ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 15 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 281 - 300 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
281 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (1. นายกองตรี พิสิษฏ์ พิพัฒน์วิไลกุล ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | พณ. | 13/09/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๔ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ กันยายน ๒๕๖๖)
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นายกองตรี
พิสิษฏ์ พิพัฒน์วิไลกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
๒. นายปัญญา ชวนบุญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายนภินทร ศรีสรรพางค์) ๓. นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
282 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต. | 13/09/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการในการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
283 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Council: AEC Council) ครั้งที่ 22 | พณ. | 29/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(ASEAN Economic Community Council : AEC
Council) ครั้งที่ ๒๒ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์)
เข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
ภาพรวมเศรษฐกิจและการค้า คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน (พ.ศ.
๒๕๖๕-๒๕๖๗) จะมีการขยายตัวในระดับปานกลาง ที่ร้อยละ ๕.๖ ในปี ๒๕๖๕ เป็นร้อยละ ๔.๗
ในปี ๒๕๖๖ และคาดว่าจะขยายตัวเป็นร้อยละ ๕.๐ ในปี ๒๕๖๗
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลงจากร้อยละ ๕.๐ ในปี ๒๕๖๕ เป็นร้อยละ ๔.๔ ในปี ๒๕๖๖ และคาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ
๓.๓ ในปี ๒๕๖๗ ๒.
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจที่อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปี
๒๕๖๖ (Priority Economic Deliverable : PEDs) มี PEDs จำนวน ๑๖ ประเด็น
โดยอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน จำนวน ๗ ประเด็น เช่น
การลงนามพิธีสาร ฉบับที่ ๒
เพื่อปรับปรุงความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และการจัดทำแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนว่าด้วยการจัดทำกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน
เป็นต้น ๓.
วาระที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล ได้เน้นย้ำความสำคัญของวาระเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่กลุ่มประเทศดิจิทัลชั้นนำ
โดยขอให้เร่งศึกษาประโยชน์และผลกระทบของการจัดทำกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ๔. การรับรองและให้ความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์
จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ รับรองร่างภาคผนวกประกอบแผนการดำเนินงานสำหรับการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต
ในส่วนของเสาเศรษฐกิจ
และเห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาค
โดยมีประเด็นที่มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมแต่ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่
๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
284 | การร่วมรับรองเอกสารแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในอาเซียน (2566-2570) [Plan of Action for the Promotion of Inclusive Business in ASEAN (2023-2027)] | นร.53 | 23/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในอาเซียน
(2566-2570) [Plan of Action for the Promotion of Inclusive
Business in ASEAN (2023-2027)]
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
และผู้อำนวยการสำนักงานสงเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ให้การรับรองเอกสารแผนปฏิบัติการฯ
ในการประชุมสุดยอดธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่ ๖
และการประชุมรัฐมนตรีระดับสูง ซึ่งมีกำหนดจัดระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ
เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยแผนปฏิบัติการฯ เป็นเอกสารเพื่อกำหนดแนวทางและจัดลำดับความสำคัญสำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
โดยครอบคลุม ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การสนับสนุนให้คำปรึกษาด้านนโยบาย (๒) การพัฒนาธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและยั่งยืน
การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ (๓) ศูนย์องค์ความรู้ด้านธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากของอาเซียน
ตามที่สำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนปฏิบัติการฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความช่วยเหลือและส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างครบวงจร
และควรประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนที่นำทาง (Roadmap)
การส่งเสริมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่ครอบคลุมและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย
รวมถึงผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ตลอดจนมีการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
285 | ขอความเห็นชอบถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีขนส่งเอเปค ครั้งที่ 11 | คค. | 23/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
มติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ส.ยืนยัน ๑๘๒๐๖/๖๖ เรื่อง ขอความเห็นชอบถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีขนส่งเอเปค
ครั้งที่ ๑๑ คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีขนส่งเอเปค ครั้งที่ ๑๑
ก่อนกระทรวงคมนาคมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยถ้อยแถลงของประธานฯ
มีสาระสำคัญ เช่น เน้นย้ำความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. ๒๐๔๐
การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเอาทีอารอ และเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ
เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เน้นบทบาทสำคัญของภาคคมนาคมขนส่ง
และชี้แนะให้คณะทำงานด้านการขนส่งของเอเปคมีส่วนร่วมในการประชุมและการดำเนินงานในอนาคต
ในประเด็นห่วงโซ่อุปทานและการเชื่อมต่อ สภาพภูมิอากาศ
ความครอบคลุมและความเท่าเทียมเพศสภาพ นวัตกรรม และความมั่นคงระดับโลก ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม บูรณาการแนวทางการดำเนินงานและแสวงหาความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมระหว่างสาขาความร่วมมือต่าง
ๆ ในเวทีเอเปคอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างอนาคตที่เปิดกว้าง มีพลวัต
ยืดหยุ่น และสงบสุขสำหรับทุกคน เพื่อบรรลุเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ
เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการสนับสนุนให้เขตเศรษฐกิจต่าง
ๆ ร่วมมือกับภาคการขนส่งและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ
โดยสร้างความตระหนักรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับการใช้ระบบขนส่งที่ผิดกฎหมายเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ร่วมด้วย
และให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคคมนาคมขนส่ง
การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการให้บริการได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง
และการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
286 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ 86) พ.ศ. 2541 พ.ศ. .... | พณ. | 23/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๘๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์
ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๘๖) พ.ศ. ๒๕๔๑
ซึ่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวกำหนดให้ถ่านหินทุกชนิดที่เป็นก้อน ผง
หรืออัดเป็นก้อน เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการส่งออก
แต่เนื่องจากปัจจุบันได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง
กำหนดชนิดและสภาพแร่ที่ห้ามส่งออกกนอกราชอาณาจักรหรือเขตไหล่ทวีป พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งกำหนดมาตรการห้ามส่งออกถ่านหินที่มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักรและเขตไหล่ทวีปออกนอกราชอาณาจักรหรือเขตไหล่ทวีปไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
287 | การร่วมรับรองและให้ความเห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 15/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการร่วมรับรองและให้ความเห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(AEM) การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC Council) การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit)
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่
๑๗-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ ทั้ง ๑๔ ฉบับ
โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสาร
๒ ฉบับ และให้ความเห็นชอบร่างเอกสาร ๑๑ ฉบับ ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสาร
๒ ฉบับ และให้ความเห็นชอบร่างเอกสาร ๔ ฉบับ ในฐานะคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสาร ๒ ฉบับ
ในฐานะผู้นำอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(AEM)
การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council)
การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit)
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
288 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2566 (Ministers Responsible for Trade Meeting 2023) | พณ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๖ (Ministers Responsible for Trade Meeting
2023) ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน
สหรัฐอเมริกา โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์)
เข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมฯ
ยืนยันให้การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี
เร่งรัดการปฏิบัติตามผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World
Trade Organization : WTO) ครั้งที่ ๑๒ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๕
และสนับสนุนให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการประชุมครั้งต่อไป โดยผู้อำนวยการใหญ่
WTO คาดหวังให้ประเด็นการค้าและการพัฒนาเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ดังกล่าว ๒.
ที่ประชุมฯ มีการนำเสนอนโยบายทางการค้าหรือมาตรการภายในที่สนับสนุนความยั่งยืนและส่งเสริมความครอบคลุม
เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium Enterprises : MSMEs) ของสตรีและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่
ทั้งนี้ ไทยสนับสนุนให้สานต่อการขับเคลื่อนเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ
เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว [Bangkok Goals on
Bio-Circular-Green Economy (BCG Economy)] ๓.
ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกาได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีหรือบริการทางดิจิทัลในสาขาการชำระเงิน
แพลตฟอร์มทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการดำเนินการด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนให้
SMEs สามารถเข้าสู่เศรษฐกิจโลกได้มากขึ้น ๔. เขตเศรษฐกิจเห็นพ้องกันในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุน
แต่เนื่องจากเหตุทางการเมืองระหว่างประเทศ (สงครามสหพันธรัฐรัสเซีย-ยูเครน) ที่ประชุมฯ
จึงไม่สามารถมีฉันทามติรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ จึงปรากฏเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
และมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมในบางประเด็นซึ่งไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
289 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2566 | นร.11 สศช | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International
Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๖
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามประเด็นการขับเคลื่อนที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป
โดยสถาบัน IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ ๖๔ เขตเศรษฐกิจ
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยใช้เกณฑ์ตัวชี้วัดในการจัดลำดับฯ รวมทั้งสิ้น ๓๓๖ ตัวชี้วัด แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม
ประกอบด้วย (๑) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (๒) ประสิทธิภาพภาครัฐ (๓)
ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ และ (๔) โครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี ๒๕๖๖ ไทยอยู่อันดับที่ ๓๐
ดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕ ที่อยู่อันดับที่ ๓๓ การจัดอันดับฯ ย่อยทุกด้านดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕
เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น และมีประเด็นที่ให้ความสำคัญ
เช่น เสถียรภาพทางการเมือง การคอร์รัปชัน กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
กระทรางการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม สำนักงาน
ก.พ.ร. และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มตัวชี้วัดที่มีอันตรายค่อนข้างต่ำ
อาทิ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
และด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่มีอันดับตกลงมาจากอันดับที่ ๓๘ มาอยู่ที่อันดับ ๓๙ ซึ่งเป็นผลมาจากด้านค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเกิดการชะลอตัวลงเล็กน้อย
ควรเร่งปรับปรุงและพัฒนางานตามภารกิจตามตัวชี้วัดการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพื่อให้การบริหารงานและการให้บริการมีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
สามารถเทียบเคียงนานาประเทศได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
290 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ | พณ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property
Organization : WIPO) ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ (Memorandum
of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations and the
World Intellectual Property Organization on Expansion of Cooperation in
Specific Areas) และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
ในนามอาเซียน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือระหว่างอาเซียนและ WIPO ในด้านทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องใหม่นอกเหนือจากที่ดำเนินการอยู่แล้วตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ที่อาเซียนดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยดำเนินการใน ๔ ประเด็น ได้แก่
(๑) การให้ความช่วยเหลือ SME และสตาร์ทอัพในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสนับสนุนการค้าภายในภูมิภาคอาเซียนและระหว่างภูมิภาค
(๒)
การยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจด้วยการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ
(๓) การสนับสนุนการนำทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้มาใช้ค้ำประกันเงินกู้เพื่อต่อยอดธุรกิจ
และ (๔) การสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้
๔ ปี และไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันด้านงบประมาณ ตามที่กระทรวงพาณิชย์
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
291 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังบุคคลหรือองค์กร กรณีสาธารณรัฐเฮติ พ.ศ. .... | พณ. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังบุคคลหรือองค์กร
กรณีสาธารณรัฐเฮติ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังนาย
Jimmy Cherizier หรือ Barbeque
และไปยังบุคคลหรือองค์กรที่คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามที่มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำหนด
เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๖๕๓ (ค.ศ. ๒๐๒๒)
กรณีสาธารณรัฐเฮติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
292 | ร่างกฎกระทรวง ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวม 2 ฉบับ | พณ. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวม ๒ ฉบับ ได้แก่
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการโฆษณาคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์
กรณีบริษัทจำกัดมีหุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการโฆษณาคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์
กรณีบริษัทจำกัดมีหุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือ (หุ้นไม่ระบุชื่อ)
แทนการประกาศหนังสือพิมพ์ (แบบกระดาษ) ได้
ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการโฆษณาคำบอกกล่าวเชิญประชุมใหญ่
และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแต่งตั้งผ็ประเมินราคา พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทจำกัดที่จะควบรวมบริษัทแต่งตั้งผู้ประเมินราคาที่เป็นคนกลาง
ในกรณีที่ผู้ซื้อหุ้นและผู้ถือหุ้นที่คัดค้านการควบรวมบริษัทไม่สามารถตกลงราคากันได้
โดยให้ใช้ราคาตามที่ผู้ประเมินราคาเป็นผู้กำหนด
เพื่อให้เกิดความชัดเจนและให้กระบวนการควบรวมของบริษัทจำกัดสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับประเด็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่เห็นควรกำหนดให้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการโฆษณาอย่างน้อยที่สุดต้องให้บริษัทสามารถลงประกาศในเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
และกำหนดให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ประเมินราคาที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในร่างกฎกระทรวงเพื่อให้บริษัทสามารถแต่งตั้งบุคคลจากบัญชีรายชื่อดังกล่าวเป็นผู้ประเมินราคาได้
และการกำหนดให้ข้อความหรือเอกสารที่โฆษณาต้องเป็นเอกสารชุดเดียวกัน
หรือมีเนื้อหาเช่นเดียวกันกับที่ส่งให้แก่ผู้ถือหุ้น
กำหนดให้บริษัทต้องรวบรวมหลักฐานการโฆษณาและรายละเอียดเกี่ยวกับวันที่มีการโฆษณา
รวมทั้งร่างกฎกระทรวงมิได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการนับระยะเวลา
และการมีผลของการลงโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่างกับประกาศการโฆษณาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ฯ
ที่มีการกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน จึงอาจพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์
เพื่อให้การดำเนินการของบริษัทจำกัดเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับบริษัทมหาชนจำกัด ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการกำหนดให้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการโฆษณาอย่างน้อยที่สุดต้องให้บริษัทสามารถลงประกาศในเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
และกำหนดให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ประเมินราคาที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในร่างกฎกระทรวงเพื่อให้บริษัทสามารถแต่งตั้งบุคคลจากบัญชีรายชื่อดังกล่าวเป็นผู้ประเมินราคาได้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
293 | รายงานสรุปผลการดำเนินการคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย | นร.12 | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย
ระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔-มีนาคม ๒๕๖๖ โดยได้ประชุมทั้งสิ้น ๑๐ ครั้ง
เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสำคัญอันจะเป็นส่วนสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
และมีความคืบหน้าที่สำคัญ ได้แก่
การช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถเข้าถึงกลไกการแก้ไขหนี้สินได้ง่ายและเป็นธรรมยิ่งขึ้น
การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่สำคัญเพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem)
ที่เอื้อให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงกลไกการไกล่เกลี่ยหนี้สิน และกำกับให้ธุรกิจสินเชื่อให้ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบยิ่งขึ้น
และการเพิ่มเติมแหล่งสินเชื่อที่เป็นธรรมให้กับประชาชน ตามที่คณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
294 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความตกลง CPTPP ต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเกษตร ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา | สว. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความตกลง CPTPP ต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเกษตร
ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปได้ ดังนี้ ๑) ด้านโยบาย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการดำเนินการ เช่น การเตรียมการเร่งรัดและสนับสนุนงานวิจัยพื้นฐาน
พัฒนา การผลิต และการกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และเตรียมการจัดตั้งงบประมาณในปี ๒๕๖๗
เพื่อเร่งรัดการสร้างความเข้าใจบุคลากรและชาวนา
และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยได้มีการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มที่ประเทศไทยสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมมูลค่าเพิ่มที่เป็นที่ต้องการสูงในกลุ่มประเทศ
CPTPP ๒) ด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อการเจรจา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมประชุมกับหน่วยงานภายในเพื่อจัดทำข้อสงวน
ข้อยืดหยุ่นและ/หรือระยะเวลาปรับตัวของไทยในการรับพันธกรณีความตกลง CPTPP ๓) ด้านการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการผลิตและการค้าสินค้าเกษตร
ได้มีการเร่งรัดดำเนินการในหลายประเด็น เช่น จัดการระบบการผลิต
ส่งเสริมการจัดทำโซนนิ่งพืชปรับเปลี่ยนที่นาในภาคกลางเป็นพื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์โดยเบื้องต้นใช้พันธุ์ข้าว
กข๘๕ และ กข๘๗ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า
๔) ด้านการปรับปรุงทางกฎหมาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติความหลากหลายทางชีวภาพ
พ.ศ.... เพื่อให้เกิดกลไกการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
และ ๕) ด้านการลงทุนที่ภาครัฐควรเร่งรัดให้การสนับสนุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำแผนเตรียมการเข้าสู่
CPTPP ในด้านการเพิ่มศักยภาพด้านวิจัยและพัฒนา
การสร้างธนาคารพันธุกรรม การผลิต การกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๕
และได้ดำเนินการจัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นตามกรอบข้อเสนอ ข้อสงวน ข้อยืดหยุ่น ระยะเวลาปรับตัวของไทยในการรับพันธกรณี
CPTPP ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(ประเด็นด้านพันธุ์พืช)
รวมทั้งได้เผยแพร่เพื่อรับฟังความเห็นบนเว็บไซต์ของกรมวิชาการเกษตรแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
295 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายณรงค์ งามสมมิตร) | พณ. | 11/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณรงค์ งามสมมิตร
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (นิติการ) ระดับสูง] กองกฎหมาย
กรมการค้าภายใน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
296 | ขออนุมัติงบประมาณ งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม งวดที่ 3 และงวดสุดท้าย | พณ. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณ งบกลาง
รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายงวดที่ ๓
ตามพื้นที่จำนวน ๑๓ พื้นที่ และงวดสุดท้าย โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม
เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐๗.๒๔
ล้านาท ก่อนสำนักงบประมาณเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนอนุมัติจัดสรรงบประมาณดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๓) แล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
297 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 27/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ปี ๒๕๖๖ จำนวน ๕๑
รายการ จำแนกเป็น ๔๖ สินค้า ๕ บริการ
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบและปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
298 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ฯลฯ จำนวน 12 คน) | พณ. | 20/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร
จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๑. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายธีรยศ เวียงทอง สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๓. นางสาวณัฐนันท์
สินชัยพานิช สาขาเภสัชศาสตร์ ๔. นายพีระ เจริญพร สาขาเศรษฐศาสตร์ ๕. นายเพชร
เจียรนัยศิลาวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๖. นายวิชา ธิติประเสริฐ สาขาเกษตรศาสตร์ ๗. นายนำชัย
เอกพัฒนพานิชย์ สาขานิติศาสตร์ ๘. นายบุญสนอง
รัตนสุนทรากุล สาขาอุตสาหกรรม ๙. นายชลธิศ
เอี่ยมวรวุฒิกุล สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑๐. นายเกรียงศักดิ์
ขาวเนียม สาขาวิทยาศาสตร์ ๑๑. นายพงศ์พันธ์
อนันต์วรณิชย์ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๑๒. นางสาวโอภา
วัชระคุปต์ สาขาเภสัชศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
299 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ 29 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 16/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ
[ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่
๒๙ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองมาเกอลัง อินโดนีเซีย โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายวันชัย
วราวิทย์) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม สรุปได้ ดังนี้ (๑) การประชุม AEM
Retreat ครั้งที่ ๒๙ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ ได้แก่
การผลักดันด้านเศรษฐกิจ เช่น การอำนวยความสะดวกด้านการบริการของอาเซียน
และการยกระดับความตกลงต่าง ๆ การเสริมสร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมในอาเซียน (๒)
การศึกษากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (๓) การเร่งรัดการดำเนินการตามแผนงาน AEC
Blueprint 2025 เพื่อช่วยเพิ่มการค้าและการลงทุนให้ขยายตัวเป็น ๑.๒
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๘ และ (๔)
การสนับสนุนการจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนในการกำกับดูแลการดำเนินงานของ RCEP ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
300 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2566 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 16/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๖ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ เมือดีทรอยด์ รัฐมิชิแกน
สหรัฐอเมริกา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปค
ค.ศ. ๒๐๔๐ (เป็นการกำหนดความร่วมมือของเอเปคในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า) และแผนปฏิบัติการเอาทีอารอ
ซึ่งมุ่งเน้นให้ผลักดันและขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกใน
๓ มิติ ได้แก่ การค้าและการลงทุน นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล
และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุม
รวมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วย BCG ซึ่งเป็นผลลัพธ์การประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพในปี
๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อม
เช่น สร้างกลไกเชิงสถาบันของชุมชน
เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและเร่งดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวของเอเปคตามความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |