ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 250 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดเชียงใหม่ (นายเฉิน ไห่ผิง) | กต. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเฉิน ไห่ผิง (Mr. Chen Haiping)
ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดเชียงใหม่
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน
พะเยา พิษณุโลก แพร่ สุโขทัย ตาก และอุตรดิตถ์ สืบแทน นายอู๋ จื้ออู่ (Mr.
Wu Zhiwu) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ว่า
รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างรายได้ สร้างชีวิตของคนไทยให้มีเกียรติ
มีเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรมสอดคล้องและเพียงพอต่อปัจจัยด้านการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
นั้น จึงขอมอบหมาย ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงแรงงานเร่งการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ
และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
ในฐานะประธานกรรมการข้าราชการพลเรือนรับไปเร่งรัดให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ แนวทาง กรอบระยะเวลา
และผลกระทบของการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ชัดเจน
และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี พ.ศ. 2566 | กษ. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ (Food Security Ministerial Meeting : FSMM) ซึ่งกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ เมื่อวันที่ ๓
สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองซีแอตเทิล มลรัฐวอชิงตัน มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ด้านความมั่นคงอาหารร่วมกันของรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
โดยผลักดันการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
รวมถึงการหารือเกี่ยวกับนโยบาย ตลอดจนแนวทางในการรับมือประเด็นท้าทายต่าง ๆ โดยที่ประชุมฯ
มีการพิจารณาเอกสารผลลัพธ์ ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างเอกสารหลักการเพื่อการบรรลุความมั่นคงอาหารผ่านระบบการเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเปค
และ (๒) ร่างปฏิญญาความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี ๒๕๖๖ โดยที่ประชุมฯ
ได้รับรองเอกสารหลักการฯ แต่ในส่วนของร่างปฏิญญาฯ ไม่สามารถตกลงกันได้
จึงไม่ได้รับมติเอกฉันท์ ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกา
ประธานการประชุม จึงได้ออกแถลงการณ์ประธานสำหรับการประชุมฯ
โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมความเชื่อมโยง นวัตกรรม
และความยั่งยืนของระบบการเกษตรและอาหาร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การนำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยมาพัฒนาการศึกษาและมหาวิทยาลัยไทย ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา | สว. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การนำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยมาพัฒนาการศึกษาและมหาวิทยาลัยไทย
ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา
โดยคณะกรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการวัดผลการพัฒนามหาวิทยาลัย
โดยใช้วิธีการประเมินแบบ U-Multirank การปรับภาพลักษณ์ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศให้มีความเป็นสากลเพื่อให้เกิดการยอมรับมากขึ้น
การผลักดันการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษาเป็นกลไกสำคัญตามมาตรา ๔๕ (๓)
ประกอบมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อช่วยให้สถาบันอุดมศึกษาลดอุปสรรคด้านงบประมาณ
รวมถึงช่วยทำให้บรรลุผลในการดำเนินงานตามแผนและเป้าหมายให้สะดวกขึ้นตามภารกิจ
และการผลักดันระบบคลังหน่วยกิตระดับอุดมศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถสะสมผลการเรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ได้รับจากการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ
การศึกษาตามอัธยาศัย และจากประสบการณ์บุคคลไว้ในคลังหน่วยกิต
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | การกำหนดสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มจำนวน ๑ รายการ
ได้แก่ น้ำตาลทราย ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ
ราคาจำหน่ายหรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม และกำกับดูแลสินค้าน้ำตาลทรายให้มีราคาที่เป็นธรรมและมีปริมาณที่เพียงพอ
และเห็นควรพิจารณามอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตอ้อยในแต่ละช่วงเวลา โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | การประสานความร่วมมือด้านการเกษตรและปศุสัตว์กับซาอุดีอาระเบีย | นร. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ
(ASEAN-Gulf Cooperation Council Summit : ASEAN- GCC
Summit) เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงริยาด
ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของซาอุดีอาระเบียเพื่อประสานความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น
ทำให้ทราบว่าซาอุดีอาระเบียมีความสนใจที่จะจัดทำความร่วมมือและดำเนินธุรกิจด้านการเกษตรและปศุสัตว์กับไทยเป็นอย่างมาก
ในการนี้ จึงขอมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบียในด้านการเกษตรและปศุสัตว์
รวมทั้งด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องและทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | อว. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญคือ
ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนกิจกรรมการแลกเปลี่ยนภายใต้โครงการที่จะดำเนินการร่วมกัน
ได้แก่ (๑) โครงการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนสำหรับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ (๒)
การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือสำหรับสถาบันวิจัย และ (๓)
การประชุมเชิงปฏิบัติการและการสัมมนาวิชาการ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรจัดเตรียมแนวทางการดำเนินงานร่วมกันทั้งในส่วนของประเด็นความร่วมมือที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
ยกระดับความสามารถในการดูดซับวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ (Absorptive Capacity) ของนักวิจัยและผู้ประกอบการไทย
และแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์จากผลงานการวิจัย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทั้ง
๒ ประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | การประชุมใหญ่ระดับโลกว่าด้วยวิทยุคมนาคม ค.ศ. 2023 (WRC - 23) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) | กสทช. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (นายเสน่ห์ สายวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ) ชี้แจงว่า
แนวคิดในการจัดทำร่างเอกสารท่าทีของประเทศไทยในการประชุมใหญ่ระดับโลกว่าด้วยวิทยุคมนาคม
ค.ศ. ๒๐๒๓ ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
มุ่งให้ความคุ้มครองการใช้คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมที่มีอยู่เดิม
ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยในปัจจุบัน
และเปิดโอกาสในการใช้คลื่นความถี่ที่มีเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต
รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการใช้คลื่นความถี่ที่มีความสอดคล้องกันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
เช่น กิจการโทรคมนาคมสากล (5G, 6G) ระบบสื่อสารทางการบิน
การเดินทะเล และแนวทางการใช้วงโคจรดาวเทียม เป็นต้น
โดยไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแต่ประการใด ทั้งนี้
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติได้หารือร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ๒.
เห็นชอบเอกสารท่าที ข้อเสนอ
และแนวทางการดำเนินการของประเทศไทยสำหรับการประชุมใหญ่ระดับโลกว่าด้วยวิทยุคมนาคม
ค.ศ. ๒๐๒๓ (World Radiocommunication Conference :
WRC-23) โดยมอบอำนาจเต็มให้แก่คณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุม WRC-23
ในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุม WRC-23
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทน (Credentials)
เพื่อมอบอำนาจเต็มให้แก่คณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุม WRC-23
เพื่อให้ประเทศไทยแสดงบทบาทและมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางพัฒนาและการขับเคลื่อนประโยชน์ในด้านกิจการโทรคมนาคมของประเทศในเวทีสมาชิกระหว่างประเทศ
ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบริหารคลื่นความถี่ให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักสากล
รวมทั้งรองรับกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีของประเทศไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน (กรณีรายได้ไม่พอสำหรับรายจ่าย) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน (กรณีรายได้ไม่พอสำหรับรายจ่าย)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมจำนวน ๘,๒๖๘.๔๖๙ ล้านบาท
และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข
และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม
(องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เร่งรัดการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
(ฉบับปรับปรุงใหม่) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๙๖๕๔ ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๒๔/๒๙๓๔ ลงวันที่
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖) ที่เห็นควรให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินการอย่างเคร่งครัด
พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
และมอบให้กระทรวงคมนาคมปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินการ
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ได้จริง
และเพื่อให้เกิดความชัดเจนเรื่องวงเงินต้นเงินกู้ที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณชำระค่าดอกเบี้ย
โดยให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพยืนยันวงเงินต้นเงินกู้ที่ภาครัฐรับภาระต่อสำนักงบประมาณอีกครั้ง
เพื่อให้ทราบต้นเงินกู้คงเหลือ ณ ปัจจุบัน
สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
และควรจัดเก็บข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้บริการเพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการเดินรถสำหรับรถโดยสารที่จะจัดหาใหม่และสอดคล้องตามแผนการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ
รวมทั้งเร่งรัดติดตามและกำกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจะได้มีกรอบแนวทางที่ชัดเจนสำหรับใช้ในการดำเนินกิจการและผลักดันสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2566 | กต. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติ
ปี ๒๕๖๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ปี ๒๕๖๕ ในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ
(United Nations Regional
Course in International Law) ประจำปี ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๑๓
พฤศจิกายน-๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออบรมกฎหมายระหว่างประเทศให้แก่ผู้ที่มีภูมิหลังด้านกฎหมายหรือประสบการณ์ในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทยสำหรับการฝึกอบรมฯ
ประจำปี ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อการต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาติสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ
(United Nations Regional Course in International Law)
ประจำปี ๒๕๖๖
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการฝึกอบรมฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
และควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | ขยายระยะเวลาในการออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 (พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2543) | นร.53 | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการออกกฎซึ่งออกตามความในมาตรา
๕ ประกอบมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓
ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 17 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม
ครั้งที่ ๑๗ (17th ASEAN Ministerial Meeting on the
Environment : 17th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง
ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(สปป.ลาว) โดยมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ
โดยการประชุมประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๑๗
และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมกับคู่เจรจา ซึ่งที่ประชุมได้มีการรับรองและรับทราบประเด็นต่าง
ๆ ที่สำคัญ เช่น การรับรองการขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกอาเซียนของประเทศไทย
(เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว-อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว และอุทยานแห่งชาติภูกระดึง)
การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการประชุมภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๘ และผลสรุปความสำเร็จความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รวมถึงความก้าวหน้าในการดำเนินความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของอาเซียนร่วมกับจีน
ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยเฉพาะประเด็นปัญหาขยะพลาสติกในทะเล นอกจากนี้ ไทยได้หารือร่วมกับ
สปป.ลาว เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการก่อสร้างสวนรุกขชาติไทย-ลาว
ที่สร้างขึ้น ณ โรงเรียนมัธยมสมบูนนาซอน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงที่ดินสำหรับก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมอาคารชุดพักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ | ปช. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงที่ดินสำหรับก่อสร้างอาคารสำนักงาน
ป.ป.ช. ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา จาก ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช.
ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมอาคารชุดพักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา
จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็น ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา
พร้อมอาคารชุดพักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ ตำบลคลองนา อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา
จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพบกได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่แล้ว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าสำนักงาน ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการส่งคืนและขอใช้ที่ราชพัสดุให้เป็นไปตามกฎ
ระเบียบ กฎหมายที่ราชพัสดุ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
การขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพัน
และการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณนั้น
และให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายเฉลิมศักดิ์ เลิศวงศ์เสถียร) | กค. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเฉลิมศักดิ์
เลิศวงศ์เสถียร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการคอมพิวเตอร์)
ระดับสูง] ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๖
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | รายงานประจำปีผลการดำเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน ชุดที่ 4 ปีที่ 1 | รง. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีผลการดำเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน
ชุดที่ ๔ ปี่ที่ ๑ (๔ ตุลาคม ๒๕๖๔-๓ ตุลาคม ๒๕๖๕) โดยมีสาระสำคัญได้แก่ (๑)
การประชุมคณะกรรมการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ เช่น การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการฯ
ชุดที่ ๔ และความคืบหน้า (ร่าง)
พระราชบัญญัติการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ....
(๒) การพัฒนากลไกในการพัฒนาคุ้มครองงานที่รับไปทำที่บ้าน เช่น
การตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน
และคณะอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนนโยบายการการรับงานไปทำที่บ้าน และ
(๓) การส่งเสริมและพัฒนาผู้รับงานไปทำที่บ้าน โดยดำเนินกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เช่น
โครงการสร้างเครืองข่ายการคุ้มครองแรงงานนอกระบบในสังคมสูงวัย (๖๐ ปีขึ้นไป)
และกิจกรรมตรวจแรงงานนอกระบบ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | การชี้แจงขั้นตอนและรายงานผลการดำเนินการฯ เสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับสถานที่เก็บรักษาน้ำมันภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 | พน. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนม
โดยปรับเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมโคเป็น
๒๒.๗๕ บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้
โดยให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นม (นมพาณิชย์) ให้เหมาะสม
สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้ประกอบการ
ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์ นม ในการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๔
มีนาคม ๒๕๖๖ กรณีโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน โดยคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน และให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาทบทวนแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนมให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมรายย่อย
รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมด้วย และให้เร่งดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมปศุสัตว์และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์
เช่น ควรพิจารณาให้มีผลในปีงบประมาณถัดไป เนื่องจากอาจส่งผลให้มีการปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม
โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ซึ่งเกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
และส่งผลกระทบต่องบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและหน่วยรับงบประมาณ
(องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) ที่ได้รับการจัดสรร
สำหรับใช้ในการดำเนินการตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ไม่เพียงพอ ดังนั้น
ควรให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าว อีกทางหนึ่ง ควรมีการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข กำหนดเพื่อให้นักเรียนได้บริโภคอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
ที่มีคุณภาพ ควรพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านปริมาณน้ำนมดิบ
นอกเหนือจากการปรับราคาด้วย เช่น การลดต้นทุนให้แก่เกษตรกร
การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเลี้ยงโคนม
และการสนับสนุนให้มีผลิตภัณฑ์นมที่หลากหลายเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) | คค. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง
เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์)
และให้กระทรวงคมนาคมรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) ในการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อนำมาประกอบในการจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ
(RFP) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ที่เห็นว่าในการดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน
กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหลีกเลี่ยงการใช้พื้นที่ป่าเพื่อลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดระนองที่มีพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์และมีพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง
(Ranong Biosphere Reserve) ตั้งอยู่
รวมทั้งมีพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | การกำหนดให้การจัดการขยะเป็นวาระเร่งด่วน | นร. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากปัญหาขยะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนจำเป็นจะต้องร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
ให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเป็นหน่วยงานนำร่องในการดำเนินการบริหารจัดการขยะภายในหน่วยงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง
โดยให้ดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่ในระดับต้นทาง เน้นการลดปริมาณขยะ (Reduce) การนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ระดับกลางทาง
เน้นการส่งเสริมให้มีการแยกขยะเพื่อให้สามารถนำขยะกลับมาใช้ซ้ำหรือใช้ใหม่
และนำขยะเข้าสู่กระบวนการกำจัดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และระดับปลายทาง
มอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีภารกิจจัดการขยะเร่งดำเนินการกำจัดขยะที่มีอยู่ให้หมดไปและไม่เกิดการตกค้าง
รวมทั้งให้จัดหาพื้นที่กำจัดขยะที่ถูกสุขลักษณะ
โดยใช้วิธีการกำจัดขยะที่เหมาะสมกับขยะแต่ละประเภทตามหลักวิชาการและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางการลดปริมาณขยะของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ชัดเจน
เหมาะสม เช่น การลดการใช้ขวดและถุงพลาสติก ผลิตภัณฑ์พลาสติกต่าง ๆ
แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ | กต. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ
(Summit between ASEAN and the Gulf
Cooperation Council : ASEAN-GCC Summit) จำนวนสองฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำทั้งสองฝ่ายในการกระชับความสัมพันธ์อาเซียน-GCC
ในความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน และ (๒)
ร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ เป็นเอกสารแผนงานระหว่างอาเซียนกับ
GCC ระยะ ๕ ปี ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ ซึ่งระบุโครงการ
กิจกรรม และแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ระหว่างกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ระบุถึงการแสวงหาความร่วมมือในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
การปรับตัวและมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่ง ซึ่งไม่มีการระบุไว้ในร่างกรอบความร่วมมือฯ
จึงอาจพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อนำไปเป็นแนวทางการขยายการดำเนินความร่วมมือร่วมกันต่อไปในอนาคต
รวมทั้งควรวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้งสองฉบับในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |