ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
361 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ. | 23/08/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มราคาน้ำนมโคจาก ๑๙ บาท/กิโลกรัม เป็น
๒๐.๕๐ บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้
โดยให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นม (นมพาณิชย์) ให้เหมาะสม
สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้ประกอบการ ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
ในการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรพิจารณาแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบกับโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
เพื่อมิให้กระทบการบริโภคนมโรงเรียนของเด็กและเยาวชน
และให้ความสำคัญกับการเลี้ยงโคนมในรูปแบบเกษตรอัจฉริยะ หรือการเกษตรแม่นยำสูง
โดยการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการเกษตรมาใช้ในการจัดการข้อมูลภายในฟาร์มเพื่อวางแผนปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
362 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายกีรติ รัชโน) | พณ. | 16/08/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกีรติ รัชโน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงพาณิชย์ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
363 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 2/2565 | กค. | 09/08/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๕
ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑.
ภาพรวมการเบิกจ่ายเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวน ๒,๔๖๔,๗๒๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๗๐
ของวงเงินงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ๒.
ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน กระทรวงที่มีผลการเบิกจ่ายสูงสุด ๕ ลำดับ
ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการคลัง
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนกระทรวงที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำสุด ๕ ลำดับ ได้แก่
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม
โดยมีอุปสรรค เช่น
มีการปรับแบบรูปรายการหรือแบบแปลนงานก่อสร้างให้สอดคล้องกับพื้นที่จริง ๓.
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมีกรอบลงทุนปี ๒๕๖๕ ณ สิ้นเดือนเมษายน ๒๕๖๕
จำนวน ๓๓๘,๑๒๖ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายสะสม ๙๙,๗๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐
ของแผนเบิกจ่ายสะสม (๙๙,๔๗๘ ล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๙ ของกรอบลงทุนทั้งปี ๔.
การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่า ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน ๑๐๓ โครงการ
มูลค่ารวม ๒.๕๑ ล้านล้านบาท และมีมูลค่าการลงทุนในปี ๒๕๖๕ จำนวน ๑๙๒,๖๐๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
364 | หลักการในการปรับปรุงพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 | นร.12 | 12/07/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาให้สอดคล้องกับเรื่องการปรับปรุงระยะเวลาการพิจารณาการอนุญาตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ และรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
และธนาคารแห่งประเทศไทย ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
365 | โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565 | พณ. | 05/07/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติการดำเนินโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี ๒๕๖๕
ทั้งนี้ ในการดำเนินการโครงการฯ
จะพิจารณาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออกเฉพาะน้ำมันปาล์มดิบ
เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ตัน
และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก ๑.๒
อนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อดำเนินโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี ๒๕๖๕
รวมทั้งสิ้น ๓๐๙ ล้านบาท ๑.๓
เห็นชอบหลักเกณฑ์การขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ
ตามโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี ๒๕๖๕ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
เช่น ควรมีการติดตาม กำกับดูแลคุณภาพของสินค้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
ควรมอบหมายให้กรมการค้าภายในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานการตรวจสอบปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มคงเหลือภายในประเทศ
เพื่อประกอบการพิจารณาในการผลักดันการส่งออกให้มีความสัมพันธ์ในแต่ละห้วงเวลา
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อควบคุมราคาน้ำมันปาล์มสำหรับการบริโภคให้มีความเหมาะสมและส่งผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
366 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2565 | พณ. | 28/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ
มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๖๕ และพิจารณาสั่งการกำชับให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กองทัพบก กองทัพเรือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และกรมทรัพย์สินทางปัญญากวดขันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในช่องทางออนไลน์
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในภาคเอกชน
และการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ผ่านอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันสำหรับการสตรีมและดาวน์โหลด
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
367 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 28/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๕๑
รายการ จำแนกเป็น ๔๖ สินค้า ๕ บริการ
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
368 | โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี | อก. | 28/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นว่าในอนาคตเหมืองแร่ใต้ดินควรมีการสำรวจทดสอบชั้นหินและชั้นแร่ต่าง
ๆ ทั้งในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม
การค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติทางวิศวกรรมและพฤติกรรมของวัสดุ
ควรต้องกำหนดการบริหารจัดการ
รวมทั้งมาตรการป้องกันการปนเปื้อนหรือแพร่กระจายของสารเคมีหรือวัตถุอื่นใดโดยเฉพาะเกลือและน้ำเค็ม
และคำนึงถึงทุกภาคส่วนอย่างรอบด้านทั้งด้านเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สังคม
และเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗
(เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โพแทชในประเทศไทย)
เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ ๓.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทชให้ถูกต้อง
เหมาะสม คุ้มค่า มีความโปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
และกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามรายงานผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการให้ครบถ้วน
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง
และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
369 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค. | 28/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบผลการพิจารณาขอจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า
พ.ศ. .... โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับช่วยเหลือ เยียวยา
และบรรเทาผู้ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าในภาคการผลิตทั้งเกษตร
อุตสาหกรรม และภาคบริการ
ตลอดจนพัฒนาศักยภาพการแข่งขันให้สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าได้
ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๔
มีมติเห็นชอบในหลักการการขอจัดตั้งกองทุนฯ
และให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศรับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ การดำเนินการในระยะแรกของกองทุนฯ
รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณเป็นทุนประเดิมครั้งแรก จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และกองทุนฯ
ต้องจัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ชัดเจน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ)
รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เช่น (๑)
ควรให้ความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันอย่างยั่งยืนสำหรับประกอบการต่อไป
(๒)
ควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือที่มิให้เกิดความซ้ำซ้อนกับกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงกองทุนอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันของหน่วยงานต่าง ๆ
(๓) ควรทบทวนสัดส่วนของวงเงินทุนประเดิม
เนื่องจากเป็นวงเงินที่สูงและเป็นการกำหนดที่ไม่สอดคล้องกับหลักการและวิธีการจัดทำงบประมาณประจำปีและวินัยการเงินการคลังของประเทศ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
370 | ผลการสรรหากรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์) | สขค | 28/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
จำนวน ๑ คน ได้แก่ นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์
ตามที่คณะกรรมการการสรรหาได้คัดเลือกไว้แล้ว
แทนรองประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
371 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2565 | กษ. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕ โดยมีมติที่สำคัญ
เช่น (๑) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิดและสำรวจและรายงานสต็อกน้ำมันปาล์มดิบและปริมาณการส่งออกให้ทันต่อสถานการณ์
(๒) เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ชุดใหม่แทนชุดเดิมที่กำลังจะหมดวาระ (๓) เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์มภายใต้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ มีอธิบดีกรมการค้าภายใน
เป็นประธาน และมีองค์ประกอบจากหน่วยงานรัฐ ภาคเกษตรกร และภาคเอกชน
โดยมีหน้าที่และอำนาจในการวิเคราะห์ด้านการผลิต การตลาด และการกำหนดมาตรการ
และแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสมดุลน้ำมันปาล์มให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำมันปาล์ม
และ (๔) ให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รับผิดชอบเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของเกษตรกร เช่น
แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องปุ๋ยราคาแพงและการตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ำมันและต้นกล้าพันธุ์ปาล์มน้ำมันปลอม
ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
372 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 4 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint
Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๐
เมษายน ๒๕๖๕ ณ กรุงเทพมหานคร และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม เป็นประธานร่วม
โดยที่ประชุมฯ ได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เป้าหมายการค้า (๒)
ความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการค้าทวิภาคี เช่น ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า
ด้านการเกษตร และด้านการขนส่ง และ (๓)
ความร่วมมือด้านการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น การลงทุน การธนาคาร
และพลังงาน ๒.
มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม JTC ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๔ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-เวียดนาม
เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ตามตารางติดตามการดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
373 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ 4 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ภูฏาน
ครั้งที่ ๔ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ เมษายน ๒๕๖๕ ณ
จังหวัดภูเก็ต และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ
เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับภูฏานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยที่ประชุมฯ ได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ (๑)
การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เช่น เป้าหมายทางการค้า ความตกลงสิทธิพิเศษทางการค้า และการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (๒)
ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การเกษตร หัตถกรรม และการท่องเที่ยว และ
(๓) ประเด็นความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่าประด็นการใช้ประโยชน์ทางภาษีภายใต้โครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุดโดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา
ต้องมีการแจ้งตัวอย่างตราประทับของหน่วยงานและตัวอย่างลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า
และดำเนินการตามขั้นตอนของกรมศุลกากร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
374 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Economic Ministers : AEM Retreat) ครั้งที่ 28 | พณ. | 30/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ
(ASEAN Economic Ministers
: AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๘ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๕
ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายสรรเสริญ
สมะลาภา) เข้าร่วมประชุม สรุปได้ ดังนี้ (๑) การประชุม AEM Retreat ครั้งที่ ๒๘ มีผลการประชุมที่สำคัญ เช่น
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจที่กัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปี
๒๕๖๕ การทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย
การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค (APEC 2022) ของไทย
สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และ (๒) การหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน
มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญ
โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสนับสนุนการดำเนินงานของภาคธุรกิจในประเด็นที่สำคัญในปี
๒๕๖๕ เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
375 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติ ตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 30/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม
และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติ
ตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยเพิ่มบทนิยามคำว่า “หนังสือรับรอง”
เพื่อใช้รับรองการนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์ม (น้ำมันปาล์มเพื่อใช้บริโภค)
และแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม (การแยกส่วนโดยใช้วิธีให้ความร้อนแก่น้ำมันปาล์ม สามารถนำไปใช้ประกอบการทำอาหาร
หรือสบู่) และกำหนดค่าน้ำมันผ่านน้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์มโดยเริ่มต้นที่ด่านศุลกากรสะเดาและสิ้นสุดที่ด่านศุลกากรหนองคาย
เพื่อนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
376 | การแก้ไขภาคผนวก 2 (กฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า) เรื่อง การปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ จากฉบับปี 2002 เป็นฉบับปี 2017 ของกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) | พณ. | 24/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้การแก้ไขภาคผนวก ๒ (กฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า) เรื่อง
การปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ จากฉบับปี ๒๐๐๒ เป็นฉบับปี ๒๐๑๗ ของกฏถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
(ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์สามารถร่วมให้การรับรองการแก้ไขดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการร่วมภายใต้ความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
(AJCEP-JC) ครั้งที่ ๒๐
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้ภาคผนวก ๒
(กฏถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) พิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๗
ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) มีผลใช้บังคับภายในประเทศต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กรมศุลกากร
ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบควรเร่งแก้ไขระเบียบภายในที่เกี่ยวข้องเพื่อให้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายการตามระบบฮาร์โมไนซ์ฉบับปี
๒๐๑๗ ภายใต้ความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP)
สามารถบังคับใช้ได้ทันท่วงทีภายหลังจากคณะกรรมการร่วมภายใต้ความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
(AJCEP-JC) ได้ให้ความเห็นชอบการปรับโอนดังกล่าวแล้ว เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
377 | ขออนุมัติกรอบวงเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 เพิ่มเติม | พณ. | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบการเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๔/๖๕ จากเดิม
๕๔,๙๗๒.๗๒
ล้านบาท เป็น ๕๕,๕๖๗.๓๖ ล้านบาท จำแนกเป็น ๑.๑ วงเงินที่จ่ายให้เกษตรกร จากเดิม จำนวน
๕๓,๘๗๑.๘๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้น
๕๘๓.๑๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๔,๔๕๔.๙๔ ล้านบาท ๑.๒ ค่าชดเชยต้นทุนเงิน จากเดิม จำนวน ๑,๐๗๗.๔๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๑.๕๔ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น
๑,๐๘๘.๙๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจะใช้จ่ายจากงบประมาณคงเหลือจากโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๔/๖๕ (โครงการประกันรายได้ฯ) ๒.
รับทราบการขยายระยะเวลาตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติเห็นชอบแล้ว
ดังนี้ ๒.๑ ขยายระยะเวลาการจ่ายเงิน จากเดิม
สิ้นสุดวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕ เป็น สิ้นสุดวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ ๒.๒ ขยายระยะเวลาโครงการ จากเดิม
สิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เป็น สิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น
ควรมีการวางระบบที่สามารถตรวจสอบและประมาณการจำนวนครัวเรือนเกษตรกรทั้งพื้นที่ขึ้นทะเบียนที่ถูกต้อง
รัดกุมให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง มีกระบวนการตรวจสอบและรับสิทธิ
การสำรวจพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมย่างรัดกุมตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการรับสิทธิ และคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
378 | การต่ออายุความตกลงว่าด้วยการก่อตั้งศูนย์อาเซียน – ญี่ปุ่น (ASEAN - Japan Centre : AJC) | พณ. | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่ออายุความตกลงว่าด้วยการก่อตั้งศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น
(The Agreement
Establishing the ASEAN Promotion Centre on Trade, Investment and Tourism) ออกไปอีก ๕ ปี [๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ (ค.ศ. ๒๐๒๒)-๒๔ พฤษภาคม ๒๕๗๐ (ค.ศ. ๒๐๒๗)]
และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทยในสมาชิกคณะมนตรีของศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น
เป็นผู้แทนในการลงนามให้การรับรองการต่ออายุความตกลงฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
379 | แผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2580) | พม. | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๘๐)
มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางปฏิบัติงานด้านผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท
เพิ่มคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้เพิ่มพูนศักยภาพของตนเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ รองรับสังคมสูงวัยเชิงรุก ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นข้อเสนอแนะ
และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณสำนักงาน ก.พ.
และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรกำหนดบทบาทของหน่วยงานรับผิดชอบหลัก/หน่วยงานรับผิดชอบร่วมในรูปของผังกระบวนงานหรือ
Work Flow ให้ชัดเจน
ควรมีแนวทางในการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการที่ชัดเจน
อาจเพิ่มตัวชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการเสริมสร้างพลังให้กับผู้สูงวัย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงสาธารณสุข
และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) ที่เห็นว่าในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตามแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ
ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๘๐) นั้น เห็นควรมอบหมายเพิ่มเติมให้กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อส่งเสริมการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยอาจร่วมมือกับภาคเอกชนด้วย
เพื่อผลิตสิ่งอำนวยความสะดวก/อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ
และให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
รวมทั้งอาจพิจารณาผลิตสิ่งอำนวยความสะดวก/อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อการส่งออกอีกด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
380 | การทำเกษตรแบบแปลงใหญ่ | กษ. | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง
ทำให้เกษตรกรมีการรวมตัวกันเพาะพืชเศรษฐกิจชนิดเดียวกัน
โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัยมาใช้ในกระบวนการเพาะปลูก เพื่อลดต้นทุนการผลิต
และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากยิ่งขึ้น
รวมทั้งมีอำนาจต่อรองทางการตลาดได้อย่างเป็นเอกภาพ
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
กำกับ ติดตามการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวบรวมข้อมูลและรายงานผลการดำเนินงานในเรื่องนี้ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก
๓ เดือน
|