ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 737 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 14721 - 14740 จากข้อมูลทั้งหมด 124007 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14721 | แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายฉัตรชัย ธรรมสวยดี ผู้แทนโรงงาน) | อก | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายฉัตรชัย ธรรมสวยดี ผู้แทนโรงงาน เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14722 | กำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 | นร04 | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดการนายกรัฐมนตรีในการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ ณ จังหวัดชุมพร ระหว่างวันจันทร์ที่ ๒๐-วันอังคารที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14723 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 52/2561 และครั้งที่ 53/2561 | นร04 | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๕๒/๒๕๖๑ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๕๓/๒๕๖๑ วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14724 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan : PDP) ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับหลักการและแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้ ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการขยายการดำเนินการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไปยังสายการบินต่าง ๆ รวมทั้งให้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาสินค้า OTOP ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ราคาเหมาะสม และมีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เป็นต้น ในการพิจารณากำหนดแนวทางการจัดทำภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้พลัดหลงที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ให้มีความเหมาะสมทั้งในรูปแบบที่เป็นสารคดี (Documentary) ละคร (Drama) และภาพเคลื่อนไหว (Animation) โดยให้สามารถสื่อถึงความเป็นไทยในแง่มุมต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น ความสวยงามทางธรรมชาติของประเทศไทย การท่องเที่ยวชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวไทย อาหารไทย ความสามัคคีและความมีน้ำใจของคนไทย เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการขยะและลดปริมาณขยะทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น การลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีการใช้วัตถุดิบรีไซเคิล เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาขยะให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป ๒.๓ ให้ทุกส่วนราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ/คณะทำงานชุดต่าง ๆ ที่แต่งตั้งขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี และปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ พิจารณาทบทวนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการ/คณะทำงาน เช่น อำนาจหน้าที่ องค์ประกอบ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของประธานและกรรมการ เป็นต้น ให้เหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการแต่งตั้ง รวมทั้งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วให้ดำเนินการให้ถูกต้องต่อไปตามแต่กรณี ๒.๔ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการซ่อมแซม/ก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาอุทกภัยโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาจัดจ้างแรงงานในพื้นที่และนักเรียนอาชีวะที่ได้รับการฝึกอบรมเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน รวมทั้งขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14725 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... | กต | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชียเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติในระดับภูมิภาค สอดรับกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ต้องการส่งเสริมบทบาทความเป็นประเทศแกนนำด้านการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย และการที่ไทยเป็นศูนย์กลางขององค์การระหว่างประเทศและการประชุมระหว่างประเทศย่อมส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การที่ศูนย์ฯ มีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศจะช่วยให้ศูนย์ฯ มีความสามารถในการระดมทุน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์กับไทยทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น รวมทั้งในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14726 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การศึกษาวิเคราะห์การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME" ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME” ซึ่งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้ว โดยมีความเห็นไม่ขัดข้องกับรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าว และได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น กระทรวงการคลังได้มีมาตรการเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดสรรวงเงินส่วนหนึ่งจากกองทุนพัฒนา SMEs ไปจัดทำโครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสำหรับ Micro SMEs และกระทรวงพาณิชย์ส่งเสริมให้ธุรกิจใช้ทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14727 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "ระบบข้อมูลการบริหารราชการแผ่นดินแบบประชารัฐ" ของคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “ระบบข้อมูลการบริหารราชการแผ่นดินแบบประชารัฐ” ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วมีความเห็นสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากเป็นเรื่องที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น การจัดทำคู่มือและแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้ส่วนราชการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบูรณาการระบบข้อมูลทุกระบบให้สามารถเชื่อมโยงกัน ทุกส่วนราชการมีการทำงานเป็นมาตรฐานเดียวกันและสามารถใช้งานร่วมกันได้ เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน่วยงานที่มีระบบกลาง เช่น ระบบ GFMIS ระบบ DPIS ระบบ e-SAR และระบบ e-Budgeting ควรมีการแบ่งปันข้อมูล (sharing) ให้หน่วยงานอื่น ๆ สามารถนำข้อมูลที่กรอกไปแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ในหน่วยงานของตนได้ด้วย เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14728 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติมาตรการติดตามทรัพย์สินของรัฐคืนจากการเอาไปโดยมิชอบ พ.ศ. .... ของคณะกรรมาธิการการเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง รายงานการพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติมาตรการติดตามทรัพย์สินของรัฐคืนจากการเอาไปโดยมิชอบ พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมคือ ควรมีการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่นี้เป็นการเฉพาะ การตั้งคณะกรรมการพิเศษอาจมีปัญหาในทางปฏิบัติในการขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพ อาจส่งผลให้การดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่า ควรให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบในทรัพย์สินโดยตรงทำหน้าที่ติดตามทรัพย์สินของรัฐคืน และใช้มาตรการและกลไกปกติที่มีอยู่ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อาจมีส่วนที่ซ้ำซ้อนกับมาตรการและกลไกปกติที่มีอยู่แล้ว ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14729 | รายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ไตรมาสที่ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๑๑๓,๑๐๗.๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๘๗ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๔๒ (เป้าหมายกำหนดไว้ ร้อยละ ๗๔.๒๙) โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ จำนวน ๖๔๒,๕๔๙.๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๑๖ ๒. ข้อเสนอแนะ ๒.๑ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ต้องเร่งรัดการใช้จ่ายและการเบิกจ่ายงบประมาณในส่วนที่เหลือ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน มีความโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับ ๒.๒ หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จะต้องกำกับดูแลผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของหน่วยงานเป็นสำคัญ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในโอกาสต่อไปส่วนราชการฯ ควรมีการเร่งรัดปรับปรุงแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการปฏิบัติงานโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14730 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤษภาคม-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ งบประมาณทั้งสิ้น จำนวน ๑๕๐,๐๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรแล้ว จำนวน ๑๔๕,๔๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นสามารถเบิกจ่ายและเข้าสู่กระบวนการก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน ๘๖,๕๘๐.๐๒๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๕๕ ของงบประมาณที่จัดสรรแล้ว หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๐.๔๒ กรณีไม่รวมงบกลาง และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14731 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 | กต | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ (32nd ASEAN Summit) เมื่อวันที่ ๒๗-๒๘ เมษายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้เน้นย้ำความสำคัญของความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียน ความสามารถในการรับมือกับความท้าทายในด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ ความสำคัญของแนวคิดอินโด-แปซิฟิก และการสร้างเครือข่ายเมืองอัจฉริยะของอาเซียน โดยประเทศไทยได้เสนอกรุงเทพมหานคร ภูเก็ต และชลบุรีเป็นเมืองอัจฉริยะนำร่อง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับด้านการเมืองระหว่างประเทศ ได้แก่ (๑) สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี (๒) สถานการณ์ในรัฐยะไข่ และ (๓) สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ รวมทั้งประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเร่งรัดการรวมตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งเจรจาความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ให้แล้วเสร็จ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกที่เหลือเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership : CPTPP) รวมถึงเน้นย้ำความจำเป็นของการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ และการรับรองเอกสารผลลัพธ์ที่สำคัญของการประชุมฯ จำนวน ๓ ฉบับ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติและติดตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ประเด็นนวัตกรรม อาเซียนสามารถร่วมกันพัฒนาทักษะและนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Cybersecurity พร้อมไปกับการผลักดันด้าน Entrepreneurial และ Startup โดยประเทศไทยอาจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการริเริ่มและผลักดันโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพดังกล่าว โดยอาศัยงบประมาณจากองค์กรที่สนับสนุนทุนให้เลขาธิการอาเซียนเพื่อดำเนินการต่อไป (๒) การผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเร่งพัฒนาสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมผู้ประกอบการ Startup และยกระดับทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับรูปแบบงานในอนาคต (Future of jobs) รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์และการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจดิจิทัล และ (๓) เร่งรัดการดำเนินงานตามแผนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม โดยขยายความร่วมมือในสาขาอื่นที่มีความก้าวหน้าสูง อาทิ ความมั่นคงด้านน้ำ การป้องกันและบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ รวมทั้งเร่งเจรจาความตกลง RCEP เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14732 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายกิตติ กรรภิรมย์) | สธ | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกิตติ กรรภิรมย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14733 | ร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอไปตรวจพิจารณาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม) ของสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การห้ามมิให้สภาวิชาชีพจัดการศึกษาซ้ำซ้อนกับการศึกษาที่สถาบันอุดมศึกษาจัดอยู่ และห้ามมิให้สภาวิชาชีพออกข้อบังคับหรือหลักเกณฑ์เพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพ โดยมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติในการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา อาจเป็นการลิดรอนสิทธิของสภาวิชาชีพในการยกระดับมาตรฐานการประกอบวิชาชีพได้ (๒) การกำหนดชื่อและอำนาจหน้าที่ของคณะบุคคลและองค์กร รวมถึงกลไกในการขับเคลื่อนการจัดการอุดมศึกษาตามร่างพระราชบัญญัติฯ ควรพิจารณาความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับหลักการที่กำหนดไว้ในการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ที่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้เห็นชอบในหลักการไว้แล้ว (๓) ควรพิจารณาจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาตามศักยภาพและความเชี่ยวชาญของสถาบัน และปรับบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาให้สามารถผลิตกำลังคนเฉพาะทางได้อย่างมีคุณภาพ รวมทั้งควรมีกลไกในการกำกับและตรวจสอบการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างหลักประกันคุณภาพการจัดการศึกษาและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล และ (๔) การดำเนินงานของกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา ควรพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนระหว่างการดำเนินงานของกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษากับการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กยากจนหรือเด็กด้อยโอกาสที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาเช่นเดียวกัน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการเสนอเรื่อง การจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษาต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน แล้วแจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14734 | ร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม การทำไม้ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่อีกต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แก่ (๑) การมอบอำนาจให้สถาบัน/องค์กรอื่นเป็นผู้ออกหนังสือรับรองไม้ที่ขึ้นหรือปลูกขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และการออกหนังสือรับรองไม้ เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แทนกรมป่าไม้ ควรจะต้องได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับของประเทศคู่ค้า (๒) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอและออกหนังสือรับรองฯ ควรคำนึงถึงการออกหนังสือรับรองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) เพื่อให้สอดรับกับระบบการขอรับใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการส่งออกสินค้าไม้ด้วยวิธี Paperless ของกระทรวงพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (๓) ควรมีกระบวนการกำกับดูแลการทำไม้ที่เป็นไม้หวงห้ามซึ่งขึ้นในป่าแล้วแอบอ้างว่าเป็นการทำไม้จากที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ควรเร่งกำหนดมาตรการและกลไกการตรวจสอบแหล่งที่มาของไม้หวงห้าม เพื่อให้สามารถระบุได้ชัดเจนระหว่างไม้หวงห้ามที่เกิดขึ้นอยู่ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินกับไม้หวงห้ามในพื้นที่ป่าของรัฐ เพื่อป้องกันปัญหาการสวมตอในอนาคต และ (๕) การแก้ไขให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม อาจก่อให้เกิดปัญหาในการลักลอบตัดไม้ในเขตที่ดินของรัฐ แล้วนำมาสวมเป็นไม้ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงควรต้องมีมาตรการในการป้องกันปัญหาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14735 | การขอความเห็นชอบต่อพิธีสาร (ฉบับที่สอง) แก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อตั้งมูลนิธิอาเซียน | กต | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสาร (ฉบับที่สอง) แก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อตั้งมูลนิธิอาเซียน (The Second Protocol Amending the Revised Memorandum of Understanding on the Establishment of the ASEAN Foundation) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขคุณสมบัติและการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร (Executive Director) ของมูลนิธิฯ จากที่ได้ให้ความเห็นชอบไว้เดิม คือ ผู้อำนวยการบริหารของมูลนิธิฯ มีวาระการดำรงตำแหน่ง ๓ ปี และไม่สามารถลับมาดำรงตำแหน่งได้อีก โดยกำหนดใหม่เป็น สามารถดำรงตำแหน่งได้วาระละ ๓ ปี และสามารถดำรงตำแหน่งต่อเนื่องได้ ๒ วาระเท่านั้น (รวม ๖ ปี) โดยจะมีการลงนามในพิธีสารฯ ในโอกาสแรกที่ประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศดำเนินขั้นตอนภายในเสร็จสิ้น โดยไม่เกินเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา เป็นผู้ร่วมลงนามในพิธีสารฯ แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ร่วมลงนามในพิธีสารฯ แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14736 | การจัดทำปฏิญญาแสดงเจตจำนงการดำเนินความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกี ว่าด้วยปีแห่งวัฒนธรรมไทย-ตุรกี พ.ศ. 2561 | วธ | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงการดำเนินความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกี ว่าด้วยปีแห่งวัฒนธรรมไทย-ตุรกี พ.ศ. ๒๕๖๑ (Declaration of Intent on Cooperation between the Ministry of Culture of the Kingdom of Thailand and Ministry of Culture and Tourism of the Republic of Turkey on 2018 Reciprocal Year of Culture) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างปฏิญญาฯ โดยการจัดทำร่างปฏิญญาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกี รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและเสริมสร้างความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยจะมีการลงนามในร่างปฏิญญาฯ ภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่จะลงนาม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาด้วยว่า หากกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกีประสงค์จะทำข้อตกลงเพื่อดำเนินความร่วมมือสำหรับงาน Reciprocal Year of Culture ไทย-ตุรกี ในปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ตามนัยวรรค ๒ (c) ภายใต้หัวข้อ Implementation ของร่างปฏิญญาฯ ก็อาจส่งร่างข้อตกลงดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาในโอกาสต่อไป ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมตามปฏิญญาฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้รับจัดสรรไว้แล้วจากรายการค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมภาพลักษณ์ไทยและนำความเป็นไทยสู่สากล จำนวน ๒๑,๗๕๐,๐๐๐ บาท โดยให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง มีความคุ้มค่าและประหยัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14737 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๑๕,๓๗๔.๙๗๘ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับรายละเอียดการค้ำประกัน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้ ขสมก. ดำเนินการกู้เงินได้เมื่อแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และได้บรรจุวงเงินกู้ของ ขสมก. ที่เสนอในครั้งนี้ไว้ด้วยแล้ว รวมทั้งการดำเนินการกู้เงินดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ ขสมก. โดยต้องกระทำด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่า ประโยชน์ที่จะได้รับ ความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระการชำระหนี้ที่เหมาะสม ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง พิจารณาปรับปรุงแผนฟื้นฟู ขสมก. ให้ครอบคลุมถึงแผนการบริหารหนี้ในภาพรวม ซึ่งรวมถึงแนวทางปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการขนส่งมวลชน และมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ของ ขสมก. โดยเร็ว และให้กระทรวงคมนาคมนำแผนดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14738 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและเปลี่ยนแปลงรายการสายทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ดจังหวัดชลบุรี รวมทั้งยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง การปรับปรุงแก้ไข มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ข้อ 1.6 ของกรมทางหลวง | คค | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มวงเงินงบประมาณและเปลี่ยนแปลงรายการภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โครงการพัฒนาทางหลวงรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากรายการสายทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ด จังหวัดชลบุรี ระยะทาง ๗.๗๖๓ กิโลเมตร วงเงิน ๖๓๒ ล้านบาท มาดำเนินรายการค่าก่อสร้างและค่ารื้อย้ายสาธารณูปโภค รวมวงเงิน ๘๑๑.๙๕ ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวน ๑๗๙.๙๕ ล้านบาท) ๑.๒ ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ) ที่กำหนดให้รายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนนั้น ๆ โดยไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่จำเป็นและเหมาะสม และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14739 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดปากช่อง ขนาด 8 บัลลังก์ 1 หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ เป็นรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดภูเก็ต ขนาด 14 บัลลังก์ 1 หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๒ รายการ ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้แก่ (๑) ค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดปากช่อง ขนาด ๘ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา งบประมาณทั้งสิ้น ๒๘๕,๑๒๐,๐๐๐ บาท เปลี่ยนแปลงเป็น ค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดภูเก็ต ขนาด ๑๔ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต งบประมาณทั้งสิ้น ๒๘๕,๑๒๐,๐๐๐ บาท และ (๒) ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดปากช่อง ขนาด ๘ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา งบประมาณทั้งสิ้น ๕,๐๑๔,๖๐๐ บาท เปลี่ยนแปลงเป็น ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดภูเก็ต ขนาด ๑๔ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต งบประมาณทั้งสิ้น ๕,๐๑๔,๖๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประสานงานกับสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงสถานที่ จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัด พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เป็นก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดภูเก็ตพร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ (ตัดรายการเกี่ยวกับบ้านพักออก) ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมได้ชี้แจงเหตุผลว่า จังหวัดนครราชสีมามีสถิติคดีไม่สูงมากนักและมีศาลที่เปิดทำการแล้วหลายแห่ง ในขณะที่ศาลจังหวัดภูเก็ตมีความแออัดคับแคบและมีสถิติคดีที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดปากช่อง จึงไม่มีความจำเป็นและไม่ควรมีการขออนุมัติการก่อสร้างศาลจังหวัดในพื้นที่ดังกล่าวขึ้นอีกในภายหลัง หากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและเหตุผลความจำเป็นที่ชัดเจนแตกต่างไปจากเดิม ๒.๒ กรณีการก่อสร้างศาลจังหวัดภูเก็ตพร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้ตัดรายการบ้านพักออกไปจากที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม สำนักงานศาลยุติธรรมควรพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในกรณีดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อการดังกล่าวในภายหลังอีก ๒.๓ ในการพิจารณากำหนดแบบรูปรายการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาล บ้านพัก และสิ่งก่อสร้างประกอบ ในภาพรวม สำนักงานศาลยุติธรรมควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามหลักความเหมาะสม ประหยัด และประโยชน์สูงสุดของทางราชการ รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14740 | หลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ | พม | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์แล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้พนักงานที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล (ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในจังหวัดอื่นมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามอัตราที่กำหนด ๑.๒ ให้พนักงานที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานครั้งแรกนอกเขตกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล (ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามอัตราที่กำหนด ๑.๓ ให้พนักงานที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานครั้งแรกนอกเขตกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล (ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในจังหวัดอื่น ซี่งไม่ใช่จังหวัดที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งครั้งแรกมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามอัตราที่กำหนด ๑.๔ กำหนดอัตราค่าเช่าบ้าน (๑) พนักงาน อันดับ ๑-๓ อัตราค่าเช่าบ้าน ๒,๕๐๐ บาท/เดือน (๒) พนักงาน อันดับ ๔ อัตราค่าเช่าบ้าน ๓,๐๐๐ บาท/เดือน (๓) พนักงาน อันดับ ๕-๖ อัตราค่าเช่าบ้าน ๓,๕๐๐ บาท/เดือน และ (๔) พนักงาน อันดับ ๗-๙ อัตราค่าเช่าบ้าน ๔,๐๐๐ บาท/เดือน ๑.๕ ให้หลักเกณฑ์นี้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำนักงานธนานุเคราะห์ รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการให้บริการ และควรมีการวางแผนพัฒนาและบริหารบุคลากรเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เหมาะสม รวมทั้งในการกำหนดอัตราค่าเช่าบ้านตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวควรพิจารณาให้เหมาะสมและสะท้อนกับอัตราค่าครองชีพในแต่ละจังหวัด โดยอาจกำหนดเป็นอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงของแต่ละระดับตามอัตราค่าเช่าบ้านที่เสนอในครั้งนี้ และควรมีการวางแผนการจัดการทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและไม่เป็นภาระกับงบประมาณในอนาคต ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม)
|
.....