ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 11 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 208 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
81 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2558) | มท. | 15/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม
(สีเขียว) บริเวณหมายเลข ๒.๒ บางส่วน ให้เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า
(สีม่วง) บริเวณหมายเลข ๑/๑
และเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง)
รวมทั้งปรับปรุงแผนผังและรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน
กับตลอดจนนโยบายภาครัฐที่จะรองรับการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และให้สอดคล้องกับนโยบายการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎหรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
และเป็นไปตามกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๖๐
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดประเภทหรือขนาดของกิจการ และหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ผู้ขออนุญาตจะต้องดำเนินการก่อนการพิจารณาออกใบอนุญาต พ.ศ. ๒๕๖๑
และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
หลักเกณฑ์ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. ๒๕๖๑ และเมื่อประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับ
ดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
82 | การกำหนดประโยชน์ตอบแทนสำหรับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนของคณะกรรมการการบินพลเรือน | คค. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดประโยชน์ตอบแทนสำหรับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนของ
ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการการบินพลเรือน
โดยให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนตามอัตรา ดังนี้ (๑) ประธานกรรมการ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท และ (๒) รองประธานกรรมการและกรรมการ
จำนวน ๘,๐๐๐ บาท โดยการได้รับเบี้ยประชุมให้ได้รับเฉพาะเดือนที่มีการประชุม
และผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมจะได้รับเบี้ยประชุมในเดือนใดต้องเข้าร่วมประชุมในเดือนนั้น
โดยถือว่ามีผลตั้งแต่วันที่มีการประกาศ ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
กำหนดรายชื่อคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการที่มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนและอัตราเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนและเป็นรายครั้งสำหรับกรรมการ
อนุกรรมการ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ พ.ศ. ๒๕๕๘ (ประกาศ กค. เรื่อง
กำหนดรายชื่อคณะกรรมการที่มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมฯ พ.ศ. ๒๕๕๘) คือตั้งแต่วันที่
๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
เพื่อให้สอดคล้องกับการประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือนที่ผ่านมาซึ่งมีความสำคัญกับการกำกับดูแลด้านนโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศที่ต้องมีความต่อเนื่อง
ทันต่อเหตุการณ์ ถูกต้อง และครบถ้วนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรกำชับให้พึงระวังมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการจ่ายประชุมให้แก่คณะกรรมการการบินพลเรือน
คำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้และทรัพย์สินของหน่วยงานเพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนของคณะกรรมการการบินพลเรือน
และคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่จะได้รับ
ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
83 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตโฆษณาเกี่ยวกับการบำบัดรักษา หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. .... | สธ. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตโฆษณาเกี่ยวกับการบำบัดรักษา
หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต
การออกใบอนุญาตเกี่ยวกับโฆษณาการบำบัดรักษา หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
และเงื่อนไขการโฆษณาตามใบอนุญาตเกี่ยวกับการโฆษณาการบำบัดรักษาหรือการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
รวมทั้งกำหนดค่าธรรมเนียมในการตรวจข้อความ ภาพ และเสียงการโฆษณา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
84 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2560) | มท. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
(สีฟ้า) บริเวณหมายเลข ๖.๕ และบริเวณหมายเลข ๖.๗ บางส่วน (เฉพาะพื้นที่บนแผ่นดิน)
ให้เป็นที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ได้แก่ บริเวณหมายเลข ๓.๒/๑
หมายเลข ๓.๘/๑ หมายเลข ๓.๑๐/๑ หมายเลข ๓.๑๑/๑ และหมายเลข ๓.๑๓/๑
และแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมในข้อ ๘
วรรคสอง (๙) โดยเพิ่มเงื่อนไขในการประกอบอุตสาหกรรมให้มีระยะห่างจากแนวชายฝั่งตามสภาพธรรมชาติของทะเลไม่น้อยกว่า
๕๐ เมตร และเพิ่มประเภท ชนิด
และจำพวกของโรงงานที่ห้ามประกอบกิจการเฉพาะบริเวณที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมอีก จำนวน ๒๒
ลำดับ ๔๙ ประเภท ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(สีเขียวมีกรอบและเส้นทแยงสีน้ำตาล) ในแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน
และมีข้อกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการหรือสาธารณประโยชน์ และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ
และเงื่อนไขในการขอและการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๖๐ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ให้เพิ่มข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทนั้นว่า ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการสงวนและคุ้มครองดูแลรักษาหรือบำรุงป่าไม้
สัตว์ป่า ต้นน้ำ ลำธาร และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ
การพิจารณาการอนุญาตกิจการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
และเป็นไปตามกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
85 | การเปลี่ยนโฆษกสำนักงบประมาณ | นร.07 | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเปลี่ยนโฆษกสำนักงบประมาณ
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑. นางสาวมัทนา เจริญศรี เป็นโฆษกสำนักงบประมาณ ๒. นางรัชนี เจริญนาค เป็นผู้ช่วยโฆษกสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
86 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของประเทศไทยของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
ระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของประเทศไทยของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม
และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เกี่ยวกับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดสู่การปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงให้เหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมผู้สูงอายุอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้นต่อไป สรุปได้ ดังนี้
(๑) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เช่น การให้ความสำคัญในการกำกับดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
การส่งเสริมสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนโดยจตุพลังในตำบล
การพัฒนาระบบการจัดการบริการผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เป็นต้น และ (๒)
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ ได้แก่ ด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ
และด้านการให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
87 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ทส. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวภายหลังวันที่ ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
โดยสำหรับการกำหนดวันสิ้นสุดการอนุญาตให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักร
ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้เข้ารับหน้าที่ด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์แล้ว
แต่ยังมิได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อเข้าบริหารราชการแผ่นดิน
ให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักรเป็นวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๖ ๒. เห็นชอบ
๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ฉบับที่ ....) พ.ศ. ....
๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ฉบับที่ ....) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖
สามารถอยู่และทำงานในราชอาณาจักรต่อไปได้ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้แก้ไขวันสิ้นสุดการอนุญาตให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักรเป็นวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรเร่งรัดเตรียมความพร้อมการดำเนินการตามแนวปฏิบัติการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างรัฐ
(MOU) ในด้านต่าง ๆ อาทิ
การตรวจสุขภาพ การทำประกันสุขภาพหรือขึ้นทะเบียนประกันสังคม
การจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และการจัดทำหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
ให้แก่คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย และควรพิจารณาวิเคราะห์คนต่างด้าวในภาคการผลิตและบริการรายสาขา
และจัดทำแผนบริหารจัดการคนต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องการอยู่และการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
88 | ตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPls) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ดังนี้ ๑. ประเด็นนโยบายสำคัญ (Agenda) จำนวน ๕ ประเด็น
และห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ได้แก่ (๑)
การบริหารจัดการและอนุรักษ์พื้นฟูน้ำทั้งระบบ (๒) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (๓)
รายได้จากการท่องเที่ยว (๔) รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP
(๕) การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ PM10 ๒.
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย ๓. (ร่าง)
ตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
โดยมอบหมายให้ ก.พ.ร. เป็นผู้พิจารณาการกำหนดตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย
และรายละเอียดของ Joint KPIs
โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนส่วนราชการ จังหวัด
และองค์การมหาชน ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำ Joint KPIs
ไปขับเคลื่อนหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจและส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน
ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๖. ให้กรมบัญชีกลางนำ Joint KPIs
ไปขับเคลื่อนองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และทุนหมุนเวียนอื่นภายใต้ระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ๗. ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และไม่อยู่ในระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่น ๆ นำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนภายในหน่วยงาน
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ๘.
ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายระดับชาติ ได้แก่
คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ
คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล
หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่ชาตินำ Joint KPIs
เสนอแก่คณะกรรมการนโยบายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง
เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น
ในการกำหนดตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย และรายละเอียดของตัวชี้วัด ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร.
หารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อให้ตัวชี้วัดมีรายละเอียดที่ครบถ้วน เหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวในปัจจุบัน
และสามารถขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุตามค่าเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
89 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟผ.5/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ฟผ.1/2566 ระหว่างนางสาววินินท์อร ปรีชาพินิจกุล กับพวกรวม 26 คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา | นร 05 | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ในคดีหมายเลขดำที่ ฟผ.๕/๒๕๖๓ คดีหมายเลขแดงที่ ฟผ.๑/๒๕๖๖ ระหว่างนางสาววินินท์อร
ปรีชาพินิจกุล กับพวกรวม ๒๖ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรีกับพวกรวม ๔ คน
ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒)
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
90 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑. การกำหนดระดับของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งมีอำนาจปรับเป็นพินัยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
และการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่จะออกตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อกำหนดตำแหน่งและคุณสมบัติของผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
เพื่อให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายที่บัญญัติความผิดทางพินัยใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
(ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๖) สำหรับการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้นั้น
ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา ๓๘
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่
๓๑๘/๒๕๖๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ลงวันที่ ๙ ธันวาคม
๒๕๖๕ แล้ว ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแนวทางหรือคู่มือการปฏิบัติงานเพื่อเผยแพร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นของรัฐต่อไป ๒.
การเปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ระบุเลขมาตราที่จะต้องมีการเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยไว้ด้วย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะจัดทำบัญชีรายชื่อกฎหมายตามบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
พร้อมทั้งระบุมาตราที่จะมีการเปลี่ยนโทษอาญาเป็นการปรับเป็นพินัยเผยแพร่ในระบบเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
มีผลใช้บังคับ (วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖)
ตลอดจนได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอินโฟกราฟิกเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
ให้แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไปผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เพจ facebook ไลน์
ตลอดจนส่งไปยังอีเมลของหน่วยงานต่าง ๆ
เพื่อให้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไปในวงกว้างสำหรับการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้น ๓.
การปรับปรุงบทบัญญัติที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงและมีโทษจำคุกและปรับที่สามารถเปรียบเทียบได้ให้เป็นความผิดทางพินัย
ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อปรับปรุงลักษณะของความผิดและอัตราโทษให้เหมาะสมต่อไป ๔.
การปฏิรูประบบการกำหนดโทษในระบบกฎหมายไทย
การศึกษาระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีและผู้ด้อยฐานะ
เห็นว่าการนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day fine) ในต่างประเทศจะใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายอาญา
เนื่องจากมีต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ของประชาชน
ประกอบกับประเทศไทยยังไม่มีระบบการจัดเก็บรายได้ของประชาชน
และหานำระบบดังกล่าวมาใช้จะต้องเปลี่ยนระบบในการกำหนดโทษปรับทางอาญาใหม่
จากการกำหนดจำนวนค่าปรับ เป็นการกำหนดเป็นวันปรับ และระบบกฎหมายอาญาของไทยในปัจจุบันเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
เนื่องจากเป็นระบบที่ให้ดุลพินิจแก่ศาลในการพิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลประกอบการกำหนดโทษได้อยู่แล้ว
จึงยังไม่เห็นความจำเป็นต้องนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) มาใช้ในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
91 | รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี 2563 และปี 2564 | พม. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา
๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี
๒๕๖๓ และปี ๒๕๖๔ โดยเป็นการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว
จำนวนคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์
และจำนวนการละเมิดคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ของพนักงานเจ้าหน้าที่และศาล
และจำนวนการยอมความ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
92 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล
จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลคลองโยง ตำบลศาลายา
ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑล และตำบลหอมเกร็ด ตำบลทรงคนอง ตำบลบางเตย
อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา
การศาสนา พาณิชยกรรมและการบริการ
การรองรับการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของประชากรและแรงงานส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนด้วยการพัฒนาการผลิตทางด้านเกษตรกรรมแบบผสมผสานการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
การชลประทานและการระบายน้ำ การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค การสาธารณูปการ
และการดำรงรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอื่นด้วย
การพิจารณาอนุญาตต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
ให้พิจารณาทบทวนหรือกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทยในประเภทหรือชนิดของโรงงานลำดับที่
๒๒ (๒) การทอหรือการเตรียมเส้นด้ายยืนสำหรับการทอ และโรงงานลำดับที่ ๒๒ (๔)
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการพิมพ์สิ่งทอ ให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง กำหนดจำนวน ขนาด
และประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ไม่ให้ตั้งหรือขยายในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ.
๒๕๕๐ และควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
93 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2566 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | กษ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองซีแดตเทิล มลรัฐวอชิงตัน สหรัฐเอริกา
โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้แนวนโยบายเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหารของเอเปคในระยะยาว
สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) ของไทย
และสานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยปี ๒๕๖๕ โดยเฉพาะเป้าหมายกรุงเทพฯ
ว่าด้วยเศรษฐกิจบีซีจี ที่เน้นการใช้นวัตกรรมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ในขณะที่เอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ร่างเอกสารหลักการเพื่อการบรรลุความมันคงอาหารผ่านระบบการเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเปค
สอดคล้องกับการทำงานของเอเปคตามแผนงานความมั่นคงอาหารของเอเปค ค.ศ. ๒๐๓๐ และเป้าหมายกรุงเทพฯ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
94 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2566 | นร.11 สศช | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International
Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๖
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามประเด็นการขับเคลื่อนที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป
โดยสถาบัน IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ ๖๔ เขตเศรษฐกิจ
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยใช้เกณฑ์ตัวชี้วัดในการจัดลำดับฯ รวมทั้งสิ้น ๓๓๖ ตัวชี้วัด แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม
ประกอบด้วย (๑) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (๒) ประสิทธิภาพภาครัฐ (๓)
ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ และ (๔) โครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี ๒๕๖๖ ไทยอยู่อันดับที่ ๓๐
ดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕ ที่อยู่อันดับที่ ๓๓ การจัดอันดับฯ ย่อยทุกด้านดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕
เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น และมีประเด็นที่ให้ความสำคัญ
เช่น เสถียรภาพทางการเมือง การคอร์รัปชัน กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
กระทรางการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม สำนักงาน
ก.พ.ร. และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มตัวชี้วัดที่มีอันตรายค่อนข้างต่ำ
อาทิ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
และด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่มีอันดับตกลงมาจากอันดับที่ ๓๘ มาอยู่ที่อันดับ ๓๙ ซึ่งเป็นผลมาจากด้านค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเกิดการชะลอตัวลงเล็กน้อย
ควรเร่งปรับปรุงและพัฒนางานตามภารกิจตามตัวชี้วัดการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพื่อให้การบริหารงานและการให้บริการมีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
สามารถเทียบเคียงนานาประเทศได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
95 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2566 | นร.11 สศช | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
(คกง.) ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ โดย คกง.
มีมติเกี่ยวข้องกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๖ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ จังหวัด รวม ๒ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๒๒.๘๘๕๐
ล้านบาท ได้แก่ ยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน ๑ จังหวัด (จังหวัดน่าน) จำนวน ๑
โครงการ และขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ จำนวน ๑
จังหวัด (จังหวัดตรัง) จำนวน ๑ โครงการ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการ คกง. เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงมหาดไทยควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
96 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... | นร.10 | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนร่างกฎ
ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๕
โดยตัดความ “ข้อ ๔.๑โรคทางกาย” และ “ข้อ ๔.๒ โรคจิต (Psychosis) หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood
Disorders) ที่ปรกฎอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรัง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่” ของร่างกฎ ก.พ. ออก ๒. อนุมัติร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดโรคที่เป็นลักษณะต้องห้ามมาตรา ๓๖ ข.
(๒) ของร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... ประกอบด้วย “(๑)
โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฎอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม (๒) โรคติดยาเสพติดให้โทษ
(๓) โรคพิษสุราเรื้อรัง (๔)
โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฎอาการเด่นชัดหรือรุนแรงและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่”
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.
รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าการไม่กำหนดให้โรคจิต
หรือโรคอารมณ์ผิดปกติที่ปรากฏอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้องรัง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่
เป็นลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อบุคคลบางประเภทตามข้อเรียกร้องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ให้ความในร่างข้อ ๔ (๔) “โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรงและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่”
ให้รวมถึงโรคทางกายและโรคจิต หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ
ที่ปรากฏอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรัง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วย โดยจะใช้ผลการตรวจโรคบุคคลดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการแพทย์ของ
ก.พ. กำหนด
ซึ่งกรณีดังกล่าวจะทำให้บุคคลดังกล่าวมีลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการ
เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานหน้าที่ ตาม (๔) ของข้อ ๔ ของร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... ดังนั้น สำนักงาน ก.พ.
จึงควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการตามเจตนารมณ์ของร่างกฎ
ก.พ. นี้ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
97 | รายงานสรุปผลการดำเนินการคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย | นร.12 | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย
ระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔-มีนาคม ๒๕๖๖ โดยได้ประชุมทั้งสิ้น ๑๐ ครั้ง
เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสำคัญอันจะเป็นส่วนสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
และมีความคืบหน้าที่สำคัญ ได้แก่
การช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถเข้าถึงกลไกการแก้ไขหนี้สินได้ง่ายและเป็นธรรมยิ่งขึ้น
การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่สำคัญเพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem)
ที่เอื้อให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงกลไกการไกล่เกลี่ยหนี้สิน และกำกับให้ธุรกิจสินเชื่อให้ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบยิ่งขึ้น
และการเพิ่มเติมแหล่งสินเชื่อที่เป็นธรรมให้กับประชาชน ตามที่คณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
98 | รายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2565 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ | สปสช. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑) รายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
มีผลการดำเนินงาน เช่น มีการเบิกจ่ายงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้กับหน่วยบริการที่จัดบริการให้ผู้มีสิทธิการใช้บริการของผู้ป่วยนอก
ประมาณ ๑๖๗ ล้านครั้ง การใช้บริการผู้ป่วยใน ประมาณ ๖ ล้านครั้ง ความท้าทายต่าง ๆ
ในการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
รวมถึงการพัฒนารูปแบบการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการที่ถูกต้องรวดเร็ว
และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และ (๒) และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
และงบเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว
เห็นว่ารายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
99 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ พ.ศ. .... | นร 05 | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์
พ.ศ. .... ของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒
ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการลงทุนหรือร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ทำขึ้นไปใช้ประโยชน์
เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ และหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจและวัตถุประสงค์ด้านการวิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติประกาศกำหนด
สามารถร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
100 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 56 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน + 3 ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่
๕๖ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ สาธารณรัฐเกาหลี
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมประชุม
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) การประชุม AFMGM+3 ครั้งที่ ๒๖
มีสาระสำคัญ เช่น IMF คาดการณ์ว่าในปี ๒๕๖๖ เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ
๒.๘ และเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวที่ร้อยละ ๔.๖
โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน
การพัฒนากลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแบบเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินได้มากขึ้น
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ได้เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม
AFMGM+3 ในรูปแบบแถลงการณ์ร่วมฯ โดยมีการปรับปรุงถ้อยคำเพื่อให้มีความเหมาะสมและสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
แต่ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ (๒) การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ
ADB ครั้งที่ ๕๖ ผู้ว่าการของแต่ละประเทศสมาชิกใน ADB
ได้เรียกร้องให้ ADB
ให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-๑๙
ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และภาวะเงินเฟ้อ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการของไทยใน ADB ได้เสนอแนะให้ ADB ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
(๓) การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน-ญี่ปุ่น
ในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอให้อาเซียน-ญี่ปุ่นขยายบทบาทและยกระดับความร่วมมือทางการเงินระหว่างกันให้ครอบคลุมประเด็นการใช้เทคโนโลยีทางการเงินและการเงินที่ยั่งยืน
และ (๔) งานเปิดตัวรายงาน เรื่อง “แนวทางการจัดหาเงินทุนใหม่ ๆ
เพื่อเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นในอาเซียน+๓” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการจัดทำนโยบายและมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของไทย
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|