ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 850 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 16981 - 17000 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16981 | การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 22 (The 22nd GMS Ministerial Conference) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | นร11 | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๒ (Joint Ministerial Statement) มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือภายใต้แผนงาน GMS และร่างกรอบการลงทุนของภูมิภาค ปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Framework 2022 : RIF 2022) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนงานการลงทุนในภูมิภาคปี ๒๕๖๕ ซึ่งประเทศไทยมีโครงการลงทุนและโครงการความช่วยเหลือทางวิชาการ จำนวน ๗๖ โครงการ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรอง ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ และร่าง RIF 2022 โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๒ (The 22nd GMS Ministerial Conference) ในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพลังงานที่ขอปรับแก้ร่าง RIF 2022 ลำดับที่ ๑๖ และ ๑๗ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16982 | ขออนุมัติหลักการในการเตรียมความพร้อมโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล - บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามแผนงานระยะเร่งด่วน ใน ๒ กิจกรรม คือ (๑) กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการสำรวจ-ออกแบบรายละเอียด และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ และ (๒) การดำเนินการในกระบวนการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างและงานเตรียมความพร้อมเพื่อการก่อสร้าง โดยคาดว่าหลังจากกระบวนการสำรวจออกแบบรายละเอียดและจัดหาที่ดินแล้วเสร็จ จะเริ่มการก่อสร้างโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ได้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินที่ใช้ดำเนินการโดยอาจพิจารณาจากความร่วมมือจากประเทศต่าง ๆ เงินกู้ หรือเงินงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดช่องทางการสื่อสารของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ครอบคลุมประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ติดกับคลองระบายน้ำฯ เพื่อป้องกันหรือลดการเกิดผลกระทบในอนาคต รวมทั้งควรมีการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างที่มีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และหากดำเนินการในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมเสร็จแล้ว ให้เร่งดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างเป็นระบบเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาพรวมทั้งระบบ (ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง) รวมทั้งแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินการเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16983 | ขอความเห็นชอบในการรับรองและลงนามเอกสารในการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อริเริ่มหนิงโปว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมล้านช้าง-แม่โขง (Draft of the Ningbo Initiative on Lancang-Mekong Cultural Cooperation) มีสาระสำคัญที่เน้นย้ำพันธะของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านวัฒนธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบความร่วมมือหลักที่ได้รับการระบุในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ รวมถึงการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมการเจรจาทางวัฒนธรรมและความร่วมมือข้ามพรมแดน การแบ่งปันวัฒนธรรมเพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยในการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (Lancang-Mekong Cultural Cooperation Forum) ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นผู้รับรองและลงนามในร่างข้อริเริ่มฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อริเริ่มฯ เอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16984 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ) | กค | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ประกอบกิจการในราชอาณาจักร สำหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ สำหรับเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรคำนึงถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสมสำหรับการประกันสุขภาพให้กับบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้มีเงินได้ รวมทั้งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีปฏิบัติ และประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16985 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ. .... | ดศ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนระดับชาติด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรตัดความในข้อ ๑๑ วรรคสอง ของร่างระเบียบฯ เนื่องจากคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้งมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมกรรมการตามนัยพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมคณะกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และอาจพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจากหน่วยงานเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านไซเบอร์เทคโนโลยีร่วมในองค์คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมที่มีความรู้ในด้านสังคมเพื่อประเมินผลกระทบจากการคุกคามไซเบอร์ในด้านสังคมและการดำเนินการให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในการป้องกันได้อย่างเชิงรุก และควรกำหนดให้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นกรอบทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรในหน่วยงานด้วย นอกจากนี้ องค์ประกอบคณะกรรมการควรครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศทุกภาคส่วนและมีกลไกในการประสานความร่วมมือกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง และควรเพิ่มบทบาทและหน้าที่ของคณะกรรมการให้ครอบคลุมการสร้าง Common Infrastructure ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการยกระดับเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในระดับบริหารและปฏิบัติการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือค่าใช่จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวข้องซึ่งจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16986 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นใหม่ โดยแยกภารกิจในส่วนของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ซึ่งเดิมอยู่ในสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) มาจัดตั้งเป็นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ในฐานะรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เห็นควรปรับเพิ่มวัตถุประสงค์ของ สศส. ให้เกิดความชัดเจนและสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศทั้งระบบครบวงจรได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการดำเนินงานควรมุ่งเน้นการทำงานแบบเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการทำงานในลักษณะที่เป็นการต่อยอดส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดการใช้งบประมาณในการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ บูรณาการ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ นอกจากนี้ ควรเพิ่มผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อเป็นการเสริมประสิทธิภาพการทำงานด้านการพัฒนาผู้ประกอบการให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดรวมกัน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้ สศส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินงานของ สศส. ในเบื้องต้น เห็นควรใช้จ่ายจากเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยจะต้องดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดอย่างคุ้มค่า รวมทั้งกำหนดให้มีบุคลากรอย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น ตลอดจนต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วยเมื่อได้มีการจัดตั้ง สศส. แล้ว ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางในการกำหนดเครื่องแบบและเครื่องหมายขององค์การมหาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) ที่ให้โอนภารกิจด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไปไว้ที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมอบให้เป็นภารกิจของ สศส.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16987 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | พณ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บทบัญญัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16988 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบขยายระยะเวลาการจ่ายเงินกู้โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ๑.๒ กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการซื้อข้าวคุณภาพจากโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ๑.๓ มอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ในการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ข้าว GAP และข้าวเพื่อสุขภาพระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับผู้ประกอบการค้าในจังหวัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรในโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๖ เดือน (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการให้ทันตามกำหนดที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้และควรติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูการผลิต รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนความร่วมมือทางการตลาดเพื่อให้ผลผลิตข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีตลาดรองรับที่ชัดเจน ควบคู่กับการส่งเสริมการผลิตและการรับรองมาตรฐาน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการและปัญหาอุปสรรคให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติได้รับทราบเป็นระยะ เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16989 | รายงานการดำเนินงานการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา | วธ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การอนุรักษ์นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากรจัดทำแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพื่ออนุรักษ์ พัฒนา และปรับปรุงภูมิทัศน์โบราณสถาน ปรับปรุงสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ตลอดจนปรับปรุงฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมีแนวความคิดให้ชุมชนอยู่กับโบราณสถานอย่างเกื้อกูลกัน ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๔ งบประมาณดำเนินการ ๒,๙๔๖.๗๘ ล้านบาท ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนแม่บทฯ ในส่วนของงานโบราณคดี งานอนุรักษ์โบราณสถาน และงานปรับปรุงชุมชนบางส่วน แต่ยังไม่สำเร็จครบถ้วนทั้งหมด ๒. การพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๐ กรมศิลปากรยึดแนวทางตามแผนแม่บทฯ ดำเนินการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาสืบต่อมาภายใต้งบประมาณปกติ ประมาณ ๑,๓๐๐ ล้านบาท ภาคเอกชน ๖๗ ล้านบาท และองค์กรต่างประเทศ ๓๗ ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวรวมที่ใช้ในการฟื้นฟูโบราณสถาน จำนวน ๑๕๔ แห่งที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ด้วย ๓. การดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ ๓๙ ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน-๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กรมศิลปากรได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ แล้ว ได้แก่ การจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในการบูรณปฏิสังขรณ์มรดกโลก การจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ และการควบคุมการปลูกสร้างอาคารใหม่ในพื้นที่กันชนและพื้นที่อนุรักษ์สำคัญที่ยื่นขออนุญาตในปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ๔. โครงการจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและควบคุมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ ที่เห็นชอบให้กรมศิลปากรจัดทำแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๙ โดยมีแนวความคิดการพัฒนาให้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต ให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับโบราณสถานได้ สาระสำคัญในแผนแม่บทฯ ประกอบด้วย งานค้นคว้าศึกษาวิจัยโบราณคดี งานด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน งานควบคุมการใช้ที่ดินและปรับปรุงชุมชนปัจจุบัน งานการปรับปรุงภูมิทัศน์ และงานส่งเสริมรายได้ชุมชน เป็นต้น คาดว่าจะนำแผนแม่บทฯ เสนอคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16990 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการอำนวยความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนในพื้นที่ภาคกลางของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการอำนวยความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนในพื้นที่ภาคกลางของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งผลการดำเนินการปรับปรุงทางหลวงและทางหลวงชนบทบริเวณหน้าโรงเรียน โดยการติดตั้งป้ายเตือนเขตโรงเรียน ป้ายจำกัดความเร็ว (ไม่เกิน ๓๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง) ป้ายเตือนทางข้าม เครื่องหมายจราจรบนผิวทางบริเวณทางข้ามหน้าโรงเรียน และติดตั้งแถบสีพร้อมกันลื่นสีแดง (Red Anti Skid) บนถนนทั้ง ๒ ช่องจราจร (ไป-กลับ) รวมทั้งจัดระเบียบการจราจรและการใช้เขตทาง (หาบเร่ แผงลอย) เพื่อมิให้กีดขวางการจราจรที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบริเวณหน้าโรงเรียน ตลอดจนรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย ได้ดำเนินการแล้วเสร็จปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ จำนวน ๒,๙๓๐ แห่ง วงเงิน ๒,๗๗๙.๔๒ ล้านบาท เป็นพื้นที่ภาคกลาง จำนวน ๖๖๘ แห่ง วงเงิน ๖๙๘.๔๙ ล้านบาท และจะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๖๑๐ แห่ง วงเงิน ๗๗๙.๕๒ ล้านบาท เป็นพื้นที่ภาคกลาง จำนวน ๑๐๓ แห่ง วงเงิน ๙๒.๓๘ ล้านบาท ทั้งนี้ จากผลการสำรวจพบว่า ยังมีพื้นที่บริเวณหน้าโรงเรียนในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมที่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงอีกกว่า ๓,๐๐๐ จุด ซึ่งจะได้จัดทำแผนเพื่อดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวตามลำดับความสำคัญและขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16991 | ความก้าวหน้าในการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและอุทกภัย และข้อเสนอแผนงานโครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคกลาง | ทส | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติรายงานความก้าวหน้าในการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและอุทกภัย ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ (Area-based) อย่างเป็นระบบ ครบวงจร และยั่งยืน ประกอบด้วย พื้นที่ภาคเหนือ ๑๓ พื้นที่ ภาคตะวันออก ๖ พื้นที่ ภาคใต้ ๕ พื้นที่ และภาคใต้ชายแดน ๒ พื้นที่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจความถูกต้องในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกำหนดพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง และน้ำเค็มรุกล้ำอย่างเป็นระบบในพื้นที่ภาคกลาง (Area-based) จำนวน ๑๐ พื้นที่ เพื่อให้มีความชัดเจนในการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมและวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคกลางในภาพรวมทั้งระบบ รวมทั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการทั้งหมดแล้วเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16992 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2560/61 ด้านการตลาด | พณ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร กรอบวงเงินงบประมาณ ๑๒,๙๐๖.๒๕ ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ ๑๒,๕๐๐ ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด ๔๐๖.๒๕ ล้านบาท) และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐/๖๑ กรอบวงเงินจำนวน ๗๓,๓๖๙.๙๒ ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ ๒๑,๐๑๐ ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด ๕๒,๓๕๙.๙๒ ล้านบาท) โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการระบายข้าวเปลือก ให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ บริหารจัดการการระบายข้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพ และจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการดังกล่าว และในกรณีที่เกิดภาระส่วนต่างระหว่างราคาที่โครงการกำหนดในการให้สินเชื่อกับราคาที่ขายได้จากการระบายข้าวเปลือก ให้รัฐบาลรับภาระส่วนต่างดังกล่าว ๒. อนุมัติในหลักการโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๖๐/๖๑ วงเงิน ๙๔๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาศักยภาพของสถาบันเกษตรกรในการให้สินเชื่ออย่างรอบคอบ และพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรแปรรูปข้าวสารเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร (๒) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาความพร้อมของเกษตรกรที่จะได้รับสินเชื่อ และภาระหนี้สินของเกษตรกร ซึ่งอาจมีเกษตรกรบางรายที่สนใจเข้าร่วมโครงการแต่ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ รวมถึงคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ และเตรียมความพร้อมในด้านข้อมูลจำนวนยุ้งฉางที่ได้มาตรฐานและเครื่องอบลดความชื้น โดยมีการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนเครื่องอบลดความชื้นซึ่งอยู่ในความดูแลของสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ และ (๓) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ควรให้ความสำคัญกับการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าได้มีการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16993 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560) | นร | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๕๘/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16994 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพิ่มเติม (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ) | กห | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๓๕,๓๖๑,๓๐๐ บาท ให้กองทัพบกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งน้ำ (มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๒๒ โครงการ ในพื้นที่ ๑๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แพร่ สุโขทัย ขอนแก่น บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี นครปฐม กรุงเทพมหานคร เพชรบุรี หนองคาย สุรินทร์ พะเยา เชียงราย พิษณุโลก และพัทลุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในช่วงน้ำหลาก บรรเทาความเสียหายและความเดือดร้อนจากน้ำท่วมและน้ำแล้งให้กับประชาชน รวมทั้งกระจายน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรและเพิ่มปริมาณน้ำเพื่อสำรองไว้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้ง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงกลาโหมส่งรายละเอียดโครงการฯ ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแผนงานโครงการตามการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและภัยแล้งทั้งประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16995 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมอาเซียน - เมอร์โคซูร์ ระดับรัฐมนตรี ในช่วงคู่ขนานการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ 72 | กต | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมอาเซียน-เมอร์โคซูร์ ระดับรัฐมนตรี (Joint Press Statement of the ASEAN-MERCOSUR Ministerial Meeting) ในช่วงคู่ขนานการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ ๗๒ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ โดยร่างแถลงข่าวร่วมฯ เป็นประกาศผลลัพธ์ของการประชุมซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศสมาชิกเมอร์โคซูร์ในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน และการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น อาทิ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในด้านวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย การส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน การท่องเที่ยว การเชื่อมโยง และการมีปฏิสัมพันธ์ระดับประชาชน เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองการออกแถลงข่าวร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16996 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรภูฏาน (Memorandum of Understanding on Health Cooperation between the Ministry of Public Health of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Health of the Kingdom of Bhutan) | สธ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรภูฏาน (Memorandum of Understanding on Health Cooperation between the Ministry of Public Health of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Health of the Kingdom of Bhutan) มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างไทยกับภูฏาน โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นความสนใจร่วมกันรวม ๑๐ ประเด็น ได้แก่ (๑) การควบคุมโรค (๒) การแพทย์ดั้งเดิม (๓) ผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง (๔) การรับรองคุณภาพห้องปฏิบัติการ (๕) ทรัพยากรบุคคลด้านสาธารณสุข (๖) การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (๗) การให้บริการด้านการบำบัดและรักษายาเสพติด (๘) การวิจัยและการศึกษาด้านการแพทย์ (๙) ระบบการกำกับดูแลยาของประเทศ และ (๑๐) สาขาความร่วมมืออื่น ๆ โดยจะมีการลงนามในระหว่างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขภูฏานจะเดินทางเยือนประเทศไทยในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมต่อยอดให้เกิดประโยชน์จากความร่วมมือตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ด้านการแพทย์ดั้งเดิมและสมุนไพรหายากของภูฏาน รวมทั้งประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้ำดื่มในชนบทภูฏานมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16997 | ร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... | นร09 | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง และพื้นที่อื่นใดที่อยู่ในภาคตะวันออกตามที่จะได้กำหนดเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มีการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร จัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ และกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่โดยสอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ๒. สำหรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเพิ่มเป็นการเฉพาะ การเพิ่มกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ในมาตรา ๓๗ (๘) การกำหนดให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการโอนอำนาจของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายไปเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งแก้ไขมาตรา ๕๘ เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถพิจารณาการให้สิทธิยกเว้นเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนร่วมกับคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นั้น ให้เสนอไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16998 | การแต่งตั้งข้าราชการ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางสาวบงกช อนุโรจน์ และ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์) | นร | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ดังนี้ ๑. นางสาวบงกช อนุโรจน์ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๒. นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการสงเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16999 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)(นายวิชญายุทธ บุญชิต) | นร | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวิชญายุทธ บุญชิต ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17000 | ทิศทางการพัฒนาภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร11 | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบทิศทางการพัฒนาภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่งมีแนวทางการพัฒนา ๖ แนวทาง (๑) พัฒนากรุงเทพมหานครเป็นมหานครทันสมัยระดับโลกควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (๒) พัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติและสร้างความเชื่อมโยงเพื่อกระจายการท่องเที่ยวทั่วทั้งภาค (๓) ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมโดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน (๔) บริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และคงความสมดุลของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน (๕) เปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย-ภาคกลาง-ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ (๖) พัฒนาความเชื่อมโยงเศรษฐกิจและสังคมกับทุกภาคเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....