ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 868 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17341 - 17360 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17341 | หนังสือข้อตกลงระหว่างภาคีสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (Letter of Agreement among Organizations participating in the WHO-RTG Country Cooperation Strategy : CCS) พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบหนังสือข้อตกลงระหว่างภาคีสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (Letter of Agreement among Organizations participating in the WHO-RTG Country Cooperation Strategy : CCS) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เป็นการกำหนดแนวทาง ขั้นตอนความร่วมมือในการดำเนินโครงการด้านสาธารณสุขที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับ CCS ประกอบด้วยแผนงาน ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) แผนงานโรคไม่ติดต่อ (๒) แผนงานความปลอดภัยบนท้องถนน (๓) แผนงานสุขภาพของผู้ย้ายถิ่น (๔) แผนงานการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (๕) แผนงานการสร้างความเข้มแข็งของงานสุขภาพโลกเพื่อการพัฒนาสุขภาพในประเทศ และ (๖) แผนงานการพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17342 | ภาพรวมมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐและข้อเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป | นร11 | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาพรวมมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐและข้อเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาปรับปรุงข้อเสนอในการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความชัดเจนใน ๓ กลุ่มเป้าหมายสำคัญดังต่อไปนี้ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอในการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
๑. กลุ่มเกษตรกร นอกจากประเด็นการเพิ่มส่วนแบ่งผลประโยชน์แก่เกษตรกรแล้ว ควรพิจารณากำหนดให้มีมาตรการที่เกี่ยวกับการเพิ่มความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรด้วย ๒. กลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ควรเพิ่มมาตรการเกี่ยวกับการสนับสนุน SMEs เช่น มาตรการสินเชื่อแบบผ่อนปรนพิเศษเพื่อให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้โดยไม่ติดเงื่อนไข การช่วยเหลือ SMEs เพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงินบาท โดยการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมในการประกันความเสี่ยง (Spread) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ SMEs ในการประกอบธุรกิจกับต่างประเทศ การเชื่อมโยงการประกอบธุรกิจของ SMEs กับกลไกประชารัฐ รวมทั้งเร่งรัดเตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ที่จะมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ลดการผูกขาด และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับ SMEs ๓. กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ควรเพิ่มมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มสภาพคล่องในระดับฐานราก เช่น การจัดกิจกรรมตลาดนัดชุมชนเพื่อเป็นช่องทางให้ผู้มีรายได้น้อยมีพื้นที่ในการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าภายในชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17343 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 41 | ทส | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ (41st Session of the World Heritage Committee) ระหว่างวันที่ ๒-๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ เมืองคราคูฟ สาธารณรัฐโปแลนด์ โดย ๑.๑.๑ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไทยให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมศิลปากรจัดทำข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการกล่าวถ้อยแถลงของหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๑.๑.๒ กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้ ให้คณะผู้แทนไทยพิจารณาร่วมกันระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ๑.๒ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ โดยมอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสเป็นหัวหน้าคณะ และเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นรองหัวหน้าคณะ นายบวรเวท รุ่งรุจี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านประวัติศาสตร์ในคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในประเด็น (๑) โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสะโตน จังหวัดสระแก้ว จากการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม พบว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง เพราะไม่มีแหล่งน้ำต้นทุน จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาความเหมาะสมของการดำเนินโครงการดังกล่าวอยู่ และ (๒) โครงการอ่างเก็บน้ำลำพระยาธาร จังหวัดปราจีนบุรี จากผลการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เมื่อปี ๒๕๔๐ พบว่าพื้นที่น้ำท่วมอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่มรดกโลก และหากมีการพัฒนาโครงการ อาจส่งผลกระทบต่อราษฎรจำนวนมาก ปัจจุบันกรมชลประทานจึงไม่มีแผนการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่มรดกโลกนี้ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตมีความจำเป็นต้องดำเนินการโครงการดังกล่าว กรมชลประทานจะดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำหนดมาตรการและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17344 | การจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO Regional Centre for STEM Education: SEAMEO STEM-ED) ในประเทศไทย | ศธ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) [SEAMEO Regional Centre for STEM Education (Science Technology Engineering and Mathematics Education) : SEAMEO STEM-ED] ในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรของภูมิภาคด้านสะเต็มศึกษา เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศสมาชิก และขับเคลื่อนนโยบายความร่วมมือด้านสะเต็มศึกษาในแต่ละด้านของภูมิภาคให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แน่นแฟ้นด้านสะเต็มศึกษาทั้งในและนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเน้นบทบาทการดำเนินการของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาให้เป็นศูนย์รวบรวมข้อมูล องค์ความรู้และบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานเจ้าภาพหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเป็นระยะ ๆ ด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. เช่น การขอรับเอกสารสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษา ควรมีลักษณะเทียบเคียงกับศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอที่ประเทศไทยเคยได้รับเป็นเจ้าภาพ และเป็นไปตามข้อบทที่กำหนดอยู่ในกฎบัตรของซีมีโอที่ประเทศไทยลงนามเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ รวมทั้งควรประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสะเต็มศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้องในด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและการให้คำปรึกษาด้านสะเต็มศึกษา และควรพิจารณาใช้รูปแบบการจ้างงานที่หลากหลายนอกเหนือจากการจ้างพนักงานประจำเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานและเกิดประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคคล ตลอดจนควรจัดทำแผนการดำเนินงาน (Roadmap) เป็นระยะ ทุก ๕ ปีให้ชัดเจน และแผนปฏิบัติการรายปี เพื่อกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ได้ชัดเจน และรายงานผลการดำเนินงานทุกปี เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17345 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | พณ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ครบวงจร ซึ่งเป็นการดำเนินการเชื่อมโยงกับโครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) และโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยการส่งเสริมเชื่อมโยงตลาดระหว่างกลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าว GAP กับผู้ประกอบการค้าข้าว เพื่อให้กลุ่มชาวนาทั้ง ๒ ประเภทสามารถขายข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๘๗๓,๒๗๖,๔๐๐ บาท และมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการค้าข้าวที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และควรมีการกำกับดูแลการให้สินเชื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการฯ เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ประโยชน์สูงสุด ตลอดจนมีการวางระบบการติดตามการดำเนินงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงาน ให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ รวมทั้งมีการเตรียมแผนการตลาดให้เชื่อมโยงรองรับผลผลิตจากโครงการฯ โดยเฉพาะการจับคู่กับผู้ประกอบการที่ใช้ผลผลิตข้าวเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวต่าง ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น นอกเหนือจากการแปรรูปเป็นข้าวสารเพื่อจำหน่ายในท้องตลาดเท่านั้น รวมถึงการจัดหาตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น และขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ในการรับซื้อผลผลิตไปใช้ในหน่วยงาน นอกจากนี้ ควรเร่งกระบวนการตรวจสอบรับรองมาตรฐานเพื่อปิดช่องว่างปัญหาที่มีอยู่ และเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภคได้ตระหนักถึงการบริโภคสินค้าปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดในระยะยาวอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาการจับคู่กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าว GAP กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่มีโรงสี/จุดรับซื้อที่มีระยะทางไม่ไกลจากพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและตรวจสอบให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาสูงกว่าตลาดตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไป EU สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17346 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 7 | กต | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ (Draft Agreed Minutes of the 7th Session of the Thailand-Bangladesh Joint Commission on Cooperation) ซึ่งจะมีการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๕-๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกัน และประเด็นที่เห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้าเพื่อประโยชน์ในการดำเนินความสัมพันธ์ ได้แก่ การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของทั้งสองประเทศ การผลักดันและคุ้มครองผลประโยชน์ด้านการค้าการลงทุนไทยในบังกลาเทศ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้กับอาเซียน การส่งเสริมนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชาวบังกลาเทศในไทย ความร่วมมือด้านการฝึกอบรมบุคลากร ความร่วมมือด้านแรงงาน การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการบิน และความร่วมมือในเวทีพหุภาคีที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๗ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๗ จากที่เสนอในครั้งนี้ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและประชุมนานาชาติที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17347 | รายงานผลการจัดระดับประเทศไทย ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2560 | พม | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการจัดระดับประเทศไทย ในรายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ประจำปี ๒๕๖๐ โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ (TIP Report) ประจำปี ๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ จัดระดับประเทศไทยอยู่ในระดับ ๒ ที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) เป็นปีที่สองต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และระบุในรายงานว่า เนื่องจากประเทศไทยยังไม่บรรลุถึงมาตรฐานขั้นต่ำในการขจัดการค้ามนุษย์ แต่มีความพยายามในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยร่วมกับองค์กรภาคเอกชน องค์กรสาธารณประโยชน์ (NGOs) ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้มีการสร้างการรับรู้กับสื่อและองค์กรต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17348 | ความต้องการงบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ช่วง 1 เมษายน 2560 - 30 กันยายน 2560) | อื่นๆ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ภายในกรอบวงเงิน ๕๒๑,๒๕๒,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่ ศปมผ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17349 | การขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17350 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการพัฒนาด้านการเกษตร "โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน" | กษ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการพัฒนาด้านการเกษตร "โครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน” โดยมีหลักการสำคัญคือ ให้ชุมชนเป็นผู้กำหนดโครงการพัฒนาโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และบริหารจัดการโครงการด้วยตนเอง ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ และนำไปปฏิบัติจริง เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาให้เหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งเพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในช่วงว่างก่อนเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนในชุมชน ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรควบคุมการบริหารการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้สามารถกระจายงบประมาณสู่เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง โดยนำประสบการณ์การดำเนินโครงการในระดับพื้นที่ที่ผ่านมาใช้เป็นบทเรียนในการทำงาน รวมทั้งเตรียมความพร้อมด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นต้นแบบ เพื่อรองรับการพิจารณาจัดทำแผนงานโครงการของแต่ละชุมชนหรือเป็นทางเลือกให้กับชุมชนประกอบการตัดสินใจ โดยใช้ประโยชน์ได้จากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล และศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน ที่มีองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น เกษตรกรต้นแบบ Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่สามารถให้ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนาด้านการเกษตร ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒๒,๘๙๕,๓๖๓,๖๐๐ บาท ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสนับสนุนชุมชนเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย วงเงิน ๒๒,๗๕๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการของคณะกรรมการระดับชุมชน อำเภอ จังหวัด และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง วงเงิน ๑๔๒,๘๖๓,๖๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการทุกโครงการ/กิจกรรมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานให้แก่เกษตรกร ในระยะที่ ๑ ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ และในระยะที่ ๒ ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้เบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรผ่านบัญชี ธ.ก.ส. โดยไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการนี้ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17351 | รายงานการเข้าร่วมงาน International Luxury Travel Market Asia (IL TM Asia 2017) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเข้าร่วมงาน International Luxury Travel Market Asia (IL TM Asia 2017) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระหว่างวันที่ ๖-๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมงาน ILTM Asia 2017 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เช่าพื้นที่ขนาด ๑๐๘ ตารางเมตร สำหรับก่อสร้างคูหาประเทศไทย และได้จัดสรรให้แก่ธุรกิจเอกชนไทยที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายและเสนอขาย Luxury Product เข้าร่วมใช้พื้นที่ จำนวน ๑๘ หน่วยงาน ประกอบด้วยธุรกิจโรงแรม ๑๕ ราย บริษัทนำเที่ยว ๒ ราย และโรงเรียนสอนทำอาหาร ๑ ราย โดยธุรกิจเอกชนไทยจะได้พบผู้ซื้อ ๑๔-๒๐ราย/วัน หรือตลอดทั้งงานระหว่างวันที่ ๕-๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ จะได้พบผู้ซื้อ ๔๒-๖๐ ราย ๒. การหารืออย่างไม่เป็นทางการกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสายการบินจีน เพื่อแนะนำแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมใหม่ ๆ ของไทย รวมถึงรับฟังข้อมูลความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยผลการหารือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเร่งพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวของไทย (Tour Operator) ให้นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นการท่องเที่ยวท้องถิ่นแบบสร้างประสบการณ์ (Local Unique Experience) และสร้างมัคคุเทศก์ภาษาจีนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนที่นิยมเดินทางด้วยตนเอง (Free Individual Traveler : FIT) ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17352 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินการก่อหนี้ผูกพันโครงการจัดหาเครื่องบินอเนกประสงค์ 1 ลำ ขออนุมัติยกเลิกการดำเนินการรายการก่อสร้างอาคารที่ทำการ อาคารลานจอดรถ และคลังรวมสำนักงานส่งกำลังบำรุง และขออนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี | ตช | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จากโครงการจัดหาเครื่องบินอเนกประสงค์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑ ลำ วงเงิน ๔๗๔,๖๐๐,๐๐๐ บาท และรายการก่อสร้างอาคารที่ทำการ อาคารจอดรถ และคลังรวม ของสำนักงานส่งกำลังบำรุง วงเงิน ๕๓๖,๓๙๖,๕๐๐ บาท เป็นโครงการจัดหาเครื่องบินอเนกประสงค์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑ ลำ วงเงิน ๑,๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๙๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ต่อไป ๒. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) กรณีไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการจัดสรรงบประมาณในปีแรกต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น เพื่อให้สามารถก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๓. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐) เนื่องจากไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันโครงการจัดหาเครื่องบินอเนกประสงค์ จำนวน ๑ ลำ วงเงิน ๑,๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ได้ทันภายในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันภายในไตรมาส ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๔. การดำเนินโครงการดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับ รวมทั้งต่อรองราคาให้ได้ต่ำสุด และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบอีกครั้ง ตลอดจนจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจริงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17353 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และผูกพันงบประมาณ | กค | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๗๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ค่าจัดส่งบัตร พัฒนาระบบจ่ายตรง ระบบตรวจสอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล จัดตั้ง call center และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ส่วนที่เหลือ จำนวน ๔๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กรมบัญชีกลางเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ สำหรับกรณีโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๕๘๑,๗๗๖,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าตัวบัตรและค่าจัดการบัตรในปีที่ ๑ นั้น เนื่องจากสำนักงานสถิติแห่งชาติกำลังตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนบุคคล ดังนั้น หากกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณงบกลางที่จะขอรับการจัดสรร และรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่าย รวมทั้งได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีกิจกรรมร่วมกันได้ในบัตรใบเดียว โดยให้มีคณะกรรมการบริหารเรื่องการใช้บัตรดังกล่าว เช่น เรื่องสวัสดิการ รถเมล์รถไฟฟรี ฯลฯ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีแล้ว สำนักงบประมาณก็ไม่ขัดข้องที่กระทรวงการคลังจะดำเนินโครงการดังกล่าว ส่วนแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาบูรณาการข้อมูลการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ๒๕๖๐ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่า สามารถเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ข้อมูลในการจัดสวัสดิการภาครัฐร่วมกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ข้าราชการและประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้ทราบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้บัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17354 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (จำนวน 11 คน 1. นายดุสิต เวชกิจ ฯลฯ) | ทส | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จำนวน ๑๑ คน แทนกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายดุสิต เวชกิจ ๒. พลเอก สุรัตน์ วรรักษ์ ๓. นางสาวดรรชนี เอมพันธุ์ ๔. นายยงยุทธ ไตรสุรัตน์ ๕. นายนิยม แหลมสัก ๖. นางสาวธำรงลักษณ์ ลาพินี ๗. นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ๘. นายสุระ พัฒนเกียรติ ๙. นายธรรมศักดิ์ ยีมิน ๑๐. นายอนรรฆ พัฒนวิบูลย์ ๑๑. นายศศิน เฉลิมลาภ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17355 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (นายสมชาย ศิริสมฤทัย) | อื่นๆ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมชาย ศิริสมฤทัย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินเพิ่มเติม ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17356 | การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับตำรวจตามมาตรา 258 (ง) (4) และมาตรา 260 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ) | นร | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ตามมาตรา ๒๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จำนวน ๓๖ คน และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ โดยให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) มีหน้าที่และอำนาจ รวมจำนวน ๕ ข้อ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามร่างประกาศที่เสนอ โดยให้แก้ไขรายชื่อของกรรมการฝ่ายตำรวจ ลำดับที่ ๒๐ จาก “พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันท์” เป็น “พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์” และกรรมการฝ่ายผู้ทรงคุณวุฒิ ลำดับที่ ๒๔ จาก “นายภาณุ อุทัยรัตน์” เป็น “นายมนุชญ์ วัฒนโกเมร”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17357 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๒,๙๒๓,๐๐๐ ล้านบาท (รวมงบประมาณเพิ่มเติม) เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๐๗๗,๕๓๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๐๘ ดังนี้
๑. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบประมาณ จำนวน ๒,๗๓๓,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๐๒๖,๖๑๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๔.๑๕ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒๐๘,๖๒๑ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๙๕ (เป้าหมายภาพรวม ร้อยละ ๗๓.๒๐) ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๑๘๔,๑๒๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๗๕๕,๑๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๐.๓๖ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๕๔๘,๘๗๒ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๗๓,๐๕๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๗.๙๗ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๗๑,๔๗๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๔๖ ๒. มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศ ๒.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางการปฏิรูป กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ รวมทั้งสิ้น ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๒๑,๗๑๑ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๐,๖๘๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๒๕ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๙,๕๙๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๐.๒๔ ๒.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการรายจ่ายลงทุนที่มีวงเงินไม่เกิน ๒ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๓๑,๑๕๑ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๘,๘๖๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๖๕ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๗,๐๐๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๖๗ ๓. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๙๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕๐,๙๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๘๐ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑๐๕,๒๙๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๔๗,๘๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๔๖ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๘๔,๗๐๗ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๗,๘๘๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๙๑ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓,๐๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๖๐ ๔. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๙ รวมทั้งสิ้น ๒๗๖,๓๗๒ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๓๙,๐๒๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๔๘ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๗๙,๙๓๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๕.๑๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17358 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 รวม 6 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. ....) | กก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการข้อผูกพันที่มีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง กำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะต้องวางเงินหลักประกันต่อนายทะเบียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ๒. รับทราบการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรณีที่ไม่สามารถออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม ๖ ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ให้ชัดเจนแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและกลุ่มวิชาชีพมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ และควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มมัคคุเทศก์เข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการและคุณภาพวิชาชีพ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการรายได้ที่มาจากการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมค่าระวางโทษปรับตามร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ได้จากกองทุนฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17359 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 รวม 6 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. ....) | กก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการข้อผูกพันที่มีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง กำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะต้องวางเงินหลักประกันต่อนายทะเบียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ๒. รับทราบการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรณีที่ไม่สามารถออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม ๖ ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ให้ชัดเจนแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและกลุ่มวิชาชีพมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ และควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มมัคคุเทศก์เข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการและคุณภาพวิชาชีพ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการรายได้ที่มาจากการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมค่าระวางโทษปรับตามร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ได้จากกองทุนฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17360 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน 2560 | พณ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการส่งออก เดือนเมษายน ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๘.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๑๖,๘๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยการส่งออกขยายตัวในเกือบทุกตลาด (ยกเว้นสหภาพยุโรปและตะวันออกกลาง) และในทุกกลุ่มสินค้า ๒. มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนเมษายน ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๕๘๑,๗๑๗ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๕๘๖,๘๙๓ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๑๒.๖ ส่งผลให้การค้าขาดดุล ๕,๑๗๖ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนเมษายน ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๑๖,๘๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๘.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๑๖,๘๐๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๕๖.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกรายสินค้า เดือนเมษายน ๒๕๖๐ มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวร้อยละ ๑๑.๙ (YoY) โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา น้ำตาลทราย ข้าว และอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๗.๙ (YoY) โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป ทองคำ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ๔. การส่งออกไปตลาดสำคัญขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนตลาดที่ขยายตัวคิดเป็นร้อยละ ๘๕.๔ ของตลาดทั้งหมด ๕. แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี ๒๕๖๐ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ร้อยละ ๕.๐ โดยมีปัจจัยสำคัญจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรสำคัญและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีราคาเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญล้วนมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง
|
.....