ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 806 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 16101 - 16120 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16101 | การจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561 | วธ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบโครงการสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสรับปีใหม่ ๒๕๖๑ โดยขอให้ทุกวัดในราชอาณาจักรและวัดไทยในต่างประเทศจัดให้มีการสมาทานศีล ฟังพระธรรมเทศนา สวดมนต์ และเจริญจิตตภาวนาข้ามปี ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ และให้มีพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และสวดมนต์ให้ประเทศไทย ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ รวมทั้งขอให้วัดทุกวัดประชาสัมพันธ์เชิญชวนพุทธศาสนิกชนพร้อมครอบครัว ลด ละ เลิกอบายมุข สิ่งเสพติด และร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นมงคลดังกล่าวที่วัดแทนการละเล่นหรือกิจกรรมที่รื่นเริงอย่างอื่น ๒. กระทรวงวัฒนธรรมได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการร่วมกันบูรณาการการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวในมิติศาสนา รวมทั้งการนำมิติทางศาสนาเป็นสิ่งจูงใจให้ประชาชนทุกศาสนา ลด ละ เลิกอบายมุขในเทศกาลปีใหม่ เช่น กิจกรรมไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีอาเซียน ๑๖ จังหวัด และกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือองค์การศาสนาอื่นเชิญชวนศาสนสถานในสังกัดจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยประกอบพิธีทางศาสนาตามหลักศาสนบัญญัติของศาสนานั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16102 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | คค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม สำหรับการกู้เงินเพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ วงเงิน ๑๑,๒๘๔ ล้านบาท โดยในส่วนของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ให้ รฟท. ดำเนินการขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานการให้บริการ รวมทั้งขยายตลาดของกลุ่มผู้ใช้บริการระบบรางให้เพิ่มมากขึ้น การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของ รฟท. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ในระยะยาวของ รฟท. การปรับปรุงระบบข้อมูลด้านการเงินและบัญชีให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป การดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ รฟท. ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแล้วอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร รวมทั้งผลประกอบการและการจัดสรรรายได้เพื่อการชำระหนี้เงินกู้ต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูกิจการของ รฟท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของปัญหาการขาดสภาพคล่องในอนาคตให้มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16103 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 - 2564 ประจำปีงบประมาณ 2560 | กค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาตัวชี้วัดความสำเร็จของแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ รวมถึงติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการเสร็จสิ้นทั้ง ๑๕ โครงการ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาฯ และ ๔ มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ (๑) การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสร้างรายได้ (๒) การแก้ไขปัญหาหนี้สิน (๓) การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน และ (๔) การติดตามและขับเคลื่อนนโยบายตามแผนพัฒนาฯ ๒. ภาพรวมโครงการของแผนพัฒนาฯ กระทรวงการคลังจะเร่งผลักดันและสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการจัดทำโครงการส่งเสริมการออมและการเข้าถึงสวัสดิการเพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาโครงการส่วนใหญ่มุ่งเน้นสินเชื่อที่สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อประกอบอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ รวมทั้งจะติดตามและกำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามแผนพัฒนาฯ อย่างเคร่งครัด โดยหากมีการปรับเปลี่ยน/ยกเลิกโครงการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นให้กระทรวงการคลังทราบ เพื่อรายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16104 | รายงานผลการดำเนินงานของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่ง สบร. ได้จัดให้มีระบบการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของประชาชนผ่านการเรียนรู้ที่ทันสมัย โดยดำเนินการ (๑) การขับเคลื่อนการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ (๒) การขยายผลต้นแบบแหล่งเรียนรู้ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ (๓) ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยความคิดสร้างสรรค์ และ (๔) การบูรณาการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ สำหรับแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สบร. มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ โดยการส่งเสริมและพัฒนาความรู้ให้แก่ประชาชนผ่านสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ โดยจะดำเนินการให้ครอบคลุมพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขยายแนวคิดการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยให้แก่ผู้ปกครอง ครูผู้ดูแลเด็กและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16105 | ผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รอบ 3 ปี (พ.ศ. 2557 - 2560) | พม | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รอบ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๗๙) การบูรณาการการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การดำเนินการเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ การพัฒนาศักยภาพนักร้องนักดนตรีในที่สาธารณะ การส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวและการพัฒนาศักยภาพสตรี รวมทั้งการจัดระเบียบและพัฒนาศักยภาพคนขอทานและคนไร้ที่พึ่ง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16106 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 | กษ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยให้ผู้ส่งออก โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเร่งส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน และให้กระทรวงพลังงานประสานผู้ค้าน้ำมันซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นไบโอดีเซลเพื่อสต็อก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน นอกเหนือจากที่ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ สำรองไว้เดิม รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาให้การสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกการส่งออก เช่น การขนส่งน้ำมันปาล์มและเรือในการส่งออก ในส่วนการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ให้องค์การคลังสินค้าหารือร่วมกับเกษตรกรและโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดีขึ้น โดยเน้นการผลิตปาล์มคุณภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการเพื่อให้การบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศทั้งระบบมีความยั่งยืน และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม ดังนี้ ๒.๑ จัดทำแผนการบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มเติมจากแนวทางการแก้ไขปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบตามข้อ ๑ โดยให้พิจารณากำหนดแนวทางบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มดิบที่มีอยู่เดิมและน้ำมันปาล์มดิบที่เป็นผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในอนาคตแยกออกจากกันให้ชัดเจน ๒.๒ กำหนดแนวทางใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงรูปแบบการใช้และลักษณะตลาดที่มีความแตกต่างกันระหว่างการใช้เป็นอาหารและการใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ ควรพิจารณากำหนดแนวทางการจูงใจให้มีการใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงาน ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดให้มีการกำหนดแผนการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร โดยกำหนดเป้าหมายปริมาณปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มให้เหมาะสมกับความต้องการใช้ภายในประเทศและสนับสนุนการส่งออกให้มากขึ้น และบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันเกษตรกร เกษตรกร ในการรักษาสมดุลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพได้มาตรฐาน สามารถขายได้ในราคาดีและมีรายได้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16107 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จำนวน 5 เส้นทาง | คค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินงานสำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน ๕ เส้นทาง (ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ (สายเหนือ) (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ (สายตะวันออกเฉียงเหนือ) และ (๓) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร (สายใต้) ตามแนวทางของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานผลการพิจารณาการดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๗ เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ) ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์) ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย ๓. สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ให้ รฟท. เร่งปรับแบบรายละเอียดบริเวณอำเภอสีคิ้วและตัวเมืองนครราชสีมาของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ ๒ คลองขนานจิตร ชุมทางถนนจิระ และจัดทำรายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ [รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้าง จำนวน ๑๓ สัญญา และรายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๓ สัญญา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายเป็นค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษา ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ๕. อนุมัติรายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อปรับแบบรายละเอียดบริเวณอำเภอสีคิ้วและตัวเมืองนครราชสีมา ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ ๒ คลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ และค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทบทวน จัดทำเอกสารประกวดราคา และดำเนินการประกวดราคาโดยวิธีการประกวดราคานานาชาติ (International Bidding) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๕ เส้นทาง ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายเป็นค่าจ้างที่ปรึกษาทั้ง ๒ รายการดังกล่าว ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๖. ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้มีการติดตามและกำกับดูแลการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จำนวน ๕ เส้นทางดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และพิจารณาประยุกต์ใช้แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างตามมติคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่และทางคู่ระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16108 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4/2560 | นร04 | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ในพื้นที่ภาคเหนือ และการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดสุโขทัย รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชามอบหมายภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมฯ ดังกล่าวให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16109 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบประมาณ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๓๕,๑๔๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙๐ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๙๓ (เป้าหมายภาพรวมร้อยละ ๒๐.๙๓) ประกอบด้วย ๑.๑ รายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๒๔๐,๒๑๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕๘๓,๗๙๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๐๖ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๓.๒๑ (เป้าหมายรายจ่ายประจำร้อยละ ๒๒.๘๕) ๑.๒ รายจ่ายลงทุน จำนวน ๖๕๙,๗๘๑ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๐๑,๑๖๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๔๔ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕๑,๓๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๗๘ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๘๓ (เป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๑๔.๖๑) ๒. รายจ่ายลงทุนกรณีไม่รวมงบกลาง จำนวน ๕๗๗,๒๙๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๐๑,๑๖๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๔.๘๕ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕๑,๓๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘.๘๙ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๕.๗๒ (เป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๑๔.๖๑) ๓. รายการผูกพันใหม่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาทต่อรายการ จำนวน ๔๐ รายการ รวมวงเงิน จำนวน ๑๑,๑๙๔ ล้านบาท ผูกพันปีต่อไป จำนวน ๗๓,๐๖๒ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๘๔,๒๕๖ ล้านบาท ๔. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๒๙๙,๑๐๕ ล้านบาทมีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๔๓,๔๐๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๕๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16110 | รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ครั้งที่ 1 | คค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ครั้งที่ ๑ และเห็นชอบการดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนเสนอ โดยไม่ต้องนำเรื่องนี้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ ตามความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การดำเนินการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนและอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ การกำหนดเงื่อนไขในการดำเนินงาน กรอบวงเงิน และระยะเวลาการก่อสร้างให้ชัดเจนในบันทึกความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้งการให้ความสำคัญการจัดลำดับแผนการก่อสร้างโครงการฯ ที่มีความเหมาะสม สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการภายในประเทศสามารถเข้าร่วมประกวดราคา ในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะเบิกเงินกู้ให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟระยะแรก (ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง ๓.๕ กิโลเมตร) ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวงดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน กำกับและเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในส่วนที่เหลือ ตลอดจนเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16111 | รายงานผลการดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ | มท | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการจัดงาน “ตลาดประชารัฐ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ขึ้นระหว่างวันที่ ๕-๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม มีผู้ประกอบการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้า จำนวน ๑๘๐ ราย มียอดผู้เข้าชมงาน จำนวน ๒๑,๙๒๗ คน รวมยอดขายทั้งสิ้น ๘,๖๘๓,๘๒๒ บาท ในส่วนของตลาดประชารัฐทุกจังหวัดทั่วประเทศ (๑,๑๗๓ แห่ง) มีผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้า จำนวน ๔๗,๖๗๗ ราย มีผู้ชมงาน จำนวน ๕๕๖,๔๒๗ คน รวมยอดขายทั้งสิ้น ๖๘,๕๒๔,๙๖๙ บาท ๒. กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของตลาดให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกติกาของแต่ละตลาด ความรู้เชิงกลยุทธ์ทางการตลาด ระบบบัญชี เทคนิคการขายให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมรับการอบรม จำนวน ๓๘,๐๒๑ ราย คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๕๗ ของผู้ลงทะเบียนทั้งหมด ๓. การจัดสรรผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐของจังหวัดทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่ตลาดแล้ว จำนวน ๗๑,๙๔๖ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๕๙ ของผู้ที่มีความพร้อมในการจำหน่ายสินค้า ๔. การดำเนินการของโครงการตลาดประชารัฐในช่วงต่อไป เช่น ให้แต่ละจังหวัดกำหนดให้มีผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการตลาดนำพาตลาดไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน คัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพ โดยส่งเสริมตลาดที่มีอยู่แล้วให้มีศักยภาพในการค้าขายเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ๕. ขับเคลื่อนงานโครงการตลาดประชารัฐให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ที่ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมดำเนินการด้วย โดยกำหนดให้ “ตลาดเคหะประชารัฐ” ดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติ เป็นตลาดประชารัฐประเภทที่ ๑๐ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดสรรพื้นที่ค้าขายให้กับผู้ลงทะเบียนผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐในพื้นที่ตลาดเคหะประชารัฐ ทั้ง ๙๐ แห่ง ใน ๑๕ จังหวัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16112 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4/2560 (กำหนดการ ฯ) | นร04 | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุโขทัย ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ รวมทั้งองค์ประกอบคณะตรวจราชการจังหวัดพิษณุโลก ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ และองค์ประกอบประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16113 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 2/2560 | กษ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ในการอนุมัติแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี และเห็นชอบการเจรจาเพื่อตกลงเรื่องค่าเสียหายตามสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ยาง ระหว่างการยางแห่งประเทศไทยและบริษัท China Hainan Rubber Industry Group Co.Ltd. และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ที่ให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามการดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาการปลูกยางพาราในพื้นที่ป่าไม้ พร้อมทั้งหาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ดังกล่าว โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ตามที่่เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เฉพาะโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง และโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา) โดยในส่วนของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. เห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ [เฉพาะโครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ โครงการควบคุมปริมาณผลผลิต และการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง] และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยให้นำความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ไปประกอบการหารือด้วย และดำเนินการต่อไปได้ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้ในช่วงต้นปี ๒๕๖๑ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่มีการขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีความต้องการใช้ยางพาราตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐสามารถใช้ยางพาราที่การยางแห่งประเทศไทยได้รวบรวมจากเกษตรกรปลูกยางพารา โดยต้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16114 | มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 | อก | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค ๔.๐ ด้านการส่งเสริมพัฒนาและด้านการเงินและโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การช่วยหลือ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีศักยภาพและมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนมาตรการฯ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแนวทางยกระดับความสามารถของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) เพื่อให้บริการและส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ชุมชน โดยหากจะเสนอขอรับการเพิ่มทุนต่อการรองรับสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและการดำรงสถานะเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ให้ ธพว. เสนอขอจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นลำดับแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. เห็นชอบให้ธนาคารออมสินแยกบัญชีการดำเนินการโครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) และให้ ธพว. แยกบัญชีการดำเนินโครงการยกระดับความสามารถของ ธพว. โครงการที่ร่วมดำเนินการกับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ออกจากการดำเนินการตามปกติ เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) รวมทั้งสามารถนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกิดขึ้นจริงและค่าบริหารโครงการฯ บวกกลับเพื่อการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้ และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๔. อนุมัติงบประมาณชดเชยอัตราดอกเบี้ยจากรัฐบาล ภายในกรอบวงเงิน ๖,๓๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี เพื่อดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และโครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการทางการเงินดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง และเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ ควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้ความสำคัญมากขึ้นกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของประกอบการ SMEs ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๖. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16115 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 4 ราย 1. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ฯลฯ) | กต | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา แคนนาดา ๒. นายจักรี ศรีชวนะ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น สมาพันธรัฐสวิส ๓. นายวิชิต ชิตวิมาน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ๔. นายเจษฎา กตเวทิน ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16116 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 3 ราย 1. นายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์ ฯลฯ) | กต | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่างและทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ๒. นายฐานิศร์ ณ สงขลา ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ราชอาณาจักรบาห์เรน ๓. นางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16117 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก อำนาจ อันอาตม์งาม) | นร04 | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งพลตำรวจเอก อำนาจ อันอาตม์งาม เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16118 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการตรวจสอบ และประเมินผลภาคราชการ | นร04 | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16119 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (นายไพโรจน์ สัตยสัณห์สกุล) | คค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายไพโรจน์ สัตยสัณห์สกุล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16120 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า (จำนวน 7 ราย 1. นายภราเดช พยัฆวิเชียร ฯลฯ) | ทส | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า แทนกรรมการผู้ทรวงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ จำนวน ๗ ราย ดังนี้
๑. นายภราเดช พยัฆวิเชียร ๒. นายบวรเวท รุ่งรุจี ๓. นายสด แดงเอียด ๔. รองศาสตราจารย์บรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย ๕. ศาสตราจารย์กิตติคุณศิริวรรณ ศิลาพัชรนันท์ ๖. รองศาสตราจารย์โรจน์ คุณอเนก ๗. รองศาสตราจารย์ยงธนิศร์ พิมลเสถียร
|
.....