ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 250 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
101 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ รวมทั้งกำหนดมาตรการคุ้มครอง
เพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน
ให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ ๙,๕๓๔ ไร่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
102 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย ของคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย
ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลได้ ดังนี้ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในส่วนของการให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการพัฒนาในประเด็นแนวโน้มที่มีการดำเนินการแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์นั้น
ได้มีการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มมีความหลากหลายและมีมาตรฐานต่างกัน เช่น
การพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) ให้มีการเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
การเร่งรัดการพัฒนาระบบการค้าดิจิทัลแพลตฟอร์มแห่งชาติ (National Digital
Trade Platform : NDTP) และขยายผล ASEAN Single Window (ASW)
ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศอื่นนอกอาเซียน
มีการพัฒนาระบบข้อมูลดิจิทัลด้านโลจิสติกส์ โดยพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big
Data) การขนส่งและโลจิสติกส์ เช่น
จัดทำระบบฐานข้อมูลการค้าธุรกิจบริการโลจิสติกส์ในรูปแบบ Dashboard รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้า และสถิติการค้าธุรกิจโลจิสติกส์
และขยายการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ เช่น พัฒนาการจัดการและการบริการโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยระบบดิจิทัล
ในส่วนของการให้ภาครัฐเร่งพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่มีความรวดเร็วนั้น
ได้มีการนำระบบการขนส่งอัจฉริยะ (ITS) มาใช้เพิ่มมากขึ้น
เช่น ติดตั้งระบบ Lane Management System ในเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขยายผลการติดตั้ง
GPS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการใช้รถ/ใช้ถนนของรถโดยสารและรถบรรทุก
และได้มีการยกระดับการพัฒนาท่าเรือดิจิทัลให้เป็น e-Port Community System
(PCS) เพื่อการบริหารจัดการอำนวยความสะดวกในภาพรวม
ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินโครงการจ้างเหมาเพื่อพัฒนาระบบดังกล่าวแล้ว
ในส่วนของการให้ภาครัฐสนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านการขนส่งด้วยวิธีการขนส่งแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น
ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับ ขั้นตอน การปฏิบัติภายในหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแพลตฟอร์มของระบบต่าง
ๆ ได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น จัดทำ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย
และในส่วนของการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านโลจิสติกส์ ได้มีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ Logistics
Startup ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น
โดยภาครัฐมีมาตรการสร้างการเติบโตและกระตุ้นธุรกิจด้าน Digital Logistics
Startup ของประเทศ เช่น จัดกิจกรรมเพื่อดำเนินการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยและต่างประเทศ
และมีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นผ่านการจัดกิจกรรมต่าง
ๆ ให้แก่บุคลากร เช่น เผยแพร่ ถ่ายทอดความรู้
ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า
พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
103 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2566 | นร.11 สศช | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International
Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๖
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามประเด็นการขับเคลื่อนที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป
โดยสถาบัน IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ ๖๔ เขตเศรษฐกิจ
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยใช้เกณฑ์ตัวชี้วัดในการจัดลำดับฯ รวมทั้งสิ้น ๓๓๖ ตัวชี้วัด แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม
ประกอบด้วย (๑) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (๒) ประสิทธิภาพภาครัฐ (๓)
ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ และ (๔) โครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี ๒๕๖๖ ไทยอยู่อันดับที่ ๓๐
ดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕ ที่อยู่อันดับที่ ๓๓ การจัดอันดับฯ ย่อยทุกด้านดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕
เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น และมีประเด็นที่ให้ความสำคัญ
เช่น เสถียรภาพทางการเมือง การคอร์รัปชัน กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
กระทรางการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม สำนักงาน
ก.พ.ร. และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มตัวชี้วัดที่มีอันตรายค่อนข้างต่ำ
อาทิ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
และด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่มีอันดับตกลงมาจากอันดับที่ ๓๘ มาอยู่ที่อันดับ ๓๙ ซึ่งเป็นผลมาจากด้านค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเกิดการชะลอตัวลงเล็กน้อย
ควรเร่งปรับปรุงและพัฒนางานตามภารกิจตามตัวชี้วัดการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพื่อให้การบริหารงานและการให้บริการมีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
สามารถเทียบเคียงนานาประเทศได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
104 | แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (1. นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ ฯลฯ จำนวน 3 ราย) | นร.05 | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เรื่อง
การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ
สังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๓ ราย ซึ่งได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๐
กรกฎาคม ๒๕๖๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.
นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ ๒.
นายสมศักดิ์ อนันทวัฒน์ ๓.
นางนัทีวรรณ สีมาเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
105 | การขออนุมัติให้ประเทศไทยยื่นประมูลสิทธิ์เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 17 ในปี พ.ศ. 2568 (UCCN Annual Conference 2025) ณ จังหวัดเชียงใหม่ | วธ. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยยื่นประมูลสิทธิ์เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก
ครั้งที่ ๑๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ (UCCN Annual Conference 2025) ณ จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรแล้วในโอกาสแรก
หากไม่เพียงพอให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ
แล้วแต่กรณี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
106 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี พ.ศ. 2560) | มท. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อแก้ไขการใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม
(สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) บริเวณ ๔.๑ (บางส่วน) เป็นที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า
(สีม่วง) บริเวณหมายเลข ๒.๑
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้มีการพัฒนาเมืองต้นแบบ
“สามเหลี่ยม มั่นคง ยั่งยืน” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเมืองหลัก ได้แก่
เมืองหนองจิก จังหวัดปัตตานี ให้เป็น “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน”
โดยนำร่องในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านความมั่นคงปลอดภัย และกระตุ้นการลงทุนนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการจ้างงานและการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง
ทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น
และแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่และสามารถรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะต่อไป
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดสัญลักษณ์สีแดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน
(สีเขียวมีกรอบและเส้นทแยงสีน้ำตาล) จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น
มาตรการการใช้ที่ดินลุ่มน้ำ มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ
และควรมีแนวทางการควบคุมกำกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
รวมทั้งกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อรักษาพื้นที่ป่าไม้รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
107 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายกิตติ อินทรกุล และนางรุ่งทิวา สุดแดน) | พม. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว ดังนี้ ๑. นายกิตติ อินทรกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางรุ่งทิวา สุดแดน ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
108 | การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) | พน. | 11/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา
(Solar Rooftop)
ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันสนับสนุนการดำเนินโครงการโซลาร์ภาคประชาชนเพื่อบรรเทาและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน
โดยใช้วิธีการส่งไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากการใช้ระบบผลิตไฟฟ้า Solar Rooftop เพื่อหักลบจากหน่วยไฟฟ้าที่ประชาชนใช้ไฟฟ้าในเดือนถัดไป สรุปได้ว่าการดำเนินการดังกล่าวยังไม่สามารถปฏิบัติได้
ดังนี้ (๑) การดำเนินธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า (ระหว่างประชาชนและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย)
ยังไม่มีระเบียบและข้อกฎหมายรองรับวิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจากผลต่างของแต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้น
(๒) การผลิตไฟฟ้าไหลย้อนกลับเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าทำให้แรงดันไฟฟ้าไม่สมดุลเนื่องจากพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากแสงอาทิตย์มีความผันผวนและไม่แน่นอน
ซึ่งส่งผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบเสียหาย ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานลดลง (๓)
ต้นทุนของหน่วยไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และหน่วยไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้ามีความแตกต่างกัน
และ (๔) ระบบไฟฟ้าจากโรงงานไฟฟ้ามีความมั่นคงกว่าไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
109 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 56 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 11/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๖ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๕ ฉบับ
และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสาร
จำนวน ๑๒ ฉบับ และเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสาร จำนวน ๓ ฉบับ โดยร่างเอกสารที่จะร่วมรับรองทั้ง
๑๒ ฉบับ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาในการส่งเสริมความร่วมมือและต่อยอดในการดำเนินงานในด้านต่าง
ๆ ส่วนร่างเอกสารที่จะมีการลงนามทั้ง ๓ ฉบับ เป็นเอกสารที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศจะลงนามเพื่อให้ความยินยอมต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญา
TAC กับเม็กซิโก ปานามา
และซาอุดีอาระเบีย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๖ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๕ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศหรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรวิเคราะห์ ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินงานตามความร่วมมือดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
110 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย - ตุรกี ครั้งที่ 4 และกิจกรรมคู่ขนาน | กต. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี
ครั้งที่ ๔ และกิจกรรมคู่ขนาน ณ กรุงอังการา ตุรกี
โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีตุรกี (นายมุสตาฟา วารังก์)
เป็นประธานร่วม
และพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก
โดยมีผลการประชุมฯ เช่น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายเป้าหมายทางการค้าให้ได้ ๒,๐๐๐
ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการเร่งสรุปความตกลงการค้าเสรี (Joint Trade Committee
: JTC) ไทย-ตุรกี ครั้งที่ ๑ และ (๒)
ฝ่ายไทยได้เชิญชวนฝ่ายตุรกีมาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความของกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยในส่วนที่เป็นคำแปลภาษาไทยขอเสนอปรับแก้ถ้อยคำแปลภาษาไทยให้มีความถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ได้แก่ คำว่า “ด้านการกำหนดมาตรฐาน” เป็น “ด้านการมาตรฐาน” และคำว่า
“การประเมินความสอดคล้อง” เป็น “การตรวจสอบรับรอง” ดังนี้
“ทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกับสถาบันมาตรฐานตุรกี
เพื่อขยายความร่วมมือด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบรับรอง ตลอดจนกิจกรรมอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
111 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | ทส. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการระดับ ๑๐
หรือระดับ ๑๑ กรณีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม |
|||||||||||||||||||||||||||
112 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล) | กค. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (นักบริหารระดับต้น) ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ
(เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๓
มีนาคม ๒๕๖๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
113 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์) | รง. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเดชา
พฤกษ์พัฒนรักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงแรงงาน เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
114 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ 19 | กต. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ
(Bay of Bengal Initiative
for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation :
BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ ๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย)
เป็นประธาน และพิจารณามอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ
ต่อไป โดยที่ประชุมฯ ให้ความสำคัญต่อ (๑) การเร่งสรุปผลการเจรจาต่อเขตการค้าเสรี
(๒) การยกระดับความเชื่อมโยงภายในภูมิภาค และ (๓)
การเร่งรัดการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ รวมทั้งได้รับรองถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค
ครั้งที่ ๑๙ และเห็นชอบร่างวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ ๒๐๓๐
ที่เสนอแนะต่อที่ประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ ๖ เพื่อให้การรับรองต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตติ
ที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยให้คำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ด้วย
พิจารณาประเด็นในแผนงาน/โครงการของสาขาหลักและสาขาย่อยของความร่วมมือบิมสเทคให้มีความครอบคลุม
รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
115 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 พ.ศ. 2565 | สช. | 27/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑๕ พ.ศ. ๒๕๖๕ รวม ๓ มติ ได้แก่ มติ ๑ การขจัดความยากจนตามแนวคิดเศรษฐกิจ BCG : การยกระดับเศรษฐกิจครัวเรือน มติ ๒
การขับเคลื่อนแพลตฟอร์มเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลสถิติการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาของประชาชน
ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และมติ ๓
การจัดการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมในวิกฤตสุขภาพ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ
และกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณ
ข้อสังเกตของกระทรวงแรงงานและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีหน่วยงานในการติดตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในการกำหนดกรอบทิศทางนโยบายสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ แล้วแต่กรณี ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
116 | ข้อเสนอแนะในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติเพื่อป้องกันการทุจริต | ปช. | 27/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติเพื่อป้องกันการทุจริต
ประกอบด้วย (๑) ประเด็นด้านการประกาศภัยพิบัติและการชดใช้เงินคงคลัง
โดยพัฒนาศักยภาพสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ให้สามารถเป็นศูนย์กลางในการรับและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่
ติดตามตรวจสอบและดำเนินการให้จังหวัดส่งเอกสารเพื่อชดเชยเงินคงคลังคืนภายในระยะเวลาที่กำหนด
(๒)
ประเด็นด้านการพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายงบประมาณเกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เช่น เชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณเกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยให้มีการพัฒนาระบบคลังข้อมูลที่รองรับความเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าว
และศึกษาความเป็นไปได้เพื่อให้เกิดการรวมศูนย์ระบบฐานข้อมูลในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว
และ (๓) ประเด็นการบริหารจัดการ เช่น
ลดความสูญเสียงบประมาณที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอันเกิดจากภัยแล้งและอุทกภัย
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
117 | รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการจัดให้มีห้องน้ำสาธารณะสำหรับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ | สม. | 27/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการจัดให้มีห้องน้ำสาธารณะสำหรับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๕
โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะขอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ในเรื่องดังกล่าวโดยในระยะสั้นการจัดให้มีห้องน้ำสาธารณะฯ ต้องคำนึงถึงหลักสำคัญ ๓
ประการคือ (๑) ความปลอดภัย (๒) ความสะอาด และ (๓) ความสะดวกใจของผู้ใช้บริการทุกเพศ
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งหน่วยงานภายในให้จัดให้มีห้องสุขาสำหรับบุคคลหลากหลายทางเพศ
อย่างน้อย ๑ ห้อง ส่วนในระยะยาวเห็นว่า
เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนควรต้องศึกษา วิจัยเพิ่มเติม
ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียแล้ว
โดยเสนอแนวทางต่อคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศพิจารณา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
118 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 27/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ปี ๒๕๖๖ จำนวน ๕๑
รายการ จำแนกเป็น ๔๖ สินค้า ๕ บริการ
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบและปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
119 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... จำนวน 3 ฉบับ | อก. | 27/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
ดังนี้ ๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิด
ด้วยการอัดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟที่ใช้ก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. ....
รวม ๓ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด
รถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟที่ใช้ก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง
และรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิด ด้วยการอัด ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีคุณภาพและความปลอดภัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดแก่ประชาชน
กิจการอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
120 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2566 | นร.11 สศช | 20/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้
(๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๖
มีการจ้างงาน จำนวน ๓๙.๖ ล้านคน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒.๔
และอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๕ ปรับตัวดีขึ้นเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสี่
ปี ๒๕๖๕ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕ แต่ชะลอตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนทรงตัว
นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒๔.๕
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ
๒๐๓.๔ จากไตรมาสที่ผ่านมา (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ
เช่น มูเตลู : โอกาสในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงความเชื่อ
โดยการท่องเที่ยวมูเตลู สามารถเป็น soft power เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้
ซึ่งภาครัฐควรกำหนดนโยบายและแนวทางพัฒนาที่ชัดเจน
และวิสาหกิจเพื่อสังคมกับการรองรับสังคมสูงวัย องค์กรภาคประชาสังคมต่าง ๆ
ได้เข้ามาช่วยดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะวิสาหกิจเพื่อสังคม
ซึ่งเป็นกลไกที่มีความยั่งยืนเนื่องจากสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองและเกิดความร่วมมือของคนในพื้นที่
และ (๓) บทความ “ คุณธรรมในสังคมไทย”
คนไทยส่วนใหญ่มีคุณธรรมอยู่ในระดับพอใช้และระดับคุณธรรมวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง
ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศคุณธรรมในสังคมไทยและส่งเสริมให้คนไทยมีการดำเนินชีวิตสู่วิถีชีวิตแห่งคุณธรรม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|