ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 847 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 16921 - 16940 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16921 | ขอความเห็นชอบในหลักการแนวทางการช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชน | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชนด้านเงินทุน เพื่อยกระดับการพัฒนากิจการผ่านโครงการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับให้ยืมแก่วิสาหกิจชุมชน เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน และเพื่อให้การส่งเสริม สนับสนุน หรืออุดหนุนแก่วิสาหกิจชุมชน เครือข่ายวิสาหกิจขุมชนเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การบริหารจัดการ เทคโนโลยีด้านการผลิต การตลาด การรับรองคุณภาพและแหล่งกำเนิดสินค้า และการพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๐-๒๕๖๔ งบประมาณดำเนินการ ๓,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการการส่งเสริมตลาดสินค้าวิสาหกิจชุมชนผ่านโครงการ “วิสาหกิจชุมชนแฟร์ ๒๐๑๘” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของวิสาหกิจชุมชนให้มากขึ้น กำหนดจัดงานประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ระยะเวลา ๕ วัน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล งบประมาณดำเนินการ ๒๕ ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากมีความจำเป็นต้องขออนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จะต้องจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย แผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนฯ ควรชี้แจงถึงแหล่งเงินที่จะใช้ในการจัดตั้งกองทุนฯ รวมทั้งประมาณการวงเงินดังกล่าว และควรต้องมีการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งกองทุนฯ โดยเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุม พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้ครอบคลุมถึงภารกิจการจัดตั้งและดำเนินงานกองทุนฯ ซึ่งควรสอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว ตลอดจนระเบียบและขั้นตอนการจัดตั้งทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรมีการพิจารณาถึงช่องทางการเพิ่มรายได้ของกองทุนฯ จากแหล่งอื่น เพื่อลดภาระด้านงบประมาณแผ่นดิน และควรพิจารณาประเด็นทางการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาให้เงินอุดหนุนหรือการให้กองทุนฯ เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการให้ยืมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16922 | การพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน 316 อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข | นร10 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้นำตำแหน่งที่มีอยู่มาบรรจุนักศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุข และสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จนครบถ้วนทั้ง ๓๕๐ ราย แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องสนับสนุนอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุขที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ อีก ๑.๒ รับทราบการวิเคราะห์สัดส่วนเภสัชกรต่อประชาชนผู้มารับบริการที่เหมาะสมและสามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ตลอดจนภาระงบประมาณและจำนวนบุคลากรด้านเภสัชกรที่ได้รับทุนการศึกษาและที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในแต่ละปี รวมทั้งความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีต่อ ๆ ไป ของกระทรวงสาธารณสุข นั้น คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับบทบาทภารกิจ ทิศทางและนโยบายด้านการบริการสุขภาพของประเทศ และได้กำหนดกรอบการทำงานไว้ว่าแผนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ เมื่อแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้วเสร็จ คปร. จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ คปร. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบ โดยให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจด้านสาธารณสุขของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงานตามนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16923 | แผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ 2 ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 | นร12 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นแผนการยกระดับประสิทธิภาพการบริการของภาครัฐให้ดีขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการจากภาครัฐที่รวดเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และค่าใช้จ่ายที่ถูกลง โดยแผนการยกระดับดังกล่าวแบ่งออกเป็น ๕ แผนงาน ได้แก่ (๑) การปรับปรุงคู่มือสำหรับประชาชน ระยะที่ ๒ (๒) การจัดทำแบบฟอร์มเอกสารราชการ ๒ ภาษา (๓) การพัฒนาระบบติดตามการให้บริการ (๔) การอำนวยความสะดวกในการจองคิวกลางและการให้ข้อมูลป้อนกลับของประชาชนต่อการบริการ และ (๕) การทบทวนกฎหมายในการยกเลิกใบอนุญาตที่ไม่จำเป็น ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานร่วมสนับสนุนการดำเนินการตามแผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวการกำหนดเกณฑ์ค่าเป้าหมายที่มีความเหมาะสมกับแต่ละกระบวนงาน การจัดให้มีหน่วยงานกลาง (focal point) ทั้งระดับประเทศและระดับกระทรวงเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดทำเอกสารภาษาต่างประเทศ การเชื่อมโยงระบบติดตามการให้บริการและระบบการจองคิวกลางของการบริการภาครัฐ และการพัฒนาระบบข้อมูลกลางให้เป็นมาตรฐานและสามารถเข้าถึงได้แบบทันที (real time) เป็นต้น รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ให้มีระบบสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการคำขออนุญาตที่เชื่อมโยงกับระบบของหน่วยงาน และพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณสำหรับการพัฒนาระบบค่าเช่าใช้บริการค่าอุปกรณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกิจกรรมภายใต้แผนงานต่าง ๆ โดยระบุเป้าหมายและตัวชี้วัดของกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจนเพื่อให้สามารถกำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดกรอบเวลาและเร่งรัดการดำเนินการกิจกรรมดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16924 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน | อื่นๆ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งนักวิชาการแรงงานให้กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จำนวน ๖๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. เสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้วก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16925 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. 2560 - 2564 | ปง | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ปรับชื่อร่างยุทธศาสตร์นี้ให้เหมาะสม จากเดิม “ร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔” เป็น “ร่างยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔” ๒. เห็นชอบตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ดังนี้ ๒.๑ ร่างยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการในเชิงบูรณาการและเพิ่มประสิทธิผลในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ของประเทศในภาพรวม ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) เสริมสร้างกลไกการป้องกันสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพที่ไม่ใช่สถาบันการเงินจากการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (๒) สร้างระบบการป้องกันองค์กรไม่แสวงหากำไร/นิติบุคคลจากการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (๓) ยกระดับงานด้านข่าวกรองทางการเงิน (๔) ส่งเสริมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมาย และการดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามความเสี่ยง (๕) ยกระดับการดำเนินคดีอาญาฟอกเงิน และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (๖) เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งภาคประชาสังคม (๗) พัฒนาระบบการบริหารจัดการ (กฎหมาย/นโยบายและมาตรการ/บุคลากร/ฐานข้อมูล) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และ (๘) ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ๒.๒ ให้สำนักงาน ปปง. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๓. ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐที่เห็นควรแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และควรให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ความเข้าใจในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้เกิดเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ (กฎหมายนโยบายและมาตรการ บุคลากร ฐานข้อมูล) ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเป็นกลไกขยายความร่วมมือไปยังภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16926 | รายงานสรุปผลการปฏิบัติการตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. 2558 ประจำปี 2559 | นร09 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการปฏิบัติการตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ ประจำปี ๒๕๕๙ ประกอบด้วย รายงานกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐ ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งผลการดำเนินงานอื่นของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายในทุกหน่วยงานของรัฐ โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายของทุกหน่วยงานของรัฐได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินการทบทวนความเหมาะสมของบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม และไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16927 | ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน | ปง | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ในการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้เฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยใช้เงินจากกองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ปปง. เร่งดำเนินการบรรจุข้าราชการในอัตราที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงาน ปปง. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และยกเลิกการจ้างลูกจ้างชั่วคราวดังกล่าวตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ปปง. กำหนดเงื่อนไขในสัญญาจ้างไม่ให้ลูกจ้างชั่วคราวมาเรียกร้องขอให้บรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในภายหลังด้วย ๒. ให้สำนักงาน ปปง. ปรับปรุงการบริหารจัดการและกระบวนการปฏิบัติงานโดยใช้ประโยชน์จากอัตรากำลังข้าราชการและพนักงานราชการที่มีอยู่ทั้งหมดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนอัตรากำลังที่เหมาะสมร่วมกับคณะกรรมการ คปร. ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16928 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ประธานที่ประชุมได้มอบนโยบาย ดังนี้ (๑) ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนน้อมนำพระราชดำรัส สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม (๒) การดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ควรขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างน้อยภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (๓) การจัดทำโครงการที่ขอใช้งบประมาณผูกพันในระยะยาว ขอให้ทุกส่วนราชการยึดหลักสำคัญ ได้แก่ การเชื่อมโยงทิศทางการพัฒนาประเทศตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และการตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ และ (๔) ประเด็นที่ต้องขับเคลื่อนสำคัญ เช่น การสื่อสารกับสังคมในเรื่องการจัดทำแผนกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ การพัฒนาระบบ E-Learning เพื่อสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับคนไทยทุกกลุ่ม และการร่วมมือกับสถานประกอบการเพื่อแปลภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติงานให้เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่จำเป็นอื่น ๆ ในทุกโรงงานภายในสิ้นปีนี้ ๒. รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๘/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๐ โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการฯ จำนวน ๑๒ ท่าน ๓. รับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษา และมอบหมายกระทรวงแรงงานประสานความร่วมมือกับสถานประกอบการในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะภาษา และมอบหมายกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานรวบรวมและจัดทำข้อมูลการผลิตและความต้องการกำลังคนให้ชัดเจน ๔. รับทราบการศึกษารูปแบบการจัดการศึกษาของบรูไนดารุสซาลาม ที่กำหนดจุดเน้นในการปฏิรูปการศึกษาใน ๖ เรื่องสำคัญ ได้แก่ (๑) การพัฒนาโครงสร้างหลักสูตร (๒) การขยายขอบข่ายการฝึกงาน (๓) การจัดระบบการให้บริการใหม่ (๔) การสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (๕) การพัฒนาการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ และ (๖) การยกระดับสภาพแวดล้อมในการฝึกอบรม ๕. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ของกระทรวงสาธารณสุข และให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการดำเนินงานในระยะ ๓ ปีแรก รวมทั้งให้รับความเห็นจากที่ประชุมไปปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๖. เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะที่ ๔ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นจากที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวบรวมข้อมูลนักเรียนทุนโครงการฯ ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว จำนวน ๒,๙๐๐ ราย ที่มีรายละเอียดสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา สถานที่ทำงาน และผู้ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาอีกประมาณ ๗๐๐ ราย เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากผู้รับทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. รวบรวมข้อมูลแหล่งทุน ผู้รับทุนในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ และพิจารณาเกี่ยวกับค่าตอบแทนนักวิจัยที่เหมาะสม และแนวทางการให้นักวิจัยสามารถไปทำงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรภาครัฐสร้างนวัตกรรมและผลงานวิจัยให้กับประเทศและสนับสนุนงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น และสรุปผลการดำเนินการดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อทราบ ๗. เห็นชอบในหลักการของโครงการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในอุดมศึกษา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก (ทุนพัฒนาอาจารย์) พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการจัดลำดับความสำคัญและจัดทำกรอบการจัดสรรในระยะ ๓ ปี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทุนการศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ ในภาพรวมให้เป็นระบบ รวมทั้งสังเคราะห์ข้อมูลสาขาวิชาที่ผู้รับทุนสำเร็จการศึกษากับสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของประเทศ โดยกำหนดรูปแบบการจ้างในระบบราชการให้ชัดเจน และกำหนดคุณวุฒิที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้การผลิตกำลังคนส่งผลกระทบต่ออัตรากำลังภาครัฐและเป็นภาระงบประมาณภาครัฐ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ๘. เห็นชอบในหลักการของโครงการผลิตทันตแพทย์เพิ่มของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ระยะที่ ๒ เพื่อพัฒนาทันตสุขภาวะของประชาชน (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนขอรับการสนับสนุนระยะเวลา ๓ ปี รวมทั้งให้พิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ในการกำหนดกรอบอัตรากำลังของข้าราชการที่เหมาะสมให้ได้ข้อยุติ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่า ผลิตแล้ว ต้องรักษาไว้ในสถานพยาบาลของรัฐให้ได้ ไม่ใช่ไปเอกชนหมด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16929 | การขอรับเงินสนับสนุนกรณีการจัดเดินรถเชื่อมต่อตามโครงการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ (บขส.) เข้าใช้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ 3 สถานี | คค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๔,๗๑๗,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดรถรับส่งผู้โดยสาร กรณีการจัดเดินรถเชื่อมต่อขยายโครงการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ (บขส.) เข้าใช้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ ๓ สถานี [สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ (ปิ่นเกล้า) สถานีจตุจักร และสถานีเอกมัย] ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16930 | ขอความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสตรีให้มีความก้าวหน้า แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสตรีในสังคมไทย และยกระดับมาตรฐานการพัฒนาสตรีและสถานภาพของสตรีให้สอดคล้องกับหลักการสากล ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ปรับเปลี่ยนเจตคติของสังคมในประเด็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย ยุทธศาสตร์ที่ ๒ เสริมพลัง เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตแก่สตรีทุกกลุ่มและทุกระดับ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ พัฒนาเงื่อนไขและปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาสตรีที่มีประสิทธิผลและเสมอภาค ยุทธศาสตร์ที่ ๔ กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง ขจัดปัจจัยเสี่ยง ป้องกัน คุ้มครองช่วยเหลือและเยียวยา และยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างความเข้มแข็งของกลไก และกระบวนการพัฒนาสตรี ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ควรมุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างทุกภาคส่วนให้เกิดการดำเนินงานที่ครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อสตรีในสังคมไทย และควรพิจารณาเพิ่มเติมแนวทางในการจูงใจให้สถานประกอบการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นทั้งด้านเวลา สถานที่ กำหนดประเภทงาน และค่าจ้างที่เหมาะสมสำหรับสตรีที่มีภาระในการดูแลครอบครัว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน สำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับระยะเวลาของร่างยุทธศาสตร์ฯ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและขับเคลื่อนการดำเนินการตามร่างยุทธศาสตร์ฯ ตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้วย เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ปรับปรุงการดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีในระยะต่อ ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. เมื่อมีกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16931 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ครั้งที่ 7 | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (Joint Commission : JC) ไทย-สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) ผลการประชุมฯ ที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเพิ่มพูนและผลักดันความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านการค้าและการลงทุน และด้านสาขาอื่น ๆ (เช่น ประมงและเกษตร พลังงาน และการท่องเที่ยว) รวมทั้งความร่วมมือระดับภูมิภาค และความร่วมมือในเวทีพหุภาคี (๒) ผลการหารือกับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และ (๓) ผลการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16932 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 4 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการค้า เช่น การตั้งเป้าหมายทางการค้าร่วมกันเป็นสองเท่า หรือ ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ (ค.ศ. ๒๐๒๑) การพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ระหว่างกัน บังกลาเทศเรียกร้องให้ไทยพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อขอรับสิทธิและการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตาสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (DFQF) อีก ๓๖ รายการ เป็นต้น ๑.๒ ด้านการลงทุน เช่น ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุน และบังกลาเทศเชิญชวนไทยเข้ามาลงทุนในสาขา อาทิ อาหารแปรรูป ผลไม้แปรรูป ประมง เพาะเลี้ยงกุ้ง เครื่องจักร ยานยนต์ อัญมณีเทียม สิ่งทอ ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเกษตร ยา เทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อสร้าง บริการสุขภาพ และท่องเที่ยว เป็นต้น ๑.๓ ด้านความร่วมมือ เช่น เร่งรัดให้มีการจัดประชุมคณะทำงานร่วมด้านการเกษตรเพื่อแสวงหาความร่วมมือและความช่วยเหลือด้านเกษตรระหว่างกัน และสนับสนุนให้มีการทบทวนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือประมง เป็นต้น ๑.๔ ประเด็นอื่น ๆ เช่น การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ ปริมาณไม่เกิน ๑ ล้านตันต่อปี ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๔ โดยจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและราคาในตลาดโลก ไทยแจ้งถึงข้อกังวลที่บังกลาเทศขึ้นภาษีแป้งมันสำปะหลัง (HS 1108.14) จากร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑๕ และบังกลาเทศแสดงความสนใจเกี่ยวกับโครงการสร้างถนนเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ๓ ฝ่ายระหว่างอินเดีย-เมียนมา-ไทย (Trilateral highway) โดยขอให้ไทยช่วยสนับสนุนให้โครงการดังกล่าวเชื่อมไปยังบังกลาเทศด้วย เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรมีการติดตามผลการประชุมฯ อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการผลักดันการลงทุนในสาขาอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมเกษตร ก่อสร้าง และพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่บังกลาเทศมีศักยภาพและไทยมีความเชี่ยวชาญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16933 | ร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเพื่อการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัล | นร10 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ เพื่อการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัลเพื่อให้ใช้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกำลังคนภาครัฐ ๑.๒ ให้ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเร่งพัฒนาตนเองและสนับสนุนการพัฒนาผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีทักษะด้านดิจิทัลในระดับที่สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมการทำงานหรือการให้บริการภาครัฐที่ทันสมัยและมีการเชื่อมโยงการทำงานและข้อมูลข้ามหน่วยงานด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยนำร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาด้วย ๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ องค์กรกลางบริหารงานบุคคล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีการนำร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลไปปรับใช้ในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกำลังคนในสังกัด ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัล และการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการนำทักษะด้านดิจิทัลที่พัฒนาไปใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการทำงานและการให้บริการของรัฐ การสร้างองค์กรภาครัฐที่ทันสมัย การเชื่อมโยงการทำงานและข้อมูลข้ามหน่วยงาน และการสร้างรัฐบาลแบบเปิดด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานในสังกัด สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้การสนับสนุนการดำเนินงาน งบประมาณ และทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง ตามร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐอย่างต่อเนื่องด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ที่เห็นควรจัดทำแผนการส่งเสริมดำเนินการพัฒนาข้าราชการและบุคลากรภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน และควรกำหนดวิธีการและรูปแบบการประเมินทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐให้มีความชัดเจน เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในแต่ละหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าว เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปดำเนินการเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ส่วนปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16934 | ขออนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อนำไปใช้จ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) สถานีตำรวจภูธรจะนะ จังหวัดสงขลา | ตช | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้จ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) สถานีตำรวจภูธรจะนะ จังหวัดสงขลา ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ได้แก่ (๑) รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรจะนะ จังหวัดสงขลา พร้อมส่วนประกอบ ๑ หลัง วงเงิน ๔,๓๑๓,๘๖๖ บาท และ (๒) รายการค่าก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) สถานีตำรวจภูธรจะนะ พร้อมส่วนประกอบ ๑ หลัง วงเงิน ๓,๑๑๒,๔๘๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ถือปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายฯ (เพิ่มเติม) รวมทั้งขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16935 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา 23 วรรคสี่ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | กก | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๓ แผนงานพื้นฐานด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลผลิตการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งสิ้น ๘ รายการ ภายในวงเงิน ๗๒,๖๑๐,๔๐๐ บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศปัจจุบัน (ณ วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐) เป็นกรณีเฉพาะราย โดยเห็นควรที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และต่อรองค่าเช่าจนได้ราคาต่ำสุด โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒๔,๕๑๒,๔๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) ค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงาน จำนวน ๔ สำนักงาน จำนวนเงิน ๒๑,๑๙๖,๗๐๐ บาท (๒) ค่าเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลเพื่อใช้ประจำสำนักงาน จำนวน ๓ สำนักงาน จำนวนเงิน ๓,๐๘๐,๑๐๐ บาท และ (๓) ค่าเช่าคลังเก็บวัสดุสำนักงาน จำนวน ๑ สำนักงาน จำนวนเงิน ๒๓๕,๖๐๐ บาท เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16936 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2556 (โครงการปรับปรุงวังสราญรมย์) | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16937 | ขออนุมัติงบกลางปี 2560 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560 - 2564) | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลางปี ๒๕๖๐ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๗๗.๕๒๘๔ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถเริ่มดำเนินโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ตามเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักการพัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (๒) โครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ (๓) โครงการอาคารอัดน้ำท้ายอ่างเก็บน้ำประแสร์ (๔) โครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำดอกกราย และ (๕) โครงการเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้สำหรับงานดำเนินการเอง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานส่งรายละเอียดโครงการและวงเงินของ ๕ โครงการ ที่มีการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติบรรจุในแผนงานโครงการที่มีความพร้อม ตามการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและภัยแล้งทั้งประเทศ และได้กำหนดเป้าหมายการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ (Area-based) เพื่อพิจารณาให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ/เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16938 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี ๒๕๖๐/๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกรให้ทันต่อรอบการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา และควรเข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งในการลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่า ควรส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมและมีรายได้ใกล้เคียงกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้ตามแผนที่กำหนดและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒.๒ ให้เร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการให้เกษตรกรรับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานโครงการด้วย ๒.๓ การกำหนดให้พื้นที่ที่สามารถเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวในฤดูนาปรัง ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) และจะต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปประกอบกิจกรรมอื่นเป็นการถาวรไปแล้ว ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙) และโครงการปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนนาข้าว (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) ๓. การจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16939 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา | ยธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา โดยสนับสนุนงบประมาณให้แก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของกัมพูชา (National Authority for Combating Drugs-NACD) จำนวน ๓๘,๐๑๑,๔๐๐ บาท สำหรับการก่อสร้างศูนย์บำบัดและฝึกอาชีพสำหรับผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ ณ อำเภอสตึงฮาว จังหวัดพระสีหนุ รวมถึงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานด้านการบำบัดรักษาให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของกัมพูชา ๑.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ NACD จำนวน ๓๘,๐๑๑,๔๐๐ บาท สำหรับดำเนินโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ๑.๓ ให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณของโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา เพื่อนำไปสนับสนุน NACD ดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ๒. ในขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16940 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมที่จะมีการรับรองในที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ เป็นการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation 2016-2025 : APAEC) ในส่วนของเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด และการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ๑.๒ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๔ เป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนานโยบายด้านน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติและแนวทางการสำรองน้ำมันในอาเซียน ๑.๓ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๑ เป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียน ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การพัฒนาด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือกเพื่อผลิตไฟฟ้า เป็นต้น ๑.๔ ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ เป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับทบวงพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศในการให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการดำเนินการตาม APAEC พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ในส่วนของการพัฒนาพลังงานทดแทน และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการมีบันทึกความตกลงเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในระยะยาวและสอดคล้องกับแผน APAEC พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ รวมทั้งพิจารณาให้มีการประชุมระหว่างอาเซียนและทบวงพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศผ่านการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ๒ ปีครั้ง และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านพลังงานเป็นประจำทุกปี ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....