุญาตไว้แล้ว ส่วนกรณีท่าอากาศยานในสังกัดกรมการขนส่งทางอากาศ ที่ไม่มีเที่ยวบินประจำไปให้บริการ ทางราชการจะให้ความคุ้มครองผู้ประกอบการในเส้นทางดังกล่าว เป็น ระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตเส้นทาง ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขว่าทางราชการจะติดตามวิเคราะห์ ผลการใช้บริการทุก ๆ ระยะหนึ่งปี หากผู้ประกอบการไม่พัฒนากิจการบินให้เพียงพอต่อความต้องการของ สาธารณชน กระทรวงคมนาคมจะยกเลิกการคุ้มครองดังกล่าว และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลง และ จอดพักของอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานดังกล่าว รวมทั้งค่าบริการควบคุมจราจรทางอากาศ เป็นระยะ เวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มให้บริการและยังคงให้บริการในเส้นทางดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3793 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ เรื่อง การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน (Agenda based) | นร | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ เรื่อง การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน ในส่วนของโครงการจัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจชายแดน จังหวัดเชียงราย เนื่องจากได้มีนโยบายอนุรักษ์เมืองเชียงแสนให้เป็น เมืองมรดกโลก การพิจารณาจุดที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจชายแดน จึงต้องพิจารณาใช้พื้นที่อื่นใน จังหวัด เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม โดยจะพิจารณาพื้นที่อำเภอเชียงของเป็นลำดับแรก และมอบหมายให้การ นิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับไปชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุนฝ่ายจีน ตลอดจนร่วมกับจังหวัดจัดหา พื้นที่แห่งใหม่ สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน ครั้งที่ 4/ 2547 วันที่ 24 ธันวาคม 2547 ที่ประชุมเห็นควรให้ดำเนินการในเรื่องต่างๆ ดังนี้ ให้เร่งรัดการจัดทำผังเมือง รวม 3 อำเภอ ในเขตเศรษฐกิจชายแดน จังหวัดเชียงราย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และจัดทำผังเฉพาะชุมชนแม่ระมาด และแม่จะเราเพิ่มเติม ในเขตเศรษฐกิจชายแดน จังหวัดตาก และปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับขั้นตอนประกาศบังคับ ใช้ผังเมืองให้สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น ให้จัดทำโครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงทางสังคมและวัฒนธรรมกับ ประเทศเพื่อนบ้าน โดยการช่วยเหลือด้านสาธารณสุขและการศึกษา การจัดลำดับความสำคัญของโครงการเร่ง ด่วนและกำหนดแนวทางสนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน จังหวัดตาก โดยให้ดำเนินโครงการเร่งด่วนใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงขยายระบบประปาอำเภอแม่สอด อำเภอ พบพระ อำเภอแม่ระมาด วงเงินรวม 232.74 ล้านบาท และโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงหมู่บ้าน ท่องเที่ยว OTOP วงเงินรวม 10 ล้านบาท และให้บูรณาการ 3 โครงการศึกษาเร่งด่วนได้แก่ ศึกษาความเหมาะสม การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ และศึกษาแนวทางปรับ โครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เข้าเป็นโครงการศึกษาโครงการเดียว โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นเจ้าภาพดำเนินการศึกษาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 รวมทั้งให้จังหวัดตากบรรจุแผนงาน/โครงการตาม แผนปฏิบัติการไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทาง ปฏิบัติต่อไป ให้กรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการแผนงานด้านน้ำท่วมในทางเทคนิคก่อน ส่งให้จังหวัดพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณจังหวัดแบบบูรณาการ และเห็นควรแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณา แนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนเพิ่มเติม ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ผู้อำนวยการสำนักงบ ประมาณ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย และประธานหอการค้าไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3794 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น | อก | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการ
กรุงเทพ ฯ เมืองแฟชั่น จำนวน 1,810,267,500 บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 824,640,000 บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักย ภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้านบาท) จำนวน 512,735,500 บาท และงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 จำนวน 472,982,000 บาท และให้รับความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการดำเนินโครงการ ฯ ควรให้ความสำคัญกับ การพัฒนากำลังคน โดยเฉพาะนักออกแบบรุ่นใหม่ และระดับจัดการของอุตสาหกรรมแฟชั่น (สิ่งทอ อัญมณี และเครื่องหนัง) เพื่อให้สามารถยกระดับอุตสาหกรรมจากการรับจ้างไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มบนฐาน ของการคิดสร้างสรรค์ และในระยะต่อไปควรเพิ่มการทำงานที่เป็นบูรณาการกับหน่วยงานที่มีประสบการณ์ การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการส่งออก รวมถึงทบทวนระบบบริหารจัดการโครง การในช่วงที่ผ่านมาและแก้ไขปัญหาอุปสรรคทั้งในระดับบริหารจัดการที่ต้องอาศัยมืออาชีพ รวมทั้งระบบสนับ สนุนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนและบรรลุการเป็นกรุงเทพ ฯ เมือง แฟชั่นได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3795 | การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ | นร | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1.2 (ฝ่าย
ความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายและ กำกับดูแลกิจการประปาแห่งชาติเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญรวม 4 แห่ง ได้แก่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี : โครงการจัดหาน้ำสะอาดบนเกาะ พะงัน เกาะภูเก็ต : โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี : โครงการปรับปรุง ระบบท่อจ่ายน้ำประปาพัทยา และอนุมัติวงเงินสำหรับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในพื้นที่ท่อง เที่ยวสำคัญ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดหาน้ำสะอาดบนเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงิน 175.92 ล้านบาท โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 716 ล้านบาท และโครงการปรับปรุง ระบบท่อจ่ายน้ำประปาพัทยา จังหวัดชลบุรี วงเงิน 245.345 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้การประปาส่วนภูมิภาค รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ อาทิเช่น เห็น ว่าการลงทุนของการประปาส่วนภูมิภาค เป็นการสนองตอบความต้องการที่ขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว ควร พิจารณาอัตราค่าน้ำประปาที่แตกต่างกันระหว่างผู้ใช้น้ำประปาที่เป็นครัวเรือน และประเภทธุรกิจ การลงทุน ด้านสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล ควรเป็นโครงการลงทุนขนาด ใหญ่และมีลำดับความสำคัญสูง และได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการระดับนโยบายที่รับผิดชอบแต่ละ เรื่องแล้ว สำหรับการลงทุนต่อเนื่องจากโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วควรใช้รายได้ของรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครง การเอง เป็นต้น ประกอบการทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับโครงการก่อ สร้างอ่างเก็บน้ำคลองลิปะใหญ่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้การประปาส่วนภูมิภาคหารือกับกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาข้อสรุปในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปา และส่งผล กระทบต่อสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ 1 A น้อยที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3796 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลางประจำปี พ.ศ.2548 โครงการปรับปรุงแม่น้ำยมสายเก่า | กษ | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย
กรมชลประทาน ดำเนินโครงการปรับปรุงแม่น้ำยมสายเก่า ความยาว 88.43 กิโลเมตร จังหวัดสุโขทัย ใน วงเงิน 815.54 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อม ปีแล้ว ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควร ให้นำข้อเสนอโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย จังหวัดสุโขทัย เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหาร จัดการลุ่มน้ำยมแบบบูรณาการที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังดำเนินการอยู่ เพื่อให้ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยในลำน้ำยมเป็นไปอย่างบูรณาการและยั่งยืน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3797 | กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของมหาวิทยาลัยราชภัฏ 41 แห่ง | ศธ | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของ มหาวิทยาลัยราชภัฏ 41 แห่ง และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับประเด็น อภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับการแบ่งส่วนราชการสถาบันราชภัฏทั้ง 41 แห่งดังกล่าว เป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการภายในของสถาบันราชภัฏแต่ละแห่ง โดยการเปลี่ยนชื่อ ยุบรวมเพื่อ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 โดยให้ยังคงส่วนราชการ ปัจจุบันอยู่จนกว่าการแบ่งส่วนราชการจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2547 แต่โดยที่การแบ่งส่วน ราชการเป็นคณะต่าง ๆ อาจใช้ชื่อในลักษณะที่ซ้ำซ้อนกัน เช่น คณะเทคโนโลยีการเกษตร คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงควรปรับปรุงในส่วนนี้ให้ชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนในโอกาส ต่อไป ไปพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2548 แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ งบประมาณใน ส่วนที่ต้องใช้เพิ่มเติม เช่น เงินประจำตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานระดับคณะหรือเทียบเท่า สำหรับปีงบ ประมาณ พ.ศ.2548 ให้กระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการเอง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3798 | โครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก 5 โรง | พน | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเสนอให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการปรับปรุง
โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก จำนวน 5 โรง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนน้ำพุง และเขื่อนแก่งกระจาน วงเงินลงทุนรวม 1,837.16 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวง พลังงานรับไปพิจารณาดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กในแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติม ตามความเหมาะสม อย่างเป็นระบบด้วย ตามที่กระทรวงพลังงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3799 | ข้อเสนอการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษกรณีไม่ทำเวชปฏิบัติส่วนตัวและหรือโรงพยาบาลเอกชน ให้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ที่ปฏิบัติงานด้านส่งเสริมสุขภาพ ควบคุมป้องกันโรค และฟื้นฟูสภาพ | สธ | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษกรณีไม่ทำ
เวชปฏิบัติส่วนตัวและหรือโรงพยาบาลเอกชน ให้แก่แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ที่ปฏิบัติงานด้านส่งเสริมสุข ภาพ ควบคุมป้องกันโรค และฟื้นฟูสภาพ โดยให้มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2544 เรื่อง ข้อเสนอ การพิจารณาค่าตอบแทนต่าง ๆ นอกเหนือจากเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ และการปรับปรุงรายชื่อ โรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ทุรกันดารและขาดแคลนบุคลากรมีผลครอบคลุมถึงแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ที่ปฏิบัติงานบริการด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากด้านการรักษาพยาบาลโดยตรง ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ ควบ คุมป้องกันโรค และฟื้นฟูสภาพ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเงินเพิ่มพิเศษกรณีไม่ทำเวชปฏิบัติส่วนตัว และหรือโรง พยาบาลเอกชนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (4 มกราคม 2548) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้กระทรวง สาธารณสุขรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เพิ่มพิเศษ ฯ ให้เป็นที่ยุติด้วยความรอบคอบเหมาะสม โดยให้นำความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรม การพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ ที่เห็นว่า การขอขยายการจ่ายค่าตอบแทนไม่ทำเวชปฏิบัติส่วนตัวดังกล่าวอาจ ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณของภาครัฐ จึงเห็นควรจ่ายค่าตอบแทนไม่ทำเวชปฏิบัติส่วนตัวดังกล่าว จาก เงินบำรุงของสถานบริการก่อน และหากเงินบำรุงฯ ไม่เพียงพอให้เสนอขอตั้งงบประมาณเพิ่มเติมได้ไปประกอบ การพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3800 | รายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร | กค | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการชดเชยค่าภาษี
อากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร โดยคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากร ฯ ได้ดำเนินการทบ ทวนมาตรการชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักรเพื่อแก้ไขปัญหาในการกำหนดอัตราเงิน ชดเชย ข้อปฏิบัติตามเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก ดังนี้ ลดบทบาทมาตรการชดเชยค่าภาษีอากร ฯ โดยการ ทยอยยกเลิกการให้เงินชดเชย และให้ผู้ส่งออกหันไปใช้มาตรการส่งเสริมการส่งออกอื่นแทน ซึ่งการทยอยยก เลิกการให้เงินชดเชยแบ่งเป็น ขั้นที่ 1 ยกเลิกสินค้าที่มีอัตราเงินชดเชยเป็น 0 และไม่มีผู้ขอรับเงินชดเชยใน 3 ปี ที่ผ่านมา โดยดำเนินการในปีแรก เพื่อลดรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นออกจากประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชย ที่ใช้บังคับอยู่ ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อผู้ส่งออก ขั้นที่ 2 ยกเลิกให้เงินชดเชยแก่ผู้ประกอบการที่สามารถใช้สิทธิ ประโยชน์มาตรการอื่นได้ ดำเนินการในปีที่ 2 และปีที่ 3 โดยให้ผู้ส่งออกหันไปใช้สิทธิประโยชน์มาตรการอื่นที่ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเช่นเดียวกัน และขั้นที่ 3 ยกเลิกการให้เงินชดเชยทั้งหมดในปีที่ 4 โดยจะต้องมี มาตรการเพื่อรองรับผู้ประกอบการ SMEs ทั้งนี้ การดำเนินการตามโยบายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจาก กระทรวงการคลังออกประกาศ ที่ อ3/2547 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2547 เพื่อกำหนดชนิดสินค้าที่ไม่ให้เงินชด เชยสำหรับสินค้าที่มีอัตราเงินชดเชยเป็น 0 และสินค้าที่ไม่มีผู้ขอรับเงินชดเชยใน 3 ปีที่ผ่านมา จำนวน 1,569 ประเภทพิกัด นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับปรุงระเบียบพิธีการในการส่งออกที่มีอยู่ให้เอื้อ ต่อผู้ส่งออกมากยิ่งขึ้น เช่น การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศระบบ EDI (Electronic Data Interchange) มา ใช้ในการผ่านพิธีการนำเข้า ส่งออก การคืนเงินภาษีอากรแก่ผู้ส่งออกที่รวดเร็ว และศึกษาแนวทางการปรับ ปรุงการคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ ให้สามารถคืนให้แก่ผู้ส่งออกตามอัตราอากรที่กำหนด ซึ่งจะเป็นแนวทาง ที่ผู้ส่งออกสามารถใช้สิทธิได้โดยง่าย เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
