ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 846 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 16901 - 16920 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16901 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 3 ปี | ดศ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ ๓ ปี เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนและกำหนดนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ร้อยละ ๘๘.๘ ติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ๑.๒ การดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ ๙๐ ทราบเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ๑.๓ ความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล มากกว่าร้อยละ ๕๐ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก-มากที่สุด ๑.๔ ความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของรัฐบาล ความพึงพอใจฯ ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจฯ อยู่ที่ ๗.๐๑ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๑๐ ๑.๕ เรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน ๕ อันดับแรก ได้แก่ การควบคุมสินค้าอุปโภค บริโภค ไม่ให้มีราคาแพง การแก้ไขปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ การแก้ไขปัญหาหนี้สิน และการปรับขึ้นค่าแรงให้เพียงพอกับค่าครองชีพ ๑.๖ ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ๕ อันดับแรก ได้แก่ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ดีกว่านี้ การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง การประชาสัมพันธ์โครงการ/นโยบายต่าง ๆ ให้ประชาชนรับทราบ และการแก้ปัญหาหนี้สิน ๑.๗ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (๑) ควรมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการบริหารงาน/นโยบายของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาควบคุม ดูแล และแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (๓) ควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวดเร็ว และต่อเนื่อง และ (๔) หน่วยงานภาครัฐควรมีการทำงานเชิงรุก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) พิจารณาปรับวิธีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล โดยในประเด็นคำถาม-คำตอบควรมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้สามารถตอบแบบสำรวจได้สะดวกและตรงประเด็นยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16902 | รายงานสรุปการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านศิลปวัฒนธรรมระหว่างไทย-อินโดนีเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้เจรจาความร่วมมือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย โดยทั้งสองได้แสดงเจตจำนงในการใช้มิติศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันนอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนทางด้านศิลปะการแสดงซึ่งมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะจัดทำแผนปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการหารือเรื่องการบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกและแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางความร่วมมือทางด้านการบริหารจัดการและเทคนิคการบูรณะโบราณสถาน ๒. การส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะได้พบหารือกับเจ้าอาวาสวัดพุทธเมตตา รวมทั้งฝ่ายมหายานพระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซีย และสมาคมวิทยาลัยพุทธศาสนาของอินโดนีเซียถึงนโยบายการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นที่บุโรพุทโธในช่วงสิ้นปี ๒๕๖๐ ๓. การส่งเสริมการดำเนินงานของเครือข่ายภาคธุรกิจไทย-อินโดนีเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบโล่แก่บุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยและอินโดนีเซียที่ได้มีบทบาทในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศผ่านการประกอบการด้านธุรกิจ การค้าและการลงทุน นับเป็นการบูรณาการการทำงานด้วยการนำมิติวัฒนธรรมเชื่อมโยงทั้งการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เพิ่มพูนและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16903 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-Bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 2 และ 16 สิงหาคม 2560 | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-Bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒ และ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๐ วงเงิน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามลำดับ รวม ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๑ เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ วงเงินรวม ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็น Bridge Financing สำหรับรองรับการปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนด และออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๒ รุ่น วงเงินรวม ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อนำมาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินระยะสั้นเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหนายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๒ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16904 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 33 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 มิถุนายน 2560) | นร | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน การส่งเสริมการค้า การลงทุน เสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16905 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อยปี 2559 | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อยปี ๒๕๕๙ (สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙) ซึ่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า มีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน พร้อมทั้งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกประจำปี ๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และประกาศในราชกิจานุเบกษาต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16906 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ จังหวัดเชียงใหม่ (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายคาซูโนริ คาวาดะ (Mr. Kazunori Kawada)] | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายคาซูโนริ คาวาดะ (Mr. Kazunori Kawada) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา แพร่ และอุตรดิตถ์ สืบแทน นายชิงยะ อาโอกิ (Mr. Shinya Aoki) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16907 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายสุชาติ สินรัตน์) | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุชาติ สินรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16908 | สรุปผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน 2560) ตามปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำ ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะเวลา 3 ปี (2559 - 2561) | ยธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานรอบ ๖ เดือน (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๐) ตามปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำ ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะ ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (ศปง.มข.) ประเทศไทย ได้ผลักดันให้ประเทศสมาชิกทั้ง ๖ ประเทศ (จีน ลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม และไทย) จัดตั้งกลไกประสานงานและกำกับติดตาม ภายใต้ชื่อศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong Coordination Centre : SMCC) พร้อมสร้างกลไกการรับผิดชอบในทุกระดับ ทั้งในระดับหน่วยงาน ระดับนโยบาย ระดับบริหาร และระดับปฏิบัติการ เป็นที่เรียบร้อย รวมทั้งประสานให้ทุกประเทศจัดวางสรรพกำลังด้านยาเสพติด และกำลังปฏิบัติการอื่น ๆ ที่แต่ละประเทศมีอยู่ให้การสนับสนุนการปฏิบัติการซึ่งกันและกัน โดยมุ่งเน้นปฏิบัติการพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวด้านยาเสพติดสูง ซึ่งทุกประเทศได้จัดวางกำลังตามด่าน/จุดตรวจ รวมทั้งสิ้นกว่า ๒๐๐ แห่ง ใน ๑๑ พื้นที่เป้าหมาย ๒. ผลการจับกุมในรอบ ๖ เดือน (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๐) ทั้ง ๖ ประเทศ มีผลการจับกุมรวมทั้งสิ้น ๓๒๕ คดี ผู้ต้องหา ๕๓๔ คน ของกลางยาบ้า ๙๔ ล้านเม็ด ไอซ์ ๑.๔ ตัน เฮโรอีน ๑ ตัน กัญชา ๖.๗ ตัน และสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ๑๒๐ ตัน เปรียบเทียบกับรอบ ๖ เดือนก่อนของปี ๒๕๕๙ (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) มีจำนวนคดีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๙ ของกลางโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๗๙.๓ และสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๔๐.๖ ตลอดจนยังคงมีแนวโน้มการจับกุมในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ๓. เมียนมารับเป็นเจ้าภาพตั้ง ศปง.มข. จังหวัดเชียงตุง ระยะเวลา ๓ เดือน (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16909 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ พ.ศ. .... | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรปรับปรุงในรายละเอียดของร่างกฎกระทรวงฯ ในบางประเด็น และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้อ ๑ และข้อ ๙ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน ประเภทของกิจการหรือโครงการ เนื้อที่ วัตถุประสงค์ และมูลค่าของการดำเนินกิจการ โดยมิได้มอบอำนาจให้ออกระเบียบเพื่อกระทำการอื่นใดต่อไปได้อีก แต่ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กำหนดให้การดำเนินการตามร่างข้อ ๑๗ วรรค ๒ และร่างข้อ ๒๐ จะต้องกำหนดไว้ในระเบียบ ดังนั้น ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จึงอาจไม่สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวที่ต้องดำเนินการให้มีการออกเป็นกฎกระทรวง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ยื่นขออนุญาตแสดงถึงความจำเป็นของการดำเนินโครงการที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมในการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ของพื้นที่ดังกล่าวเพื่อประเมินผลกระทบรอบด้าน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสมในการพัฒนาที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าวและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น การพิจารณากำหนดขั้นตอนและระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา รวมทั้งอัตราเยียวยาหรือชดเชยเกษตรกรขั้นต่ำในการขอใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละกรณี และการพิจารณากำหนดให้หน่วยงานที่จำเป็นต้องใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ หรือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมและสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนและวิธีการพิจารณาในกรณีที่เกษตรกรไม่ยินยอมให้ใช้ที่ดินที่มีแบบแผนและลดการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพื่อสร้างความยอมรับและปฏิบัติตามจากเกษตรกรในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16910 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อจัดตั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นส่วนราชการภายในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว รวมทั้งเปลี่ยนชื่อสำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็น “กองช่วยเหลือผู้ประสบภัย” ในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้มีความเหมาะสม และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16911 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพ.ศ. ๒๕๔๑ (FIDF 1) และตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF 3) ๑.๒ อนุมัติให้นำส่งเงินของกองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถชำระต้นเงินกู้และลดภาระดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๖๑ หากกองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือเพิ่มเติมจากที่ประมาณการและไม่จำเป็นต้องสำรองไว้ ให้กองทุนฯ เสนอกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้โอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16912 | แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564) | สธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับชื่อแผนยุทธศาสตร์นี้ให้เหมาะสม จากเดิม “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” เป็น “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนปฏิบัติการ (Action Plan) โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ มีเป้าประสงค์เพื่อลดภาวะการป่วย การตาย และความพิการที่ป้องกันได้ อันมีผลสืบเนื่องจากโรคไม่ติดต่อ ด้วยวิธีการร่วมมือระหว่างภาคีภาคส่วนหลากหลายสาขาและการประสานงานในระดับชาติ ภูมิภาค และระดับโลก เพื่อให้ประชาชนมีภาวะสุขภาพที่ดีและสร้างให้เกิดผลผลิตตามมาตรฐานสูงสุดในทุกกลุ่มอายุ และโรคต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) พัฒนานโยบายสาธารณสุขและกฎหมายที่สนับสนุนการป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อ (๒) เร่งขับเคลื่อนทางสังคม สื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง (๓) การพัฒนาศักยภาพชุมชน/ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย (๔) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและการจัดการข้อมูล (๕) ปฏิรูปการจัดบริการเพื่อลดเสี่ยง และควบคุมโรคให้สอคดล้องกับสถานการณ์โรคและบริบทพื้นที่ และ (๖) พัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างบูรณาการ โดยมีกรอบวงเงินสำหรับดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม ๘๑๗.๘๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณสำหรับดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๖๑ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ภาคเอกชนเป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ เนื่องจากภาคเอกชนเป็นภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ และส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคของประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16913 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 5 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๕ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายสิงคโปร์เข้าร่วมการประชุมฯ โดยได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการลงทุน ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงทางอากาศ และความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ ระหว่าง IE Singapore กับเอกชนไทย ๒ ราย คือ บริษัท ซี เอ ซี จำกัด (c asean) กับบริษัท Hubba จำกัด โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเน้นส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายให้กับ Start-up ของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม STEER ครั้งที่ ๖ ในปี ๒๕๖๑ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สิงคโปร์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการอำนวยความสะดวกเพื่อการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจ Start-up ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ การนำประสบการณ์จากประเทศที่สร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart city) มาพิจารณาข้อดีข้อเสียประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ และการส่งเสริมการลงทุนแก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ในการเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก รวมทั้งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ ของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16914 | การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 1 (1st Asia-Pacific Ministerial Forum of Management of Social Transformations Programme - MOST) | ศธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑ (1st Asia-Pacific Ministerial Forum of Management of Social Transformations Programme-MOST) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้หัวข้อหลัก คือ Inclusive Social Development (การพัฒนาสังคมสำหรับทุกคน) โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานภายใต้กรอบโครงการการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยูเนสโก เช่น (๑) การสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบโครงการการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยูเนสโก การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมทั้งแผนปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๒) การส่งเสริมการกำหนดนโยบายบนหลักฐานอ้างอิงผ่านการดำเนินความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาสังคม และสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ (๓) ส่งเสริมการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16915 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... | ศป | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่น เพิ่มบทบัญญัติให้อำนาจศาลปกครองดำเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองได้ แก้ไขเพิ่มเติมเหตุที่จะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตุลาการศาลปกครองพ้นจากตำแหน่งให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม หลักเกณฑ์และวิธีการเลือก การพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับมาตรา ๑๙๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถเสนอเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๓๑ (๒) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ฟ้องคดีอาจยื่นคำฟ้องโดยส่งทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โทรสาร หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นใด ตามที่ศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๔๓ โดยใช้คำว่า “หน่วยงานของรัฐ” น่าจะไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีบัญญัติไว้เฉพาะ “หน่วยงานทางปกครอง” เท่านั้น ดังนั้น ตามมาตรา ๔๓ ควรใช้คำว่า “หน่วยงานทางปกครอง” เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตีความ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ศาลปกครองเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16916 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 23 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๓ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) (Draft Joint Statement of the Twenty Third Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Ministerial Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมความก้าวหน้าในการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ และการขับเคลื่อนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (IB 2017-2021) เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปี ๒๕๗๙ ของ IMT-GT ซึ่งได้รับรองในที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงาน IMT-GT เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวมทั้งเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนโครงการด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านยางพาราและปาล์มน้ำมัน การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถดำเนินการได้ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลังหากมีการปรับปรุงแก้ไขพร้อมด้วยเหตุผลประกอบ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ครั้งที่ ๒๓ ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เกาบังกา จังหวัดบังกา-เบลิตุง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16917 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๗๑ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยเป็นการยกระดับและเพิ่มการลงโทษมากขึ้น โดยเพิ่มเติมรายชื่อบุคคล องค์กร และสิ่งของที่ถูกกำหนด ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมการห้ามนำเข้าอาหารทะเล ตะกั่วและแร่ตะกั่ว การห้ามนำเข้าถ่านหิน เหล็ก และแร่เหล็ก การห้ามเรือที่กำหนดเข้าเทียบท่า จำกัดจำนวนการอนุญาตการทำงานให้แก่บุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และห้ามเปิดกิจการร่วมค้า (Joint venture) หรือสหกรณ์กับองค์กรหรือบุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือขยายกิจการร่วมค้าที่มีอยู่ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (https//www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1718) ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กร และเรือที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ ๒.๓ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องพึงระวังและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติฯ ๒.๔ แจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ขอให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16918 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2561 | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๙๗๕,๔๑๔ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๔๖,๓๓๗ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติโครงการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๒. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว โดยกรณีมีการปรับลดเป้าหมายการลงทุนต้องเป็นเหตุจากปัจจัยภายนอกที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถบริหารจัดการได้เท่านั้น ๔. ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๕. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๑๒๕,๓๑๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๙๗,๑๐๖ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๔๘,๖๖๕ ล้านบาท ๖. ให้กระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่ง และหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับรายละเอียดประกอบการวิเคราะห์ความจำเป็นและความเหมาะสมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ครบถ้วนและสอดคล้องกับปัจจัยในทุกด้าน รวมถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และให้มีการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งการมีมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายกรณีที่มีความล่าช้า เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16919 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2557 ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีงบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี งบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน ๒,๔๗๕.๑๐ ล้านบาท จากเดิมคณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายได้จนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ เป็นจนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ เนื่องจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูองค์กร ในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๗ วรรคสาม และการสรรหาพันธมิตรเพื่อร่วมทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังจะดำเนินการเพิ่มทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยให้ส่วนของทุนไม่ติดลบได้ภายหลังจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างชัดเจน เพื่อการติดตามและเร่งรัดการดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จตามแผนฯ โดยเร็ว รวมทั้งควรเร่งรัดและติดตามการแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยฯ และเร่งจัดหาพันธมิตรร่วมทุนให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแนวทางการฟื้นฟูธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16920 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดพังงา ขนาด 14 บัลลังก์ 1 หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดพังงา ขนาด ๑๔ บังลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากเดิมวงเงิน ๒๑๐,๖๖๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๒๕,๑๘๓,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไปถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินงานและระยะเวลาที่จะใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๒๑๐,๖๖๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๕๒๓,๐๐๐ เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้จ่ายจากเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อเสริมงบประมาณหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ๒. การดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ขอให้สำนักงานศาลยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานให้เป็นไปตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อสนับสนุนให้การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐมีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรมจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
.....