ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 250 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | สรุปความคืบหน้าการติดตามการแก้ไขปัญหาสิ่งปลูกสร้างของส่วนราชการระดับจังหวัดที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี | นร.01 | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | การปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล [ร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินค่าตอบแทนนายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | มท. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางการปรับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น)
เฉพาะในส่วนที่กำหนดหลักการให้ปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไม่เกินร้อยละ
๒๐ สำหรับการออกระเบียบในเรื่องนี้ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามาอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ที่ควรพิจารณาความคุ้มค่า
ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย และการนำรายได้ที่ไม่รวมเงินอุดหนุนและเงินกู้หรือเงินอื่นใดนั้นองค์การบริหารส่วนตำบลแต่ละแห่งจะกำหนดสูงกว่าร้อยละสี่สิบของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่ได้
ตามนัยมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อให้เป็นไปตามหลักแห่งการปกครองของท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของผู้บริหารและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวควรสอดคล้องกับศักยภาพและความสามารถในการปกครองตนเองในด้านรายได้ขององค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | การปรับลดพื้นที่อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 ถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2566) | นร.08 | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ปรับลดพื้นที่อำเภอมายอ
จังหวัดปัตตานี
ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
มาบังคับใช้แทน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี
ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา
ยกเว้นอำเภอเบตง และอำเภอกาบัง ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖
ถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๖ ๓. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ ๓.๑
เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น
และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง และอำเภอกาบัง
และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓.๒
รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
และร่างประกาศ เรื่อง ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่อำเภอมายอ
จังหวัดปัตตานี รวม ๔ ฉบับ
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | การเยียวยาค่าตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม | สธ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม
ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาท และ ๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. .... | ทส. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงชนิดสัตว์ป่าคุ้มครองตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เห็นว่าสัตว์บางชนิดเป็นสัตว์ชนิดอื่นตามบทนิยาม มาตรา ๔
แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ เช่น สัตว์จำพวก นก ค่าง ค้างคาว
ซึ่งประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดสัตว์หรือซากสัตว์ชนิดอื่นตามมาตรา
๓๔ (๔) แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ พ.ศ. ๒๕๖๔ การนำสัตว์หรือซากสัตว์ไปยังท้องที่จังหวัดอื่น
ต้องได้รับใบอนุญาตจากสัตว์แพทย์ประจำท้องที่ต้นทาง มาตรา ๓๔ ด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายธนกร วังบุญคงชนะ) | อก. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | การปรับอัตราเงินอุดหนุนแก่นักเรียนทุนเสมอภาค | กสศ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการการปรับอัตราเงินอุดหนุนแก่นักเรียนทุนเสมอภาคระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากอัตราปัจจุบัน
๓,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี ปรับเป็น ๔,๒๐๐ บาทต่อคนต่อปี (หรือจากเดิม ๑๕ บาท ต่อคนต่อวัน เป็น ๒๑ บาท
ต่อคนต่อวัน)
รวมทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเฉพาะนักเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในอัตราเดียวกัน
โดยเป็นการปรับเพิ่มในลักษณะขั้นบันไดต่อเนื่อง ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๗-๒๕๖๙)
ตามที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ๓ ปี
เห็นสมควรให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้
ควรมีระบบการคัดกรองและกำกับติดตามการมาเรียน และพัฒนาการด้านการเจริญเติบโตของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์จากการปรับอัตราเงินอุดหนุนแก่นักเรียนทุนเสมอภาค
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๒.
ให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายบุญยอด สุขถิ่นไทย) | นร.04 | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) ข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน | กษ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง)
ข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย
ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน
โดยมีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนกระบวนการบริหารจัดการน้ำโดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ
โดยส่งเสริมให้เกษตรกรที่ประสบภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน
ในเขตจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย และอุตรดิตถ์
ให้สามารถปรับตัวและประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีการดำเนินการที่สำคัญ
เช่น
การจัดทำฐานข้อมูลและระบบคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเพื่อนำไปปรับปรุงการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
และการปรับปรุงงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
(กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรกำกับติดตามการดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้กรอบระยะเวลาโครงการที่กำหนด
เพื่อให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมในการเพิ่มศักยภาพการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอากาศของภาคเกษตรในกลุ่มเป้าหมายของโครงการ
การพิจารณานอกเหนือจาก (ร่าง) ข้อตกลงฯ ขอให้คำนึงถึงการดำเนินการที่จะกระทำได้ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย
ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับแผนงาน/โครงการด้านทรัพยากรน้ำจากคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ให้ถูกต้อง เหมาะสม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
ร่างข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย
ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | ขอขยายเวลาดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565 และโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ออนทัวร์ ทั่วไทย | พณ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี ๒๕๖๕
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
สำหรับดำเนินโครงการดังกล่าวไปจนถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๖
เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี
ตามที่กระทรวงการคลังกำพหนด โดยให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งรวบรวม ประมวลผล และประเมินความสำเร็จของโครงการ ปัญหาและอุปสรรค
ตลอดจนข้อเสนอแนะต่อการดำเนินโครงการลักษณะดังกล่าวข้างต้น
เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเมื่อสิ้นสุดโครงการด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | การลงนามข้อตกลงรับทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลกภายใต้โครงการการผลักดันการประยุกต์ใช้และการจัดการตลอดวงจรของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย | สกพอ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงโครงการการผลักดันการประยุกต์ใช้และการจัดการตลอดวงจรของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global
Environment Facility : GEF) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) และมอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามข้อตกลงรับการสนับสนุนฝ่ายไทย โดยเป็นที่ยอมรับระหว่างภาคีแล้วว่าไม่จำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็มสำหรับลงนาม
รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกำกับการดำเนินโครงการ
(Project Executing Entity) เพื่อดำเนินงานดังกล่าวต่อไป
โดยร่างข้อตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง
โดยยกระดับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าผ่านการเสริมสร้างนโยบายที่เป็นกรอบกำกับดูแล
การเสริมสร้างศักยภาพและการแบ่งปันองค์ความรู้
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตกระทรวงการต่างประเทศ เช่น (๑) หากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรงบประมาณ แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ และ (๒)
ควรมีการติดตามและประเมินผลโครงการเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
เพื่อนำมาพัฒนาขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 22 | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
ครั้งที่ ๒๒ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ กรุงธากา บังกลาเทศ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี)
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญ ได้แก่
การรับรองแถลงการณ์ธากา การกล่าวถ้อยแถลงของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ
(นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี)
และประเด็นที่ประเทศสมาชิกและประเทศหุ้นส่วนคู่เจรจาให้ความสำคัญ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นว่า
ฝ่ายไทยควรพิจารณาขยายความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมร่วมกับสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
เพื่อสร้างประโยชน์จากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและสนับสนุนจากสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
โดยเฉพาะด้าน Blue Economy , Marine Science และ BCG
Model และประเทศสมาชิกและเลขาธิการสมาคมแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
ควรมีการหารือถึงขอบเขตการดำเนินงานที่ชัดเจน
และแหล่งงบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้เกิดผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | การให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/65 G2/65 และ G3/65 | พน. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๒ (๑) และวรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๓ มาตรา ๕๓/๑ และมาตรา ๕๓/๘
แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
แก่ผู้ขอสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต ๑.๑.๑
อนุมัติให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด
เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข
G1/65 และ G3/65 ๑.๑.๒
อนุมัติให้บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข
G2/65 ทั้งนี้
กระทรวงพลังงานได้จัดทำร่างสัญญาแบ่งปันผลผลิตของทั้ง ๓ แปลงสำรวจข้างต้น ตามแบบ
ชธ/ป๑๒ ท้ายกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๒
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีอำนาจลงนามกับผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข
G1/65 G2/65 และ G3/65 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕๓/๒ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓
เห็นชอบให้ใช้ข้อกำหนดการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการในสัญญาแบ่งปันผลผลิตของแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข
G1/65 G2/65 และ G3/65 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘
๒.
ให้กระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า
การดำเนินการในขั้นตอนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ G3/65 ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จะต้องไม่ขัดต่อมาตรการทางกฎหมายที่กำหนดในกฎกระทรวงดังกล่าว
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร
และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่ภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก
ตามผลการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร
และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) การเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี (๒) ผลการหารือทวิภาคี เช่น
การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต การจัดทำแผนการขับเคลื่อน
และส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-ซาอุดีอาระเบีย (๓) ถ้อยแถลงการ์ร่วมฯ เช่น
ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน สังคมและการศึกษา
และความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย และ (๔) กิจกรรมอื่น ๆ
ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยือน เช่น พิธีแลกเปลี่ยนความตกลงและบันทึกความเข้าใจ
จำนวน ๕ ฉบับ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เช่น
ประธานวุฒิสภา จุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566 - 2569) | ยธ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง)
แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙) จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความร่วมมือในการบริหารงานเพื่อการอำนวยความยุติธรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
โดยยึดหลักนิติธรรม
โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ซึ่งมีกรอบการบริหารงานใน ๓ มิติหลัก ได้แก่ (๑) การสร้างความเป็นธรรมตามกฎหมาย (๒)
การพัฒนากระบวนการยุติธรรมตามมาตรฐานสากล และ (๓)
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการบริหารงานยุติธรรม ๑.๒
ให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบทิศทางและแนวทางดำเนินงาน
รวมทั้งใช้เป็นกรอบแนวทางจัดทำและเสนอคำของบประมาณของหน่วยงานตามห้วงระยะเวลาการบังคับใช้ของแผน ๑.๓
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณสนับสนุนโครงการ/กิจกรรมที่สอดคล้องและสนับสนุนมิติการบริหารงานและเป้าหมายของร่างแผนแม่บทฯ
และใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามห้วงระยะเวลาการบังคับใช้ของแผน ๑.๔ ให้กระทรวงยุติธรรม
(สำนักงานกิจการยุติธรรม)
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการประสาน
สนับสนุน และติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติ
และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เช่น การกำหนดตัวชี้วัดควรสะท้อนถึงการแก้ปัญหาที่ยังเป็นประเด็นจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรม
และการกำหนดค่าเป้าหมายที่มีความชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำนักท้อน และตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | คค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลสำนักท้อน และตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสำนักท้อน และตำบลพลา
อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษ หมายเลข ๗
กรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว)
ทางแยกเข้าชลบุรีทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง
ทางแยกเข้าพัทยาและทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ (บ้านอำเภอ)
และทางเข้าท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยเกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าก่อนการก่อสร้างทางหลวงพิเศษทุกเส้นทางขอให้กระทรวงคมนาคม
(กรมทางหลวง)
ให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางพิเศษกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทันและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรือเกิดอุทกภัยต่อไปในอนาคต
ควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไปด้วย
เร่งพิจารณาหารือรูปแบบการก่อสร้างที่เหมาะสมให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว
เพื่อให้โครงการฯ สามารถก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนการดำเนินงาน
และสอดคล้องกับการเปิดให้บริการของสนามบินอู่ตะเภา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... | มท. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม
(ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจ
โรงแรม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยแก้ไขเพิ่มเติมสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม
โดยกำหนดให้สถานที่พักที่มีจำนวนห้องพักในอาคารเดียวกันหรือหลายอาคารรวมกันไม่เกิน
๘ ห้อง และมีจำนวนผู้พักรวมกันทั้งหมดไม่เกิน ๓๐ คน
ซึ่งให้บริการเพื่อหารายได้เสริม
เมื่อได้แจ้งให้นายทะเบียนทราบให้นายทะเบียนออกหนังสือรับแจ้งสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมตามพระราชบัญญัติโรงแรม
พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยกำหนดให้หนังสือรับแจ้งมีอายุ ๕ ปีนับแต่วันแจ้ง เพื่ออนุรักษ์อาคารที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ทรงคุณค่าเฉพาะในแต่ละท้องถิ่น
และเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในท้องถิ่น นอกจากนี้
ได้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับโรงแรม โดยเพิ่มเติมให้สามารถนำอาคารที่มีลักษณะเป็นแพ
และอาคารที่มีลักษณะพิเศษ เช่น เต็นท์ กระโจม มาประกอบธุรกิจโรงแรมได้ รวมทั้งกำหนดเพิ่มเติมเงื่อนไขต่าง
ๆ เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้พัก ทั้งนี้
เพื่อให้ผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถดำเนินการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมได้
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงสาธารณสุข เช่น
ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการสถานที่พักดังกล่าว จำเป็นต้องคำนึงถึงสุขลักษณะ
ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวพร้อมการบริหารจัดการ
รวมถึงการลดผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว ควรพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องสุขลักษณะการจัดการส้วมและสิ่งปฏิกูล
สำหรับโรงแรมที่มีลักษณะเป็นแพ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๗ และ ๘
ของกฎกระทรวงสุขลักษณะการจัดการสิ่งปฏิกูล พ.ศ. ๒๕๖๑
และการจัดการน้ำเสียที่มีไขมันจากการประกอบอาหารและให้บริการอาหารบนแพ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาลเป็นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
อาคารที่ใช้เป็นโรงแรม ไม่อยู่ในพื้นที่ที่กฎหมายควบคุมอาคารใช้บังคับอาจเพิ่มเติมเรื่อง
การจัดสิ่งปฏิกูลให้เป็นไปตามกฎกระทรวงสุขลักษณะการจัดการสิ่งปฏิกูล พ.ศ. ๒๕๖๑ ควรพิจารณาจัดทำประเภทและหลักเกณฑ์เงื่อนไขของที่พักแรมให้มีความหลากหลายตามประเภทของที่พักแรมและศักยภาพเบื้องต้นของผู้ประกอบการ
เช่น หลักเกณฑ์เงื่อนไขสำหรับที่พักแรมท้องถิ่น ที่พักแรมอาคารอนุรักษ์
ที่พักแรมวิสาหกิจชุมชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | รัฐบาลสาธารณรัฐกานาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกานาประจำประเทศไทย (นางฟลอเรนซ์ เบอร์คี อะโคนอร์) | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นางฟลอเรนซ์ เบอร์คี อะโคนอร์ (Mrs. Florence Buerki Akonor) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกานาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
มาเลเซีย สืบแทน นางอาคูอา เซชีวา อาเฮนโครา (Ms.
Akua Sekyiwa Ahenkora) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | ขออนุมัติจ่ายเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝายราษีไศลในเขตท้องที่จังหวัดสุรินทร์ | กษ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การเยียวยาความเดือดร้อนหรือความเสียหายให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการอย่างเป็นธรรมตามประเภทที่ดินในการถือครอง
โดยไม่เลือกปฏิบัติเป็นการเฉพาะกลุ่มสำหรับราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
เพื่อมิให้มีค่าใช้จ่ายที่เกินกว่าที่รัฐได้เคยจ่ายชดเชย อันจะนำไปสู่กรณีที่ราษฎรที่ได้รับค่าชดเชยจากโครงการอื่น
ๆ ไปแล้ว
มาเรียกร้องให้มีการจ่ายชดเชยเพิ่มในลักษณะเดียวกันตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ เมษายน ๒๕๔๑
ที่เห็นชอบหลักการการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนแล้ว
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาอัตราเงินชดเชยให้เท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสมและให้ครอบคลุมในทุกมิติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการให้ความช่วยหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่าง
ๆ เช่น กรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ
รวมทั้งกำหนดประเภทและวิธีการคำนวณอัตราค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง เช่น
ค่าเยียวยา ค่าขนย้าย ให้ชัดเจน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานต่าง
ๆ ของรัฐมีบรรทัดฐานเดียวกัน และเกิดความเหมาะสมเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ควรพิจารณาจัดหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ
รวมทั้งพัฒนาอาชีพและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตให้สามารถดำรงชีพได้อย่างปกติสุข หรือพิจารณาการจัดที่ดินทำกินตามโครงการจัดที่ดินทำกินตามนโยบายรัฐบาลภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ควรประสานคณะกรรมการเพื่อการขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกัน
แก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบโครงการฝายราศีไศลในเขตท้องที่จังหวัดสุรินทร์ ร้อยเอ็ด
และศรีสะเกษ เช่นเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | รัฐบาลสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ประจำประเทศไทย (นายอะเล็กซานเดอร์ คาร์เตอร์ บิง) | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายอะเล็กซานเดอร์ คาร์เตอร์ บิง (Mr. Alexander Carter Bing) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น
สืบแทน นายทอมัส ดี คีจิเนอร์ (Mr.
Thomas D. Kijiner) ซึ่งถึงแก่กรรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|