ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 740 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 14781 - 14800 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14781 | ผลการประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 18 ณ กรุงบากู | กต | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๘ (18th Mid-Term Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement : NAM) ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ ๓-๖ เมษายน ๒๕๖๑ ภายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Promoting international peace and development for sustainable development)” โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมการประชุมฯ และได้กล่าวถ้อยแถลงเน้นย้ำความสำคัญของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของ NAM ในการกำหนดระบบระหว่างประเทศที่สนับสนุนสันติภาพและความมั่นคง สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและบทบาทสตรีในประเด็นด้านสันติภาพ ตลอดจนสนับสนุนให้ดำเนินการพัฒนาที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่และครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยเน้นย้ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย รวมทั้งได้รับรองเอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ เอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ และปฏิญญากรุงบากู ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้มอบหมายให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีหนังสือถึงคณะผู้แทนถาวรเวเนซุเอลาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะผู้ประสานงาน NAM เพื่อแจ้งข้อสงวนของไทยต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ในประเด็นใด ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับท่าทีไทย ซึ่งเวเนซุเอลาได้เวียนหนังสือแจ้งข้อสงวนของไทยให้รัฐสมาชิกทราบแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14782 | มาตรการป้องกันการทุจริตเพื่อแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิในที่ดินโดยมิชอบ | มท | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะ เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเพื่อแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิในที่ดินโดยมิชอบ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าว และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม เช่น (๑) กรณีให้นำบทบัญญัติมาตรา ๓๔ ถึง มาตรา ๓๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน (เกี่ยวกับการกำหนดสิทธิในที่ดิน) ซึ่งถูกยกเลิกโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๙ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๐๒ มาบังคับใช้อีกครั้ง ซึ่งไม่มีผลกระทบกับบุคคลที่ถือครองที่ดินในปัจจุบันนั้น เห็นว่าการนำบทบัญญัติในมาตราดังกล่าวซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินมาใช้บังคับอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจการลงทุนและการพัฒนาประเทศตลอดจนประชาชนทั่วไป จึงควรพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่ได้เปลี่ยนแปลงไป (๒) การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐที่ชัดเจน หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินของรัฐทุกประเภทควรเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้มีแนวเขตที่ดินที่ชัดเจน พร้อมทั้งดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14783 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริประจำเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2561 | นร01 | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริประจำเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนเมษายน ๒๕๖๑ การดำเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยโครงการจิตอาสาได้เข้าไปดำเนินการขุดลอกคูคลอง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ขวางทางน้ำ และสร้างความร่วมมือภายในชุมชนและสถานประกอบการตามลำน้ำในการรักษาน้ำในคลองแม่ข่า ๒. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ๒.๑ การประชุมกำหนดแผนการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนคลองเปรมประชากร กรุงเทพมหานคร โดยการจัดทำแบบสำรวจผู้รุกล้ำลำคลอง ซึ่งมีชุดปฏิบัติงานจากกรุงเทพมหานคร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมชลประทาน กรมธนารักษ์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ การประชุมกำหนดแผนการดำเนินงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยให้มีการจัดนิทรรศการภาพกิจกรรมจิตอาสา โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ บริเวณท้องสนามหลวง ๒.๓ พิธีพระราชทานป้ายกิจกรรมจิตอาสาในโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” แบบใหม่ (ต้นแบบ) ประจำหน่วยพระราชทานจิตอาสา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14784 | รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2560 | กค | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ประจำปี ๒๕๖๐ โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๘ แผนงาน จาก ๔๖ แผนงาน ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบการชำระเงินสำหรับตลาดทุน (๒) การให้บริการระบบงานกลางสำหรับการซื้อขายกองทุนรวม (๓) การปรับกติการองรับรูปแบบการทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแทนคน (๔) การศึกษาการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับตลาดทุนไทย (๕) การแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย (๖) การพัฒนาทักษะและความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านตลาดทุนของไทย (๗) การอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการนำเงินไปลงทุนในประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และ (๘) กฎหมายเพื่อรองรับธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนแผนงานที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ผ่านตัวชี้วัดผลการดำเนินการ (KPI) ทั้งในระดับวิสัยทัศน์และระดับเป้าหมายหลัก ๔ ด้าน ในระยะครึ่งแผน (สิ้นปี ๒๕๖๒) เปรียบเทียบกับเป้าหมายในปี ๒๕๖๔ เพิ่มเติมต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการดำเนินการอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ ได้แก่ การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนฯ การพัฒนาและกำกับดูแลตลาดทุนให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ลงทุนรายใหญ่และรายย่อย กลไกในการประสานความร่วมมือในการพัฒนาและกำกับดูแลตลาดการเงินในภาพรวม และการพิจารณาศึกษาผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามแผนงานภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้บรรลุผลโดยเร็วตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14785 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 2/2561 | กษ | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธาน กนป. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม กนป. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ กนป. ได้พิจารณาคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. ชุดใหม่ แทนที่ชุดเก่าที่หมดวาระลง และนำรายชื่อผู้ได้รับคะแนนสูงสุด ๑๐ อันดับเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อแต่งตั้งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๒/๒๕๖๑ แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. แล้ว ๒. การประชุม กนป. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ๒.๑ กนป. มีมติรับทราบมาตรการการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยมอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผู้รับผิดชอบยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ด้านการผลิตพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ๒.๒ กนป. มีมติเห็นชอบ ๖ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการพัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมันตามยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙ (๒) มาตรการการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ (๓) มาตรการกำหนดมาตรฐานโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม (๔) มาตรการการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B 20 (๕) มาตรการการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี และ (๖) มาตรการอื่น ๆ ประกอบด้วยการส่งเสริมอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีคอลและการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และปัญหาการถ่ายลำ/ผ่านแดนน้ำมันปาล์มของมาเลเซียไปยังประเทศเพื่อนบ้านผ่านไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14786 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ พร้อมทั้งกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ๑.๒ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นำไปปรับใช้ในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและข้อเสนอแนะของกระทรวงวัฒนธรรม เช่น ควรมีการศึกษาวางแผนจัดระบบการจราจร จัดระเบียบที่จอดรถเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงพื้นที่เมืองเก่าได้สะดวกมากขึ้น ส่งเสริมการใช้จักรยานในการเดินทางเข้าพื้นที่เมืองเก่าเพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรและสิ่งแวดล้อม และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการความเร็วในบริเวณพื้นที่เมืองเก่าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพประสานกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และชุมชนเพื่อนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ เพื่อให้การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่ามีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลรายงานผลการดำเนินงานของเมืองเก่าไปประกอบการพิจารณาทบทวนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่ที่ได้มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ราษฎรไม่สามารถครอบครองได้ เช่น เขตพื้นที่โบราณสถานเพื่อให้ประชาชนที่เข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ดังกล่าวอยู่ก่อนการประกาศฯ สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในบริเวณเขตพื้นที่ดังกล่าวได้โดยไม่ขัดกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับหลักการตามมาตรฐานสากล รวมถึงให้พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการบุกรุกในเขตพื้นที่ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14787 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2561(เดือนเมษายน 2561) | นร11 | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๖๑ ๑.๑ ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนทั้ง ๒ เดือนขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนทั้ง ๒ เดือนขยายตัวในเกณฑ์สูง มูลค่าการส่งออกสินค้าทั้ง ๒ เดือนขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าอยู่ที่ ๑๘,๙๔๘ และ ๒๒,๓๓๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ มูลค่าการนำเข้าสินค้าทั้ง ๒ เดือนขยายตัวในเกณฑ์สูง การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลทั้งจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและรายจ่ายลงทุนของรัฐบาล โดยเดือนเมษายน ๒๕๖๑ มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒๓๗,๙๐๒.๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๑๓.๒ ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลลดลงในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยมีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑๗๐,๙๓๑ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๑๕.๓ ๑.๒ ด้านการผลิต รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้ง ๒ เดือนขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรทั้ง ๒ เดือนขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรโดยรวมของทั้ง ๒ เดือนปรับตัวลดลงตามการลดลงของราคาสินค้าเกษตรบางรายการ เช่น ยางพารา และอ้อย แม้ว่าดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ลดลงจะส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมในเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ปรับลดลง แต่ดัชนีรายได้เกษตรกรก็กลับมาเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมทั้ง ๒ เดือนขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น การผลิตยานยนต์ และการผลิตน้ำตาล เป็นต้น ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๖๑ อยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานเพิ่มขึ้น ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง ๒. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๖๑ ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นในทุกภูมิภาค ตามการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยูโรโซน และญี่ปุ่น ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศและการผลิตภาคอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนซึ่งยังขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวได้ดีตามการผลิต การบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14788 | การยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร | นร08 | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน การขนส่ง ศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ เช่น ควรให้ความสำคัญในการบูรณาการการปฏิบัติของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่มาพร้อมกับความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป และกรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ บริเวณชายแดน ให้ประสานกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ โดยการบริหารจัดการชายแดนบริเวณดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการการจัดทำแผนเพื่อรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ ปัญหาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของชุมชน ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และปัญหาการบุกรุกพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมนำประเด็นเกี่ยวกับการเปิดสำนักงานประสานงานแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดน อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ในแผนบริหารจัดการพื้นที่รองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร ไปประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามแผนที่กำหนดไว้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน การขนส่ง ศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เช่น การก่อสร้างถนนและจุดเปลี่ยนช่องจราจรโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แผนงาน/โครงการในการบริหารจัดการพื้นที่ เป็นต้น ๔. กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ บริเวณชายแดนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนการดำเนินการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใด ๆ ตามบริเวณชายแดน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์) ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๕. สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป ที่มีแผนจะดำเนินการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมและการก่อสร้างถนนซึ่งมีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14789 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน | นร | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงการคลัง จำนวน ๔๗๕ อัตรา และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จำนวน ๗๘ อัตรา รวมทั้งสิ้น ๕๕๓ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังในภาพรวมของหน่วยงานให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภารกิจในอนาคตทดแทนอัตรากำลังที่จะเกษียณอายุ รวมทั้งให้พิจารณาปรับปรุงวิธีการสรรหาบุคลากรภาครัฐ โดยใช้วิธีการจัดจ้างผู้ที่มีคุณวุฒิพิเศษ หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาปฏิบัติงาน ตามความจำเป็นของภารกิจแทนการบรรจุเป็นข้าราชการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และให้พิจารณานำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดความต้องการกำลังคนลง ตามทิศทางการพัฒนาประเทศสู่การเป็น Thailand 4.0 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดความต้องการกำลังคน โดยเฉพาะการทำฐานข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการคลังของรัฐ การจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ โดยควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรอัตรากำลังเพื่อการจัดทำผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) แบบ Bottom Up ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดการจัดทำแผนอัตรากำลังคนภาครัฐและแผนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐภาพรวมในระยะยาวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การจัดสรรทุนรัฐบาลให้แก่หน่วยงานของรัฐ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14790 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเวียงฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | มท | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเวียงฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลโป่งน้ำร้อน ตำบลม่อนปิ่น ตำบลสันทราย ตำบลแม่คะ และตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการยกเว้นให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรและใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ได้ และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ และรักษาพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมท้องถิ่นให้คงอยู่กับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14791 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. .... | สว | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว เห็นชอบด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว โดยได้มีการยกร่างกฎกระทรวงเพื่อการกำหนดให้สายรัดข้อมือพลาสติกเป็นเครื่องพันธนาการ รวมทั้งได้จัดสิ่งของที่จำเป็นให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุมอย่างเพียงพอและมีมาตรฐาน กรณีการส่งตัวเด็กหรือเยาวชนหญิงไปเรือนจำหรือทัณฑสถาน และได้มีครรภ์หรือคลอดบุตรระหว่างฝึกอบรม สมควรแจ้งให้ศาลเยาวชนและครอบครัวทราบนั้น ศาลเยาวชนและครอบครัวอาจพิจารณาควบคุมไว้ที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่เด็กและเยาวชนดังกล่าวอบรมอยู่ กรณีการตรวจสอบตัวบุคคลเกี่ยวกับสิทธิด้านการรักษาพยาบาล ควรให้สำนักงบประมาณสนับสนุนด้านงบประมาณกับผู้ซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยด้วย ตลอดจนได้จัดทำคู่มือการดำเนินงานด้านบริการสาธารณสุขและจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การจัดส่งประวัติเด็กและเยาวชนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อลบข้อมูลประวัติ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำข้อเสนอแนะต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14792 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง "ระบบการผลิต และพัฒนาครู" ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง “ระบบการผลิตและพัฒนาครู” ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซี่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอเชิงนโยบายของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว โดยในส่วนของการผลิตครูได้ดำเนินการ เช่น การจัดทำโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น การจัดทำหลักสูตรการผลิตครูที่มีคุณภาพมาตรฐาน ฯลฯ สำหรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ดำเนินการ เช่น เตรียมการทดสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วยให้สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๖/๒๕๖๐ และในส่วนของการพัฒนาครูได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนา (Teacher Professional Development Institute : TPDI) โดยในระยะแรกเป็นการรับรองหลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา การปรับปรุงและพัฒนาเกี่ยวกับการประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14793 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. .... | มท | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ โดยตัดจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๖ พฤษภคม ๒๕๖๐ และ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่อนุญาตให้ตั้งสถานบริการได้ รวมทั้งกำหนดจังหวัดที่เป็นพื้นที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการที่เหลืออยู่ จำนวน ๒๒ จังหวัด ให้รวมอยู่ในร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เพียงฉบับเดียว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการขออนุญาตตั้งสถานบริการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14794 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2559 | สปสช. | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบดุลและรายงานการรับเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ โดยมีข้อสังเกตหมายเหตุประกอบการเงินข้อ ๑๑ เจ้าหนี้ค่าบริการทางการแพทย์มีจำนวนสูงขึ้น เนื่องจากมีการปรับประสิทธิภาพการประมวลผลการเรียกเก็บหนี้และการบันทึกรายการความต้องการใช้ยาเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยการไปยืมยาและเวชภัณฑ์จากองค์การเภสัชกรรม และข้อสังเกตหมายเหตุประกอบการเงินข้อ ๑๙ ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีการเบิกค่าใช้จ่ายให้กับผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิง เช่น อายุต่ำกว่า ๖๐ ปี มีเลขที่บัตรประชาชนไม่ครบ ๑๓ หลัก รายชื่อไม่ครบถ้วน มีสิทธิข้าราชการ มีสิทธิประกันสังคม และมีสิทธิข้าราชการท้องถิ่นที่ไม่เข้าเงื่อนไข เป็นต้น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14795 | รายงานผลการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 | รง | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยผลการจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ และอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ในระยะแรก (๕ กุมภาพันธ์-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) และระยะที่ ๒ (๒๓ เมษายน-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑) สามารถดำเนินการตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร อนุญาตทำงาน และจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติให้กับแรงงานต่างด้าวได้ทั้งสิ้น จำนวน ๑,๑๘๗,๘๐๓ คน (กัมพูชา ๓๕๐,๘๔๐ คน ลาว ๕๙,๗๔๖ คน เมียนมา ๗๗๗,๒๑๗ คน) คิดเป็นร้อยละ ๙๐ จากเป้าหมาย ๑,๓๒๐,๐๓๕ คน โดยจำนวนแรงงานต่างด้าวคงเหลือที่ไม่ได้มาดำเนินการส่วนหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่กลับประเทศแล้วไม่ต้องการกลับเข้ามาทำงานอีก ส่วนหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่กลับเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) และอีกส่วนหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่ทำงานกับนายจ้างซึ่งไม่ประสงค์จะพาไปดำเนินการจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ตรวจลงตรา (Visa) และขออนุญาตทำงาน สำหรับปัญหาอุปสรรค/การแก้ไขปัญหา เช่น ข้อจำกัดในการตรวจสุขภาพแรงงานของโรงพยาบาล แก้ปัญหาโดยกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวแทน ความยุ่งยากด้านเอกสาร เช่น กรอกข้อมูลไม่สมบูรณ์ เอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน หรือไม่ถูกต้อง แก้ไขโดยการปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการให้กระชับ สั้น และสะดวก เป็นต้น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14796 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 3 | พณ | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๒-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-เวียดนาม และแนวทางการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ๑.๒ หากในการประชุมฯ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากประเด็นในท่าทีดังกล่าวอันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ขอให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมฯ สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมฯ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (ถ้ามี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมีการผลักดันให้เวียดนามยกเลิกมาตรการการนำเข้ารถยนต์ของเวียดนาม (DECREE 116) และในความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างไทยและเวียดนามและภายในอนุภูมิภาค ควรให้หยิบยกประเด็นการร่วมกันผลักดันให้ สปป.ลาว เร่งรัดการควบรวมเส้นทางหมายเลข ๑๒ ใน สปป.ลาว รวมทั้งสะพานข้ามแม่น้ำโขงนครพนม-แขวงคำม่วน และเส้นทางเชื่อมต่อสะพาน (ต่อกับเส้นทางหมายเลข ๘) เข้าไว้ในพิธีสาร ๑ ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Agreement : CBTA) โดยให้เป็นผลลัพธ์การหารือสำหรับการประชุมฯ นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการร่วมทางการค้าสนับสนุนให้มีการหารือระหว่างหน่วยงานไทยและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงินการธนาคารเป็นประจำ เพื่อต่อยอดไปสู่ความร่วมมือด้านการเงินการธนาคารที่เข้มแข็งภายในภูมิภาคและตอบสนองต่อนวัตกรรมทางด้านการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14797 | การให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน | กห | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป จำนวนปีละ ๓๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้ในการดำเนินการของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนดังกล่าว โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายปีอีก ทั้งนี้ งบประมาณที่นำมาดำเนินการได้บรรจุไว้ในกรอบวงเงินรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว อย่างไรก็ดี เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14798 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ การดำเนินโครงการปรับปรุงพื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ 2561 (ความร่วมมือกองทัพบก - มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) | กห | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๖๘,๙๑๒,๘๐๐ บาท ให้กองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (ความร่วมมือกองทัพบก-มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) จำนวน ๔๗ โครงการ ในพื้นที่ ๙ จังหวัด (ได้แก่ จังหวัดแพร่ พะเยา พิจิตร สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และพัทลุง) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การเก็บกักน้ำ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบกรับความเห็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้เสนอคำของบประมาณจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อดำเนินโครงการขุดลอกสระเก็บน้ำสาธารณะบึงหญ้า ตำบลหนองจิก อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่เดียวกันกับโครงการที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอรับการสนับสนุนจากกองทัพบกด้วย จึงเห็นควรให้กองทัพบกประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อบูรณาการแนวทางในการดำเนินการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนการเสนอของบประมาณ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ คูคลองต่าง ๆ ในปีต่อ ๆ ไป กองทัพบกควรประสานมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ คู คลองต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ ให้แล้วเสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประโยชน์สูงสุดตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมส่งแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (ความร่วมมือกองทัพบก-มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อนำไปประกอบเป็นแผนดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในภาพรวมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14799 | ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560-2564 | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา คือ “การบริหารจัดการทรัพยากรแร่แบบองค์รวมเพื่อสนับสนุนวัตถุดิบให้เป็นฐานการผลิตเพื่อการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” โดยวางแนวนโยบายการบริหารจัดการแร่ในระยะ ๒๐ ปี ไว้ดังนี้ (๑) ประเทศมีความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่และวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (๒) การนำแร่มาใช้ประโยชน์ต้องมีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน (๓) การพัฒนากลไกในการอนุมัติอนุญาตให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดความซ้ำซ้อน การปรับปรุงระบบการจัดสรรผลประโยชน์ให้มีความเป็นธรรม และการเยียวยาปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามหลักความรับผิดชอบ และ (๔) การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ๑.๒ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาให้มีความเชื่อมโยง สอดคล้อง สัมพันธ์ และส่งเสริมกับการปฏิรูปและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การจำแนกเขตแหล่งแร่ เพื่อกำหนดพื้นที่แหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่แหล่งแร่ เศรษฐกิจ เพื่อให้มีการรักษา ใช้ทรัพยากรแร่อย่างรอบคอบ ใช้ประโยชน์เท่าที่จำเป็นและคุ้มค่าสูงสุด ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคั่งภายใต้ดุลยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนากลไกระบบอนุญาตประทานบัตร ระบบหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ และระบบกำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงาน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการแร่ของประเทศ โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการแร่อย่างสมดุลและยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและบริการในชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย และก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่ การพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องและสนับสนุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดพื้นที่เพื่อเป็นเขตอุตสาหกรรมสำหรับการทำเหมืองแร่และการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรแร่ ควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเพื่อพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับรายละเอียดของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ หรือไม่ก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ใดสามารถใช้ดำเนินการทำเหมืองแร่ได้ พื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ หรือพื้นที่ใดที่เป็นพื้นที่เพื่อการสำรวจ ศึกษา วิจัยสำหรับการทำเหมืองแร่ในอนาคตได้ จึงควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14800 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรอง (โดยไม่มีการลงนาม) ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมรัฐมนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ประกอบด้วย (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ (๒) ร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสนับสนุนสตรี สันติภาพ และความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) (๔) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการบิน : ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน (๕) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติ (๖) ร่างรายการกิจกรรมที่เป็นทางการ (Track 1) สำหรับปีกิจกรรม ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (๗) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านความมั่นคงทางทะเล ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ (๘) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการไม่แพร่ขยายและการลดอาวุธ (๙) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการทูตเชิงป้องกัน และ (๑๐) แผนการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ โดยการร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวจะเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน รวมทั้งการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาในกรอบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างและส่งเสริมผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงของประเทศไทย รวมถึงการร่วมกันแก้ไขปัญหาท้าทายที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยและภูมิภาคในภาพรวม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ในร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ ควรเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนามาตรการป้องกันการฟอกเงินผ่านนวัตกรรมทางการเงิน และการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์และการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการเร่งรัดความร่วมมือเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทชนิดใหม่ในอนุภูมิภาค ตลอดจนการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลข้อมูลทางดิจิทัลเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (๒) ในร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate resilience) โดยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ (Economic instrument) และ (๓) ในร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสนับสนุนสตรี สันติภาพและความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ควรเพิ่มเติมประเด็นการสนับสนุนบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารและการตัดสินใจในทุกระดับเพื่อพัฒนาการด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
.....