ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
201 | การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผา | นร. | 19/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗)
มอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวทางเพิ่มเติมในเรื่องต่าง ๆ
ไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขและบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสิทธิในการรับความช่วยเหลือจากรัฐ
ที่ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อกำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากประทศเพื่อนบ้านที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา
นั้น โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบข้ามแดนจากการเผาแปลงเพาะปลูกข้าวโพดในประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรวดเร็ว
รวมทั้งไม่ให้ขัดต่อข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศที่จะเกิดขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
202 | การส่งเสริมการส่งออกเนื้อโคและผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องไปยังต่างประเทศ | นร. | 19/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การส่งออกเนื้อโคและผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องไปยังต่างประเทศมีคุณภาพ
มาตรฐาน
เป็นที่ยอมรับของประเทศผู้สั่งซื้อและสามารถจะขยายตลาดการส่งออกให้เพิ่มมากขึ้น
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ ดูแล
และติดตามการดำเนินการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบให้ถูกต้อง เหมาะสม
รวมทั้งการควบคุมคุณภาพของวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคสำหรับโคให้เป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัย
เพื่อให้สามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการกำกับ ดูแล
การส่งออกเนื้อโคและผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
203 | การเพิ่มมูลค่าของลำไยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ | นร. | 19/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ
(กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๒ (จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน)
เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗
หลายจังหวัดมีข้อเสนอให้ผลักดันเรื่องการเพิ่มมูลค่าของลำไย
เนื่องจากลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคเหนือที่มีตลาดรองรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมากในอีก ๓ เดือนข้างหน้า ดังนั้น
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานทีเกี่ยวข้องเร่งบูรณาการการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการผลผลิตลำไยให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพและปลอดภัย
(Food Safety)
มีปริมาณและการกระจายผลผลิตที่สมดุลกับความต้องการของตลาดทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศและเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศ
รวมทั้งมีการส่งเสริมให้มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากลำไยที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ราคาลำไยมีเสถียรภาพและไม่เกิดปัญหาลำไยล้นตลาดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
204 | การดำเนินงานโครงการ "โคแสนล้าน" นำร่อง | สทบ. | 19/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการ “โคแสนล้าน” นำร่อง ซึ่งดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อของสถาบันการเงินที่กำหนด
กรอบวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท
เพื่อส่งเสริม สนับสนุน การสร้างงาน สร้างอาชีพ
สร้างรายได้ให้ครัวเรือนสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
ลดภาระค่าครองชีพให้กับครัวเรือนสมาชิก
ยกระดับการผลิตโคเนื้อที่มีคุณภาพสูงสู่ตลาดภายในและต่างประเทศ ส่งเสริมการตลาด
ขยายโอกาสทางการค้า เพิ่มศักยภาพการแข่งขันสร้างความมั่นคงทางอาหาร
และให้สมาชิกเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาทักษะด้านอาชีพการเลี้ยงโคคุณภาพสูงอาชีพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ
และมอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อพิจารณารายละเอียดของแนวทางการดำเนินโครงการนี้ในประเด็นต่าง
ๆ ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนและหมาะสม (เช่น อัตราดอกเบี้ยที่รัฐต้องรับภาระชดเชย
กรอบวงเงินงบประมาณที่ต้องใช้สำหรับการดำเนินโครงการ “โคแสนล้าน” นำร่อง
และการกำหนดระยะเวลาที่เกษตรกรจะต้องชำระคืนเงินกู้ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่เกษตรกรจะคืนทุนจากการเลี้ยงโค
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรมีการวิเคราะห์หาแนวทางบริหารความเสี่ยงในการดำเนินโครงการฯ
จากประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตามโครงการโคที่ผ่านมา อาทิ
การสร้างองค์ความรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีในการเลี้ยงโคเนื้อ
การป้องกันไม่ให้เกิดอุปทานส่วนเกิน และความซ้ำซ้อนของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการโคที่ผ่านมา
รวมทั้งควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้เกษตรกรทราบถึงรายละเอียดของโครงการฯ
โดยเฉพาะภาระค่าใช้จ่ายที่เกษตรกรต้องรับผิดชอบ ควรมีกระบวนการควบคุมเพื่อปิดประเด็นข้อบกพร่องและจุดอ่อนจากการดำเนินโครงการในอดีต
รวมถึงการพัฒนาเพิ่มองค์ความรู้ให้เกษตรกรที่ชัดเจนและเป็นระบบเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการให้ครอบคลุมถึงปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ
อาทิ การสนับสนุนแหล่งเงินทุน การจัดหาและคัดกรองแม่พันธุ์โค
กระบวนการเพาะเลี้ยงที่เป็นมาตรฐาน ตลอดจนตลาดในการจัดจำหน่าย ควรกำหนดแนวทางควบคุมดูแลประสิทธิภาพการดำเนินโครงการที่ชัดเจน
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงโคเนื้อที่มีคุณภาพสูง
และป้องกันมิให้เกิดปัญหาภาระหนี้สินต่อเกษตรกรในระยะยาว อาทิ กำหนดคุณสมบัติเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการที่มีศักยภาพและมีความรู้ความสามารถ
รวมทั้งจัดให้มีกระบวนการพัฒนาทักษะเพื่อให้เกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูงได้ต่อไป
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
205 | มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) | กค. | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เป็นการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ซึ่งคาดว่าจะมีศักยภาพในการขยายตัว โดยการใช้ทุนวัฒนธรรมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เช่น ภาคการท่องเที่ยว แฟชั่น
การออกแบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงวัฒนธรรม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ให้เหมาะสม ถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ด้วย ดังนี้ ๑.๑
ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะโดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมงานศิลปะจากศิลปินชาวไทย
รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการส่งออกงานศิลปะที่ผลิตโดยศิลปินชาวไทยไปยังต่างประเทศด้วย
เพื่อสนับสนุนงานศิลปะและช่วยสร้างรายได้ให้แก่ศิลปินชาวไทย ๑.๒
หารือร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การดำเนินมาตรการลดหรือยกเว้นอากรขาเข้างานศิลปะเป็นไปอย่างมีเอกภาพและต่อเนื่องกัน ๑.๓
ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดคำนิยาม
หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะสำหรับรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแท้จริง ๑.๔
ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานเกี่ยวกับการใช้งาน
รวมทั้งมาตรการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพเครื่องยนต์ของรถยนต์โบราณ (Classic Cars) โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยมลพิษทางอากาศด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
206 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | สธ. | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ
ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๘ ประเด็น โดยในส่วนของประเด็นที่เห็นควรให้แก้ไขผู้รักษาการตามกฎหมาย
จาก “นายกรัฐมนตรี” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข” นั้น ยังมีความเห็นบางส่วนที่เห็นว่า
การให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายมีความเหมาะสมแล้ว
เนื่องจากการดำเนินการตามกฎหมายฉบับนี้จำเป็นจะต้องมีการบูรณาการร่วมกับภาคส่วนต่าง
ๆ เพื่อให้นโยบาย แผนงาน และมาตรการต่าง ๆ ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
รวมทั้งการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือผู้มีปัญหาจากการดื่มแอลกอฮอล์เกิดผลสัมฤทธิ์
ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒.
รับทราบคำชี้แจงเหตุผลตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๓.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยเป็นการปรับปรุงคำนิยามให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
เพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการต่าง ๆ เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีผู้รักษาการในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับสถานที่ห้ามจำหน่ายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพิ่มอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ เพิ่มหมวดว่าด้วยการโฆษณาเพื่อการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ห้ามแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ
หรือชักจูงใจ กำหนดให้มีการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพแก่ผู้มีปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
และกำหนดเวลาห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ทั้งนี้
ให้ส่งความเห็นที่มีต่อร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานศาลยุติธรรม
และผลการพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
และความเห็นที่มีต่อประเด็นดังกล่าว ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งคำชี้แจงเหตุผลตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ไปประกอบการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรด้วย ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
207 | รายงานการศึกษา เรื่อง โอกาสของเศรษฐกิจชุมชนกับการเติบโตของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา | สว. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการศึกษา
เรื่อง โอกาสของเศรษฐกิจชุมชนกับการเติบโตของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม
วุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
๒.
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว
ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
208 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา | สว. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future
Food) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
209 | การพิจารณาทบทวนการวางผังเมืองใหม่ | นร. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการและรับฟังความคิดเห็นจากเอกชนและประชาชนในหลายภาคส่วน
ซึ่งมีการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาในการขออนุญาตก่อสร้างและการประกอบอาชีพที่เกิดขึ้นจากการวางผังเมืองในพื้นที่ต่าง
ๆ ไม่สอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองในปัจจุบัน ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการลงทุนทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ
และขจัดปัญหาอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดต่อการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) อันเนื่องมาจากการวางผังเมืองที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาทบทวนการวางผังเมืองในจังหวัดต่าง
ๆ รวมทั้งกรุงเทพมหานครให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน แล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
รวมถึงให้พิจารณาดำเนินการตามแนวทางข้างต้นเพื่อยกระดับเมืองรองต่าง ๆ ให้มีความพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและการลงทุนในพื้นที่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
210 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.02 | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยผลการดำเนินงานของ กปช. มีสาระสำคัญ เช่น (๑)
การสร้างความตระหนักรู้
ความเข้าใจเรื่องสื่อสารที่สำคัญของประเทศและเกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม
เสริมสร้างค่านิยมที่ดีในสังคม เช่น การพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สังคมสูงวัย กับวิถีชีวิตในอนาคต
(๒) การสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทยต่อประชาคมโลก เช่น Health
Care ความก้าวหน้าทางการแพทย์ระดับโลก (๓)
การส่งเสริมให้ประชาชนมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อและข่าวปลอม (Fake News) สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องผ่านช่องทางที่น่าเชื่อถือ เช่น
การจัดการข่าวปลอมผ่านรูปแบบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และ (๔)
การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัล
เช่น การพัฒนาหลักสูตรนักประชาสัมพันธ์และสื่อสารของภาครัฐ และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอของประชาชนไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ให้กระทรวงมหาดไทยเน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัด ๗๖ จังหวัด ให้ความสำคัญกับงานประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนในพื้นที่และสั่งการให้หน่วยงานในระดับจังหวัดสนับสนุนและประสานการดำเนินงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนางานประชาสัมพันธ์ในภาพรวมของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพ
ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงศึกษาธิการ เช่น ควรพิจารณาในมิติของการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม
การรับรู้อย่างเท่าทัน และการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์ในกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่ถูกต้อง
รวดเร็ว ปลอดภัย และมีภูมิคุ้มกันต่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cyber
Crime) ควรพิจารณารูปแบบการสื่อสารที่เหมาะสมให้แก่คนพิการตามประเภทความพิการ
ในทุกช่องทางการสื่อสาร เพื่อให้คนพิการทุกประเภทได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ชัดเจน
และตรงประเด็น และในประเด็นที่ ๕ การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลควรให้มีการรณรงค์สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม
ในมิติทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เพื่อให้ประชาชนและเยาวชนใช้วัฒนธรรมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเอง
และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ความรู้กับประชาชนในทุกภาคส่วนให้รู้เท่าทันสังคมโลก
และประเด็นที่ ๖ ส่งเสริมค่านิยมที่ดีของไทย
ควรผลิตสื่อส่งเสริมค่านิยมไทยในรูปแบบที่หลากหลาย ทันสมัย และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งภาครัฐควรพัฒนาแอปพลิเคชันทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุ
เพื่อให้ข้อมูลและบริการครบทุกวงจร รวมถึงมุ่งเน้นการสื่อสารสร้างค่านิยมไทยร่วมสมัยให้ประชาชนตระหนักว่าการประพฤติตนตามคุณธรรมและค่านิยมพื้นฐานเป็นเรื่องที่ควรทำ ไม่ควรเป็นการบังคับ
ตลอดจนธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติด้วยรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจและแปลกใหม่
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
211 | ร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - ฮ่องกง (First Protocol to Amend ASEAN – Hong Kong, China Free Trade Agreement) | พณ. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
(ASEAN-Hong Kong, China Free
Trade Agreement : AHKFTA) บทที่ ๓ (เรื่อง
กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อรองรับการนำบัญชีสินค้าที่ใช้กฎเฉพาะรายสินค้า (Product
Specific Rules : PSRs) ที่เจรจาใหม่ในระบบฮาร์โมไนซ์
๒๐๒๒ (HS 2022) มาบังคับใช้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
เมื่อลงนามแล้วให้ส่งพิธีสารดังกล่าว
ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓.
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ทั้งนี้
หากมีการแก้ไขถ้อยคำในร่างพิธีสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้พิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
มีผลใช้บังคับ ๖๐ วัน หลังจากวันที่ภาคีทั้งหมดได้แจ้งเลขาธิการอาเซียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าได้ดำเนินตามกระบวนการทางกฎหมายภายในที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของพิธีสารดังกล่าวแล้วเสร็จ ๕.
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการนำส่งสัตยาบันสารของพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
ให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันพิธีสารดังกล่าว เมื่อรัฐสภามีมติเห็นชอบพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
212 | การร่วมรับรองเอกสารกรอบการอำนวยความสะดวกด้านบริการของอาเซียน สำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) | พณ. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารกรอบการอำนวยความสะดวกด้านบริการของอาเซียน
(ASFF) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าวในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(AEM) โดยร่างเอกสาร ASFF มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลและอำนวยความสะดวกด้านการค้าบริการในภูมิภาคและพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันของอาเซียน
มีสาระสำคัญ อาทิ การสร้างความเป็นธรรมและการเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจบริการของอาเซียน
การส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสด้านกฎระเบียบภายในประเทศ
การส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคบริการ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารกรอบการอำนวยความสะดวกด้านบริการของอาเซียน
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวและให้กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
ควรร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ประสานการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเร่งรัดการขยายผลระบบศูนย์กลางบริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ (Biz Portal) ให้ครอบคลุมการออกหนังสือรับรองและใบอนุญาตทุกประเภทรวมถึงระบบการชำระค่าธรรมเนียมและการติดตามสถานะผ่านรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร
ณ จุดเดียว ตลอดจนพัฒนาพื้นที่การให้บริการให้ทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
อย่างทั่วถึง
ควรส่งเสริมให้มีการทบทวนระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการบริหารจัดการภาครัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
และเอื้อต่อการทำธุรกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของประชาชน
โดยต้องให้ความคุ้มครองผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบอย่างเป็นธรรม
และควรคำนึงถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและรักษาความลับทางการค้าอันเป็นที่ยอมรับร่วมกันในระดับภูมิภาค
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
213 | แนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค | อก. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล
ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค
และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน
ก.พ.ร. รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เช่น ร่างแผนปฏิบัติการฯ
ควรมีการจัดการด้านการรับรองมาตรฐานสินค้าฮาลาลที่ส่งผล และการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของร่างแผนปฏิบัติการฯ
ควรเพิ่มเติมให้มีความชัดเจนเพื่อสะท้อนความสำเร็จของการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
214 | มาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | ปช. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
215 | เรื่องสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครพนม สกลนคร และอุดรธานี | นร. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดนครพนม
สกลนคร และอุดรธานี ในระหว่างวันที่ ๑๗-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ ในการนี้ขอมอบหมายการดำเนินการเพิ่มเติมในเรื่องต่าง
ๆ ดังนี้ จังหวัดนครพนม ๑. การอำนวยความสะดวกทางการค้าโดยใช้ระบบ National Single Window รวมทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบ
ขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถให้บริการได้อย่างเต็มศักยภาพและเบ็ดเสร็จ
ณ จุดเดียว (One Stop Service) นั้น ขอให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการดำเนินการให้เรื่องข้างต้นแล้วเสร็จทั้งระบบโดยเร็ว
เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกและรวดเร็วทั้งกระบวนการนำเข้าและส่งออกสินค้า ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งประสานกับกระทรวงมหาดไทย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนมจากเมืองรองให้เป็นเมืองหลักต่อไป จังหวัดสกลนคร ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
(กรมที่ดิน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการทับซ้อนกันของแนวเขตที่ดินของรัฐในพื้นที่หนองหาร
จังหวัดสกลนคร ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติและพัฒนาเป็นท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ต่อไป ๔.
ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาต่อยอดสินค้าชุมชนต่าง
ๆ ของจังหวัดสกลนคร ที่มีลักษณะโดดเด่นและมีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ เช่น ผ้าย้อมคราม
ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้นและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก จังหวัดอุดรธานี ๕.
สืบเนื่องจากการตรวจเยี่ยมค่ายและโรงพยาบาลประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี ขอให้กระทรวงกลาโหม
(กองทัพบก) เร่งประสานกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงรูปแบบที่พักอาศัยภายในค่าย
รวมทั้งโครงสร้างและสิทธิกำลังพลของบุคลากรในสังกัดสถานพยาบาลของกระทรวงกลาโหม
(กองทัพบก) ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
216 | ขอความเห็นชอบท่าทีไทยและรับรองเอกสารที่จะเป็นผลลัพธ์สำหรับการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ ๑๓ [the
Thirteenth Ministerial Conference (MC13)]
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท่าทีของประเทศไทยสำหรับการประชุมดังกล่าวในประเด็นที่ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกอยู่ระหว่างการหารือ
เช่น การเจรจาจัดทำกฎเกณฑ์ว่าด้วยการอุดหนุนประมงระยะที่สอง การเจรจาปฏิรูปการค้าเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร
การค้าและการส่งเสริมด้านการพัฒนาของประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) และประเทศกำลังพัฒนา
การปฏิรูปกลไกการทำงานองค์การการค้าโลกรวมถึงกลไกการระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก
และการค้าและสิ่งแวดล้อม และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายพิจารณาใช้ดุลพินิจในการเจรจาและรับรองผลการเจรจาตามสถานการณ์และความเหมาะสมในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ของไทยต่อไป
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม
MC13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา
๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศก็จะเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญานั้น ต้องมีการออกพระราชบัญญัติ
หรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม
หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์สำหรับการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๒ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
217 | ข้อเสนอแนะในการแก้ไขนิยาม "ป่า" และการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ของไทยเพื่อป้องกันการถูกกีดกันทางการค้าของสหภาพยุโรป | สม. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะในการแก้ไขนิยาม “ป่า”
และการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ของไทยเพื่อป้องกันการถูกกีดทางการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการ ดังนี้
(๑)
แต่งตั้งแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อศึกษาผลกระทบจากกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (๒) แก้ไขนิยาม “ป่า” ให้สอดคล้องกับนิยามสากล และ (๓) ปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ให้มีความสมบูรณ์ชัดเจนอยู่ในฉบับเดียว
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
218 | ร่างกฎกระทรวง ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวม 2 ฉบับ | พณ. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับดังกล่าวที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ได้แก่ ๑) ร่างกฎกระทรวงการโฆษณาคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ กรณีที่บริษัทจำกัดมีหุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการโฆษณาคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์
กรณีบริษัทจำกัดมีหุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือ (หุ้นไม่ระบุชื่อ)
แทนการประกาศหนังสือพิมพ์ (แบบกระดาษ) ได้
ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการโฆษณาคำบอกกล่าวเชิญประชุมใหญ่ และ ๒)
ร่างกฎกระทรวงการแต่งตั้งผู้ประเมินราคา
กรณีที่มีผู้ถือหุ้นคัดค้านการควบรวมบริษัทและไม่สามารถตกลงราคาซื้อขายหุ้นได้
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทจำกัดที่จะควบรวมบริษัทแต่งตั้งผู้ประเมินราคาที่เป็นคนกลาง
ในกรณีที่ผู้ซื้อหุ้นและผู้ถือหุ้นที่คัดค้านการควบรวมบริษัทไม่สามารถตกลงราคากันได้
โดยให้ใช้ราคาตามที่ผู้ประเมินราคาเป็นผู้กำหนด เพื่อให้เกิดความชัดเจนและให้กระบวนการควบรวมบริษัทจำกัดสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
219 | ความก้าวหน้าในการดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใต้กระบวนการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 | ปช. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ภายใต้กระบวนการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
ค.ศ. ๒๐๐๓ (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยได้รับในการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ
ทั้ง ๔ หมวด ได้แก่ หมวดที่ ๒ มาตรการป้องกันการทุจริต
หมวดที่ ๓ การกำหนดให้เป็นความผิดทางอาญา และการบังคับใช้กฎหมาย หมวดที่ ๔
ความร่วมมือระหว่างประเทศ และหมวดที่ ๕ การติดตามทรัพย์สินคืน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการยกระดับการอนุวัติการอนุสัญญาฯ
โดยจะส่งผลให้กฎหมายไทยมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการต่อต้านการทุจริต
ซึ่งเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบผลการพิจารณาต่อข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยได้รับในการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
และสำนักงานอัยการสูงสุดรายงาน
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
220 | แนวทางเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM2.5 | นร. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี ๒๕๖๗ และกลไกการบริหารจัดการ)
เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM ปี ๒๕๖๗
และกลไกการบริหารจัดการ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
รวมทั้งรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ นั้น
จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และสั่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พบว่า
ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ยังคงอยู่ในระดับที่สูงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
จึงขอมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับแนวทางเพิ่มเติมในเรื่องต่าง
ๆ ไปพิจารณาดำเนินการเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น ดังนี้ ๑. การตัดสิทธิในการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ (Negative Incentive) ๑.๑
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากวิธีการเผาแปลงเพาะปลูกไปใช้วิธีอื่น
เช่น การไถกลบตอซัง และให้พิจารณาตัดสิทธิการได้รับความช่วยเหลือชดเชยต่าง ๆ จากภาครัฐสำหรับเกษตรกรที่ไม่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการดังกล่าว ๑.๒
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา ๒. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด (Law Enforcement) ๒.๑
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจอย่างเคร่งครัด
เช่น ๒.๑.๑
ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศเขตห้ามเผา โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พ.ศ. ๒๕๕๐ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืนประกาศดังกล่าว ๒.๑.๒
ให้กระทรวงมหาดไทยบังคับใช้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ในกรณีการเผาที่เป็นเหตุรำคาญ ๒.๒
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเผาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเข้มงวด ๒.๓
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลไม่ให้มีการเผาหรือการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเผาในพื้นที่ความรับผิดชอบ
รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทางกฎหมายกับข้าราชการทุกระดับที่ปล่อยปะละเลยให้มีการกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. การสนับสนุนเชิงรุก (Proactive Campaign) ๓.๑
ให้กรมประชาสัมพันธ์และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
ดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศของรัฐบาล
เพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหา ๓.๒
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้คำแนะนำและสร้างการรับรู้ให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับวิธีการบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยไม่เผาให้ชัดเจนและทั่วถึง
เช่น การไถกลบตอซัง การแปรรูปเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นพลังงานทดแทน
รวมทั้งผลเสียของการเผา ๓.๓
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการและกำหนดมาตรการสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้มีการรับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อนำมาแปรรูป
อันจะเป็นการลดการเผาต่อไป ๓.๔ ให้กระทรวงกลาโหมจัดกำลังพลและอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในการขนส่งเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจากพื้นที่การเกษตรไปยังโรงงานแปรรูปเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นพลังงานและปุ๋ย ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืนนำแนวทางเพิ่มเติมทั้ง ๓
ข้อดังกล่าวข้างต้นไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และจัดทำเป็นมาตรการที่ครบถ้วนและชัดเจนมากยิ่งขึ้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไปด้วย
|