ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
241 | ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. .... | พณ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียมลงกึ่งหนึ่ง
สำหรับค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร
การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรองและค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
(ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และ ๔
อำเภอในจังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย)
ต่อไปอีก ๓ ปี (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๙) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
ที่เห็นควรสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในพื้นที่
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
242 | รายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนนครเชี่ยงไฮ้
สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์
ระหว่างวันที่ ๔-๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน
(นายหวัง เหวินเทา) ในประเด็นการขอให้จีนเป็นเจ้าภาพจัดประชุม Joint Committee (JC เศรษฐกิจไทย-จีน) ครั้งที่
๗ เพิ่มโควตาการอนุญาตเข้าฉายภาพยนตร์จากต่างประเทศ และสนับสนุนการยกระดับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระดับมลฑล/ท้องถิ่น
(๒) การเข้าร่วมงาน CIIE ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้เข้าเยี่ยมชมในส่วนจัดแสดงสินค้าและส่วนนิทรรศการของผู้ประกอบการไทยที่เข้าร่วมงาน
(๓) การหารือกับกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ และภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจในจีน
ในประเด็นการสนับสนุนภาคเอกชนขยายตลาดในจีนและข้อเสนอของภาคเอกชนเพื่อการหารือในการประชุม
JC เศรษฐกิจไทย-จีน (๔) การหารือกับภาคเอกชนจีน
โดยหารือกับบริษัท SINOPEC บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของจีน
และสหพันธ์อุตสาหกรรมบริการเซี่ยงไฮ้ และบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (๕)
กระทรวงพาณิชย์เสนอแนวทางการดำเนินการ เช่น การประสานและติดตามการจัดประชุม JC
เศรษฐกิจไทย-จีน และการจัดทำ MOU ด้านการค้าและช่องทางกระจายสินค้า เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
243 | เรื่องสืบเนื่องจากการเยือนญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ของนายกรัฐมนตรี | นร. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น
สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่
๑๕-๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๖ ได้มีโอกาสหารือกับผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือในภูมิภาคในมิติต่าง
ๆ จึงขอมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับไปประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการดำเนินการส่งออกข้าว
จำนวน ๒ ล้านตัน
ไปยังประเทศอินโดนีเซียให้แล้วเสร็จและเป็นไปตามความประสงค์ของประเทศอินโดนีเซียที่ขอซื้อไว้ ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดการดำเนินการจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองดูแลคนไทยและอำนวยความสะดวกให้แก่ชาวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
244 | รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของรองนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการ | นร 05 | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.)
ของรองนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการ รวมทั้งหมด ๓๗ ราย
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. นายชนินทร์
รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ๒. นางสาวอรณี
รัตนประเสริฐ นักทัณฑวิทยาชำนาญการ ๓. นายศึกษิษฏ์
ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ๔. นายชื่นชอบ
คงอุดม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ๕. พลเอก
ธนะศักดิ์ ชื่นอิ่ม รองปลัดกระทรวงกลาโหม ๖. นางสาวพินทุ์สุดา
ชัยนาม เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ๗. นายมนตรี
เดชาสกุลสม รองปลัดกระทรวงคมนาคม ๘. นายเวทางศ์
พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๙. นางโสรดา
เลิศอาภาจิตร์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๑๐. นายสมคิด
จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ๑๑. นายสมาสภ์
ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ๑๒. นางโชติกา
อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ๑๓.
นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ๑๔. นายพงศธร พอกเพิ่มดี นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๑๕. นายเอกภัทร
วังสุวรรณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ๑๖. นายมงคลชัย
สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๑๗. นางนิชา
หิรัญบูรณะ ธุวธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ๑๘. นางอุดมพร
เอกเอี่ยม รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๑๙.
นางสาวสาวิตรี ชำนาญกิจ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๒๐. นายวีรศักดิ์
ทิพย์มณเฑียร รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ๒๑. นายยุทธนา
สาโยชนกร รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๒๒. นายฉัตรชัย
บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งซาติ ๒๓. นายกิตติศักดิ์ จุลสำรวล กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) ๒๔. นายสุวัฒน์ เอื้อเฟื้อ รองเลขาธิการ
ก.พ. ๒๕. นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ
ก.พ.ร. ๒๖. นายนฤชา ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน ๒๗. นายชยันต์ เมืองสง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ๒๘. นายศุภฤกษ์ ภู่พงศ์ศักดิ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ๒๙. นายประเสริฐ ศิรินภาพร รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ๓๐. นางพิชญดา หัศภาค รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระ ราชดำริ ๓๑. นายศานติ ภักดีคำ รองเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา
รักษาราชการแทนเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา ๓๒. นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ๓๓. นายธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ๓๔. พลตรี ธีรวุฒิ วิทยากรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ๓๕. พลเรือตรี จุมพล นาคบัว ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทาง ทะเล ๓๖. นายทศพร แย้มวงษ์ รองเลขาธิการวุฒิสภา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
245 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ลาดกระบัง ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา | สว. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง
(ไอซีดี) ลาดกระบัง ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา โดยมีข้อเสนอแนะ
แบ่งออกเป็น ๒ แนวทาง ได้แก่ ๑) แนวทางการแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วน เช่น การแก้ไขปัญหาสัญญาสัมปทานสถานี
ระยะสั้น รฟท. ควรเร่งตรวจสอบรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการเพื่อคัดเลือกเอกชนเป็นผู้ประกอบการสถานี
และ รฟท.
ควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยการบริหารจัดการพื้นที่ลานจอดไม่ให้รถบรรทุกจากภายนอกเข้ามาจอดในสถานีแบบประจำ
และ ๒) ข้อเสนอแนะสำหรับแผนระยะกลางและระยะยาว เช่น รฟท. ควรประสานผู้ประกอบการไอซีดีปัจจุบัน
ทั้ง ๖ ราย ในการบริหารการรับส่งตู้สินค้าที่มีประสิทธิภาพ โดยการกำหนด KPI truck turnaround time ไม่เกิน
๒ ชั่วโมง และประเมินผลต่อเนื่อง
และควรเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างสถานี (ไอซีดี) ลาดกระบัง
และท่าเรือแหลมฉบังให้ได้มากกว่า ๓๐ เที่ยวต่อวัน (ไป-กลับ)
และเพิ่มขนส่งด้วยระบบรางอย่างน้อยร้อยละ ๕๐
ของจำนวนตู้สินค้าทั้งหมดที่ขนส่งผ่านสถานี
เพื่อลดปริมาณรถบรรทุกที่เข้ามารับส่งตู้สินค้าในสถานี และกรุงเทพมหานคร ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
246 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) | พณ. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า
ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA)
และอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ในฐานะคณะกรรมาธิการร่วมความตกลง AANZFTA (AANZFTA Joint Committee : JC) ของไทยแจ้งการให้ความเห็นชอบดังกล่าวต่อสมาชิก AANZFTA โดยมอบหมายให้กระทรวงพณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
AANZFTA ฉบับ HS 2022
เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์สนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product-Specific
Rules of Origin) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ฉบับ HS
2022 ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ตรงกันในการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
AANZFTA ต่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการ
รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
เพื่อลดปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
247 | เรื่องสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดกาญจนบุรีของนายกรัฐมนตรี | นร. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๖
ขอมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. การยกระดับการท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี โดยที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับ
3 ของประเทศ
อีกทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่มีศักยภาพจำนวนมาก
แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีระยะเวลาพำนักสั้นหรือไม่พักค้างคืนในพื้นที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวในจังหวัดนี้ค่อนข้างต่ำ
ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักเร่งประสานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมตลอดถึงภาคเอกชน เพื่อกำหนดแนวทาง/มาตรการร่วมกันในการดำเนินการส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรีให้มีความหลากหลาย
น่าสนใจ และมีความต่อเนื่อง
เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวและใช้เวลาพักค้างคืนในพื้นที่นานขึ้น
ซึ่งจะทำให้มีการใช้จ่ายต่าง ๆ สูงมากขึ้นด้วย ๒. การแก้ไขปัญหาการจัดสรรที่ดินทำกินในจังหวัดกาญจนบุรี
เพื่อให้ประชาชนได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินเป็นของตนเองและครอบครัวอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว
จึงขอให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย) เป็นหน่วยงานหลักเร่งประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐทับซ้อนกันและปัญหาการนำพื้นที่ของรัฐในจังหวัดกาญจนบุรีที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาจัดสรรเป็นที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน
บรรลุผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๓.
การเตรียมความพร้อมของจังหวัดกาญจนบุรีในการจัดตั้งเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการค้าชายแดน
จึงขอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดกาญจนบุรีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
248 | การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | นร. | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนส่งเสริมการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโครงการหนึ่งตำบล
หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เร่งพิจารณาปรับปรุงวิธีการและช่องทางในการจัดจำหน่ายและกระจายผลิตภัณฑ์ OTOP
ไปยังผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีความทันสมัย สะดวก
รวดเร็ว และแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลและส่งเสริมให้ผู้ผลิตสินค้า
OTOP ยังคงรักษาคุณภาพ มาตรฐานและปริมาณการผลิต
รวมทั้งความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและผู้บริโภคได้อย่างเท่าทันสถานการณ์
เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ผลิตและวิสาหกิจชุมชนที่เกี่ยวข้องได้อย่างยั่งยืนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
249 | โครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 | อก. | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงเพิ่มเติมว่า การจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยตามโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น
PM2.5
สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) เนื่องจากเป็นการจ่ายเงินตามหลักการ De minimis (การอุดหนุนขั้นต่ำไม่เกินร้อยละ
๑๐ ของมูลค่าผลผลิตรวมในแต่ละปีของพืชชนิดนั้น) ของ WTO ซึ่งเป็นการอุดหนุนภายในที่มีผลต่อการบิดเบือนการค้าน้อยหรืออาจไม่มีผลต่อการบิดเบือนเลย ๒.
อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ควรมีมาตรการหรือแนวทางรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน
และหาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเก็บเกี่ยวอ้อยให้ได้คุณภาพดียิ่งขึ้น
เพื่อลดภาระงบประมาณรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ควรกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด หน่วยงานผู้รับผิดชอบควรมีกลไกและแนวทางการแก้ปัญหาการเผาพื้นที่ไร่อ้อยของเกษตรกรเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศในระยะยาว
และพิจารณาหาแหล่งเงินที่เหมาะสมอื่นจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล
เพื่อให้สามารถลดภาระงบประมาณในอนาคตของภาครัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
250 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2566 และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2566 | นร.11 สศช | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๑ (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ และเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖ มอบหมายให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาความพร้อมและความคุ้มค่าของการลงทุน
จัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน
รวมทั้งความเหมาะสมของแหล่งงบประมาณในการดำเนินการตามขั้นตอน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอโครงการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๑ ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอดังกล่าวของแต่ละจังหวัดเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ตามความจำเป็น เหมาะสม และลำดับความสำคัญเร่งด่วนของแต่ละจังหวัด
ภายในกรอบวงเงินรวมจังหวัดละไม่เกิน ๖๐ ล้านบาท ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับข้อเสนอที่มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาแนวทางการเพิ่มจำนวนด่านการนำเข้ามันสำปะหลังเพิ่มเติม
เพื่อให้มีปริมาณวัตถุดิบเพียงพอต่ออุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง นั้น
ขอให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม
และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในประเทศเป็นสำคัญด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้จังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑
(หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ)
แต่ละจังหวัดเร่งพิจารณาจัดทำข้อเสนอโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่
ตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
251 | การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและการจัดทำเอกสารภาคผนวกเพิ่มเติมเพื่อแนบท้ายความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) “โครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย (ARISE Plus - Thailand) ในสาขาความช่วยเหลือด้านการค้า” | พณ. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับใช้เป็นภาคผนวกเพิ่มเติมเพื่อแนบท้ายความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงิน
(Financing Agreement) “โครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย
(ARISE Plus-Thailand) ในสาขาความช่วยเหลือด้านการค้า”
และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือฯ ของฝ่ายไทย รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับใช้เป็นภาคผนวกเพิ่มเติมเพื่อแนบท้ายความตกลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการขอขยายระยะเวลาในการดำเนินการ (Execution Period) ออกไปอีก ๙ เดือน เฉพาะในส่วนของระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ (Implementation
Period) จากเดิม ๔๒ เดือน เป็น ๕๑ เดือน (สิ้นสุดวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน
๒๕๖๙) ซึ่งต้องจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับใช้เป็นภาคผนวกเพิ่มเติมเพื่อแนบท้ายความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงิน
(Financing Agreement) “โครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย
(ARISE Plus-Thailand) ในสาขาความช่วยเหลือด้านการค้า”
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
252 | โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 | พณ. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกปีการผลิต
๒๕๖๖/๖๗ และอนุมัติกรอบวงเงิน จำนวน ๗๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยให้ใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อน
หากไม่เพียงพอให้กระทรวงพาณิชย์
โดยกรมการค้าภายในเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นควรติดตามและกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการค้าข้าวดำเนินการรับซื้อและเก็บสต็อกข้าวให้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ
อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวและรายได้ของเกษตรกรชาวนาในช่วงสงกรานต์ดังกล่าวจากการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในปีการผลิต
๒๕๖๖/๖๗ และการขอรับชดเชยดอกเบี้ยสำหรับสัญญาเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ควรกำหนดว่าเป็นการชดเชยสำหรับสัญญาเงินกู้ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อข้าวเท่านั้น
และควรมีการตรวจสอบคุณภาพสต็อกข้าวเป็นประจำตลอดระยะเวลาที่เก็บรักษา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและภาคเกษตรต่อจากนี้ไป
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินมาตรการ/โครงการในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพ
(Productivity) ของภาคการเกษตร การพัฒนาภาคเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทานหรือเป็นการยกระดับกระบวนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตร
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ (เรื่อง
การจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
253 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงพาณิชย์) | พณ. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงพาณิชย์
จำนวน ๔ คณะ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๒. คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ๓. คณะกรรมการว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา
(Duty free Quota Free
Scheme : DFQF) ๔. คณะกรรมการนโยบายอาหาร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
254 | การป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ผิดกฎหมาย | นร. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ผิดกฎหมายจากต่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกร และชิ้นส่วนอื่น ๆ ผิดกฎหมาย
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสุกรในประเทศและทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้
รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของผู้บริโภคได้เนื่องจากอาจมีโรคระบาดปนเปื้อนมากับเนื้อสุกรและชิ้นส่วนที่ลักลอบนำเข้ามาดังกล่าวได้
ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบ คัดกรอง
และควบคุมการนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ในทุกช่องทางอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด
รวมทั้งให้เร่งรัดการสืบสวน สอบสวน
และจับกุมผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ในทุกขั้นตอนให้ครบถ้วนทุกราย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กระทำผิดรายใหญ่
เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
255 | การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าโดยใช้ระบบ National Single Window | นร. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของไทยให้ขยายตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งในส่วนของการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน
สมควรที่จะต้องปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ
ของรัฐให้มีความง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) รวมถึงอำนวยความสะดวกทางการค้าให้เพิ่มมากขึ้นผ่านการใช้ระบบ
National Single Window ซึ่งภาครัฐได้มีการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ยังมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการทางปฏิบัติหลายประการ
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงพัฒนาระบบ
National Single Window รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบ
ขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถให้บริการผ่านระบบ National Single Window ได้อย่างเต็มศักยภาพและเบ็ดเสร็จ
ณ จุดเดียว (One Stop Service) ทั้งนี้
ให้นำกรณีการส่งออกสินค้าผ่านแดน ณ ด่านศุลกากรหนองคาย เป็นโครงการนำร่องเพื่อดำเนินการให้บรรลุผลตามแนวทางข้างต้นโดยเร็วก่อนเป็นลำดับแรก
แล้วจึงให้ขยายผลการดำเนินการไปยังด่านศุลกากรแห่งอื่น ๆ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
256 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และขั้นตอนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับนักท่องเที่ยว | นร. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยอันจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และขั้นตอนต่าง ๆ ในการดำเนินการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) ของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางออกจากประเทศไทยให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
257 | การดำเนินการแก้ไขอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกข้าว | นร. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการหารือกับผู้ประกอบการส่งออกข้าว
ได้ทราบว่ามีปัญหาและอุปสรรคหลายประการที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตและส่งออกข้าวของประเทศ
เช่น ปัญหาคุณภาพของพันธุ์ข้าว ผลผลิตต่อไร่ ระยะเวลาในการพิจารณาออกใบรับรองมาตรฐานคุณภาพข้าวประเกทต่าง
ๆ ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวข้างต้นโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
258 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/67 (เพิ่มเติม) | กษ. | 14/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก
ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ (เพิ่มเติม)
และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต
๒๕๖๖/๖๗ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้ดำเนินการต่อไปได้
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
การชดเชยต้นทุนเงินและดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้คงหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชดเชยอัตราต้นทุนทางการเงินที่ต้องขอรับชดเชยจากภาครัฐในอัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ประจำไตรมาส บวก ๑ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง
และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการชดเชยดังกล่าว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนการดำเนินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต
๒๕๖๖/๖๗ ต่อไป ๒.
ให้กำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวข้างต้นเป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
259 | ขอปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) | พณ. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีวว่าด้วยการกำหนดนโยบาย
เศรษฐกิจระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้มีความเหมาะสม
เพื่อให้การดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
260 | ร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์ - เลสเต เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของติมอร์ - เลสเต | พณ. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ของติมอร์-เลสเต
ซึ่งเป็นตราสารที่จัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงผลการเจรจาทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ติมอร์-เลสเต
จะให้ในกรอบ WTO ตามกระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิก WTO
โดยผลการเจรจาระหว่างประเทศไทยกับติมอร์-เลสเต
ในการลดภาษีสินค้านำเข้าและข้อผูกพันเฉพาะรายสาขาการค้าบริการของติมอร์-เลสเต
ต่อไทยที่บรรจุในร่างพิธีสารฯ จะนำไปรวมกับผลการเจรจาระหว่างติมอร์-เลสเตกับประเทศสมาชิกอื่น
ๆ และจะกลายเป็นส่วนต่อท้าย (addendum)
ของพิธีสารภาคยานุวัติ (Protocol of Accession) เข้าเป็นสมาชิก
WTO ของติมอร์-เลสเต และมอบหมายให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำ WTO
และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของติมอร์-เลสเต
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |