ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 189 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3761 - 3780 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3761 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 08/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่ายการ
ศึกษาและการสาธารณสุข) ที่มีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัด ตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่ได้ตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งคณะรัฐมนตรีมี มติเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2546 อนุมัติหลักการไว้ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับแก้ตามข้อเสนอ ของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการศึก ษาขั้นพื้นฐาน ต้องรับผลการทดสอบการศึกษา และข้อเสนอแนะของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการให้บังเกิดผลตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ และเมื่อได้ใช้พระราชกฤษฎีกาแล้ว หากพบว่ามีปัญหาที่เกิดจากการมิได้โอนภารกิจของ สำนักทดสอบทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไปเป็นของสถาบันทดสอบทางการ ศึกษา ฯ ก็ให้พิจารณาดำเนินการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และให้กระทรวงศึกษา ธิการรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ไปดำเนินการต่อไปโดยเร็ว ดังนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิ การไปพิจารณาการจัดองค์กรของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ คือ สำนักวิชา การและมาตรฐานทางการศึกษา และสำนักติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่ามีภารกิจ ซ้ำซ้อนกับภารกิจของสำนักทดสอบทางการศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือไม่ หากสามารถเกลี่ยงานการทดสอบการศึกษาของสำนักทดสอบทางการศึกษา ให้สำนักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา และสำนักติดตามประเมินผล ฯ รับผิดชอบได้อย่างเหมาะสม ก็ควรดำเนินการขอปรับยุบเลิกสำนัก ทดสอบทางการศึกษา ฯ ต่อไป รวมทั้งให้กำหนดลักษณะงานทดสอบการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานให้ชัดเจน และไม่ซ้ำซ้อนกับงานของสถาบันทดสอบทางการศึกษา ฯ เพื่อให้เป็นไปตาม มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542
|
||||||||||||||||||
| 3762 | รายงานสรุปผลการดำเนินการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล | กษ | 08/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสรุปผลการดำเนินการพัฒนา
อุตสาหกรรมอาหารฮาลาลซึ่งภาครัฐได้ดำเนินการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ทำให้แนวโน้มการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารไปยังประเทศมุสลิมในช่วงปี พ.ศ. 2544-2547 ของไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 10,415 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2544 เป็น 11,530 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2546 ส่วนมูลค่าส่งออกในปี พ.ศ. 2547 ระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 11,613 ล้านบาท ในขณะที่มาตรฐานอาหารฮาลาลของไทยได้รับการพัฒนามากขึ้น โดยมีการจัดตั้งสถาบันมาตรฐานอาหาร ฮาลาลเพื่อพัฒนามาตรฐานตรวจสอบและออกใบรับรอง โดยในช่วงปี พ.ศ. 2544-2547 มีบริษัทได้รับการ รับรองฮาลาล 1,055 บริษัท เทียบกับในช่วงปี พ.ศ. 2541-2543 ที่มีบริษัทได้รับการรับรอง 321 บริษัท นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล พร้อมห้องปฏิบัติการเพื่อพัฒนาความสามารถในการ ทดสอบอาหารฮาลาลให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วม กันพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอาหารฮาลาลของไทยทั้งในด้านการพัฒนาการตลาด การผลิต และส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล และการปรับปรุงกลไกการรับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลให้เป็นที่ ยอมรับของผู้บริโภคที่นับถือศาสนาอิสลามทั้งภายในและต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||
| 3763 | ร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... | นร | 08/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตร
กรรมและการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้พิจารณาภาพรวมในเรื่อง การจัดการที่ดินของรัฐทั้งระบบ ทั้งนี้ ให้ประสานกับคณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำ เอกสารสิทธิให้มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งมีนายศิริ เกวลินสฤษดิ์ เป็นประธานด้วย
|
||||||||||||||||||
| 3764 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 08/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎหมายฯ)
ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดย มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษ ฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า การจัดตั้งองค์การอิสระผู้ บริโภคควรกำหนดให้มีหมวดว่าด้วยองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ ตัดสินชี้ขาดโดยไม่ต้องตรากฎหมายฉบับใหม่ ประกอบกับการคุ้มครองผู้บริโภคมีกำหนดไว้ในกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ๆ อาจจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นขององค์การอิสระ ควรมีการ กำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่ ให้มีความเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย และควรให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหน่วยธุรการขององค์การอิสระ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้ องค์การอิสระมีหน่วยธุรการเพื่อทำหน้าที่โดยเฉพาะ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีชุด ใหม่พิจารณาต่อไป และเห็นควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า การคุ้มครองผู้บริโภคนอกจากการคุ้มครองการบริโภคสินค้าหรือการรับบริการของประชาชนแล้ว ยังมีความเกี่ยว พันในงานหลายประการที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการอื่นหลายแห่ง สถานะของหน่วยงานที่คุ้มครองผู้ บริโภคจึงมีความสำคัญที่ต้องพิจารณาถึงรูปแบบ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับภาระหน้าที่ที่สามารถทำหน้าที่คุ้ม ครองผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมอบหมายให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาว่าจะสมควรให้สำนักงานคณะกรรม การคุ้มครองผู้บริโภคมีสถานะใด อยู่สังกัดใด และควรกำหนดสถานะของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค หรือกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ไปนำเสนอก.พ.ร. พิจารณา แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 3765 | ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการอนุรักษ์
และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เสนอการปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนา กรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับการบริหารราช การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรม การ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ และแต่งตั้ง นาย สุวิชญ์ รัศมิภูมิ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะ กรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
|
||||||||||||||||||
| 3766 | รายงานผลการตรวจสอบและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากธรณีพิบัติที่จังหวัดพังงา | ทส | 01/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานผลการตรวจสอบและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากธรณีพิบัติที่จังหวัดพังงา โดยได้ทำการสำรวจแหล่งน้ำ จืดที่ได้รับผลกระทบ พบแหล่งน้ำจืดที่มีสภาพเป็นน้ำเค็ม 107 แห่ง และมีสภาพเน่าเสียและมีเชื้อโรคปะปน 54 แห่ง อยู่ในพื้นที่ตำบลบางม่วง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า และตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รวมทั้งได้ตรวจวิเคราะห์ปริมาณเชื้อแบคทีเรียโดยสุ่มตัวอย่างแหล่งน้ำจืดที่ได้รับผลกระทบ 8 แห่ง พบแหล่งน้ำ ที่มีปริมาณแบคทีเรียชนิด Enterococci และ E.coli ในระดับที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินอาหารและโรค ทางเดินหายใจ ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อประชาชน จึงได้ดำเนินการปรับปรุงสภาพความสกปรกของแหล่ง น้ำดังกล่าวโดยการเติม Effective Microorganism (EM) และฆ่าเชื้อแบคทีเรียในขั้นตอนสุดท้ายด้วยแคลเซียมไฮ โปคลอไรด์ ซึ่งปรากฏว่า ปริมาณเชื้อโรคและคลอรีนตกค้างอยู่ในระดับที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการ บำบัดน้ำเสียจากการพิสูจน์ศพผู้เสียชีวิตซึ่งมีเชื้อโรคปะปนและบำบัดกลิ่นเหม็นในบริเวณตู้คอนเทนเนอร์เก็บศพ ที่วัดย่านยาว และดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นในระหว่างการตรวจพิสูจน์ศพเป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นการป้อง กันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและกลิ่นเหม็นรบกวน
|
||||||||||||||||||
| 3767 | มาตรการและโครงการตามกรอบยุทธศาสตร์และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน | นร | 01/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ)
เสนอกรอบงบประมาณโครงการตามกรอบยุทธศาสตร์การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 6 จังหวัด ชายฝั่งทะเล อันดามัน วงเงินรวม 2,651 ล้านบาท งบประมาณ งบกลาง ประจำปี พ.ศ. 2548 สำหรับดำเนินการตามกรอบ ยุทธศาสตร์ดังกล่าว วงเงินรวม 1,401 ล้านบาท และงบผูกพันประจำปี พ.ศ. 2549 วงเงิน 1,200 ล้านบาท และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป โดย โครงการจัดสร้างอนุสรณ์สถานเหตุการณ์ภัยพิบัติจากคลื่นสึนามิ จังหวัดพังงา ให้ดำเนินการได้เฉพาะส่วนของ การดำเนินการออกแบบแล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อน โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณเพื่อการนี้ได้ ในวงเงิน 50 ล้านบาท ส่วนโครงการต่าง ๆ ภายใต้มาตรการด้านการตลาดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วงเงิน 400 ล้านบาท ให้พิจารณาปรับปรุงและจัดลำดับความสำคัญของโครงการ โดยให้มุ่งประชาสัมพันธ์เผย แพร่ข้อมูลข้าวสารให้แก่สื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ได้ทราบความคืบหน้าในการปรับปรุง พัฒนา และฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวใน 6 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งกลับสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการ เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยดังกล่าวมากกว่าที่จะดำเนินโครงการในเชิงโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวตามปกติ ทั้งนี้ ให้ใช้งบประมาณเพื่อการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ และเท่าที่จำเป็น
|
||||||||||||||||||
| 3768 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (การปรับปรุงระบบภาษีที่ดิน) | กค | 01/03/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมหารือหน่วยราชการที่
เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเหมาะสมในการยุติแผนงานการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือ ครองตามข้อเสนอของมูลนิธิสถาบันที่ดิน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ซึ่งผลการหารือ กระทรวงการคลัง เสนอว่า ควรยุติแผนดังกล่าว เนื่องจากการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือครองมีการ จัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง (ร้อยละ 2 ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) ซึ่งยังไม่เหมาะสมที่จะนำมา ใช้จัดเก็บในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงการคลังได้เร่งผลักดันให้พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้างให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว โดยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เร่งผลักดันอยู่นี้ จะเป็นการเก็บภาษีใน อัตราไม่เกินร้อยละ 0.3 ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ยุติแผนการศึกษา จัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือครองตามข้อเสนอของมูลนิธิสถาบันที่ดิน และเห็นควร ให้เร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดการกระจาย การถือครองที่ดินได้ในระดับหนึ่งและกระตุ้นให้ใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
|
||||||||||||||||||
| 3769 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจน และการกระจายรายได้ | นร | 22/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนและการกระจาย รายได้ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก และจัดระบบการบริการสังคม ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน และจัดตั้งองค์ กรประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ภายใต้การกำกับของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ (ศตจ.) และเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ผู้อำนวยการ ศตจ. เสนอดังนี้ มอบหมายให้ ศตจ. ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและคณะอนุกรรมการ ศตจ. นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปดำเนิน การในรายละเอียดต่อไป และจัดตั้งหน่วยงานเชิงยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นส่วนราชการ อยู่ในการบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่จัดทำยุทธศาสตร์และบูรณาการแผนงาน/โครง การ/งบประมาณ ในการแก้ไขปัญหาความยากจนและปัญหาสังคมที่ได้รับมอบหมาย โดยให้ ศตจ. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอโครงสร้าง อัตรากำลัง พร้อมทั้งร่างกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องนำเสนอคณะ รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||
| 3770 | การปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 22/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (ฝ่าย
การพาณิชย์) เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยสาระสำคัญของร่างประกาศ ฯ แบ่งออกเป็น 9 หมวด ได้แก่ บททั่วไป การใช้แรงงานทั่วไป การใช้แรงงานหญิง ค่าจ้างค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เงินทดแทน สวัสดิการ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน การควบคุมกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการให้นายจ้างจัดให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และค่าชดเชย และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 3771 | การปรับปรุงการให้บริการโดยใช้เทคโนโลยี (IT) เพื่อให้ผู้ส่งออกใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA | มท | 22/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการส่งเสริมเพื่อให้มีการใช้
สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Area - FTA) กับประเทศต่าง ๆ โดยได้นำระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการตรวจสอบรายการสินค้าภายใต้ความตกลง ฯ ผ่านทาง Web site และนำระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI) ผ่านทาง Internet มาใช้ให้บริการตรวจสอบต้นทุนการผลิตสินค้า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 สำหรับการออกหนังสือรับรอง แหล่งกำเนิดสินค้า ได้ให้บริการในระบบดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 รวมทั้งได้ขยายการให้บริการ ไปยังหน่วยงานในส่วนภูมิภาค โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ได้ติดตั้งและเชื่อมโยงระบบงาน ฯ กับหน่วย งานในส่วนกลางไปแล้ว รวม 18 จังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จะดำเนินการเพิ่มเติมอีก 23 จังหวัด และปี งบประมาณ พ.ศ. 2549 ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการในจังหวัดที่เหลือให้ครบทุกจังหวัดทั่ว ประเทศ โดยเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจและเชิญชวนให้มีการใช้ สิทธิพิเศษ ฯ อย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ได้ออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลง ฯ กับสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย และ ออสเตรเลีย จำนวนรวมทั้งสิ้น 19,508 ฉบับ มูลค่า 546.65 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 21,785.01 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการค้าของไทยกับประเทศดังกล่าวขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยหากการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการ ค้าเสรีกับประเทศอื่น ๆ สำเร็จ จะทำให้มูลค่าการค้าสินค้าและบริการของไทยขยายตัวมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 3772 | รายงานสถานการณ์ภัยแล้งและการให้ความช่วยเหลือ | กษ | 22/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสถานการณ์ภัยแล้งและการให้
ความช่วยเหลือ ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2548 โดยสถานการณ์ทั่วไป พื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ความแห้งแล้ง รวม ทั้งสิ้น 55 จังหวัด พื้นที่การเกษตรเสียหายจำนวน 53 จังหวัด คาดว่า จะเสียหายด้านพืชประมาณ 19.21 ล้าน ไร่ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 14,725 ล้านบาท โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับความเสีย หายด้านพืชมากที่สุด คือ 8.5 ล้านไร่ ส่วนสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ มีปริมาตรน้ำใช้ การได้ร้อยละ 47 ของความจุอ่างที่ใช้การได้ (20,870 ล้าน ลบ.ม.) อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ลำพระเพลิง ทับเสลา กระเสียว แก่งกระจาน และปราณบุรี มีปริมาตรน้ำน้อย รวมทั้งสภาพน้ำในแม่น้ำสายต่าง ๆ ทั่ว ประเทศอยู่ในเกณฑ์น้อย และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนสภาพความเค็มของน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ใน เกณฑ์ปกติ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความช่วยเหลือโดยสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ เข้าช่วยเหลือการเพาะปลูกข้าวนาปรัง พืชไร่ การอุปโภค-บริโภค การใช้เงินทดรองราชการของจังหวัดเพื่อช่วย เหลือเกษตรกรที่ประสบภัยฝนทิ้งช่วง จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อติดตามสภาวะอากาศ เพื่อปฏิบัติการ ทันทีที่สภาพอากาศอำนวย นอกจากนี้ ได้มีแผนรับสถานการณ์ในช่วงฤดูแล้งปี 2548 ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นแนวทางในการบูรณาการการดำเนินงานให้สอดคล้อง ประสาน และเป็นเอกภาพ รวมทั้งได้จัดทำโครงการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในระยะเร่งด่วนเฉพาะพื้นที่เป้า หมาย ได้แก่ โครงการพัฒนาโครงข่ายน้ำและการเกษตรแบบบูรณาการ (น้ำแก้จน) โดยได้จัดทำระบบชล ประทานและบูรณาการเกษตรควบคู่กัน โครงการแหล่งน้ำในไร่นา โครงการพัฒนาดิน โครงการพัฒนาแหล่ง น้ำขนาดเล็ก โครงการระบบส่งน้ำในไร่นา โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อพัฒนาแหล่งผลิตชุมชน และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในไร่นอกเขตชลประทาน
|
||||||||||||||||||
| 3773 | ร่างระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานงบประมาณจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. .... | นร | 15/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1.2 ที่มีมติ
เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงบประมาณเสนอร่างระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงบประมาณจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. .... โดย สาระสำคัญของร่างระเบียบทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว เป็นการปรับปรุงระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2534 เพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ รวมทั้งปรับ ปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงบประมาณจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2546 เพื่อให้การ บริหารงบประมาณระดับจังหวัดสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาในระดับรากหญ้าของประชาชนใน เชิงมิติพื้นที่ระดับภูมิภาคและท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่าการบริหารงบประมาณของจังหวัด ควรระบุให้ชัดเจนว่า หมายถึงจังหวัดที่ตั้งของโครงการ มิใช่จังหวัดที่ตั้งของหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ ส่วน การพิจารณาให้ความดีความชอบแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพตามยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ให้กำหนดตัวชี้วัดผลงาน (Key Performance Indicators : KPI) ร่วมกันระหว่างส่วนราชการซึ่ง เป็นราชการบริหารส่วนกลางที่ตั้งในจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ไปพิจารณาประกอบด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 3774 | การบริหารการเปลี่ยนแปลงในส่วนราชการที่มีความสำคัญสูงต่อยุทธศาสตร์รัฐบาล | นร | 15/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7(ฝ่ายกฎ
หมาย ระบบราชการและการประชาสัมพันธ์) ที่มีมติเกี่ยวกับแนวทางของระบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงใน ส่วนราชการที่มีความสำคัญสูงต่อยุทธศาสตร์รัฐบาลในส่วนของการปรับปรุงระบบบุคคลและค่าตอบแทน โดย ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติข้าราชการพล เรือน พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามหลักการที่ ก.พ.ร. เสนอ โดยกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการ และการดำเนินการให้ชัดเจน โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะ กรรมการกลั่นกรอง ฯ ไปพิจารณาด้วยดังนี้ การกำหนดให้มีข้าราชการพลเรือนวิสามัญในกรณีที่มีความจำเป็น เพื่อดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้คำนึงถึงผลกระทบกับข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้เติบโตในระบบราช การ เพราะจะกระทบขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ไม่อาจเติบโตในสายงานของตนเองได้ รวมถึงการกำหนด สิทธิพิเศษในส่วนของเงินเดือน หรือค่าตอบแทน และยกเว้นการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบที่มีอยู่ ต้องมีหลักเกณฑ์ และเหตุผลที่ชัดเจนถึงความแตกต่างที่สามารถตอบคำถามในความแตกต่างได้ ส่วนคำว่า "ข้าราชการพลเรือน วิสามัญ" ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ได้ให้ความหมายถึง ข้าราชการพลเรือน ในพระองค์ด้วย การปรับเปลี่ยนให้มีข้าราชการพลเรือนวิสามัญควรพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้ การดำเนินการตามที่ ก.พ.ร. เสนอต้องแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ไปพร้อมกับการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 โดยให้ กำหนดรายละเอียดให้มีความสอดคล้องต้องกัน และเป็นเรื่องเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความ สำคัญต่อระบบราชการ และมีผลกระทบกับข้าราชการทั้งประเทศ จึงควรที่จะได้มีการรับฟังความคิดเห็นของข้า ราชการด้วย แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ พิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และ ให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน
|
||||||||||||||||||
| 3775 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา) | ทส | 15/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา ตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยกรมควบ คุมมลพิษ ได้ดำเนินการจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไขและฟื้นฟูคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมี องค์ประกอบต่าง ๆ คือ เป้าหมาย มาตรการ แผนงาน โครงการ/กิจกรรม งบประมาณ และหน่วยงานที่รับ ผิดชอบในการดำเนินงานโดยจัดทำเป็นแผน 3 ปี (พ.ศ. 2549-2551) รวมทั้งได้จัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเพื่อพิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ข้อเสนอแนะและมี มติมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องกับแนวทางที่สภาที่ปรึกษา ฯ เสนอต่อคณะ รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการปรับแผน ฯ ในเบื้องต้น อนึ่ง กรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2547 และจะได้นำ เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||
| 3776 | การดำเนินงานศูนย์อำนวยการเฝ้าระวังดูแลสุขภาพผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์ Tsunami | สธ | 15/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินงานศูนย์อำนวยการเฝ้า
ระวังดูแลสุขภาพผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์ Tsunami สรุปดังนี้ ตามที่ได้เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ Tsunami ถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์ อำนวยการเฝ้าระวังดูแลสุขภาพผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ Tsunami และจัดตั้งสำนักอำนวยการเฝ้าระวังดูแลสุขภาพ ผู้ประสบภัย ณ โรงพยาบาลตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เพื่อทำหน้าที่ควบคุม สนับสนุน แก้ปัญหาการปฏิบัติงานเฝ้า ระวังดูแลสุขภาพผู้ประสบภัยใน 6 จังหวัดที่ประสบภัย โดยในส่วนของข้อมูลทั่วไปและความเสียหายในพื้นที่เกาะ พระทองเป็นพื้นที่เกาะที่ชาวบ้านได้รับความเสียหายทั้งหมด จำนวน 4 หมู่บ้าน หลังคาเรือนเสียหาย 161 ครัว เรือน ประชากรได้รับผลกระทบ 200 กว่าคน เสียชีวิต 22 คน สูญหาย 12 คน สถานีอนามัยเสียหายทั้งหลัง 1 แห่ง บ้านพักข้าราชการเสียหายทั้งหลัง 1 แห่ง ทรัพย์สินส่วนตัวเสียหาย ของเจ้าหน้าที่ 2 ราย และ อสม. 34 ราย โดยผลความเสียหายพบว่า มีความเสียหาย 100% สภาพเกาะไม่มีคนอยู่อาศัย แต่มีอาสาสมัครของชมรม คริสเตียน จำนวนประมาณ 160 คน ไปช่วยเก็บทำความสะอาดขยะ สำหรับซากปรักหักพัง ที่ต้องใช้เครื่องจักร กลหนักยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานใด ส่วนชาวบ้านได้ย้ายไปอยู่บ้านพักพิงชั่วคราวซึ่งทางกองทัพ บกเป็นผู้สร้างให้ ที่บ้านทุ่งละออง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา สำหรับบ้านพักถาวรอยู่ระหว่างการตกลงของ ชาวบ้าน ส่วนสถานีอนามัยเกาะพระทอง และบ้านพักที่เสียหายทั้งหลังยังไม่ได้รับการปรับปรุง ทั้งนี้ ในส่วน ของการดำเนินช่วยเหลือเบื้องต้นได้มอบเจลล้างมือ ยากันยุง ซึ่งผลิตโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้อาสา สมัครที่ไปทำงานบนเกาะ และมอบหมายกรมอนามัยดำเนินการสร้างส้วม เพื่อให้อาสาสมัครและคนงานได้ใช้
|
||||||||||||||||||
| 3777 | ผลการเยือนจังหวัดอาเจห์ อินโดนีเซีย | กต | 15/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอผลการเยือนจังหวัดอาเจห์
อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนของส่วน ราชการ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยในการเยือนครั้งนี้ ได้มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่อินโดนีเซีย ได้แก่ น้ำดื่ม เสื้อแจ๊คเก็ต และผ้าห่ม และได้มีการหารือกับผู้แทนของ UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (OCHA) ในสุมาตรา โดยฝ่ายไทยได้แจ้งให้อินโดนีเซียทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเยือนอาเจ์ในครั้งนี้ รวมถึงการดำเนินเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ และการฟื้นฟูบูรณะพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ โดยประ เด็นที่ไทยให้ความสำคัญขณะนี้คือ การพิสูจน์ศพ เนื่องจากผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก ส่วนประเด็นที่อินโดนีเซียให้ความสำคัญอย่างมากในขณะนี้คือ การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสาธารณสุขของ ประชาชน โดยทางการอินโดนีเซียสามารถจัดการเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรคระบาด ในพื้นที่ประสบภัยได้ อย่างน่าพอใจ เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีการแพร่กระจายของโรคระบาดแต่อย่างใด แต่มีความกังวลเกี่ยวกับการ สร้างที่พักอาศัย การฟื้นฟูสภาพจิตใจของประชาชนจากเหตุภัยพิบัติ ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญและพร้อมจะส่งคณะ จากกระทรวงมหาดไทยไปจังหวัดอาเจห์เพื่อหาข้อมูลประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางให้ความช่วยเหลือใน การสร้างที่อยู่อาศัยต่อไป จากการเดินทางไปเยือนอาเจห์ครั้งนี้ทำให้ทราบว่าการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในอินโดนี เซียดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และยังมีปัญหาที่จะต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขอีกมาก ไทยสามารถเข้าไปมีบทบาท ในบางเรื่องได้ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะ กรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ระหว่างประเทศ และภาคเอกชนประสานเชิญฝ่ายอินโดนีเซียมาเพื่อร่วมปรึกษาหารือกับฝ่ายไทย เกี่ยวกับการ จัดการฝึกอบรมในด้านการฟื้นฟูบูรณะสภาพแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพให้กับชาวอาเจห์ รวมทั้งให้ กระทรวงมหาดไทย และการเคหะแห่งชาติประสานเชิญฝ่ายอินโดนีเซียมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับฝ่ายไทย เพื่อศึกษาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการก่อสร้างที่พักอาศัยให้กับชาวอาเจห์
|
||||||||||||||||||
| 3778 | รายงานความคืบหน้าการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2547 | คค | 08/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าการปรับปรุงประสิทธิภาพ
การบริหารงานขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2547 ซึ่ง ผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ณ เดือนธันวาคม 2547 องค์การรับส่งสินค้า ฯ มีผล ประกอบการขาดทุนสะสมเหลือเพียง 1,395 ล้านบาท เทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ซึ่งมีผลประกอบ การขาดทุนสะสมจำนวน 1,456 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการกำไรสุทธิ องค์การรับส่งสินค้า ฯ มีผล ประกอบการกำไรสุทธิปริมาณ 61 ล้านบาท เป็นผลมาจากมาตรการลดรายจ่ายในด้านต่าง ๆ เช่น การควบ คุม การเบิกจ่ายน้ำมันให้สอดคล้องกับระยะทาง การแก้ไขปัญหาการทุจริต การลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัด การ การเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร รวมทั้งการเพิ่มมาตรการบริหารจัดการ ได้แก่ การนำระบบ IT เข้ามาติดตั้ง ในองค์กร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
| 3779 | สรุปผลการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 10 (COP 10) | ทส | 08/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 10 (The Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change-10th Session : COP 10) ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 6-17 ธันวาคม 2547 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนติ นา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจาต่อรองในรายละเอียดของการดำเนินงานตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในส่วนของผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศภาคีอนุ สัญญา ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรเอกชน และสื่อมวลชน โดยมีนายอสิพล จับจิตรใจดล เอก อัครราชทูตไทยประจำกรุงบัวโนส ไอเรส เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมทั้งผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมดัง กล่าว สำหรับสาระสำคัญของการประชุมได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ร่างแผนงาน 5 ปี ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ-สังคม ที่เป็นผลกระทบต่อความอ่อนไหวและการปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ยกร่างแผนงาน 5 ปีดังกล่าว ซึ่ง ร่างแผน 5 ปีนี้จะประกอบด้วยข้อมูลและวีการ การประเมินความอ่อนไหว แผนปฏิบัติการของการปรับตัว และการบูรณาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยสามารถใช้แผนงาน 5 ปีนี้เป็นกรอบในการจัดทำ แผนปฏิบัติการ ในด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ การให้ความสำคัญและ ผลักดันให้มีการศึกษา วิจัย และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากแบบจำลองในระดับภูมิภาค และอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นชอบให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และประสบการณ์ระหว่างประเทศภาคีอนุสัญญา ฯ ในการดำเนินงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยนำข้อมูล ข้อคิดเห็น และประสบการณ์จากประเทศภาคีเหล่านั้นมาใช้ในการ ดำเนินงาน โดยเฉพาะการนำระบบการขึ้นทะเบียน (Registry System) และการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก (Greenhouse Gas Inventories) มาใช้ในการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานเกี่ยวกับ การลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาและเห็นชอบเกี่ยวกับโครงการปลูกป่าขนาดเล็ก ภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด การปรับปรุงระบบเข้าถึงข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Inventorise) ของ UNFCCC ให้เป็นปัจจุบัน และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการให้การศึกษา ฝึก อบรม และการสร้างความตระหนักในระดับภูมิภาค อนุภูมิภาค และระดับประเทศ โดยประเทศญี่ปุ่นเสนอ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
| 3780 | การโอนอัตราเงินเดือนของกองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ | ตช | 08/02/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ (1) อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ให้โอนอัตรากำลังของกองบังคับการสืบสวน สอบสวนคดีเศรษฐกิจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 378 อัตรา ไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวง ยุติธรรม ตามพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการฯ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547 โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งเลขที่ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนที่จะ ต้องตัดโอนไปให้สำนักงาน ก.พ. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 15 วัน เพื่อสำนัก งบประมาณ และกรมบัญชีกลาง จะได้ดำเนินการต่อไป และมอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณา ดำเนินการตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ โดยด่วนต่อไป ดังนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ มีมติเห็นชอบให้ถ่ายโอนภารกิจการป้องกันและระงับอัคคีภัยของกองบังคับการตำรวจดับเพลิง สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ ไปสังกัดกรุงเทพมหานครแล้ว ซึ่งอัตรากำลังในส่วนนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรปรับ เปลี่ยนให้ไปอยู่ในตำแหน่งงานอื่นที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจดับเพลิงให้ยุบ และย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งอื่นต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับการยุบเลิกกองบังคับการตำรวจดับเพลิงดังกล่าว และโดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ ทั้งนี้ ผลจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ปัจจุบัน สำนักงานตำวจแห่งชาติ ควรดำเนินการจัดการเกี่ยวกับอัตรากำลังที่มีอยู่ในภาพรวมทั้งระบบของ โครงสร้างใหม่ให้มีความเหมาะสมต่อไป และหากเห็นว่า หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ยังมีความจำเป็นต้องใช้ อัตรากำลังพลเพิ่มขึ้นอีก ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามขั้นตอนขอรับการจัดสรรอัตรากำลัง จากคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ตามความจำเป็น และขอตั้งงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป นี้และ (2) คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานการ ดำเนินงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วรายงานให้รองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ทราบด้วย และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการเกลี่ยอัตรา กำลังตำรวจดับเพลิง ซึ่งให้มีการถ่ายโอนภารกิจป้องกันและระงับอัคคีภัยของกองบังคับการตำรวจดับเพลิง ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2546 เรื่อง การดำเนินงานการถ่ายโอนภารกิจของกองบังคับการตำรวจดับเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่ใน ความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 เรื่อง ปัญหาการ ถ่ายโอนภารกิจของกองบังคับการตำรวจดับเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่ในความรับผิดชอบของ กรุงเทพมหานคร ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน |
||||||||||||||||||
.....
