ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 865 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17281 - 17300 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17281 | ขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยอิงกับบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเสียภาษีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในช่วงปีภาษี ๒๕๕๒-๒๕๕๔ โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เฉพาะในส่วนของพื้นที่ที่ ทอท. ใช้ประโยชน์เองและพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่ง ทอท. จะเป็นผู้รับภาระภาษีในส่วนนี้เองทั้งหมด จากค่ารายปีที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ราชาเทวะประเมิน จำนวนเงิน ๓๗๖,๐๔๑,๑๖๘ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำนวน ๔๗,๐๐๕,๑๔๖ บาท ลดลงเหลือเป็นค่ารายปี จำนวนเงิน ๑๙๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำนวน ๒๔,๓๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้ อบต. ราชาเทวะคืนเงินค่าภาษีให้กับ ทอท. ซึ่งเป็นผลจากการลดหย่อนค่ารายปี (ตามข้อ ๑) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒๒,๗๐๕,๑๔๖ บาท จากที่ ทอท. เสนอคณะรัฐมนตรีขอคืนเงินค่าภาษีจาก อบต. ราชาเทวะ ในปีภาษี ๒๕๕๒-๒๕๕๔ เป็นจำนวนเงิน ๑๐๓,๑๑๑,๖๔๖ บาท ๓. สำหรับในช่วงปีภาษี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เห็นควรให้การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของ ทอท. เป็นไปตามที่ อบต. ราชาเทวะประเมิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17282 | ร่างกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. 2017 - 2021 | กต | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ (United Nations Partnership Framework : UNPAF) ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับหน่วยงานสหประชาชาติในประเทศไทยสำหรับช่วงระยะเวลา ๕ ปีข้างหน้า (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยมียุทธศาสตร์เกี่ยวกับความร่วมมือเชิงกระบวนการ (process-oriented) ได้แก่ (๑) การกำหนดและบังคับใช้นโยบาย (๒) การส่งเสริมบทบาทของภาคประชาสังคม (๓) การให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในฐานะหุ้นส่วนในการพัฒนา และ (๔) การขยายการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่าง UNPAF ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นว่า หากมีการเพิ่มเติมเรื่องความร่วมมือในการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๓ ก็จะแสดงให้เห็นถึงการนำแนวปฏิบัติด้านการดำเนินธุรกิจ และการลงทุน ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนและยั่งยืนมาใช้ด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ ที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม อาจจะเพิ่มประเด็นเรื่องการขยายการแลกเปลี่ยนด้านนวัตกรรมในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๔ ด้วย และในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๔ อาจพิจารณานำประเด็นด้านอุบัติภัยบนท้องถนนและความเสี่ยงจากการขนส่งสารเคมีอันตรายเข้าสู่เวทีระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน Logistics ของอาเซียนมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนถึงขั้นเสียชีวิตอยู่ในอันดับสูงของโลก หากนำประเด็นเหล่านี้เข้าสู่ระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการในการดำเนินการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17283 | ข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement for Bioequivalence Study Reports of Generic Medicinal Products: ASEAN BE MRA) | สธ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement for Bioequivalence Study Reports of Generic Medicinal Products : ASEAN BE MRA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ประเทศสมาชิกจะต้องยอมรับพิจารณารายงานการศึกษาชีวสมมูลที่จัดทำโดยศูนย์การศึกษาชีวสมมูลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและขึ้นบัญชีของอาเซียน (ASEAN Listed BE centre) ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญ (Panel of Experts) เพื่อตรวจสอบศูนย์การศึกษาชีวสมมูลของประเทศสมาชิกที่จะขอสมัครเพื่อขึ้นบัญชีของอาเซียน โดยทุกประเทศมีเวลาไม่เกิน ๕ ปี หลังการลงนามในการที่จะยอมรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลที่ทำขึ้นโดยศูนย์การศึกษาชีวสมมูลที่ได้ขึ้นบัญชีแล้วมาเพื่อพิจารณา ๑.๒ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามข้อตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนรองรับการดำเนินการตามข้อตกลงฯ ที่เหมาะสม โดยให้ครอบคลุมถึงมาตรการรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบในด้านต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยาในประเทศ และการเข้าถึงยาของประชาชนทั้งในด้านคุณภาพและราคา ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอแผนดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายใน ๖ เดือน ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความเข้าใจกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เกี่ยวกับเหตุผลความจำเป็นในการลงนามในข้อตกลงฯ ผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ และมาตรการรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ถูกต้อง ทั่วถึงด้วย ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการขึ้นทะเบียนยาทั้งระบบ ให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยาของประเทศต่อไป ๖. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณารวมมาตรการเยียวยาต่อข้อเสนอของภาคเอกชนภายใต้การดำเนินการของอนุกรรมการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้จัดตั้งขึ้นด้วย และควรพิจารณาดำเนินการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศและเอกชนไทยให้มีศักยภาพทัดเทียมนานาชาติ เพื่อลดการสูญเสียเงินตราในการนำเข้า/สั่งยาจากต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17284 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 5 ฉบับ [ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดเชียงราย (ฉบับที่..) พ.ศ. ....] | มท | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๕ ฉบับ มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ (Zoning) ในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดเชียงราย จังหวัดตราด จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และเพื่อให้การควบคุมดูแลการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและประชาชนในท้องที่ตามที่กำหนดในร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นไปอย่างเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพในการควบคุมดูแลมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดตราด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เห็นควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการเป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17285 | โครงการปรับพื้นที่นาและลดรอบการปลูกข้าวภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) | กษ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการปรับพื้นที่นาและลดรอบการปลูกข้าว ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวสารครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนนาข้าว ดำเนินการโดยกรมปศุสัตว์ (๒) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการเกษตร และ (๓) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ดำเนินการโดยกรมพัฒนาที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้ปรับชื่อโครงการให้เหมาะสมและชัดเจน จาก “โครงการปรับพื้นที่นาและลดรอบการปลูกข้าว ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต)” เป็น “โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต)” ส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเพื่อให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค และความคุ้มค่าของโครงการ ตลอดจนมิให้เกิดปัญหาต่อการดำเนินงานและภาระงบประมาณในอนาคต การส่งเสริมความรู้ทางวิชาการด้านการเกษตรผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และให้เกษตรกรเป็นผู้มีส่วนร่วมลงทุนในการดำเนินการเพื่อให้เกิดการพัฒนาอาชีพการเกษตรอย่างยั่งยืน การเร่งรัดประชาสัมพันธ์รายละเอียดโครงการและสร้างองค์ความรู้ในเรื่องที่จะปรับเปลี่ยนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในระดับพื้นที่และเกษตรกรให้ทราบอย่างทั่วถึงและครบถ้วน การกำหนดมาตรการส่งเสริมระยะยาวเพื่อให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรทฤษฎีใหม่ร่วมกับการปรับพื้นที่นาและลดรอบการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์โครงการรวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการให้เกษตรกรรับทราบ และกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานของโครงการด้วย ๒.๒ ติดตามการดำเนินการเพาะปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวของเกษตรกรอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้คำแนะนำเกษตรกรให้ปลูกพืชที่มีตลาดรองรับและมีปัญหาด้านราคาน้อย และพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบด้านราคา เช่น การทำสัญญาซื้อขายผลผลิตกับผู้รับซื้อล่วงหน้า เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรเพื่อนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของโครงการโดยไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17286 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน รวม 3 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. ....) | กษ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน รวม ๓ ฉบับ เพื่อให้สามารถนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินมาใช้เพื่อการจัดรูปที่ดินได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลชุมช้าง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลกระสัง และตำบลสองชั้น อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุน ส่งเสริมให้พื้นที่ที่ได้มีการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ทำการเกษตรแผนใหม่แบบครบวงจร เพื่อช่วยให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น และเป็นพื้นที่เกษตรกรรมนำร่องสู่ “เกษตรกรรม ๔.๐” หรือ “Smart Farmer” ของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17287 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) | กค | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงชื่อและรายละเอียดของโครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ให้รองรับซอฟต์แวร์ SAP ECC ๖.๐ เป็นโครงการจัดทำระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) วงเงิน ๘๒๓.๐๐ ล้านบาท ของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังดำเนินการให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ (๑) พิจารณาออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ โดยจำเป็นต้องมี Code Based Management ของกระทรวงการคลัง (๒) จัดทำขั้นตอนการออกแบบระบบโดยแบ่งออกเป็นระยะต่าง ๆ เช่น การสร้างแนวความคิดหลัก (Conceptual Design) การออกแบบรายละเอียด (Detail Design) และการออกแบบการจัดทำระบบ (Implementation Design) เป็นต้น และ (๓) ภายหลังการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ควรมีการจัดทำระบบดังกล่าวให้เป็น Open Source Software เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) ได้มีโอกาสพัฒนาโปรแกรมร่วมกัน ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการอีกครั้ง ในขั้นตอนการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ทั้งนี้ ในกรณีโครงการต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการเพื่อพัฒนาและดูแล บำรุงรักษาระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ โดย ๒.๑ ดูแลและบำรุงรักษาระบบ GFMIS ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเจ้าของระบบแล้ว ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกว่าระบบ New GFMIS Thai จะได้รับการปรับปรุงและพัฒนาจนสามารถรองรับการทำงานทดแทนระบบ GFMIS เดิมได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อป้องกันการขาดเสถียรภาพของระบบ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการสูญหายของข้อมูล หรือเกิดผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณของประเทศในภาพรวม ๒.๒ เร่งรัดพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและดูแลบำรุงรักษาระบบ New GFMIS Thai ให้มีความสามารถในการดูแล บำรุงรักษาระบบให้มีเสถียรภาพ ตลอดจนสามารถพัฒนาระบบดังกล่าวให้สามารถรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณในรูปแบบใหม่ ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ ดำเนินการจัดฝึกอบรมให้แก่บุคลากรของทุกหน่วยงานที่ใช้งานระบบ GFMIS ให้ทั่วถึงเพื่อให้ผู้ใช้งานมีความรู้ ความเข้าใจ ในการดำเนินงานด้วยระบบ New GFMIS Thai ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งานระบบดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำปัญหาอุปสรรคในการใช้งาน ตลอดจนข้อเสนอแนะจากผู้ใช้งานไปปรับปรุงระบบ New GFMIS Thai ให้สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับติดตามการดำเนินงานของโครงการเงินกู้ DPL ในส่วนที่ไม่อยู่ในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๓.๑ เร่งรัดให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการซึ่งได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว แต่ยังดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณไม่แล้วเสร็จ จำนวน ๑๑ โครงการ ดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณ วงเงิน ๘๘๑.๘๑ ล้านบาท ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๓.๒ พิจารณาถึงความจำเป็น ความเหมาะสม และความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ DPL ที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินโครงการ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพิจารณาเร่งรัดหรือยุติการดำเนินโครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบภายใน ๒ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17288 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางศรีรัตน์ วัฒนล้ำเลิศ) | กค | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางศรีรัตน์ วัฒนล้ำเลิศ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17289 | ผลการดำเนินการตามมาตรา 5/8 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 | นร12 | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติผลการดำเนินการตามมาตรา ๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ๒๕๕๙ ของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน จำนวน ๔ เรื่อง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่องค์การมหาชน ๑.๒ หลักเกณฑ์การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การมหาชน และผู้อำนวยการองค์การมหาชน ๑.๓ หลักเกณฑ์การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบองค์การมหาชน ๑.๔ ให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ ๑ พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน (อัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการ อยู่ระหว่าง ๑๐๐,๐๐๐-๓๐๐,๐๐๐ บาท) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดแนวทางและรายละเอียดของแต่ละหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนเพื่อให้เป็นมาตรฐานและแนวทางเดียวกัน รวมทั้งกำหนดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามหลักสมรรถนะแบบเข้มข้นไว้ในหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่องค์การมหาชนเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17290 | รายงานผลความคืบหน้าในการกำหนดมาตรการแนวทางแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงที่ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว | ศธ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าในการกำหนดมาตรการแนวทางแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงที่ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามแนวทางแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ลงนามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สป ๖๑๑/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๒. กำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงที่ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และรายงานถึงสาเหตุและวิธีการที่ดำเนินการแล้วส่งผลให้สถิติก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงมีแนวโน้มลดลง ประกอบด้วย ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการสร้างภูมิคุ้มกัน (๒) มาตรการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยง (๓) มาตรการสร้างความตระหนัก และ ๖ สาเหตุ ได้แก่ (๑) หน่วยงานมีมาตรการการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษา (๒) รัฐบาลให้ความสำคัญและจริงจังกับปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรง (๓) การบูรณาการการทำงานของสถานีตำรวจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จุดเสี่ยงอย่างจริงจัง (๔) การเพิ่มจำนวนพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา (๕) กระทรวงศึกษาธิการมีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง เช่น ประกาศจัดตั้งศูนย์เสมารักษ์เพื่อทำหน้าที่ควบคุม กำกับ ดูแลความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา และ (๖) หน่วยงาน/สถานศึกษา มีระบบป้องกัน เฝ้าระวัง และคุ้มครองนักเรียนและนักศึกษาอย่างชัดเจน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17291 | ผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation) | กต | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประเด็นความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความเชื่อมโยงด้านนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนา ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความเชื่อมโยงด้านการค้า ความเชื่อมโยงด้านการเงิน และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรผลักดันและสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรอบสายแถบและเส้นทางให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมาพัฒนาประเทศไทยตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ รวมทั้งควรสร้างความเชื่อมโยง Belt and Road Initiative กับนโยบายการพัฒนาที่สำคัญของประเทศไทย อาทิ นโยบายประเทศไทย ๔.๐ การพัฒนา ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดและผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17292 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 4 ราย) (นายวินัย ลีสมิทธิ์) | สธ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายสุนทร ชินประสาทศักดิ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐ ๒. นายพิสิฐ อินทรวงษ์โชติ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลหนองคาย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองคาย สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๐ ๓. นางกุลฤดี วงศ์เบญจรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ๔. นายวินัย ลีสมิทธิ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลกำแพงเพชร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกำแพงเพชร สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17293 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นางสุกัญญา งามบรรจง) | ศธ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุกัญญา งามบรรจง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกระบวนการเรียนรู้ (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17294 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) และตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายนริสชัย ป้อมเสือ และนางนันทิกาญจน์ สวัสดิ์ภักดี) | นร | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายนริสชัย ป้อมเสือ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านการประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๒. นางนันทิกาญจน์ สวัสดิ์ภักดี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17295 | ขออนุมัติเปิดสถานกงสุลสหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปิดสถานกงสุลสหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา ตรัง และยะลา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17296 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "ระบบสารสนเทศด้านมาตรฐานและข้อมูลการแพทย์" ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สธ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “ระบบสารสนเทศด้านมาตรฐานและข้อมูลการแพทย์” โดยกระทรวงสาธารณสุขเห็นด้วยกับหลักการให้มีมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับข้อมูลทางการแพทย์และกฎเกณฑ์การเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบสารสนเทศเพื่อส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยหรือมาตรฐานอื่น ๆ และให้มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นกฎหมายเฉพาะทางอีกฉบับหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับงานบริการสาธารณสุข โดยต้องไม่ขัดกับกฎหมายกลาง และควรให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานกลางในการกำหนดมาตรฐานที่ใช้ตามหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นที่ยอมรับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17297 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อโครงการ จาก “โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟไทย-จีน ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา” เป็น “โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” และให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕) ในข้อ ๔.๑ เป็น “ให้เสนอผลการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อรับทราบต่อไป” ๒. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งสาขาทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ รวมทั้งการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายสินค้า คน ฐานความรู้ และเงินทุนแบบต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal) ทั้งภายในประเทศและการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคให้ชัดเจน และจัดทำแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย การลำดับความสำคัญของการพัฒนา ภาระด้านการคลัง และกลไกที่จะให้ภาคเอกชนดำเนินการหรือร่วมดำเนินการให้ชัดเจน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดเป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงภาพรวมผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์จากการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งในระดับภูมิภาคผ่านการดำเนินโครงการนี้และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสียโอกาสผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ หากไม่ดำเนินโครงการฯ รวมถึงการจัดทำข้อมูลค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ทั้งโครงการไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างของโครงการอยู่ภายใต้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นการเจริญเติบโตจากเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานภาคการค้าและบริการ เพื่อสนับสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมโยงภูมิภาค และยกระดับรายได้ของประชาชนในภาคชนบท เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง กฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณ ๒ ข้างทาง ตามแนวเส้นทางการพัฒนาระบบราง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เป็นต้น ๒.๔ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยของภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาบุคลากรทั้งระดับวิศวกรและช่างเทคนิคสำหรับรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางรางต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณาแนวทางการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของ รฟท. เพื่อกำกับการดำเนินงานโครงการให้มีประสิทธิภาพ โดยให้มีโครงสร้างองค์กรที่มีความคล่องตัวและเหมาะสมสำหรับดำเนินกิจการระบบรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งกำหนดมาตรการหรือแนวทางในการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและบุคลากรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ การจัดตั้งองค์กรพิเศษดังกล่าวต้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๖ ให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดการศึกษาความเหมาะสม การวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการ และการเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการในช่วงที่เหลือ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) เพื่อให้การดำเนินโครงการในช่วงดังกล่าวมีความพร้อมที่จะดำเนินได้โดยเร็ว โดยคำนึงถึงช่วงเวลาที่สอดรับกับการเปิดให้บริการโครงการรถไฟความเร็วสูงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) รวมทั้งให้ดำเนินการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีน และ สปป.ลาว เพื่อหารือถึงแนวทางการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทางรางของทั้ง ๓ ประเทศด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่ได้วางแผนไว้ ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ในกรณีที่ใช้เงินกู้ดำเนินการ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ตลอดจนการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรของประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางและอุตสาหกรรมอื่น เพื่อลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ โดยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17298 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 | ดศ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การจัดทำยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ (๒) การดำเนินโครงการระบบดาวเทียมเพื่อการสำรวจ (THEOS-2) และ (๓) การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ตามผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการบริหารเอกสารข่ายงานดาวเทียม และการให้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศ โดย ๒.๑ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ ศึกษาและทบทวนการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรักษาสิทธิในการใช้คลื่นความถี่และตำแหน่งวงโคจรของประเทศตามรัฐธรรมนูญฯ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐ ๒.๒ กำหนดแนวทางการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศ กรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ รับทราบการเร่งรัดคู่สัญญาให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาให้ครบถ้วน โดยดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ ศึกษาและทบทวนการกำหนดเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17299 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร01 | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๙ เกี่ยวกับการชักและการประดับธงชาติในโอกาสหรือวันพิธีสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17300 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 5 ฉบับ [ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดตราด (ฉบับที่..) พ.ศ. ....] | มท | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๕ ฉบับ มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ (Zoning) ในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดเชียงราย จังหวัดตราด จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และเพื่อให้การควบคุมดูแลการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและประชาชนในท้องที่ตามที่กำหนดในร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นไปอย่างเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพในการควบคุมดูแลมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดตราด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เห็นควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการเป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....